ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 887 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 17721 - 17740 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17721 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม 9 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ....) | มท | 16/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม ๙ ฉบับ เพื่อกำหนดเขตพื้นที่ในการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสงขลา และจังหวัดหนองบัวลำภู ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการในกรณีท้องที่จังหวัดกาญจนบุรีอาจมีโรงเรียนหรือสถานศึกษา (โรงเรียนบ้านหัวนาและโรงเรียนบ้านวังสารภี) ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่กำหนดไว้เป็นเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ จึงเห็นควรดำเนินการตรวจสอบความชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการต้องไม่อยู่ใกล้ชิดหรือใกล้เคียงกับที่ตั้งของโรงเรียนหรือสถานศึกษา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๙ ฉบับ ประกอบด้วย ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดจังหวัดภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดระนอง พ.ศ. .... ๑.๗ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... ๑.๘ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดสงขลา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๙ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการตั้งสถานบริการและสถานประกอบการอาจมีผลกระทบสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชน เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ประกาศใช้ กระทรวงมหาดไทยควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานของรัฐควบคุมการอนุญาตจัดตั้งสถานบริการหรือสถานประกอบการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17722 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม 9 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. ....) | มท | 16/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม ๙ ฉบับ เพื่อกำหนดเขตพื้นที่ในการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสงขลา และจังหวัดหนองบัวลำภู ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการในกรณีท้องที่จังหวัดกาญจนบุรีอาจมีโรงเรียนหรือสถานศึกษา (โรงเรียนบ้านหัวนาและโรงเรียนบ้านวังสารภี) ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่กำหนดไว้เป็นเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ จึงเห็นควรดำเนินการตรวจสอบความชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการต้องไม่อยู่ใกล้ชิดหรือใกล้เคียงกับที่ตั้งของโรงเรียนหรือสถานศึกษา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๙ ฉบับ ประกอบด้วย ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดจังหวัดภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดระนอง พ.ศ. .... ๑.๗ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... ๑.๘ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดสงขลา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๙ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการตั้งสถานบริการและสถานประกอบการอาจมีผลกระทบสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชน เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ประกาศใช้ กระทรวงมหาดไทยควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานของรัฐควบคุมการอนุญาตจัดตั้งสถานบริการหรือสถานประกอบการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17723 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม 9 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดภูเก๊ต พ.ศ. ....) | มท | 16/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม ๙ ฉบับ เพื่อกำหนดเขตพื้นที่ในการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสงขลา และจังหวัดหนองบัวลำภู ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการในกรณีท้องที่จังหวัดกาญจนบุรีอาจมีโรงเรียนหรือสถานศึกษา (โรงเรียนบ้านหัวนาและโรงเรียนบ้านวังสารภี) ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่กำหนดไว้เป็นเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ จึงเห็นควรดำเนินการตรวจสอบความชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการต้องไม่อยู่ใกล้ชิดหรือใกล้เคียงกับที่ตั้งของโรงเรียนหรือสถานศึกษา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๙ ฉบับ ประกอบด้วย ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดจังหวัดภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดระนอง พ.ศ. .... ๑.๗ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... ๑.๘ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดสงขลา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๙ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการตั้งสถานบริการและสถานประกอบการอาจมีผลกระทบสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชน เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ประกาศใช้ กระทรวงมหาดไทยควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานของรัฐควบคุมการอนุญาตจัดตั้งสถานบริการหรือสถานประกอบการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17724 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม 9 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดระนอง พ.ศ. ....) | มท | 16/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม ๙ ฉบับ เพื่อกำหนดเขตพื้นที่ในการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสงขลา และจังหวัดหนองบัวลำภู ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการในกรณีท้องที่จังหวัดกาญจนบุรีอาจมีโรงเรียนหรือสถานศึกษา (โรงเรียนบ้านหัวนาและโรงเรียนบ้านวังสารภี) ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่กำหนดไว้เป็นเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ จึงเห็นควรดำเนินการตรวจสอบความชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการต้องไม่อยู่ใกล้ชิดหรือใกล้เคียงกับที่ตั้งของโรงเรียนหรือสถานศึกษา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๙ ฉบับ ประกอบด้วย ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดจังหวัดภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดระนอง พ.ศ. .... ๑.๗ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... ๑.๘ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดสงขลา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๙ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการตั้งสถานบริการและสถานประกอบการอาจมีผลกระทบสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชน เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ประกาศใช้ กระทรวงมหาดไทยควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานของรัฐควบคุมการอนุญาตจัดตั้งสถานบริการหรือสถานประกอบการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17725 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม 9 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. ....) | มท | 16/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม ๙ ฉบับ เพื่อกำหนดเขตพื้นที่ในการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสงขลา และจังหวัดหนองบัวลำภู ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการในกรณีท้องที่จังหวัดกาญจนบุรีอาจมีโรงเรียนหรือสถานศึกษา (โรงเรียนบ้านหัวนาและโรงเรียนบ้านวังสารภี) ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่กำหนดไว้เป็นเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ จึงเห็นควรดำเนินการตรวจสอบความชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการต้องไม่อยู่ใกล้ชิดหรือใกล้เคียงกับที่ตั้งของโรงเรียนหรือสถานศึกษา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๙ ฉบับ ประกอบด้วย ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดจังหวัดภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดระนอง พ.ศ. .... ๑.๗ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... ๑.๘ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดสงขลา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๙ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการตั้งสถานบริการและสถานประกอบการอาจมีผลกระทบสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชน เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ประกาศใช้ กระทรวงมหาดไทยควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานของรัฐควบคุมการอนุญาตจัดตั้งสถานบริการหรือสถานประกอบการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17726 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม 9 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดสงขลา พ.ศ. ....) | มท | 16/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม ๙ ฉบับ เพื่อกำหนดเขตพื้นที่ในการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสงขลา และจังหวัดหนองบัวลำภู ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการในกรณีท้องที่จังหวัดกาญจนบุรีอาจมีโรงเรียนหรือสถานศึกษา (โรงเรียนบ้านหัวนาและโรงเรียนบ้านวังสารภี) ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่กำหนดไว้เป็นเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ จึงเห็นควรดำเนินการตรวจสอบความชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการต้องไม่อยู่ใกล้ชิดหรือใกล้เคียงกับที่ตั้งของโรงเรียนหรือสถานศึกษา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๙ ฉบับ ประกอบด้วย ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดจังหวัดภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดระนอง พ.ศ. .... ๑.๗ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... ๑.๘ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดสงขลา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๙ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการตั้งสถานบริการและสถานประกอบการอาจมีผลกระทบสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชน เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ประกาศใช้ กระทรวงมหาดไทยควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานของรัฐควบคุมการอนุญาตจัดตั้งสถานบริการหรือสถานประกอบการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17727 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม 9 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. ....) | มท | 16/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม ๙ ฉบับ เพื่อกำหนดเขตพื้นที่ในการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสงขลา และจังหวัดหนองบัวลำภู ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการในกรณีท้องที่จังหวัดกาญจนบุรีอาจมีโรงเรียนหรือสถานศึกษา (โรงเรียนบ้านหัวนาและโรงเรียนบ้านวังสารภี) ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่กำหนดไว้เป็นเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ จึงเห็นควรดำเนินการตรวจสอบความชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการต้องไม่อยู่ใกล้ชิดหรือใกล้เคียงกับที่ตั้งของโรงเรียนหรือสถานศึกษา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๙ ฉบับ ประกอบด้วย ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดจังหวัดภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดระนอง พ.ศ. .... ๑.๗ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... ๑.๘ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดสงขลา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๙ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการตั้งสถานบริการและสถานประกอบการอาจมีผลกระทบสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชน เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ประกาศใช้ กระทรวงมหาดไทยควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานของรัฐควบคุมการอนุญาตจัดตั้งสถานบริการหรือสถานประกอบการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17728 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2560 และข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน | มท | 16/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๖๐ และข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. ผลการดำเนินการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๖๐ จำนวนอุบัติเหตุ ๓,๖๙๐ ครั้ง จำนวนผู้เสียชีวิต ๓๙๐ ราย จำนวนยานพาหนะที่ถูกเรียกตรวจ ๕,๓๘๐,๔๘๒ คัน และจำนวนผู้ถูกดำเนินคดี ๙๑๔,๑๗๒ ราย สำหรับผลการปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๖/๒๕๕๘ (เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการขับขี่ยานพาหนะ) ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๖๐ ตรวจพบผู้กระทำผิด ๗๐๙,๔๔๑ ราย มีการดำเนินคดี ๔๔๗,๑๙๘ ราย ยึดรถจักรยานยนต์และรถยนต์ส่วนบุคคล ๕,๖๗๗ คัน รถโดยสารสาธารณะ ๑,๘๓๕ คัน และยึดใบอนุญาตขับรถ ๑๒,๖๔๙ คัน ทั้งนี้ จากผลการวิเคราะห์การดำเนินการ พบว่า การดื่มสุราแล้วขับ เป็นมูลเหตุสันนิษฐานในการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด สำหรับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ในการใช้รถใช้ถนนยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญแม้จะมีมาตรการต่าง ๆ และมีการบังคับใช้กฎหมายเพิ่มขึ้น โดยจะต้องสร้างจิตสำนึกและวินัยในการใช้รถใช้ถนน มุ่งเน้นในระบบการศึกษาของกลุ่มเด็กและเยาวชน และรณรงค์การใช้รถใช้ถนนที่ปลอดภัยควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมาย ๒. ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายเพื่อวิเคราะห์ผลการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยที่ประชุมมีข้อเสนอการดำเนินการในเชิงนโยบาย ได้แก่ (๑) การปรับปรุงแนวทางและมาตรการเพื่อลดปัจจัยเสี่ยง ประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย และการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ และจิตสำนึก และ (๒) การปรับปรุงการบริหารจัดการ เช่น กำหนดให้เรื่อง ความปลอดภัยทางถนนเป็นวาระจังหวัด อำเภอ และท้องถิ่น จัดสรรงบประมาณ เครื่องมือ เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานในพื้นที่ และปรับปรุงระบบฐานข้อมูลให้เป็นเอกภาพ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17729 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการจ้างงานเพื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการได้รับเงินสนับสนุนโดยตรงจากภาครัฐ เช่น การจ้างงานเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง การจ้างงานนักเรียน นักศึกษา สำรวจข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ในช่วงปิดภาคเรียนหรือช่วงที่ยังไม่สามารถหางานทำได้ โดยให้พิจารณาลักษณะงานที่เหมาะสม เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมในแต่ละพื้นที่และสอดคล้องกับการดำเนินนโยบายประชารัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการจ้างงานในพื้นที่ที่ภาคเอกชนให้การสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายประชารัฐหรือพื้นที่สาธารณประโยชน์ ๒. ด้านสังคม มอบหมายให้หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการดำเนินการปราบปรามการค้าประเวณีให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าประเวณีเด็ก ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณากำหนดแนวทางการให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ถูกนำมาค้าประเวณีให้สามารถประกอบอาชีพและดำรงตนอยู่ในสังคมต่อไปได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืน เช่น การจัดตั้งศูนย์ฝึกอาชีพ ศูนย์ฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะในการทำงานให้สอดคล้องกับความถนัดหรือความต้องการเพื่อนำไปสร้างรายได้ให้กับตนเองได้ต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดเตรียมข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศที่แสดงข้อมูลพื้นที่ป่าที่สำคัญในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทย และภาพถ่ายทางอากาศในบริเวณพื้นที่ที่ประสบปัญหาต่าง ๆ เช่น พื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมหรือน้ำแล้ง พื้นที่ที่เป็นปัญหาที่ดินทับซ้อน พื้นที่ที่มีการร้องเรียนจากประชาชน เป็นต้น เพื่อนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี และใช้เป็นข้อมูลในการสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่สาธารณชนต่อไป ๓.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สถานพยาบาลของรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่ผลิตได้เองในประเทศและผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องแล้ว เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมด้านการสาธารณสุขของประเทศ และให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนายาในประเทศ เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการวิจัยและพัฒนายาของภูมิภาคนี้ต่อไป ๓.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับและเร่งรัดการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ ให้ได้ข้อยุติและปรากฏผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๓.๔ ในการดำเนินการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ผลการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ของรัฐบาล ให้กรมประชาสัมพันธ์เป็นหน่วยงานกลางประสานการดำเนินการใน ๒ ระดับ คือ ๓.๔.๑ ระดับนโยบาย ซึ่งเป็นการชี้แจงของนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ให้มีการแบ่งการดำเนินงานของโฆษกรัฐบาลเป็นฝ่ายต่าง ๆ ตามภารกิจของรองนายกรัฐมนตรี ได้แก่ ด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านต่างประเทศ และด้านกฎหมาย ๓.๔.๒ ระดับกระทรวง ซึ่งเป็นการชี้แจงของรัฐมนตรี ให้โฆษกประจำกระทรวงของแต่ละกระทรวง สร้างการรับรู้ โดยให้มีการจัดทำเอกสารข่าวกระทรวง (Press Release) เพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินงานของกระทรวงทุกสัปดาห์ ทั้งนี้ ให้เริ่มดำเนินการตามแนวทางข้างต้น ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับติดตามการดำเนินงานดังกล่าว และรายงานผลในภาพรวมต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17730 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน รวม 2 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. ....) | กษ | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน รวม ๒ ฉบับ เพื่อให้สามารถนำที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินในเขตสำรวจการจัดรูปที่ดินมาใช้เพื่อการจัดรูปที่ดินได้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลหัวขวาง ตำบลแห่ใต้ และตำบลเลิงใต้ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลเมืองเก่า อำเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... โดยกรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมพัฒนาที่ดิน และกระทรวงพาณิชย์ควรมีบทบาทร่วมกับกรมชลประทานในการสนับสนุนให้เกษตรกรใช้ประโยชน์จากที่ดินที่ได้จัดสรรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้มีการเพาะปลูกพืชที่มูลค่าสูงอื่น ๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากสินค้าข้าวอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป จนถึงการตลาด เพื่อให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17731 | ผลการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุน โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (สายสีชมพู) | คค | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (BSR Joint Venture : BSR JV) ได้ยื่นเอกสารข้อเสนอซองที่ ๓ (ข้อเสนออื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการให้บริการและการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) ว่า ข้อเสนอดังกล่าวเป็นส่วนที่เพิ่มเติมจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ และได้มีการนำข้อเสนอดังกล่าวมากำหนดไว้เป็นเอกสารแนบท้ายสัญญาหมายเลข ๑๑ ของร่างสัญญาร่วมลงทุนของทั้งสองโครงการ ซึ่งข้อ ๓๘ ของร่างสัญญาร่วมลงทุนให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาและมีผลผูกพันเช่นเดียวกับสัญญา แต่เนื่องจากข้อเสนอซองที่ ๓ ดังกล่าว ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนและอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินโครงการในอนาคต ดังนั้น ในชั้นนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงเห็นว่าไม่ควรนำข้อเสนอดังกล่าวมากำหนดไว้เป็นเอกสารแนบท้ายของร่างสัญญาร่วมลงทุน ไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงร่างสัญญาร่วมลงทุน โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17732 | ผลการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุน โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (สายสีเหลือง) | คค | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (BSR Joint Venture : BSR JV) ได้ยื่นเอกสารข้อเสนอซองที่ ๓ (ข้อเสนออื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการให้บริการและการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) ว่า ข้อเสนอดังกล่าวเป็นส่วนที่เพิ่มเติมจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ และได้มีการนำข้อเสนอดังกล่าวมากำหนดไว้เป็นเอกสารแนบท้ายสัญญาหมายเลข ๑๑ ของร่างสัญญาร่วมลงทุนของทั้งสองโครงการ ซึ่งข้อ ๓๘ ของร่างสัญญาร่วมลงทุนให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาและมีผลผูกพันเช่นเดียวกับสัญญา แต่เนื่องจากข้อเสนอซองที่ ๓ ดังกล่าว ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนและอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินโครงการในอนาคต ดังนั้น ในชั้นนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงเห็นว่าไม่ควรนำข้อเสนอดังกล่าวมากำหนดไว้เป็นเอกสารแนบท้ายของร่างสัญญาร่วมลงทุน ไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงร่างสัญญาร่วมลงทุน โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17733 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. .... | อก | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับประเด็นข้อสังเกตเกี่ยวกับการบริหารจัดการแร่ก่อนส่งออกนอกราชอาณาจักร และการกำหนดมาตรการทางภาษีการส่งออกแร่ไปนอกราชอาณาจักร ไปเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ เพื่อเป็นข้อมูลการกำหนดยุทธศาสตร์ในการจัดทำแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ต่อไป รวมทั้งร่วมกันพิจารณาออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อให้ได้ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในด้านที่เกี่ยวข้องและมีความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่อย่างแท้จริง และร่วมกันพิจารณาทบทวนคำสั่งที่มีผลเป็นการใช้บังคับเป็นการทั่วไปให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สำหรับการกำกับดูแลการสำรวจและการทำเหมืองเพื่อให้มีอัตรากำลังเจ้าหน้าที่อย่างเพียงพอหรือนำเทคโนโลยีมาใช้ในการกำกับดูแล และการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมที่ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละช่วง รวมถึงอนุบัญญัติที่จะออกตามความในพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งควรจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน นั้น กระทรวงอุตสาหกรรมรับข้อสังเกตดังกล่าวไปดำเนินการ ทั้งนี้ พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๐ แล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17734 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. .... | ดศ | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจแสะสังคม พ.ศ. .... โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ดำเนินการยกร่างระเบียบการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และดำเนินการปรับโครงสร้างของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อรองรับกับภารกิจ อำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ รวมทั้งได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาทบทวนแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมอีกครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ตลอดจนได้มีการประสานแจ้งสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนมีการยุบเลิกสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) แล้ว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17735 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. .... | สว | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้แก้ไขชื่อร่างพระราชบัญญัติจากเดิมชื่อ “ร่างพระราชบัญญัติการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. ....” แก้ไขเป็น “ร่างพระราชบัญญัติการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. ....” แก้ไขคำปรารภและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัตินี้ และมีข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำหนดวิธีการและข้อกำหนดปฏิบัติให้ทันกับการบังคับใช้ การแจ้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องและจำเป็นให้แก่ผู้ได้รับความเสียหาย และการศึกษาความเป็นไปได้ในการออกกฎหมายเพื่อปฏิบัติตามสนธิสัญญา อนุสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ โดยนำเอาสนธิสัญญา อนุสัญญาที่เป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษมากำหนดไว้เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมาย และเพิ่มเติมเฉพาะการกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหรืออื่น ๆ เท่าที่จำเป็น ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17736 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งเพื่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน พ.ศ. .... | สว | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งเพื่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้แก้ไขชื่อร่างพระราชบัญญัติจากเดิมชื่อ “ร่างพระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งเพื่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน พ.ศ. ....” แก้ไขเป็น “ร่างพระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. ....” และเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดวิธีการปฏิบัติให้ทันกับร่างพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ เช่น การออกข้อกำหนดของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ และการออกกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามร่างพระราชบัญญัตินี้ นอกจากนี้ กรมเจ้าท่าในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัตินี้และทำหน้าที่ประสานงานกับกองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน ควรจะต้องแจ้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องและจำเป็นให้แก่ผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษได้ทราบถึงสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17737 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การพัฒนาวิถีชีวิตเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืนของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาวิถีชีวิตเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พิจารณาแล้วเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แต่จะต้องมีการประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานเพื่อให้การดำเนินการมีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17738 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ลักษณะ 2 การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง) | สว | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ลักษณะ ๒ การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง) ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกตเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งควรเร่งรัดประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการบังคับคดีที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมใหม่ให้บุคลกรในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษาและลูกหนี้ตามคำพิพากษา และควรให้หน่วยงานผู้บังคับใช้กฎหมายได้ตรวจสอบกฎกระทรวง ระเบียบ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องว่ามีบทบัญญัติใดขัดหรือแย้งกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้หรือไม่ หากมีควรแก้ไขให้สอดคล้องกัน อีกทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างมาตรา ๓๑๑ ที่กำหนดให้การบังคับคดีสามารถยึดสิทธิของลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามใบอนุญาตประทานบัตร อาชญาบัตร สัมปทาน หรือสิทธิอย่างอื่นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา การที่บุคคลใดจะได้รับอนุญาตประทานบัตร หรือสิทธิอย่างอื่นดังกล่าวมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการรับอนุญาตในเรื่องนั้นโดยเฉพาะในการบังคับคดีดังกล่าว กรมบังคับคดีควรกำหนดแนวปฏิบัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีตรวจสอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการ และข้อสังเกตกรณีผู้ประกันผิดสัญญาปล่อยชั่วคราวไม่ส่งตัวจำเลยต่อศาลตามกำหนดต้องมีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๑๙ และการบังคับคดีกรณีผู้ต้องโทษปรับที่ไม่ชำระค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙/๑ เป็นมาตรการบังคับในทางอาญา ซึ่งกฎหมายปัจจุบันให้นำกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ ยังไม่มีประสิทธิภาพ ควรแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดให้เจ้าพนักงานศาลที่ได้รับแต่งตั้งและพนักงานอัยการมีสิทธิในลักษณะเดียวกับผู้ทรงสิทธิตามมาตรา ๓๒๔ (๔) และข้อสังเกตเกี่ยวกับการสนับสนุนอัตรากำลัง งบประมาณ และค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับภารกิจตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ให้แก่กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ลักษณะ ๒ การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง) เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลปกครอง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17739 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยกำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา รวมทั้งสีประจำสาขาวิชาของสาขาวิชาอุตสาหกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17740 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตำบลบ้านเหล่า อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... | มท | 09/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลบ้านเหล่า อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... สาระสำคัญเป็นการถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลบ้านเหล่า อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เพื่อมอบหมายให้องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเหล่าใช้เป็นที่ตั้งอาคารศูนย์ปฏิบัติธรรม มิราเคิล ออฟไลฟ์ ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|