ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 596 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 11901 - 11920 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11901 | ขอความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล ค.ศ. 1989 | คค | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล ค.ศ. ๑๙๘๙ โดยขอตั้งข้อสงวนตามข้อ ๓๐ (เอ) ในเรื่องขอบเขตการใช้บังคับให้อนุสัญญาฯ ไม่ใช้บังคับบริเวณน่านน้ำภายในของประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๕ (๑) ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล พ.ศ. ๒๕๕๐ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการยื่นตราสารการภาคยานุวัติ (Instrument of Accession) อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล ค.ศ. ๑๙๘๙ ต่อเลขาธิการองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ ตามข้อ ๒๘ ของอนุสัญญาฯ ต่อไป หลังจากที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีตามข้อ ๑ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11902 | ขอสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ทหารผ่านศึก | กห | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอปรับเพิ่มสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้ที่ได้สิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าอยู่เดิม ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น ๒๗,๓๐๗ ราย จากเดิม ครอบครัวละ ๔๕ หน่วยต่อเดือน เป็น ครอบครัวละ ๕๐ หน่วยต่อเดือน และให้กระทรวงกลาโหมกำกับดูแลองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในการดำเนินการดังกล่าวด้วยความรอบคอบ ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. สำหรับการขอสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ ๒ หรือเหรียญราชการชายแดน หรือเหรียญอื่นที่เทียบเท่า ที่มีคุณสมบัติเป็นทหารผ่านศึก และได้รับบัตรประจำตัวทหารผ่านศึกนอกประจำการ บัตรชั้นที่ ๓ จำนวน ๑๐๒,๐๐๐ ราย นั้น ให้กระทรวงกลาโหม โดยองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกพิจารณาการจัดลำดับหรือกลุ่มผู้ถือบัตรตามฐานรายได้ที่ได้รับในการให้สิทธิพิเศษดังกล่าว เช่น กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี การพิจารณาแหล่งเงินขององค์การทหารผ่านศึกที่สามารถนำมาใช้จ่ายได้ และงบประมาณที่ได้รับอุดหนุนจากรัฐบาลในภาพรวม ความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันของหน่วยงาน เพื่อไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณมากจนเกินไป ตามนัยมาตรา ๑๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11903 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีกรณีการชดเชยส่วนต่างจากการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | กค | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ และวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ ที่ต้องการให้รัฐบาลชดเชยส่วนต่างที่เกิดจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าโดยใช้ปาล์มน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า โดยไม่ส่งผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน และเพื่อไม่ให้เป็นภาระสะสมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยให้กระทรวงพลังงานเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า กรอบวงเงิน ๒,๐๒๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท แทนการปรับลดเงินรายได้นำส่งเข้ารัฐ หรือการบันทึกบัญชีเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (PSA) โดยไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถส่งผ่านไปยังค่าไฟผันแปร (Ft) ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้เดิม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงพลังงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามผลการดำเนินการตามมาตรการปรับสมดุลปาล์มในประเทศ เพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เพิ่มเติมในส่วนที่อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อชดเชยส่วนต่างดังกล่าวให้กระทรวงพาณิชย์ กรอบวงเงิน ๕๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เบิกจ่ายงบประมาณให้กับ กฟผ. แล้ว จำนวน ๘๘,๐๘๙,๙๕๓.๔๕ บาท โดยแก้ไขเป็นให้กระทรวงพลังงานเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณในส่วนที่เหลือ เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณตรงตามภารกิจของหน่วยงานและสอดคล้องกับข้อเสนอของกระทรวงการคลังในครั้งนี้ ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะต้องคำนึงถึงความครอบคลุมงบประมาณ ศักยภาพ และความสามารถในการบริหารจัดการของ กฟผ. ด้วย เพื่อมิให้เป็นภาระต่อภาพรวมของงบประมาณภาครัฐ โดยการดำเนินการภายใต้มาตรการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายให้ถูกต้องครบถ้วน มีความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด ไม่ซ้ำซ้อน โดยพิจารณาความเป็นธรรมในสังคม และความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐต่อประโยชน์ส่วนรวมที่จะเกิดขึ้น รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรร่วมกันพิจารณาและกำหนดปริมาณการเพาะปลูกปาล์มน้ำมันให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ในประเทศและปริมาณการส่งออก รวมทั้งควรสนับสนุนให้เกิดการใช้ปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นนอกจากการนำไปใช้ในการผลิตไบโอดีเซล โดยส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำปาล์มน้ำมันไปใช้ประโยชน์และเพิ่มมูลค่ามากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการปรับสมดุลปาล์มในประเทศในระยะต่อไป ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำประมาณการค่าใช้จ่าย แหล่งเงิน และประโยชนที่จะได้รับจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงความเหมาะสม สอดคล้องกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ) วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒) และวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๒ [เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ (แก้ไขเพิ่มเติม)] มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้ประเมินผลการดำเนินมาตรการในช่วงที่ผ่านมา โดยเปรียบเทียบความคุ้มค่าของภาระงบประมาณที่ภาครัฐจะต้องสูญเสียกับประโยชน์ที่เกษตรกรชาวสวนปาล์มจะได้รับเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศเป็นไปด้วยความรอบคอบและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11904 | ขออนุมัติให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย | กษ | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชนที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยใช้ที่ดินถาวร ไม่มีกำหนดระยะเวลา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการฯ ไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดังกล่าวยังมีสถานะเป็นป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินของโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ ผลกระทบต่อต้นทุนที่ใช้ในการคำนวณความคุ้มค่าของโครงการฯ และผลวิเคราะห์ผลตอบแทนด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจส่งผลต่อรูปแบบและแผนงานดำเนินโครงการฯ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เช่น ควรเร่งรัดการพิจารณาเกี่ยวกับค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามแผนงาน และเพื่อให้กรมการขนส่งทางบกสามารถจัดเตรียมแผนบริหารงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11905 | การลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม | กษ | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามอัตราการเรียกเก็บค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้เหลือในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อวิเคราะห์ความคุ้มค่าของการสูญเสียรายได้ของรัฐกับประโยชน์ที่เกษตรกรและประเทศจะได้รับจากการลดหย่อนค่าธรรมเนียมดังกล่าว เพื่อใช้ประกอบการวางแผนการดำเนินงาน รวมทั้งเห็นควรให้เร่งดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานในระยะยาว เพื่อให้สามารถใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้ก่อนที่จะครบกำหนดเวลาที่ระบุในประกาศกระทรวงมหาดไทยที่จะขยายออกไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. อนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มีสาระสำคัญเป็นการขยายกำหนดเวลาใช้บังคับออกไปอีกจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ เพื่อเป็นการลดภาระในการชำระค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ให้แก่เกษตรกรที่ยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์และสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปที่ดิน และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้ตัดการอ้างข้อ ๒ (๗) (ฎ) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ออก ไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11906 | การแต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และผู้ช่วยโฆษกของกระทรวงมหาดไทย (1. นายสมคิด จันทมฤก ฯลฯ) | มท | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และผู้ช่วยโฆษกกระทรวงมหาดไทย รวม ๗ ตำแหน่ง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทย นายสมคิด จันทมฤก เป็นโฆษกกระทรวงมหาดไทย นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป เป็นรองโฆษกกระทรวงมหาดไทย นายทรงกลด สว่างวงศ์ เป็นผู้ช่วยโฆษกกระทรวงมหาดไทย นายชานน วาสิกศิริ เป็นผู้ช่วยโฆษกกระทรวงมหาดไทย ๒. กระทรวงพลังงาน นายวัชระ กรรณิการ์ เป็นโฆษกกระทรวงพลังงาน ๓. กระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว เป็นโฆษกกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ เป็นรองโฆษกกระทรวงยุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11907 | รายงานประจำปี 2561 ของกองทุนยุติธรรม | ยธ | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๑ ของกองทุนยุติธรรม ประกอบด้วย ข้อมูลสถิติด้านการเงิน : ค่าใช้จ่ายในกิจการสำนักงานกองทุนยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ผลการดำเนินงานที่สำคัญของกองทุนยุติธรรม และรายงานการเงินของกองทุนยุติธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ในคราวต่อไปให้กระทรวงยุติธรรม (กองทุนยุติธรรม) เร่งรัดการจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในกรอบระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11908 | รายงานสรุปผลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ประจำปี 2561 | อว | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ประจำปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการตามพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้ดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองประกอบการบังคับใช้ การสรรหาและแต่งตั้งคณะกรรมการ การดำเนินการรับแจ้งและรับคำขอใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๘ การจัดทำระบบการให้บริการแบบออนไลน์ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ และการประกาศนโยบายการกำกับดูแลและส่งเสริมการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ๒. ข้อมูลการดำเนินการในปีงบประมาณ ๒๕๖๑ มีการจดแจ้งสถานที่ดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ จำนวน ๒๙๗ แห่ง จาก ๕๖ องค์กร มีผู้ยื่นขอรับใบอนุญาตใช้สัตว์ จำนวน ๗,๗๙๙ คน และมีการใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์มากว่า ๑,๐๐๐,๐๐๐ ตัว ซึ่งมาจากแหล่งผลิตสัตว์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ๓. ปัญหาและอุปสรรคในปีงบประมาณ ๒๕๖๑ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้โดยสมบุรณ์ สถานที่ดำเนินการต่อสัตว์มีจำนวนมากแต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้มาตรฐาน มีสัตวแพทย์ไม่เพียงพอ และสัตว์ทดลองยังมีปัญหาในด้านคุณภาพ ชนิด และปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการ งานวิจัยที่จะนำไปสู่นวัตกรรมยังมีน้อย อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลยังขาดความเข้มแข็งและบุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์ ๔. การพัฒนาการดำเนินการในระยะต่อไป ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพของสัตว์ทดลอง การส่งเสริมการผลิตสัตว์ทดลองเพื่อทดแทนการนำเข้า การสนับสนุนให้มีหน่วยงานกลางเพื่อตรวจประเมินและรับรองมาตรฐานพันธุกรรมและมาตรฐานสุขภาพ การพัฒนาสถานที่เลี้ยงและใช้สัตว์ให้ได้มาตรฐาน การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาคณะกรรมการกำกับดูแลการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ของสถานที่ดำเนินการ และการสร้างความเข้มแข็งให้หน่วยงานกลางที่กำกับดูแลพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11909 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ | นร01 | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๒ จำนวน ๕ กิจกรรม ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการ “๑ จังหวัด ๑ ถนนเฉลิมพระเกียรติ” ได้มีการจัดพิธีเปิดโครงการพร้อมกันทั่วประเทศ เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โดยกระทรวงมหาดไทยได้ออกแบบป้ายโครงการฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการจิตอาสาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพื่อให้จังหวัดจัดทำและนำไปติดตั้งในพื้นที่เป้าหมายโครงการฯ ๒. กิจกรรม “จิตอาสาพัฒนาลำน้ำ ลำคลอง” เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี ๒๕๖๒ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โดยพื้นที่เป้าหมายของการดำเนินกิจกรรม จังหวัด/อำเภอได้พิจารณาวางแผน และคัดเลือกจากพื้นที่ลำน้ำ คูคลองตามโครงการฟื้นฟูและพัฒนาลำน้ำคูคลอง เพื่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๓. โครงการนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าหัวอยู่ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ดำเนินการระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ณ บริเวณพื้นที่คลองคูเมืองเดิมและปากคลองตลาด ๔. การเปลี่ยนชื่อจิตอาสาพระราชทาน ๙๐๔ วปร. (จอส.๙๐๔ วปร.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อของจิตอาสาที่ได้พระราชทานไว้แต่เดิมชื่อ “จิตอาสาพระราชทาน (จอส.)” และทรงพระราชทานชื่อจิตอาสาใหม่ว่า “จิตอาสาพระราชทาน ๙๐๔ วปร.” (จอส.๙๐๔ วปร.)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11910 | รายงานผลการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | กก | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว รวม ๑๔ ฉบับ ได้ดำเนินการจัดทำร่างประกาศแล้ว รวม ๑๑ ฉบับ ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอคณะอนุกรรมการพิจารณาการประกาศเขตพัฒนาการท่องเที่ยวหรืออยู่ระหว่างเสนอคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเพื่อพิจารณา สำหรับกฎหมายลำดับรองอีก ๓ ฉบับ อยู่ระหว่างดำเนินการหรือศึกษาจัดทำแนวทางการจัดเก็บ และการบริหารจัดการค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวที่เรียกเก็บจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในการศึกษาวิจัยอย่างรอบด้าน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11911 | รายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) และความก้าวหน้าผลการดำเนินการคณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูล 4 คณะ (ประจำเดือนเมษายน - กันยายน 2562) | ดศ | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และความก้าวหน้าผลการดำเนินการคณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูล ๔ คณะ ประจำเดือนเมษายน-กันยายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มีการดำเนินการที่สำคัญ เช่น จัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือเรื่องการพัฒนาบุคลากรร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและสถาบันศึกษา รวม ๒๑ หน่วยงาน ประชุมคณะทำงานสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะอนุกรรมการด้านการพัฒนาบุคลากรเพื่อการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ โดยทำการสำรวจ ๒๘๗ หน่วยงาน พบว่า ปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐขาดแคลนบุคลากรภายในที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรงด้าน Big Data และได้มีข้อเสนอระบบการบริหารจัดการกำลังคนเพื่อการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ โดยแบ่งเป็นข้อเสนอระยะเร่งด่วน (๖ เดือน-๒ ปี) และข้อเสนอระยะยาว (๓-๕ ปี) เป็นต้น ๒. ความก้าวหน้าผลการดำเนินการคณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูล เช่น การขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ โครงการบูรณาการจัดทำฐานข้อมูลกลางด้านความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) และโครงการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลเพื่อจัดตั้งฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11912 | การทำคำประกาศ (Declarations) จากการแก้ไขปรับปรุงระเบียบร่วม (Common Regulations) ภายใต้พิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) | พณ | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการทำคำประกาศ (Declarations) จากการแก้ไขปรับปรุงระเบียบร่วม (Common Regulations) ภายใต้พิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๓ และพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๙ ไม่มีบทบัญญัติที่รองรับการปฏิบัติตามระเบียบร่วมที่แก้ไขใหม่ เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๒ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาจึงได้มีหนังสือจัดทำคำประกาศที่ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปยังผู้อำนวยการใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก เพื่อสงวนสิทธิมิให้ประเทศไทยต้องผูกพันตามพันธกรณีที่เกิดขึ้นใหม่จากการแก้ไขปรับปรุงระเบียบร่วมดังกล่าว และเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๒ องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกได้จัดทำประกาศ (Information notice) ที่ ๓๖/๒๐๑๙ เพื่อยืนยันและแจ้งภาคีพิธีสารมาดริดว่า ประเทศไทยจัดทำประกาศตาม Rule 27bis (6) และ Rule 27ter (2)(b) แล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11913 | รายงานผลการเดินทางเข้าร่วมการประชุม The 8th LNG Producer - Consumer Conference และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น | พน | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเข้าร่วมการประชุม The 8th LNG Producer-Consumer Conference และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในระหว่างวันที่ ๒๔-๒๗ กันยายน ๒๕๖๒ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมพลังงานไฮโดรเจนระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมมีการนำเสนอและหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ความร่วมมือเพื่อพัฒนาพลังงานไฮโดรเจน โดยที่ประชุมสนับสนุนให้มีการส่งเสริมการผลิตและใช้พลังงานไฮโดรเจนที่สามารถผลิตได้จากพลังงานทดแทน เช่น แสงอาทิตย์และลม ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปัจจุบันพลังงานไฮโดรเจนส่วนใหญ่ที่ผลิตได้เป็นพลังงานไฮโดรเจนที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ ๒. การประชุมการสัมมนานานาชาติเรื่อง การนำคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้ใหม่ประจำปี ๒๕๖๒ โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ริเริ่มแนวคิดการนำคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้ใหม่ ซี่งเป็นการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากกิจการต่าง ๆ และผ่านกระบวนการเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ในรูปแบบของพลังงาน และใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต อันจะเป็นการช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งยังเป็นพลังงานทางเลือกอีกชนิดหนึ่งด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตั้งเป้าหมายระยะสั้นภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ โดยการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการพัฒนาเทคโนโลยีการนำคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้ใหม่ เช่น การลดต้นทุนในการจัดเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเป้าหมายระยะกลางและระยะยาวคือ ให้สามารถดำเนินการในเชิงการค้าได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๙๓ ๓. การประชุม The 8th LNG Producer-Consumer Conference ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์และทิศทางตลาด LNG เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ประสบการณ์ และการบริหารจัดการ LNG ในอนาคต รวมทั้งหารือความเป็นไปได้ในการสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย LNG เพื่อพัฒนาศักยภาพสำหรับรองรับความต้องการ LNG ที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชียในอนาคต ๔. การหารือทวิภาคีกับนายฮิเดกิ มาคิฮาร่า ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม เกี่ยวกับด้านต่าง ๆ ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือด้านก๊าซธรรมชาติเหลว การพัฒนาพลังงานไฮโดรเจน และการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านพลังงานอัจฉริยะ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11914 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดียของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดีย (เมืองมุมไบ รัฐมหาราษฏระ และเมืองเจนไน รัฐทมิฬนาฑู) ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๘ กันยายน ๒๕๖๒ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และตอกย้ำความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ระหว่างไทยและอินเดียให้แน่นแฟ้น และเพื่อขยายโอกาสและลู่ทางการส่งออกสินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ยางพารา ไม้ยางพารา แป้งมันสำปะหลัง และสินค้าอื่น ๆ ของไทยสู่ตลาดอินเดียให้เพิ่มขึ้น ตลอดจนสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในอนาคต โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาศักยภาพของไม้ยางพาราไทยสำหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์อินเดียและกิจกรรมสร้างเครือข่ายธุรกิจ ณ เมืองมุมไบ และงานสัมมนาโอกาสใหม่ทางธุรกิจของอุตสาหกรรมยางพาราไทยสำหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์อินเดีย และกิจกรรมสร้างเครือข่ายธุรกิจ ณ เมืองเจนไน รวมทั้งเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (Memorandum of Understanding : MOU) ระหว่างเอกชนไทยและอินเดีย และพบปะหารือกับสมาคมการค้าและนักธุรกิจอินเดียรายสำคัญ ทั้งนี้ ยอดรวมการซื้อขายจากกิจกรรมลงนาม MOU การเจรจาทวิภาคี และการจับคู่เจรจาธุรกิจ ณ เมืองมุมไบ มีมูลค่ารวม ๔,๔๕๐ ล้านบาท และ ณ เมืองเจนไน มีมูลค่า ๗,๖๒๓.๕ ล้านบาท สรุปมูลค่ารวมทั้งสิ้น ๑๒,๐๗๓.๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11915 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) ไทย - เมียนมา ครั้งที่ 7 | กห | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๗ ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๒-๕ กันยายน ๒๕๖๒ โดยมี พลเอก พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง ไหล่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา เป็นประธานร่วม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ รับทราบผลการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างสองกองทัพในรอบปีที่ผ่านมาในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๓๓ การดำเนินการเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสองกองทัพ การแลกเปลี่ยนการเยือนของนายทหารระดับสูง และเรื่องอื่น ๆ ได้แก่ โครงการสัมมนาความรู้ด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ๒. ที่ประชุมฯ พิจารณาเห็นชอบให้ส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้าย ความร่วมมือด้านการศึกษาและการฝึกการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ และการขยายความร่วมมือในโครงการความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น ๓. ฝ่ายเมียนมารับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการระดับสูงไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๘
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11916 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 11 | นร11 | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๑๑ (11th Mekong-Japan Economic Ministers’ Meeting) จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและผู้ช่วยรัฐมนตรีด้านการต่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (นายชิเงฮิโระ ทานะกะ) เป็นประธานในการประชุม โดยการประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์การพัฒนาอุตสาหกรรมในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong Industrial Development Vision : MIDV) ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓ และความเห็นต่อร่างวิสัยทัศน์การพัฒนาอุตสาหกรรม MIDV2.0 ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๖ ว่าควรมีแนวทางเพื่อให้ภาครัฐและภาคเอกชนมีความร่วมมือกันในการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง เช่น การเพิ่มการอำนวยความสะดวกทางการค้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะแรงงานในอุตสาหกรรมการเกษตรและการผลิต และการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย และมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนแผนการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของกรอบความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11917 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สหพันธรัฐรัสเซีย ณ จังหวัดภูเก็ต (นายวลาดีมีร์ วี. ซอสนอฟ) | กต | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวลาดิมีร์ วี. ซอสนอฟ (Mr. Vladimir V. Sosnov) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สหพันธรัฐรัสเซีย ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต ชุมพร กระบี่ นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ระนอง สตูล สงขลา ตรัง และยะลา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11918 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางวิกุล วิสาลเสสถ์ และนายสมพงษ์ ชัยโอภานนท์) (นางวิกุล วิสาลเสสถ์) | สธ | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกุล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางวิกุล วิสาลเสสถ์ ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทัตสาธารณสุข) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๒ ๒. นายสมพงษ์ ชัยโอภานนท์ ดำรงตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ (ด้านโภชนาการ) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๒
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11919 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... | ลต | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ ๗ แทนตำแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ ๗ แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน ๔๕ วัน นับแต่วันที่ตำแหน่งดังกล่าวว่างลง (ครบกำหนดวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11920 | รายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน [กรณีกรมวิชาการเกษตรดำเนินการต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายพาราควอต (paraquat) ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่รอผลการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่อาจจะประกาศห้ามใช้] | สม | 19/11/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน [กรณีกรมวิชาการเกษตรดำเนินการต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายพาราควอต (Paraquat) ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ ๓ โดยไม่รอผลการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่อาจจะประกาศห้ามใช้] ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้จัดประชุมหารือร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๒ และเห็นว่า การใช้วัตถุอันตรายทั้ง ๓ ชนิด ได้แก่ พาราควอต (paraquat) ไกลโฟเสต (Glyphosate) และคลอร์ไพรีฟอส (Chlorpyriphos) เป็นการก่อให้เกิดโรคจากสิ่งแวดล้อม ตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องป้องกัน และควบคุมโรคจากสิ่งแวดล้อมแก่ประชาชนที่ได้รับหรืออาจได้รับมลพิษ จึงเห็นควรยุติการใช้สารเคมีทางการเกษตรทั้ง ๓ ชนิด ทันที ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
.....