ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1450 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 28981 - 29000 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 28981 | ขออนุมัติเช่ารถประจำตำแหน่ง | กษ | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก่อหนี้ผูกพันงบประมาณเพื่อเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๑ คัน และผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๒ คัน รวม ๓ คัน ในวงเงิน ๖,๓๕๐,๔๐๐ บาท โดยให้ก่อหนี้ผูกพันตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวตามระยะเวลาการเช่า และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28982 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการงดเว้นไม่เรียกเก็บภาษีสุราสำหรับสุรากลั่นชนิดสุราสามทับที่นำไปทำการแปลงสภาพเพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการงดเว้นไม่เรียกเก็บภาษีสุราสำหรับสุรากลั่นชนิดสุราสามทับที่นำไปทำการแปลงสภาพเพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้งดเว้นไม่เรียกเก็บภาษีสุราสำหรับสุรากลั่นชนิดสุราสามทับที่นำไปทำการแปลงสภาพเพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28983 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำกิ่วคอหมา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำกิ่วคอหมา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำกิ่วคอหมา ในท้องที่ตำบลปงดอน และตำบลทุ่งผึ้ง อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28984 | รายงานการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบและรับรองแล้ว และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบรายได้และค่าใช้จ่าย สรุปได้ ดังนี้
๑. งบแสดงฐานะการเงิน ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้แก่ ๑.๑ สินทรัพย์ จำนวน ๔,๗๐๔,๔๓๓.๑๖ ล้านบาท ประกอบด้วย สินทรัพย์หมุนเวียน จำนวน ๑๖๒,๙๓๙.๕๔ ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน จำนวน ๔,๕๔๑,๔๙๓.๖๒ ล้านบาท ๑.๒ หนี้สิน จำนวน ๒,๒๔๘,๐๕๔.๓๐ ล้านบาท ๑.๓ สินทรัพย์สุทธิ หรือส่วนทุน จำนวน ๒,๔๕๖,๓๗๘.๘๖ ล้านบาท ๒. งบรายได้และค่าใช้จ่าย ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้แก่ ๒.๑ รายได้ จำนวน ๑,๖๑๗,๗๙๔.๑๙ ล้านบาท ๒.๒ ค่าใช้จ่าย จำนวน ๑,๕๓๒,๕๒๑.๑๗ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28985 | การค้ำประกันเงินกู้โครงการรับซื้อลำไยสดเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้ง ปี 2547 | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการค้ำประกันเงินกู้โครงการรับซื้อลำไยสดเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้ง ปี ๒๕๔๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบและจัดทำข้อมูลโครงการที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตรชนิดต่าง ๆ ที่คาดว่าอาจจะเป็นหนี้สูญ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับผลการดำเนินการค้ำประกันเงินกู้โครงการฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้ประชุมร่วมกับผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของโครงการรับซื้อลำไยสดเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้งปี ๒๕๔๗ ที่ประชุมมีมติ ๑.๑ เห็นชอบแนวทางการบริหารและจัดการการปรับโครงสร้างหนี้โครงการฯ เพื่อชำระหนี้สินให้แล้วเสร็จภายใน ๔ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๑.๒ เห็นชอบให้ อ.ต.ก. ขยายระยะเวลาการกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในอัตราต่ำสุดของเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) เฉลี่ย บวกร้อยละ ๑.๓๕ ต่อปี หรือต่ำกว่า ๑.๓ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการค้ำประกัน เป็นระยะเวลา ๔ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามประมาณการการชำระหนี้ที่สำนักงบประมาณจะจัดสรรเงินงบประมาณให้สำหรับโครงการฯ จนเสร็จสิ้น ๑.๔ ให้กระทรวงการคลังเจรจาเงื่อนไขการกู้เงินกับธนาคารกรุงไทยฯ เพื่อนำเสนอกระทรวงการคลังลงนามแก้ไขสัญญากู้เงินต่อไป ๒. กระทรวงการคลังได้เจรจาต่อรองเงื่อนไขการขยายระยะเวลาการชำระหนี้และการค้ำประกันเงินกู้สำหรับโครงการฯ กับธนาคารกรุงไทยฯ และได้พิจารณาเห็นชอบการขยายระยะเวลาการค้ำประกันโครงการฯ แล้ว ๓. อ.ต.ก. ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารกรุงไทยฯ เพื่อขยายระยะเวลาการชำระหนี้และปรับอัตราดอกเบี้ย ตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ ในส่วนของการค้ำประกัน กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการดำเนินการเสนอลงนามในสัญญาค้ำประกัน |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28986 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ 2556 ของไตรมาส 1 | ทก | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center : GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของไตรมาส ๑ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานด้านการใช้บริการ ๑.๑ สถิติการใช้บริการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาส ๑ มีจำนวน ๑,๕๕๑,๔๗๗ ครั้ง ลดลงจากไตรมาส ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑,๕๕๕,๑๒๑ ครั้ง หรือคิดเป็นร้อยละ ๕๐.๐๖ เนื่องจากในไตรมาส ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้เกิดเหตุการณ์อุทกภัย ซึ่ง GCC 1111 ได้รับมอบหมายภารกิจพิเศษให้เป็น Call Center ของศูนย์ปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของรัฐบาล (ศปภ.) ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัย ระดับน้ำ เส้นทางจราจร รับแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือจากผู้ประสบอุทกภัย จึงทำให้มีจำนวนการใช้บริการมากกว่าในสถานการณ์ปกติ ๑.๒ สัดส่วนการใช้บริการแยกตามประเภท ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาส ๑ โดยเรียงจากมากที่สุด ได้แก่ บริการสอบถามข้อมูลทั่วไป (Q&A) ร้อยละ ๘๐.๗๓ บริการสอบถามข้อมูลเพื่อการติดต่อหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน (Contact Information) ร้อยละ ๑๓.๘๕ และบริการรับเรื่องร้องเรียน (Complain) ร้อยละ ๒.๗๔ ซึ่งเรื่องร้องเรียนดังกล่าวสามารถจัดเป็นหมวดต่าง ๆ ได้แก่ หมวดสังคมและสวัสดิการ ร้อยละ ๖๐.๗๖ หมวดการร้องเรียนกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร้อยละ ๑๔.๙๕ หมวดการเมือง-การปกครอง ร้อยละ ๑๑.๑๒ หมวดเศรษฐกิจ ร้อยละ ๗.๖๒ หมวดทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร้อยละ ๓.๓๗ และหมวดกฎหมาย ร้อยละ ๒.๑๘ ๒. ผลการดำเนินงานด้านคุณภาพบริการ ๒.๑ มาตรฐานคุณภาพการให้บริการ ได้บริหารจัดการควบคุมคุณภาพการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐาน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาส ๑ มีจำนวนสายเรียกเข้าทั้งหมด จำนวน ๑,๕๕๑,๔๗๗ ครั้ง สามารถให้บริการได้ จำนวน ๑,๕๒๑,๖๙๐ ครั้ง หรือร้อยละ ๙๘.๐๘ ๒.๒ การพัฒนาคุณภาพพนักงานรับสาย ได้พัฒนาคุณภาพของพนักงานรับสายเพื่อเพิ่มองค์ความรู้และทักษะการให้บริการ โดยจัดอบรมหลักสูตรเพิ่มเติม อาทิ หลักสูตรจิตวิทยาในการทำงาน หลักสูตรทัศนคติในการให้บริการงาน Call Center หลักสูตรองค์ความรู้ของกระทรวงต่าง ๆ หลักสูตรการจับประเด็นเพื่อการให้บริการที่ดี ๒.๓ การสนับสนุนโครงการตามนโยบายของรัฐบาล และส่วนงานภาครัฐได้รับภารกิจต่อเนื่องในการสนับสนุนโครงการพิเศษตามนโยบายของรัฐบาล โดยเป็นศูนย์ข้อมูลสถานการณ์ภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ผ่านเลขหมาย ๑๑๑๑ กด ๕ ให้บริการข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ผ่านเลขหมาย ๑๑๑๑ กด ๖ และให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา (Tablet) ให้แก่นักเรียน ครู ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไป รวมถึงการรับเรื่องร้องเรียนและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ผ่านเลขหมาย ๑๑๑๑ กด ๘ นอกจากนี้ ยังให้บริการข้อมูลโครงการอื่น ๆ ของรัฐบาล เช่น โครงการพักชำระหนี้เกษตรกรรายย่อย และประชาชนผู้มีรายได้น้อย โครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก โครงการกองทุนตั้งตัวได้ ฯลฯ ๒.๔ กิจกรรมสนับสนุนและประชาสัมพันธ์ ได้จัดกิจกรรมเพื่อสร้างสัมพันธ์กับประชาชนและส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การเข้าร่วมจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ในงาน “OPEN HOUSE TOT ACADEMY” ณ สถาบันวิชาการทีโอที จังหวัดนนทบุรี และการเข้าร่วมกิจกรรมงานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ณ บริเวณชุมสายโทรศัพท์ลาดหญ้า รวมทั้งการประชาสัมพันธ์โครงการของภาครัฐผ่านทาง Social Network คือ Facebook และ Twitter ได้แก่ การประชาสัมพันธ์ข้อมูลโครงการจัดการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์พกพา โครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี และข้อมูลสถานการณ์น้ำท่วม ภัยแล้ง เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28987 | การเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 19 แผนงาน IMT - GT | นร11 | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการตามผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๘ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ที่ได้ให้ความสำคัญต่อประเด็นการพัฒนาหลักของรัฐมนตรี IMT-GT ของไทย โดย ๑.๑ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานร่วมในการประชุมทางไกล (Video Conference) เพื่อขับเคลื่อนโครงการสำคัญตามที่ผู้นำได้สั่งการในระหว่างการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ โดยเฉพาะโครงการเพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค IMT-GT และการเชื่อมโยงกับอาเซียน อาทิ การพัฒนาด่านศุลกากร การศึกษาความเหมาะสมการก่อสร้างทางพิเศษระหว่างเมืองหาดใหญ่-สะเดา การออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างสะพานแห่งใหม่ข้ามแม่น้ำโกลกที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส-เมืองเปิงกาลันกุโบร์ รัฐกลันตัน และสะพานแห่งที่สองระหว่างเมืองรันเตาปันยัง รัฐกลันตัน-อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส รวมทั้งการวางแผนบูรณาการพัฒนาเศรษฐกิจเชื่อมโยงสายการผลิตข้ามแดน โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดประชุมทางไกลเพื่อชี้แจงแนวทางการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ ๑๔ จังหวัดภาคใต้ภายใต้แผนงาน IMT-GT เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๖ ณ ห้องประชุมกระทรวงมหาดไทยไปยังห้องประชุมในศาลากลางจังหวัด ๑๔ จังหวัดภาคใต้ ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับสำนักงานวางแผนเศรษฐกิจมาเลเซีย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ มีกำหนดการร่วมสำรวจพื้นที่โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย และหารือเพื่อยกร่างแผนงานบูรณาการพัฒนาพื้นที่ชายแดนร่วมกัน ระหว่างวันที่ ๓๐ มกราคม-๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และมีกำหนดการสัมมนาสามคลัสเตอร์ภาคใต้ เพื่อให้ทุกคลัสเตอร์เสนอรายงานการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนารายคลัสเตอร์/จังหวัด แผนกลยุทธ์และแผนการลงทุนระดับพื้นที่ที่สอดรับกับการร่วมเป็นพื้นที่อนุภูมิภาคความร่วมมือระหว่างประเทศ ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๑.๓ การขับเคลื่อนการดำเนินการตามแผนงานระยะห้าปีแผนที่สอง (Implementation Blueprint) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ประเทศไทย โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม IMT-GT Focus Group ในระหว่างวันที่ ๔-๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพฯ เพื่อให้สามประเทศบรรลุข้อสรุปด้านกรอบการดำเนินการเป็นประธานสาขา และกรอบระยะเวลาการเป็นประธานของคณะทำงาน ๖ สาขา ได้แก่ สาขาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม สาขาการค้าและการลงทุน สาขาการท่องเที่ยว สาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สาขาผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล และสาขาการเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตรและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกรอบการประชุมของมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัดภายใต้แผนงาน IMT-GT พร้อมทั้งจัดประชุมหารือระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งพิเศษ เพื่อรับรองผลการประชุม IMT-GT Focus Group และพิจารณาร่างรายงานของรัฐมนตรี IMT-GT ต่อผู้นำ ร่างคำแถลงการณ์ร่วมของผู้นำ ในการประชุมระดับผู้นำครั้งที่ ๗ แผนงาน IMT-GT และการเตรียมการการลงนามความตกลงการจัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาค IMT-GT (Centre for Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Subregional Cooperation : CIMT) ๒. เห็นชอบในการมอบหมายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักและประสานหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเตรียมการในการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมระดับรัฐมนตรี แผนงาน IMT-GT (IMT-GT Ministerial Meeting) ครั้งที่ ๑๙ การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส แผนงาน IMT-GT (IMT-GT Senior Officials’ Meeting) ครั้งที่ ๒๐ และการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด แผนงาน IMT-GT (IMT-GT Chief Ministers’ and Governors’ Forum) ครั้งที่ ๑๐ ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ๒๕๕๖ ณ อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดังต่อไปนี้ ๒.๑ ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมด้านสารัตถะ ได้แก่ ความก้าวหน้าการดำเนินการในแผนหมุนเวียนรอบที่หนึ่งระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ และแผนงานโครงการในแผนหมุนเวียนรอบที่สองระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ๒.๓ ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมด้านสถานที่ประชุม รวมทั้งนิทรรศการ และการเผยแพร่ข้อมูลของ ๑๔ จังหวัดภาคใต้ อย่างเหมาะสม ๒.๔ เตรียมการด้านงบประมาณการจัดประชุมระหว่างประเทศ โดยให้จัดทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ ๓,๕๒๖,๐๐๐ บาท |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28988 | การประเมินผลโครงการความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านของ สพพ. | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สพพ. ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๑๐,๖๘๓.๗๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน รวม ๑๘ โครงการ วงเงิน ๑๐,๕๔๗.๘๐ ล้านบาท และโครงการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ รวม ๒๐ โครงการ วงเงิน ๑๓๕.๙๐ ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีโครงการที่แล้วเสร็จและครบกำหนดเวลาที่สามารถประเมินผลโครงการได้ จำนวน ๔ โครงการ คือ ๑.๑.๑ โครงการเชื่อมโยงคมนาคมระหว่างไทย-เมียนมาร์ จากเมียวดี-เชิงเขาตะนาวศรี (โครงการถนนเมียวดี) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ๑.๑.๒ โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดหนองคาย-ท่านาแล้ง (โครงการรถไฟท่านาแล้ง) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ๑.๑.๓ โครงการปรับปรุงสนามบินระหว่างประเทศวัดไต (โครงการสนามบินวัดไต) สปป.ลาว ๑.๑.๔ โครงการก่อสร้างร่องระบายน้ำฮ่องวัดไต (โครงการร่องระบายน้ำฮ่องวัดไต) สปป.ลาว ๑.๒ ผลการประเมินโครงการความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านที่แล้วเสร็จทั้ง ๔ โครงการ พบว่า อยู่ในระดับดี-ดีมาก โดยทุกโครงการสอดคล้องกับความต้องการของประเทศเพื่อนบ้าน และนโยบายของไทยในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาค นอกจากนี้ ทุกโครงการก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และผู้ใช้ประโยชน์จากโครงการ ๑.๓ ข้อเสนอแนวทางเชิงนโยบายในการร่วมมือเพื่อพัฒนากับประเทศเพื่อนบ้านของ สพพ. ในอนาคต เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานต่อไป ๑.๓.๑ ยุทธศาสตร์การร่วมมือเพื่อการพัฒนากับประเทศเพื่อนบ้านของ สพพ. ยังคงให้ความสำคัญกับ ๓ ด้านหลัก คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และภูมิภาค (Connectivity) การสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการขยายตัวทางด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว และการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (Relationship) ๑.๓.๒ การร่วมมือเพื่อการพัฒนากับประเทศเพื่อนบ้านบริเวณชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน จะนำรูปแบบการพัฒนาโครงการเชื่อมโยงคมนาคมระหว่างไทย-เมียนมาร์ จากเมียวดี-เชิงเขาตะนาวศรี ซึ่งพัฒนาโครงข่ายถนน เพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งระหว่างกัน (Connectivity) มาเป็นแนวทางในการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อพัฒนาเป็นประตูการค้า (Gateway) สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการขยายตัวทางด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และประเพณีระหว่างกัน ๑.๓.๓ การร่วมมือเพื่อการพัฒนาโดยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทย โดย สพพ. เป็นโอกาสหนึ่งที่สินค้าและบริการจากประเทศไทยสามารถกระจายไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นการขยายกำลังการผลิตของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง จึงสมควรให้หน่วยงานต่างๆ ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยได้รับความสะดวกและรวดเร็วในพิธีการทางด้านการค้าระหว่างประเทศและการขนส่งสินค้าข้ามแดน ๒. ให้ สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณาให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ควรให้ความสำคัญกับแผนงาน/โครงการซึ่งจะดำเนินการตามแนวระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ และตามแนวชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน (Regional Investment Forum : RIF) ภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion : GMS) เป็นลำดับแรก และดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้าง พร้อมทั้งประมาณการวงเงินค่าใช้จ่ายและแหล่งเงินของโครงการแล้วเสร็จ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28989 | การจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพล ปี 2554 | พน | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพล ปี ๒๕๕๔ โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้จ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว จำนวน ๒๙๐ ราย เป็นเงิน ๒๒๔.๕๕๒ ล้านบาท ยังคงเหลือค้างจ่าย จำนวน ๒๘๘ ราย คิดเป็นเงิน ๑๙๗.๔๑๔ ล้านบาท ซึ่ง กฟผ. จะเร่งจ่ายให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ ๑ ของปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28990 | บรรจุผู้ไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีกลับเข้ารับราชการ (กระทรวงยุติธรรม) (นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร) | ยธ | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร ซึ่งได้ออกจากราชการเพื่อไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีในตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ กลับเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นตำแหน่งประเภทเดิม ระดับเดิม และสายงานเดิมก่อนออกจากราชการเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ตามมติคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28991 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงบูดาเปสต์ | พณ | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงบูดาเปสต์ โดยมีวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๒,๙๔๒,๙๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๗๑,๗๗๕.๓๖ ยูโร คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ยูโร เท่ากับ ๔๑ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๐,๙๓๔.๔๘ ยูโร หรือเท่ากับ ๘๕๘,๔๐๐ บาท ส่วนงบประมาณที่เหลือให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ตามความจำเป็นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28992 | การลงนามข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างไทย - เขตบริหารพิเศษฮ่องกง | พณ | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างไทย-เขตบริหารพิเศษฮ่องกง โดยร่างข้อตกลงฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมสาขาความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ได้แก่ การอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการค้าสินค้า การอำนวยความสะดวกและการส่งเสริมการค้าบริการ การอำนวยความสะดวกและการส่งเสริมการลงทุน การแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือในการดำเนินการตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้า การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ความร่วมมือด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง ความร่วมมือและการส่งเสริมการท่องเที่ยว การส่งเสริมการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและ R&D ความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาศักยภาพ ความร่วมมือด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การอำนวยความสะดวกและส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และความร่วมมือในสาขาอื่นๆ ที่เห็นชอบร่วมกัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างข้อตกลงฯ หรือหากติดภารกิจ ให้มอบหมายผู้อื่นลงนามแทนต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับแก้ถ้อยคำในร่างข้อตกลงฯ ใน Paragraph I (OBJECTIVE AND PRINCIPLE) วรรคแรก โดยแก้ไข “This arrangement” เป็น “This Arrangement” และโดยที่ Paragraph I (OBJECTIVE AND PRINCIPLE) ของร่างข้อตกลงฯ ระบุว่าข้อตกลงฉบับนี้ไม่มีเจตนาจะก่อให้เกิดความผูกพันทางกฎหมายระหว่างคู่ภาคี ("This arrangement is not intended to create any binding legal relations between the Participants.") ร่างข้อตกลงฯ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญฯ รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์ควรใช้ประโยชน์จากความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยกับฮ่องกงในการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในสาขาที่ฮ่องกงมีศักยภาพ เช่น สาขาโลจิสติกส์และการขนส่ง และสาขาบริการทางการเงิน เป็นต้น และจะเป็นช่องทางสำคัญให้ไทยสามารถหยิบยกปัญหาอุปสรรค ด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันขึ้นหารือและติดตามผลได้อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28993 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลท่าน้าว ตำบลนาปัง อำเภอภูเพียง และตำบลกองควาย ตำบลดู่ใต้ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน พ.ศ. .... | มท | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลท่าน้าว ตำบลนาปัง อำเภอภูเพียง และตำบลกองควาย ตำบลดู่ใต้ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลท่าน้าว ตำบลนาปัง อำเภอภูเพียง และตำบลกองควาย ตำบลดู่ใต้ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน เพื่อประโยชน์ในด้านการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง และการสถาปัตยกรรม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28994 | การช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งของศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม และการจัดทำโครงการ "ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง" ประจำปี 2556 ของกองทัพบก | กห | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งของศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม และการจัดทำโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ประจำปี ๒๕๕๖ ของกองทัพบก ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงกลาโหม โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทย และศูนย์บรรเทาสาธารณภัยเหล่าทัพ ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยและสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่ โดย ๑.๑ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยโรงงานวัตถุระเบิด กรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร แจกจ่ายน้ำ ๕๒๘,๐๐๐ ลิตร ให้แก่ราษฎรในพื้นที่จังหวัดชัยนาท ๑.๒ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทย โดยสำนักงานทหารพัฒนา หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา แจกจ่ายน้ำ ๒๔,๐๐๐ ลิตร ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสกลนคร สำนักงานทหารพัฒนาภาค ๒ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา แจกจ่ายน้ำ ๑,๒๑๙,๐๐๐ ลิตร ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี สกลนคร นครพนม และหนองคาย สำนักงานทหารพัฒนาภาค ๕ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา แจกจ่ายน้ำ ๖๔๘,๐๐๐ ลิตร ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิและอำนาจเจริญ ๑.๓ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ ๒ แจกจ่ายน้ำ ๑,๗๑๕,๐๐๐ ลิตร ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ นครราชสีมา ขอนแก่น กาฬสินธุ์ และนครพนม กองทัพภาคที่ ๓ แจกจ่ายน้ำ ๘๑๔,๐๐๐ ลิตร ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดพิจิตร อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และนครสวรรค์ รวมทั้งแจกจ่ายน้ำดื่ม ๓๐๐ ขวด ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดพิจิตร ๑.๔ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เปิดศูนย์ช่วยเหลือภัยแล้ง โดยจัดกำลังพล พร้อมรถบรรทุก ให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราด ๑.๕ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ ได้จัดกิจกรรมปล่อยคาราวานรถบรรทุกน้ำ และรถผลิตน้ำดื่มแบบลากจูง ณ ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ กองทัพอากาศ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งในพื้นที่รับผิดชอบ ๒. การดำเนินโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ประจำปี ๒๕๕๖ ๒.๑ หน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การประปาส่วนภูมิภาค และกองทัพบก ๒.๒ พื้นที่เป้าหมายของโครงการฯ ได้แก่ พื้นที่ห่างไกล และทุรกันดาร ที่ประสบภัยแล้งทั่วประเทศ โดยจ่ายน้ำในพื้นที่ที่เป็นศูนย์รวมของหมู่บ้าน เช่น วัด โรงเรียน สถานีอนามัย และสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ๒.๓ วิธีการดำเนินงาน ได้แก่ การสำรวจหาหมู่บ้านเป้าหมายที่คาดว่าจะประสบภัยแล้ง ซึ่งจังหวัด/อำเภอในพื้นที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ เครื่องมือ และอุปกรณ์ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งเพียงพอและทั่วถึง รวมทั้งการสำรวจบ่อน้ำบาดาลของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และจุดจ่ายน้ำของการประปาส่วนภูมิภาค ที่อยู่ใกล้เคียงหมู่บ้านเป้าหมาย เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการโครงการฯ ๒.๔ ระยะเวลาของโครงการฯ เดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28995 | การตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด สกลนคร บุรีรัมย์ และจังหวัดมุกดาหาร | ทส | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด สกลนคร บุรีรัมย์ และจังหวัดมุกดาหาร ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้ตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมตรวจเยี่ยมราษฎร ณ บ้านเหล่าเรือ ตำบลเหนือเมือง อำเภอเมือง รวมทั้งตรวจเยี่ยมราษฎรและเจ้าหน้าที่ ณ ที่ทำการเขตห้ามล่าสัตว์ป่าผาน้ำทิพย์ ตำบลบึงงาม อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด จากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พบว่า จังหวัดร้อยเอ็ดมีพื้นที่ประสบภัยแล้งใน ๑๗ อำเภอ ๑๖๑ ตำบล ๑,๗๗๒ หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ ๑๓๗,๓๓๖ ครัวเรือน และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้แก่ การขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อผลิตน้ำประปาในการอุปโภคบริโภคในชุมชน การสำรวจและออกแบบเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำคูคลองเพื่อการเก็บกักน้ำเพิ่มปริมาณน้ำในฤดูแล้ง รวมทั้งมอบเครื่องกันหนาวแก่ราษฎร ๒. วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้ตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดสกลนคร พร้อมตรวจเยี่ยมราษฎร ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลแร่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้แก่ การสำรวจและออกแบบเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำคูคลองเพื่อการเก็บกักเพิ่มปริมาณน้ำในฤดูแล้ง การขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อผลิตน้ำประปาในการอุปโภคบริโภคในชุมชนและน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร รวมทั้งมอบเครื่องกันหนาวแก่ราษฎร ๓. วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้ตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมตรวจเยี่ยมราษฎร ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลหนองโสน อำเภอนางรอง และที่โรงเรียนโคกเขาพัฒนา ตำบลโคกมะม่วง อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ จากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พบว่า จังหวัดบุรีรัมย์ได้ประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) แล้ว จำนวน ๑๖ อำเภอ ๑๒๘ ตำบล ๑,๕๔๔ หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ ๗๓,๘๙๒ ครัวเรือน นาข้าวได้รับความเสียหาย ๑๒๕,๘๓๓ ไร่ และพืชไร่ได้รับความเสียหาย ๑๐,๓๕๒ ไร่ และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้แก่ การขุดลอกคลองช่องแมว เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง การขุดเจาะน้ำบาดาล เพื่อผลิตน้ำประปาในการอุปโภคบริโภคในชุมชนและน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร การสำรวจและออกแบบเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำคูคลองเพื่อการเก็บกักน้ำเพิ่มปริมาณน้ำในฤดูแล้ง รวมทั้งมอบเครื่องกันหนาวแก่ราษฎร ๔. วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้ตรวจติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร พร้อมตรวจเยี่ยมราษฎร ณ โรงเรียนชุมชนนาโสก ตำบลนาโสก อำเภอเมือง ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลเหล่าหมี อำเภอดอนตาล และที่วัดนิคมเกษตร บ้านดงหมู ตำบลดงหมู อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร จากการติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พบว่า จังหวัดมุกดาหารมีพื้นที่ประสบภัยแล้งใน ๗ อำเภอ และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้แก่ การขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อผลิตน้ำประปาในการอุปโภคบริโภคในชุมชนและน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร การสำรวจและออกแบบเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำคูคลองเพื่อการเก็บกักเพิ่มปริมาณน้ำในฤดูแล้ง การแก้ไขปัญหาเพื่อจัดที่ทำกินให้กับทหารผ่านศึกนอกประจำการในรูปนิคม โดยขอกันพื้นที่ชุมชนออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งมอบเครื่องกันหนาวแก่ราษฎร
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28996 | ขอรับการสนับสนุนเงินชดเชยพิเศษให้กับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก | พน | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ภายในกรอบวงเงิน ๗๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยสำหรับผลิตเอทานอลที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก อย่างยั่งยืน และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรดำเนินการอย่างรอบคอบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอ้างอิงอัตราเงินชดเชยตามระบบของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย การดำเนินการใด ๆ ไม่ควรทำให้เกิดผลกระทบกับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบในระยะยาว ในส่วนของงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการจัดทำแผนพัฒนาการทำการเกษตรกรรมในพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมที่เหมาะสมดำเนินการเกี่ยวกับหน่วยงานและสัดส่วนงบประมาณที่ต้องรับผิดชอบให้ชัดเจน และขอให้ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย (Polluter pays principle) สมควรให้บริษัทที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นดังกล่าวก่อน และหากไม่เพียงพอ จึงให้ใช้จ่ายจากงบกลางดังกล่าว และในโอกาสต่อไป โดยบริษัทที่เกี่ยวข้องควรจะวางแผนและบริหารจัดการโดยใช้จ่ายจากเงินรายได้ของตนเองด้วย นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงพลังงานจัดตั้งคณะกรรมการสามฝ่าย ประกอบด้วยผู้แทนจากเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย โรงงานเอทานอล และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแผนการปลูกอ้อยและการผลิตเอทานอลที่เหมาะสม รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยกับโรงงานเอทานอลในพื้นที่โครงการฯ ให้เป็นไปเช่นเดียวกับระบบการแบ่งปันผลประโยชน์ของชาวไร่อ้อยกับโรงงานน้ำตาลทรายในภาพรวม เพื่อลดภาระด้านงบประมาณของรัฐที่อาจจำเป็นต้องใช้ในการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่โครงการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ เดือน |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28997 | คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี (คำสั่ง นร ที่ 49/2556) | นร04 | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๔๙/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เรื่อง มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่กรรมการในคณะกรรมการตามกฎหมาย โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ปฏิบัติหน้าที่กรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามยาเสพติด ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28998 | การขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง | นร01 | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการ ๑.๑ บริหารจัดการงานโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนตามวัตถุประสงค์เดิมที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไปยังหมู่บ้าน/ชุมชน แต่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงการ การแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน และอื่นๆ โดยใช้ระเบียบคณะกรรมการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนว่าด้วยแนวทางการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นแนวทางดำเนินงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๒ ดำเนินการตรวจสอบติดตามเงินคงค้างในบัญชีของหมู่บ้าน/ชุมชน ที่อยู่ในบัญชีที่สาขาของธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ทั่วประเทศ ตามโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน (SML) ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ โครงการพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชนตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (พพพ.) โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ และโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน หากหมดความจำเป็น ให้ดึงเงินจากบัญชีเหล่านั้น นำส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป ๑.๓ โครงการที่หมู่บ้าน/ชุมชนที่ได้ทำประชาคมเสนอโครงการและผ่านการพิจารณาอนุมัติโครงการและงบประมาณจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการระดับจังหวัด ก่อนสิ้นสุดวาระ (วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา) จำนวน ๒,๐๑๓ หมู่บ้าน/ชุมชน ๒,๕๔๑ โครงการ เงินงบประมาณ ๖๒๘,๕๐๓,๙๕๘ บาท ซึ่งเห็นว่าผ่านกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ครบถ้วนแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้จัดสรรโอนเงินเข้าบัญชีให้แก่หมู่บ้าน/ชุมชน เนื่องจากต้องตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วน ถูกต้อง ก่อนการโอนเงิน เห็นควรนำโครงการดังกล่าวพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่งโดยคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการที่จะจัดตั้งขึ้น เพื่อดำเนินโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวทางที่ปรับปรุงใหม่ ๒. เห็นชอบสนับสนุนโครงการปลูกป่า สร้างคน บนวิถีพอเพียง รักษาต้นน้ำ บรรเทาอุทกภัย ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในวงเงินงบประมาณ ๑,๐๑๙,๒๗๕,๔๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีนำเงินงบประมาณที่เหลือจากโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนที่มีอยู่เดิมสนับสนุนโครงการดังกล่าว ซึ่งมีแผนดำเนินการต่อเนื่อง ๕ ปี โดยจัดสรรเป็นรายปี ปีแรกสนับสนุนงบประมาณ ๑๔๔,๒๓๕,๐๐๐ บาท สำหรับปีต่อไปให้จัดทำแผนงาน/กิจกรรมเพื่อขอรับการสนับสนุนเป็นรายปีต่อเนื่องจนครบ ๕ ปี ๓. เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธาน ทำหน้าที่บริหารโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยนำเงินงบประมาณที่เหลือจากโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนที่มีอยู่เดิมมาบริหารจัดการ และปรับเปลี่ยนการดำเนินงานของโครงการดังกล่าวให้ขยายวัตถุประสงค์ไปดำเนินงานสนับสนุนโครงการตามแนวพระราชดำริ และโครงการตามนโยบายของรัฐบาล เช่น สนับสนุนการปลูกพืชเกษตรที่เหมาะสมและเป็นการพัฒนาแบบบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน มูลนิธิ สมาคม สหกรณ์การเกษตร และภาคประชาชน โดยยึดพื้นที่และประชาชนเป็นหลัก เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างมีคุณภาพ สมดุล ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกันตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28999 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2555 และแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๑๘.๙ โดยด้านการผลิตมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการขยายตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม โรงแรมและภัตตาคาร และการก่อสร้าง ด้านการใช้จ่ายมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน และการลงทุนของภาคเอกชน รวมทั้งรายจ่ายภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้น ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๖.๔ และเมื่อปรับผลของฤดูกาลแล้ว ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศขยายตัวร้อยละ ๓.๖ จากไตรมาสสาม โดย ๑.๑ การบริโภครวม ขยายตัวร้อยละ ๑๒.๒ โดยการบริโภคภาคครัวเรือนเร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๖.๐ เป็นร้อยละ ๑๒.๒ ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ทำให้ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๑๒.๙ รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของรายได้ภาคครัวเรือนตามการปรับค่าแรงขั้นต่ำและการลดลงของการว่างงาน ตลอดจนอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ สำหรับการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวร้อยละ ๑๒.๑ จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ๑.๒ การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ ๒๓.๕ จากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๒๑.๗ ตามการขยายตัวของการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรและการก่อสร้าง ในขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ ๓๑.๑ เป็นการขยายตัวทั้งการก่อสร้างและเครื่องและอุปกรณ์ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑๓.๓ ๑.๓ การส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๘.๒ โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๒๕.๔ และตลาดส่งออกขยายตัวในทุกตลาด ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ การส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ ๓.๒ ๑.๔ ภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ ๓๗.๔ โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวสูงถึงร้อยละ ๔๔.๐ เป็นผลมาจากฐานที่ต่ำในช่วงอุทกภัยปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย รวมทั้งการผลิตรถยนต์ที่สูงเกินคาดการณ์ สอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๗.๐ ๑.๕ ภาคเกษตรกรรม ขยายตัวร้อยละ ๐.๘ ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน ตามการชะลอตัวของผลผลิตข้าวเปลือกนาปี ในขณะที่ผลผลิตยางพารา อ้อย และปศุสัตว์ยังขยายตัวได้ดี สำหรับราคาสินค้าเกษตรสำคัญ โดยเฉพาะปาล์มน้ำมัน และยางพารา ยังลดลงอย่างต่อเนื่องจากปริมาณสินค้าคงคลังสูง และตลาดโลกที่ยังอยู่ในภาวะซบเซา ส่งผลให้รายได้เกษตรกรลดลงร้อยละ ๓.๐ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ภาคเกษตรขยายตัวร้อยละ ๓.๑ ๑.๖ สาขาโรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวร้อยละ ๒๕.๔ ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงถึง ๖.๓ ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๙.๓ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สาขาโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวร้อยละ ๑๑.๕ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม ๒๒.๓ ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๖.๐ ๑.๗ ภาคการก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ ๑๔.๑ เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๙.๘ ในไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากการขยายตัวของการก่อสร้างภาครัฐและการก่อสร้างภาคเอกชนที่ขยายตัวสูงร้อยละ ๒๗.๑ และ ๑๐.๖ ตามลำดับ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ภาคการก่อสร้างขยายตัวร้อยละ ๗.๘ ๑.๘ ภาคการค้าส่งค้าปลีก ขยายตัวร้อยละ ๗.๖ เป็นผลมาจากฐานที่ต่ำในช่วงอุทกภัยปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และการขยายตัวสูงของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในทุกหมวดสินค้าเนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับดีและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ภาคการค้าส่งค้าปลีกขยายตัวร้อยละ ๕.๒ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๕-๕.๕ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๑๑.๐ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๓.๕ และร้อยละ ๘.๙ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๕ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ๓. ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเศรษฐกิจให้สามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลดแรงกดดันด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสภาพคล่องส่วนเกินในตลาดโลก
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29000 | สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2555 และแนวโน้มปี 2556 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมกราคม 2556 | อก | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และแนวโน้มปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๓.๐ ชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ขยายตัวร้อยละ ๔.๔ และชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๗ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คือ การหดตัวของอุปสงค์ระหว่างประเทศ ขณะที่อุปสงค์ในประเทศโดยรวมยังขยายตัว ซึ่งประกอบด้วย การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือน เป็นการขยายตัวจากการบริโภคสินค้าคงทน โดยเฉพาะสินค้าหมวดยานยนต์ รวมทั้งหมวดสินค้าไม่คงทน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม น้ำประปา ไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง ยารักษาโรค การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การลงทุนภาครัฐและการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวดีขึ้น ส่วนดุลการค้าและบริการเกินดุลเทียบกับที่ขาดดุลในไตรมาสที่แล้ว ๑.๒. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวร้อยละ ๕.๕ สำหรับการประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๕-๕.๕ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศและการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลก ๑.๓. ภาคอุตสาหกรรม ในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม ๒๕๕๕ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวจากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยเฉพาะ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ แต่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๔ การค้าต่างประเทศในช่วง ๑๐ เดือนแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกเริ่มกลับมาขยายตัวในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ทำให้ตลอดทั้ง ๑๐ เดือน การส่งออกขยายตัวขึ้นเล็กน้อย สำหรับการนำเข้าตลอดทั้ง ๑๐ เดือน มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล ๑๔,๒๕๑.๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๑.๕ การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ในเดือนมกราคม-ตุลาคม ๒๕๕๕ มีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๘๙๐ โครงการ มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น ๗๗๓,๒๐๐ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ BOI ตั้งไว้ ๖๓๐,๐๐๐ ล้านบาท เนื่องจากต่างชาติมีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติรายเดิมเริ่มฟื้นกิจการลงทุนและขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติมอีกหลังเหตุการณ์น้ำท่วมในปีก่อน โดยประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดบริการและสาธารณูปโภคมีเงินลงทุน ๒๘๘,๘๐๐ ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งมีเงินลงทุน ๑๕๕,๗๐๐ ล้านบาท และหมวดเคมี กระดาษ และพลาสติกมีเงินลงทุน ๑๑๔,๐๐๐ ล้านบาท ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ๒.๑ อุตสาหกรรมการผลิตและส่งออก คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลเพื่อรองรับเทศกาล สำหรับการจำหน่ายสินค้าในประเทศ คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน จากการที่ประชาชนเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลปีใหม่ และเป็นผลด้านจิตวิทยาต่อค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาน้ำมันและราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ๒.๒ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม คาดว่าจะชะลอตัวจากเดือนก่อน โดยตลาดที่ยังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นตลาดคู่ค้าหลักในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา จากการที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่ชะลอตัว ในขณะที่ราคาสินค้าของไทยอยู่ในระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ทำให้คาดว่าคำสั่งซื้อจากตลาดกลุ่มนี้อาจจะลดลง
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
