ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 811 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 16201 - 16220 จากข้อมูลทั้งหมด 124270 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16201 | ขออนุมัติโครงการสนับสนุนนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระยะที่ 4 | วท | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินงานโครงการสนับสนุนนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระยะที่ ๔ จำนวน ๑,๕๐๐ ทุน (ต่างประเทศ ๑,๔๐๐ ทุน และในประเทศ ๑๐๐ ทุน) ระยะเวลาดำเนินการ ๑๕ ปี (ตั้งแต่ปี ๒๕๖๑-๒๕๗๕) งบประมาณรวม ๑๑,๐๙๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการเพิ่มสัดส่วนการให้ทุนในระดับปริญญาตรี เพื่อให้ผู้รับทุนสามารถกลับมาปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็วขึ้นด้วย สำหรับงบประมาณที่จะใช้ดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจัดทำรายละเอียดแผนการจัดส่งนักเรียนทุนรัฐบาลพร้อมรายละเอียดแผนการใช้จ่ายจริง โดยเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละปี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาที่เห็นควรระบุสาขาที่ต้องการส่งเสริมให้ชัดเจน และควรนำผลการดำเนินงานที่ผ่านมาทั้งหมดมาวิเคราะห์และปรับปรุงระบบติดตามการปฏิบัติตามสัญญาของนักเรียนทุนเพื่อป้องกันการผิดสัญญาของนักเรียนทุน รวมทั้งควรระบุรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงบประมาณและระยะเวลาดำเนินงานโครงการฯ ๑๕ ปี ให้ชัดเจน โดยเฉพาะงบประมาณในช่วง ๕ ปีหลัง นอกจากนี้ ควรพัฒนาผลงานวิจัยให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ทางวิชาการที่ตอบสนองกับความต้องการของประเทศและพัฒนาต่อยอดเพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณากำหนดเงื่อนไขในการรับทุนการศึกษาให้มีความชัดเจนและเหมาะสม โดยเน้นให้ผู้รับทุนให้ความสำคัญกับการกลับมาปฏิบัติงานจริงในหน่วยงานภาครัฐภายหลังจากจบการศึกษา รวมถึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อผูกพันต่าง ๆ ในการรับทุนการศึกษาดังกล่าวอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16202 | ขอความเห็นชอบต่อร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชากับศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการเป็นเจ้าบ้าน และการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน และร่างแผนงานของศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน ประจำปี ค.ศ. 2017 - 2018 | กต | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชากับศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการเป็นเจ้าบ้าน และการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน [Agreement between the Government of The Kingdom of Cambodia and The ASEAN Regional Mine Action Center (ARMAC) on Hosting and Granting Privileges and Immunities to the ARMAC] และแผนงานของศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน ปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ (ASEAN Regional Mine Action Centre Work Plan 2017-2018) โดยร่างความตกลงฯ เป็นการกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของ ARMAC และกัมพูชาในฐานะประเทศเจ้าบ้าน เช่น ARMAC จะต้องดำเนินการตามกฎหมายและกฎระเบียบของกัมพูชา โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบในการดูแลรักษาสถานที่ทำการ การชำระค่าใช้จ่ายการให้บริการด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ การบริหารจัดการกองทุนและงบประมาณ และการบริหารจัดการบุคลากรของสำนักงาน เป็นต้น ส่วนกัมพูชาจะต้องให้ ARMAC มีสถานะเท่าเทียมกับหน่วยงานภาครัฐของกัมพูชา การอำนวยความสะดวกด้านสาธารณูปโภค และการรักษาความปลอดภัยตามแนวปฏิบัติเดียวกันกับที่กัมพูชาให้แก่สำนักงานผู้แทนทางการทูตหรือองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ รวมทั้งการให้เอกสิทธิ์และการคุ้มกัน การยกเว้นภาษีสังหาริมทรัพย์ และบุคลากรต่างชาติที่ปฏิบัติหน้าที่ใน ARMAC ในส่วนของแผนงานฯ เป็นเอกสารที่ระบุเป้าหมายและโครงการดำเนินงานของ ARMAC เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้อำนวยการบริหาร ARMAC สามารถดำเนินการตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ให้ประธานคณะกรรมการบริหาร ARMAC หรือผู้แทนของ ARMAC ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหาร ARMAC เป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ (ความตกลงฯ ยังไม่ได้กำหนดวันที่จะลงนาม)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16203 | รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 และรายงานการประเมินสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร12 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และให้องค์การมหาชนรายงานผลการดำเนินงานที่แสดงให้เห็นถึงการบรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้ง และมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือทางสังคมที่เป็นผลลัพธ์ขององค์กร และรับทราบรายงานการประเมินสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานผลการประเมินองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑๕ แห่ง มีค่าคะแนนเฉลี่ยในภาพรวม ๔.๒๙๙๕ คะแนน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย (ค่าคะแนนมากกว่า ๓.๐๐ คะแนนขึ้นไป) (และลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนซึ่งคะแนนอยู่ที่ ๔.๓๓๙๘ คะแนน) ทั้งนี้ กพม. มีข้อสังเกตว่า องค์การมหาชนควรกำหนดตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับเป้าหมาย วิสัยทัศน์ ภารกิจ และวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์กร บริบทสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี นวัตกรรม การแข่งขันทางธุรกิจ เป็นต้น รวมถึงควรสะท้อนถึงผลลัพธ์และผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม ให้ชัดเจนด้วย ๒. รายงานการประเมิน สกสค. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ผลคะแนนโดยรวมของ สกสค. อยู่ที่ระดับคะแนน ๓.๔๕๘๑ ดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ (ระดับคะแนน ๓.๐ คะแนน) และมีค่าคะแนนสูงกว่าผลการประเมินเฉลี่ยย้อนหลัง ๓ ปีเล็กน้อย (ค่าเฉลี่ยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ เท่ากับ ๓.๓๗๕๗ คะแนน) ทั้งนี้ กพม. มีข้อสังเกตว่า สกสค. ควรมอบหน่วยงานภายในหรือแต่งตั้งคณะทำงานรับผิดชอบการดำเนินการตามตัวชี้วัดเพื่อผลักดันให้มีการดำเนินการตามตัวชี้วัดเกิดเป็นรูปธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16204 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด ประจำปี พ.ศ. 2560 | นร01 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ก.ธ.จ. ทั้ง ๗๖ คณะ/จังหวัด ได้สอดส่องแผนงาน/โครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนงาน/โครงการของส่วนราชการในจังหวัด รวมทั้งการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐในจังหวัด รวมจำนวน ๑,๐๙๑ แผนงาน/โครงการ พบว่า มีโครงการไม่เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี จำนวน ๓๔๐ โครงการ ซึ่ง ก.ธ.จ. มีมติเป็นข้อเสนอแนะ จำนวน ๔๖๐ ข้อ โดยจังหวัด/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะไปดำเนินการแล้ว จำนวน ๑๘๑ ข้อ หรือคิดเป็นร้อยละ ๓๙.๓๔ ๒. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินงานของ ก.ธ.จ. ได้แก่ (๑) การประสานงานเพื่อส่งข้อมูลการสอดส่องแผนงาน/โครงการ หรือเรื่องร้องเรียน (กรณีเร่งด่วน) ระหว่างประธาน เลขานุการ กรรมการ ก.ธ.จ. ในแต่ละคณะ/จังหวัด มีความล่าช้า ทำให้ขาดความคล่องตัวในการดำเนินงาน (๒) การเบิกค่าใช้จ่ายในการประชุมนอกรอบ/ลงพื้นที่สอดส่องของ ก.ธ.จ. มีความล่าช้า เนื่องจากเอกสารการเบิกค่าใช้จ่ายมีความยุ่งยากและซับซ้อน และ (๓) ก.ธ.จ. ขาดความรู้ความเข้าใจในเทคนิคการสอดส่องแผนงาน/โครงการ ทำให้การสอดส่องและการให้คำแนะนำแก่หน่วยงานรับตรวจไม่มีประสิทธิภาพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16205 | ร่างพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และข้อเสนอการปรับโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | นร11 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ และปรับบทบาทหน้าที่ กระบวนการทำงาน และโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เกี่ยวกับชื่อ “สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาความเหมาะสมของชื่อในชั้นการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป และความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ เช่น ควรให้คงหลักการเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ตามมาตรา ๑๒ (๔) และมาตรา ๑๒ (๕) แห่งพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณางบลงทุนของภาครัฐไว้ และหากมีความจำเป็นต้องมอบหมายหรือโอนภารกิจตามมาตรา ๑๒ (๔) และ (๕) แห่งพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่น เห็นควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๓. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. เห็นชอบให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ๕. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการแบ่งส่วนราชการตามข้อเสนอดังกล่าว ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป และควรมีการบริหารและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้มีกระบวนทัศน์ (Paradigm) ที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับการยึดประโยชน์ส่วนรวม และให้องค์กรก้าวไปสู่การเป็นหน่วยงานความรู้สมัยใหม่ เพื่อผลักดันการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16206 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการมีบุตร) | กค | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ปรับเพิ่มค่าลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่คนที่ ๒ เป็นต้นไป ของผู้มีเงินได้หรือของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ซี่งเกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป โดยให้หักลดหย่อนได้เพิ่มอีก ๓๐,๐๐๐ บาทต่อคนต่อปีภาษี และให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่จะต้องยื่นรายได้ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้มีเงินได้หรือคู่สมรสสามารถนำค่าฝากครรภ์หรือค่าคลอดบุตรไปหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริงสำหรับการตั้งครรภ์แต่ละคราว แต่ไม่เกิน ๖๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินมาตรการให้สอดคล้องกับลักษณะโครงสร้างประชากรของประเทศไทย เนื่องจากมาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการสูญเสียรายได้ภาครัฐเป็นจำนวนมากในแต่ละปี และมีมาตรการรองรับในเรื่องของการเลี้ยงดูและปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีให้กับเด็กที่เกิดในครอบครัวเดี่ยว เพื่อให้เติบโตเป็นประชากรวัยแรงงานที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง รวมทั้งรวบรวมมาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ตลอดจนติดตามประเมินผลกระทบต่อฐานะทางการคลังที่เกิดขึ้นจริงจากมาตรการต่าง ๆ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16207 | การปรับเปลี่ยนแหล่งเงินโครงการลงทุนและการขอกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของกระทรวงการคลังให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ปรับเปลี่ยนแหล่งเงินการลงทุนจากแหล่งเงินรายได้เป็นแหล่งเงินกู้ในประเทศทดแทนในโครงการลงทุนภายใต้งบลงทุน จำนวน ๕ โครงการ วงเงิน ๒,๙๒๓.๙๑๓ ล้านบาท และให้ กปภ. พิจารณาใช้เงินรายได้เพื่อลงทุนโครงการย่อยภายใต้งบดำเนินงานปกติ จำนวน ๗ โครงการ เป็นลำดับแรก หาก กปภ. จำเป็นต้องกู้เงิน ให้ดำเนินการกู้เงินเป็นรายปีตามความจำเป็น โดยต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการกู้เงินและได้รับการบรรจุวงเงินในแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ นอกจากนี้ ให้ กปภ. กู้เงินระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องในรูปแบบ Credit Line จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งวงเงินดังกล่าวได้รับการบรรจุในแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ครั้งที่ ๒ เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ กปภ. จะกู้เงินได้ต่อเมื่อ กปภ. ได้รับอนุมัติการกู้เงินจากคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ๒. ให้ กปภ. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ กปภ. เบิกจ่ายเงินกู้เท่าที่จำเป็น โดยให้สอดคล้องกับความพร้อมและความก้าวหน้าของโครงการ รวมทั้งพิจารณาเครื่องมือเงินกู้ที่สอดคล้องกับการใช้เงินเพื่อลดต้นทุนการกู้เงิน และ ควรหารือปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานที่ทำให้ กปภ. มีความไม่แน่นอนทางรายได้ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางแก้ไขนอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนแหล่งเงินลงทุนโครงการจากเงินรายได้เป็นเงินกู้เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ กปภ. ควรเร่งรัดดำเนินการลงทุนที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การลงทุนเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะการลงทุนโครงการ เนื่องจากหลายโครงการใกล้ครบกำหนดระยะเวลาในการลงทุนแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16208 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน เขตอำนาจ และวันเปิดทำการของศาลแขวง ในจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... (กำหนดวันเปิดทำการศาลแขวงภูเก็ต วันที่ 1 เมษายน 2561) | ศย | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน เขตอำนาจ และวันเปิดทำการของศาลแขวง ในจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีศาลแขวงภูเก็ต โดยมีเขตอำนาจในอำเภอทุกอำเภอ และให้เปิดทำการตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16209 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ พ.ศ. .... | คค | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงมาตรการการขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันให้ครอบคลุมถึงเคมีภัณฑ์ สารอันตราย และสารพิษ รวมทั้งเยียวยาความเสียหายให้แก่บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดนโยบายและแผนจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ของคณะกรรมการจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ และแผนปฏิบัติการตามร่างระเบียบฯ ให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และควรกำหนดให้ชัดเจนว่า เมื่อมีมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์เป็นสาธารณภัย ผู้มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้น ให้หน่วยปฏิบัติการและหน่วยสนับสนุนที่เป็นหน่วยงานของรัฐปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ในโอกาสแรกก่อน และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป นอกจากนี้ ควรให้มีการรับฟังความคิดเห็นของชุมชนและบุคคลที่อาศัยอยู่ริมน้ำได้มีส่วนร่วมในการจัดการมลพิษทางน้ำและบำรุงรักษาทรัพยากรน้ำ รวมถึงกำหนดให้มีผู้แทนของเอกชนหรือองค์กรเอกชนเป็นกรรมการในคณะกรรมการฯ ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการการขจัดคราบน้ำมัน น้ำมันรั่ว ให้มีประสิทธิภาพ และรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16210 | ขออนุมัติโครงการศูนย์บูรณาการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และงบประมาณสนับสนุน | อื่นๆ | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สภากาชาดไทยดำเนินโครงการศูนย์บูรณาการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกส่วนขยาย (อาคารศูนย์บูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข) ขนาดความสูง ๑๓ ชั้น ชั้นใต้ดิน ๔ ชั้น พื้นที่ใช้สอย ๔๐,๒๙๐ ตารางเมตร ระยะเวลาดำเนินการก่อสร้างระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕ โดยอาคารดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มพื้นที่และเชื่อมโยงการให้บริการผู้ป่วยนอกกับอาคารผู้ป่วยนอกเดิม (อาคาร ภปร.) ที่ไม่สามารถรองรับการให้บริการประชาชนได้เพียงพอในปัจจุบัน สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว วงเงิน ๒,๔๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย ค่าก่อสร้างศูนย์บูรณาการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข จำนวน ๒,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค่าควบคุมงาน จำนวน ๑๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๙๓๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และเงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๔๘๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในสัดส่วนเงินงบประมาณ : เงินนอกงบประมาณ เท่ากับ ๘๐ : ๒๐ โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สภากาชาดไทยเตรียมการดำเนินการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการก่อสร้างศูนย์บูรณาการดังกล่าว เช่น ปัญหาการจราจร ความปลอดภัยในระหว่างการก่อสร้าง ปัญหาการอำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ผู้ป่วย เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16211 | แนวทางการจัดทำแผนงาน/โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง | ทส | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการจัดทำแผนงาน/โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ที่คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ มีมติเห็นชอบแล้ว ซึ่งประกอบด้วย ๔ แนวทาง คือ (๑) การปรับสมดุลชายฝั่งโดยธรรมชาติ (๒) การป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง (๓) การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และ (๔) การฟื้นฟูเสถียรภาพชายฝั่ง และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทยต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เร่งการจัดทำแผนแม่บทในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะกลางในลักษณะบูรณาการเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแนวทางการปฏิรูประบบการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งดำเนินการเชิงรุกในการเผยแพร่แนวทางการจัดทำงานแผนงาน/โครงการฯ และขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประสานให้คำแนะนำแก่จังหวัด กลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องบูรณาการจัดทำแผนแม่บทการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยให้จัดทำเป็นแผนงาน/โครงการให้มีความชัดเจน จัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่จะดำเนินการ โดยให้เริ่มดำเนินการในพื้นที่ที่ประชาชนให้ความร่วมมือและไม่มีปัญหาข้อคัดค้านใด ๆ ก่อนเป็นลำดับแรก ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนงาน/โครงการเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งดังกล่าว ให้ส่วนราชการเจ้าของแผนงาน/โครงการพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16212 | โครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย - เมียนมา | ยธ | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย-เมียนมา ในห้วง ๕ ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ซึ่งเกิดผลสัมฤทธิ์เชิงประจักษ์ ได้แก่ การพัฒนาด้านสาธารณสุข การพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างความมั่นคงทางอาหาร ลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ และการพัฒนาการศึกษาและศักยภาพของคนในพื้นที่ ๑.๒ อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ใช้งบประมาณเหลือจ่ายจากงบเงินอุดหนุน หมวดเงินอุดหนุนทั่วไป เงินอุดหนุนโครงการพัฒนาทางเลือกในประเทศเพื่อนบ้าน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับโครงการฯ ระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๑) ในกรอบงบประมาณจำนวน ๖,๖๒๒,๒๐๐ บาท เพื่อนำไปดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่หนองตะยา อำเภอพินเลา จังหวัดตองตี รัฐฉานตอนใต้ และพื้นที่ทางตอนเหนือของท่าขี้เหล็ก อำเภอท่าขี้เหล็ก จังหวัดท่าขี้เหล็ก รัฐฉานตะวันออก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ๑.๓ รับทราบการใช้งบประมาณเหลือจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของสำนักงาน ป.ป.ส. โดยการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่าย ภายใต้แผนงานบูรณาการการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด งบเงินอุดหนุน หมวดเงินอุดหนุนทั่วไป เงินอุดหนุนโครงการพัฒนาทางเลือกในประเทศเพื่อนบาน สำหรับโครงการฯ ระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๑) เป็นงบเงินอุดหนุน หมวดเงินอุดหนุนโครงการพัฒนาทางเลือกในประเทศไทย กรอบวงเงินจำนวน ๒๓,๑๑๓,๘๐๐ บาท เพื่อนำไปดำเนินโครงการร้อยใจรักษ์ในพื้นที่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย-เมียนมา ในพื้นที่หนองตะยา อำเภอพินเลา จังหวัดตองยี รัฐฉานตอนใต้ และพื้นที่ทางตอนเหนือของท่าขี้เหล็ก อำเภอท่าขี้เหล็ก จังหวัดท่าขี้เหล็ก รัฐฉานตะวันออก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และโครงการร้อยใจรักษ์ในพื้นที่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กรอบวงเงินจำนวน ๒๙,๗๓๖,๐๐๐ บาท เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ แผนงานบูรณาการป้องกัน ปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด โครงการปราบปรามยาเสพติด รายการเงินอุดหนุนโครงการพัฒนาทางเลือกในประเทศเพื่อนบ้าน ที่เหลือจ่ายจากการดำเนินงานที่บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายโครงการแล้ว โดยให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายสำหรับแผนงานบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๔๙ และขอทำความตกลงในรายละเอียดด้านงบประมาณกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นว่า พื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการฯ ในเมียนมาส่วนใหญ่อยู่ในเขตอิทธิพลของกลุ่มผู้ผลิตและค้ายาเสพติด จึงอาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานและส่งผลต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ฝ่ายไทยและเมียนมาจึงควรได้หารือเพื่อกำหนดมาตรการหรือแนวทางที่เกี่ยวข้องเพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ด้วย และฝ่ายเมียนมาควรเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้เกิดความชัดเจน โดยเฉพาะวัตถุประสงค์ และเป้าหมายของโครงการฯ รวมถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16213 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 2/2560 | นร11 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของ กนพ. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนพ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ลงทุนและการปรับปรุงเงื่อนไขเสนอการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก กาญจนบุรี นครพนม มุกดาหาร และหนองคาย มอบหมายให้กรมธนารักษ์ปรับปรุงรายละเอียดการสรรหาและคัดเลือกผู้ลงทุน รวมทั้งให้กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาทบทวนมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ๑.๒ มาตรการเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเฉพาะในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก กาญจนบุรี นครพนม มุกดาหาร และหนองคาย เป็นเวลา ๒ ปี หากมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ ของเงินลงทุนในปีที่ ๑ และยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเป็นเวลา ๑ ปี หากมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ ของเงินลงทุนในปีที่ ๒ ของรอบปีที่สัญญาเช่า เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการให้สิทธิประโยชน์ภายในปี ๒๕๖๓ ๑.๓ การบริหารจัดการที่ดินราชพัสดุที่ได้ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๗/๒๕๕๘ และที่ ๓๔/๒๕๕๙ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (๑) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการแลกเปลี่ยนที่ดินราชพัสดุกับที่ดินเอกชน เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการเช่าที่ดินราชพัสดุ ชดใช้เงินแทนการแลกเปลี่ยนที่ดินราชพัสดุ และเห็นชอบให้กรมศุลกากรใช้ที่ดินราชพัสดุ เนื้อที่ประมาณ ๑๒๐ ไร่ เพื่อก่อสร้างด่านศุลกากรแม่สอด แห่งที่ ๒ จังหวัดตาก และ (๒) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนม เห็นชอบให้กันที่ดินราชพัสดุ แปลงที่ ๑ บางส่วน เพื่อคงไว้ตามสภาพเดิม และมอบหมายให้กรมธนารักษ์ดำเนินการเปิดประมูลให้เอกชนเช่าต่อไป ๑.๔ การพิจารณาจัดซื้อที่ดินเอกชนเพื่อจัดตั้งโครงการนิยมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส โดยมอบหมายการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประเมินความเหมาะสมและคุ้มค่าในการลงทุน ทั้งด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ และมอบหมายคณะอนุกรรมการด้านการจัดหาที่ดินและบริหารจัดการเสนอแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินสำหรับจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว ๑.๕ แผนงานด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกำหนดจุดเน้นการพัฒนาของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจน เพื่อนำไปใช้ประกอบการจัดทำแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่อไป ๑.๖ แนวทางการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในระยะต่อไป มอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์ กำหนดพื้นที่ และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน พิจารณากำหนดมาตรการและสิทธิประโยชน์ เพื่อส่งเสริมการลงทุนตามจุดเน้นการพัฒนาในพื้นที่ศักยภาพการลงทุนสูงในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก สงขลา สระแก้ว และมุกดาหาร รวมทั้งการสนับสนุนการลงทุนของ SMEs และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงาน รวมถึงเร่งรัดการดำเนินโครงการและมาตรการสำคัญใน ๑๐ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้แล้วเสร็จ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามผลการประชุมฯ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงบประมาณ เช่น การเตรียมความพร้อมตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินงานเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมถึงเร่งดำเนินการโครงการ/รายการต่าง ๆ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้ว ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการสนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุนดำเนินการในกิจการที่พักอาศัยของแรงงานที่จะเข้าไปทำงานในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และให้กระทรวงการคลังรายงานความก้าวหน้าในเรื่องนี้ให้ กนพ. ทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16214 | การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาเดลี สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ในโอกาสครบรอบ 25 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - อินเดีย (Delhi Declaration of the ASEAN-India Commemorative Summit to Mark the 25th Anniversary of the ASEAN-India Dialogue Relations) | กต | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาเดลีสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ในโอกาสครบรอบ ๒๕ ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย (Delhi Declaration of the ASEAN-India Commemorative Summit to Mark the 25th Anniversary of the ASEAN-India Dialogue Relations) ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๑ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย โดยร่างปฏิญญาเดลีมีสาระสำคัญในการสนับสนุนให้อาเซียนทำงานร่วมกับอินเดียในประเด็นความมั่นคงในภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยให้มีสถาปัตยกรรมในภูมิภาคที่เปิดกว้าง โปร่งใส ครอบคลุม และอยู่บนพื้นฐานของกฎระเบียบ ผ่านกรอบและกลไกที่อาเซียนมีบทบาทนำ อีกทั้งยังสนับสนุนให้เสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและอินเดีย ผ่านการใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย รวมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมโยงเชิงอารยธรรมและประวัติศาสตร์ระหว่างกัน ด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชนให้มากขึ้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16215 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วม โครงการ Our Eyes Initiative | กห | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมโครงการ Our Eyes Initiative มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบความร่วมมือด้านการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายในภูมิภาคระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยจะมีการจัดตั้งกลไกเพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจากการก่อการร้าย และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการก่อการร้าย ลัทธินิยมความรุนแรง และสิทธิสุดโต่ง และมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ในช่วงการประชุมโครงการ Our Eyes Initiative ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ มกราคม ๒๕๖๑ ณ เกาะเบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16216 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2561 | นร10 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๑ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และได้มีข้อสั่งการมอบหมายให้คณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น (๑) การปรับปรุงกฎหมาย (๒) การปรับปรุงโครงสร้างของกระทรวงให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ และ (๓) การให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน เป็นต้น เพื่อการติดตามและประเมินผลปฏิบัติราชการของหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16217 | การบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย | รง | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๑.๑ อนุมัติการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าว (สัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา) ทำงานในประเทศไทย ตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ใน ๓ กรณี ดังนี้ ๑.๑.๑ กรณีที่ ๑ : แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา ที่ทำงานในกิจการประมงทะเล และกิจการแปรรูปสัตว์น้ำ กลุ่มที่ยังไม่ได้พิสูจน์สัญชาติ ผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ เพื่อพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ เมื่อผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วจะตรวจลงตรา (Visa) ประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานถึงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ๑.๑.๒ กรณีที่ ๒ : แรงงานต่างด้าวที่ถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ และกรณีที่ ๓ : แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา ที่ได้ดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๓/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการชั่วคราวเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่ผ่านการคัดกรองความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้าง โดยแยกการผ่อนผัน เป็น ๒ กลุ่ม (๑) กลุ่มที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วควรผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานโดยตรวจลงตรา (Visa) ประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ (๒) กลุ่มที่ยังไม่ได้พิสูจน์สัญชาติ ควรผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ เพื่อพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ เมื่อผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วจะตรวจลงตรา (Visa) ประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ๑.๒ ให้ทุกจังหวัดรวมทั้งกรุงเทพมหานครดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อการจัดทำฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวให้มีเอกภาพเป็นฐานเดียวกัน ชื่อว่า “คณะกรรมการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยจังหวัด...” โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย เป็นประธาน และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับจังหวัดเป็นกรรมการ เช่น กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร โดยมีจัดหางานจังหวัด เป็นกรรมการและเลขานุการ ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัด กรณีกรุงเทพมหานคร ให้อธิบดีกรมการจัดหางาน หรือผู้ที่อธิบดีกรมการจัดหางานมอบหมาย เป็นประธาน ผู้อำนวยการสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน เป็นกรรมการและเลขานุการ ภายใต้การกำกับดูแลของอธิบดีกรมการจัดหางาน โดยมีอำนาจหน้าที่ในการจัดตั้งและกำกับดูแลการดำเนินการของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กำกับดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับศูนย์พิสูจน์สัญชาติของประเทศต้นทาง และจัดทำฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวในจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ๑.๓ ให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรให้กับแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา ที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเพื่อการทำงาน โดยกำหนดให้ด้านหลังบัตรมีข้อมูลการอนุญาตทำงาน และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ตามที่ได้รับการประสานจากกระทรวงแรงงาน ให้มีอำนาจในการกำหนดเลขประจำตัว ๑๓ หลักให้กับแรงงานต่างด้าวดังกล่าว และให้กรมการปกครองเปิดระบบเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อดำเนินการต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงแรงงาน กรมการจัดหางาน เป็นหน่วยงานหลักในการวางระบบสารสนเทศเพื่อการจัดระบบฐานข้อมูลของแรงงานต่างด้าว โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณ เช่น การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวและการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศไทย ควรประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและสถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าวรับทราบถึงแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนตามอำนาจหน้าที่ กระบวนการดำเนินการ รวมทั้งขอบเขตของระยะเวลาอย่างถูกต้อง และการจัดทำฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวให้มีเอกภาพเป็นฐานเดียวกัน ควรเร่งรัดให้มีความเป็นรูปธรรมและชัดเจน เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดการดำเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามให้แล้วเสร็จ และเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16218 | แนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่สอดคล้องกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และนโยบายสำคัญของรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเฉพาะโครงการ/รายการที่มีความพร้อมสามารถดำเนินการภายในปีงบประมาณ ๑.๒ เห็นชอบปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑.๓ อนุมัติให้คำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติราชการประจำปี ๑.๔ อนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ พ.ศ. .... เป็นเรื่องด่วนและแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรง เพื่อให้สำนักงบประมาณจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติฯ และเอกสารงบประมาณเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันอังคารที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑ เพื่อเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16219 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | นร07 | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๒ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๓ การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16220 | ขอรับโอนข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายจิตติ สุวรรณิก) | นร | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน นายจิตติ สุวรรณิก ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง (นักบริหารการทูตระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการต่างประเทศ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๕๗ (๒) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ
|
.....