ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 12 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 221 - 240 จากข้อมูลทั้งหมด 954 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
221 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การทำลายลำไยอบแห้ง ปี 2545 (เบื้องต้น) | ตช | 02/08/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการทำลายลำไยอบแห้งปี 2545 รายงานผลการดำเนิน
การตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การทำลายลำไยอบแห้ง ปี 2545 โดยมีผลการดำเนินงานดังนี้ ที่ประชุมคณะ กรรมการได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการเพื่อทำลายลำไยอบแห้ง ปี 2545 ระดับจังหวัด มีผู้ว่าราช การจังหวัดเป็นประธาน ผู้แทนหน่วยงานที่เป็นองค์ประกอบของคณะกรรมการทำลายลำไยอบแห้งปี 2545 เป็นกรรมการ และเกษตรและสหกรณ์จังหวัด เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อทำหน้าที่วางแผนและปฏิบัติ การทำลาย โดยนำไปบดให้ละเอียดแล้วส่งมอบให้กรมพัฒนาที่ดินเพื่อนำไปทำเป็นปุ๋ย ส่วนวิธีการดำเนิน การนั้ น ให้จังหวัดพิจารณาตามความเหมาะสม การกำหนดวันทำลาย ที่จังหวัดนครสวรรค์ วันที่ 27 กรกฎา คม 2548 จังหวัดเชียงราย วันที่ 28 กรกฎาคม 2548 จังหวัดลำพูน วันที่ 29 กรกฎาคม 2548 และจังหวัด เชียงใหม่ วันที่ 30 กรกฎาคม 2548 ใช้งบประมาณในการดำเนินการทำลายลำไยอบแห้ง ปี 2545 รวม เป็นเงิน 24.199 ล้านบาท พบปัญหาและอุปสรรคในการทำลายลำไยอบแห้ง ดังนี้ ปริมาณลำไยอบแห้งปี 2545 ที่จะทำลายมีจำนวนมาก (22,680 ตัน) แต่มีข้อจำกัดในด้านระยะเวลาดำเนินการที่ค่อนข้างสั้น รถ ทหารและเอกชนในพื้นที่มีจำนวนจำกัด สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย มีฝนตกอย่างต่อเนื่องระหว่างการขน ย้าย ทำให้พื้นที่ที่เตรียมไว้เพื่อการทำลายเป็นโคลนดินเละแฉะรถบรรทุกเข้าออกลำบาก สภาพโกดังบาง โกดังไม่เอื้ออำนวยมีริเวณแคบ เป็นอุปสรรคต่อรถบรรทุก เข้า-ออก ทำให้การขนย้ายไม่คล่องตัว และไม่ ได้รับความร่วมมือจากแม่ทัพภาคที่ 3 เท่าที่ควร เกิดปัญหาในการปฏิบัติ เพราะขาดผู้ตัดสินใจ จึงทำให้ ประสิทธิภาพในการทำงานของฝ่ายทหารลดลงโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
|
||||||||||||||||||||||||||||||
222 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (มาตรการจูงใจในการประหยัด) | นร | 05/07/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอดังนี้ เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะ
รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับมาตรการจูงใจในการประหยัดไฟฟ้าและประปา รวม 4 มติ และเห็นชอบรูปแบบและ แนวทางการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (มาตรการจูงใจในการประหยัด) ที่ปรับปรุง ใหม่ โดยให้กระทรวง กรม หน่วยงานอิสระ และองค์การมหาชน รวบรวมรายงานการใช้ไฟฟ้าและประปา ของหน่วยงานส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีปีละ 1 ครั้งเพื่อจะได้รวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
223 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (รายงานผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ท่าจีน แม่กลอง ป่าสัก บางปะกง ประแสร์ ระยอง ลำตะคอง มูล ชี นครนายก จันทบุรี พังราด และตราด) | ทส | 05/07/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุม
มลพิษ รายงานสถานการณ์คุณภาพน้ำทั่วประเทศในรอบหกเดือนหลัง ปี พ.ศ. 2547 (กรกฎาคม-ธันวา คม 2547) และแบบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2546 ที่มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักในการรายงาน ผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ท่าจีน แม่กลอง ป่าสัก บางประกง ประแสร์ ระยอง ลำตะ คอง มูล ชี นครนายก จันทบุรี พังราด และตราด สรุปดังนี้ สถานการณ์คุณภาพน้ำ แหล่งน้ำที่มีคุณภาพ เสื่อมโทรมมาก คิดเป็นร้อยละ 5 ของแหล่งน้ำทั่วประเทศ แหล่งน้ำที่มีคุณภาพเสื่อมโทรม คิดเป็นร้อย ละ 26 ของแหล่งน้ำทั่วประเทศ มีค่าออกซิเจนละลายอยู่ในช่วง 1.9-6.8 มิลลิกรัมต่อลิตร ความสกปรก ในรูปสารอินทรีย์อยู่ในช่วง 0.7-3.9 มิลลิกรัมต่อลิตร และปริมาณแบคทีเรียทั้งหมดอยู่ในช่วง 5,300- 110,000 หน่วย แหล่งน้ำที่มีคุณภาพพอใช้ คิดเป็นร้อยละ 46 ของแหล่งน้ำทั่วประเทศ มีค่าออกซิเจนละ ลายอยู่ในช่วง 3.2-8.4 มิลลิกรัมต่อลิตร ความสกปรกในรูปสารอินทรีย์อยู่ในช่วง 0.8-2.7 มิลลิกรัมต่อ ลิตร และปริมาณแบคทีเรียทั้งหมดอยู่ในช่วง 100-32,200 หน่วย แหล่งน้ำที่มีคุณภาพดี คิดเป็นร้อยละ 23 ของแหล่งน้ำทั่วประเทศ มีค่าออกซิเจนละลายอยู่ในช่วง 3.4-8.0 มิลลิกรัมต่อลิตร ความสกปรกใน รูปสารอินทรีย์อยู่ในช่วง 0.3-2.1 มิลลิกรัมต่อลิตร และปริมาณแบคทีเรียทั้งหมดอยู่ในช่วง 140-2,800 หน่วย โดยแหล่งน้ำที่มีคุณภาพน้ำเสื่อมโทรมจะพบการปนเปื้อนของแบคทีเรียชนิดฟีคอลโคลิฟอร์มสูง มาก โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นชุมชนขนาดใหญ่ เช่น เทศบาลนคร เทศบาลเมืองต่าง ๆ แหล่งเลี้ยงปศุสัตว์ อย่างหนาแน่น หรือแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่ง โดยได้มีแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยควบคุมแหล่ง กำเนิดมลพิษให้เป็นไปตามมาตรฐานน้ำทิ้งอย่างเคร่งครัด ดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่วิกฤตอย่างเร่ง ด่วน ส่งเสริมให้เกิดความตระหนักในการรักษาสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมากรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการภาย ใต้แผนฟื้นฟูและปรับปรุงระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนทั่วประเทศ โดยสนับสนุนงบ ประมาณเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียรวมชุมชน จำนวน 14 แห่ง สร้างความ พร้อมในการดูแลและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประสานกับสำนัก งานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||||||||
224 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (การปรับปรุงระบบภาษีที่ดิน) | กค | 01/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมหารือหน่วยราชการที่
เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความเหมาะสมในการยุติแผนงานการจัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้าตามขนาดการถือ ครองตามข้อเสนอของมูลนิธิสถาบันที่ดิน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 ซึ่งผลการหารือ กระทรวงการคลัง เสนอว่า ควรยุติแผนดังกล่าว เนื่องจากการจัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้าตามขนาดการถือครองมีการ จัดเก็บภาษีในอัตราที่สูง (ร้อยละ 2 ของราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง) ซึ่งยังไม่เหมาะสมที่จะนำมา ใช้จัดเก็บในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงการคลังได้เร่งผลักดันให้พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่ง ปลูกสร้างให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว โดยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เร่งผลักดันอยู่นี้ จะเป็นการเก็บภาษีใน อัตราไม่เกินร้อยละ 0.3 ของราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้ยุติแผนการศึกษา จัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้าตามขนาดการถือครองตามข้อเสนอของมูลนิธิสถาบันที่ดิน และเห็นควร ให้เร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดการกระจาย การถือครองที่ดินได้ในระดับหนึ่งและกระตุ้นให้ใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์มากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
225 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (การเปิดเขตการค้าเสรีด้านการค้าสินค้าระหว่างอาเซียน - จีน) | พณ | 22/02/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินการเปิดเขตการค้าเสรีด้าน
การค้าสินค้าระหว่างอาเซียน-จีน ซึ่งในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2547 ณ กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยนายกรัฐมนตรีของไทยได้ลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยการรวม กลุ่มสาขาสำคัญของอาเซียน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะรัฐมนตรีที่รับผิดชอบการรวมกลุ่ม ทางเศรษฐกิจของอาเซียนและหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ลงนามในพิธี สารว่าด้วยการรวมกลุ่มรายสาขาของอาเซียน 11 ฉบับ พิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน ความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและ สาธารณรัฐประชาชนจีน รวมทั้งความตกลงว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐประชา ชนจีน ทั้งนี้ ในการลงนามกรอบความตกลง ความตกลง และพิธีสารดังกล่าวไม่ได้มีการแก้ไขในรายละเอียด/ สาระสำคัญแต่ประการใด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
226 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (เรื่อง การรายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ) | วท | 25/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานผลการดำเนินการตามมติ
คณะรัฐมนตรี เรื่อง การรายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ โดยได้มีการ จัดประชุมระดมความคิดเห็นคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศ เรื่อง สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (Genetically Modified Organisms - GMOs) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2547 ณ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ สรุปดังนี้ GMOs เป็นผลผลิตจากความก้าวหน้าของวิทยาการทางด้านพันธุวิศวกรรม ซึ่งเป็นวิทยาการด้านหนึ่ง ของเทคโนโลยีชีวภาพ มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยความสำเร็จของการพัฒนา GMOs มีให้เห็นอย่างเป็น รูปธรรม ได้แก่ การยกระดับคุณภาพอาหาร ยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น อินซูลิน และวัคซีนป้องกันโรค ตับอักเสบ ชนิดบี เป็นต้น ในการผลิตอาหาร เช่น การผลิตเอนไซม์ที่ใช้ในการผลิตเนยแข็ง เป็นต้น อย่างไรก็ ตาม เทคโนโลยีชีวภาพเหมือนกับเทคโนโลยีอื่นที่มนุษย์พัฒนาขึ้น หากใช้อย่างขาดความรู้หรือมีวัตถุประสงค์ ร้ายก็อาจเกิดโทษได้ ในกรณีของ GMOs มีความซับซ้อนในการบริหารจัดการเพื่อให้มั่นใจว่ามีความเสี่ยงน้อย และให้เกิดการยอมรับ สำหรับอาหารที่ได้จาก GMOs ที่มีอยู่ในตลาดโลกได้ผ่านการประเมินความปลอดภัย แล้ว ว่ามีความปลอดภัยสำหรับบริโภคเทียบเท่ากับอาหารที่ได้จากวิธีการที่เคยใช้อยู่ และยังไม่เคยมีรายงาน เรื่องผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ที่เป็นผลมาจากการบริโภคอาหารจากพืช GMOs แต่อย่างใด และในส่วน ของข้อเสนอประชาคมวิทยาศาสตร์ของไทย ซึ่งเชื่อมั่นในความปลอดภัยจากการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีพันธุ วิศวกรรมที่ผ่านการพิสูจน์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แล้ว และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สามารถ พิสูจน์ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ GMOs ได้ การวิจัยและพัฒนา GMOs มีความสำคัญในการพัฒนาความ สามารถทางการแข่งขันด้านการเกษตรของประเทศ การเร่งวิจัยและพัฒนาด้าน GMOs จะต้องทำการค้นคว้า อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งของงานวิจัยในระดับห้องปฏิบัติการ ควบคู่กับการพัฒนาเทคโน โลยีชีวภาพในสาขาอื่น ๆ เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ไทยได้เข้าถึงองค์ความรู้ด้าน GMOs สำหรับการทดสอบใน ระดับไร่นาหรือสภาพเปิด ควรมีการกำหนดขอบเขตพื้นที่ปลูกทดสอบที่ชัดเจน และช่วงเวลาที่เหมาะสมตาม หลักวิชาการ มุ่งเน้นพัฒนาพืช GMOs เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตในปัจจุบัน การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ของประเทศและศักยภาพในการ แข่งขัน การเพิ่มผลผลิตที่วิธีการดั้งเดิมหรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้ และควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของ การสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยเป็นสำคัญ นอกเหนือจากการประยุกต์ใช้ในเกษตรอุตสาหกรรม นอกจากนี้ นักวิชาการโดยเฉพาะในส่วนของประชาคมวิทยาศาสตร์ ควรเข้ามามีบทบาทในการให้ความรู้ความเข้าใจกับ ประชาชนให้ทั่วถึง หากสังคมยังมีความไม่แน่ใจ ควรเร่งพิสูจน์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้สังคมเกิด ความมั่นใจในความปลอดภัยในที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
227 | ขอรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (การขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการโครงการศึกษาวิจัยทางธรณีวิทยาในเขตป่าสงวนแห่งชาติ) | อก | 11/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมือง
แร่รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรี เพื่อให้กรมอุตสาห กรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินโครงการศึกษาวิจัยทางธรณีวิทยาในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ศักยภาพ แร่ทองแดง ภูหิน เหล็กไฟ-ภูหัวเขา อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ กรมอุตสาห กรรมพื้นฐาน ฯ ได้แต่งตั้งคณะทำงานโครงการศึกษาวิจัยทางธรณีวิทยาในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว เพื่อทำ หน้าที่ควบคุม ตรวจสอบ และกำกับดูแลการดำเนินการโครงการ และตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อป้อง กันและแก้ไขในทุกระยะการศึกษา ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาตให้ใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้ และสำนัก งานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนด หลักเกณฑ์เงื่อนไขในการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ โดยจะเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อนส่งเรื่องให้กรมป่าไม้ออกหนังสืออนุญาตให้ใช้พื้นที่โครงการดังกล่าว และคณะทำ งานโครงการ ฯ ได้เห็นชอบในหลักการกับแผนงานการดำเนินโครงการ ฯ โดยมีเงื่อนไขว่า แผนงานดังกล่าว ต้องสอดคล้องกับเงื่อนไขการอนุญาตให้ใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้คณะทำงาน ฯ ร่วมตรวจสอบพื้นที่ โครงการในเดือนมกราคม 2548 เมื่อกรมป่าไม้อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเพื่อดำเนินการ โครงการดังกล่าวแล้ว กระทรวงอุตสาหกรรมจะได้เร่งรัดให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐาน ฯ ดำเนินการโครงการ ฯ ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
228 | การแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรผู้สอนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | ศธ | 04/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.1 (ฝ่ายการ
ศึกษาและการสาธารณสุข) ที่มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนออัตราจ้างครูอาสาสมัครการศึกษานอก โรงงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวน 104 อัตรา โดยให้ใช้งบประมาณของกองอำนวยการเสริมสร้างสันติ สุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.) และให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ เกี่ยวกับ การให้ความสำคัญกับผู้นำศาสนาและผู้นำชุมชนในการเข้ามามีส่วนช่วยดำเนินการ รวมทั้งการนำระบบพนักงาน ราชการมาใช้เพื่อให้เกิดความหลากหลายในการจ้าง และจัดให้มีการประเมินผลการดำเนินงานว่า มีคุณภาพและ ได้ผลสัมฤทธิ์ตรงตามเป้าหมาย หรือไม่ และความเห็นของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวง การคลัง ที่เห็นควรเปิดโอกาสให้บุคคล ซึ่งมีความรู้ ความสามารถในพื้นที่ใกล้เคียงหรือพื้นที่อื่นที่มีความประสงค์ จะปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับการพิจารณาการจ้างด้วย ไปประกอบการพิจารณาดำเนิน การด้วย ทั้งนี้ การจ้างครูอาสาสมัครการศึกษานอกโรงเรียนต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 หากกระทรวง ศึกษาธิการเห็นว่ายังมีความจำเป็น ก็ขอให้เร่งทำความตกลงเรื่องกรอบอัตรากำลังลูกจ้างชั่วคราวกับสำนักงาน ก.พ. ก่อน เพื่อประกอบการพิจารณาเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ต่อไป และให้ กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2547 เรื่อง การ แก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรผู้สอนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าได้ดำเนินการตามหลักการให้จ้าง คนในพื้นที่ เพื่อให้มีความผูกพันและสามารถอยู่ปฏิบัติงานในพื้นที่หรือไม่ โดยให้รายงานสถิติว่าได้จ้างใคร หาก ไม่ใช้คนในพื้นที่ มีเหตุผลความจำเป็นที่เหมาะสมที่ไม่อาจจ้างคนในพื้นที่อย่างใด ตามที่ประธานกรรมการกลั่น กรอง ฯ มอบหมายในประเด็นอภิปรายด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
229 | การแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรผู้สอนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | ศธ | 04/01/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.1 (ฝ่ายการ
ศึกษาและการสาธารณสุข) ที่มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนออัตราจ้างครูอาสาสมัครการศึกษานอก โรงงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวน 104 อัตรา โดยให้ใช้งบประมาณของกองอำนวยการเสริมสร้างสันติ สุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.) และให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ เกี่ยวกับ การให้ความสำคัญกับผู้นำศาสนาและผู้นำชุมชนในการเข้ามามีส่วนช่วยดำเนินการ รวมทั้งการนำระบบพนักงาน ราชการมาใช้เพื่อให้เกิดความหลากหลายในการจ้าง และจัดให้มีการประเมินผลการดำเนินงานว่า มีคุณภาพและ ได้ผลสัมฤทธิ์ตรงตามเป้าหมาย หรือไม่ และความเห็นของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวง การคลัง ที่เห็นควรเปิดโอกาสให้บุคคล ซึ่งมีความรู้ ความสามารถในพื้นที่ใกล้เคียงหรือพื้นที่อื่นที่มีความประสงค์ จะปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับการพิจารณาการจ้างด้วย ไปประกอบการพิจารณาดำเนิน การด้วย ทั้งนี้ การจ้างครูอาสาสมัครการศึกษานอกโรงเรียนต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 หากกระทรวง ศึกษาธิการเห็นว่ายังมีความจำเป็น ก็ขอให้เร่งทำความตกลงเรื่องกรอบอัตรากำลังลูกจ้างชั่วคราวกับสำนักงาน ก.พ. ก่อน เพื่อประกอบการพิจารณาเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ต่อไป และให้ กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2547 เรื่อง การ แก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรผู้สอนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าได้ดำเนินการตามหลักการให้จ้าง คนในพื้นที่ เพื่อให้มีความผูกพันและสามารถอยู่ปฏิบัติงานในพื้นที่หรือไม่ โดยให้รายงานสถิติว่าได้จ้างใคร หาก ไม่ใช้คนในพื้นที่ มีเหตุผลความจำเป็นที่เหมาะสมที่ไม่อาจจ้างคนในพื้นที่อย่างใด ตามที่ประธานกรรมการกลั่น กรอง ฯ มอบหมายในประเด็นอภิปรายด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
230 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีด้านความร่วมมือในการรับซื้อสินค้าเกษตร 9 รายการ ภายใต้ ASIP จากประเทศเพื่อนบ้าน | พณ | 21/12/2547 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
ด้านความร่วมมือในการรับซื้อสินค้าเกษตร 9 รายการ ภายใต้ AISP จากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ข้าวโพด หวาน ละหุ่ง มะม่วงหิมพานต์ ยูคาลิปตัส ถั่วลิสง ลูกเดือย ถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันฝรั่ง และการ เพิ่มจำนวนผู้นำเข้าถั่วเหลืองจากราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสหภาพ พม่า โดยนำเข้าถั่วเหลืองได้เสรีและไม่จำกัดปริมาณการนำเข้า ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิระวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (Ayeyawady - Chao Phraya - Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย One Way Free Trade และภาระการรับซื้อถั่วเหลืองในประเทศของผู้ นำเข้ารายใหม่ และเห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เห็นว่า หากมีผู้ประสงค์จะขอ เป็นผู้นำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองรายใหม่ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายถั่วเหลืองและพืชน้ำ มันอื่นและต้องรับซื้อถั่วเหลืองที่ผลิตได้ภายในประเทศตามราคาที่กำหนดเช่นเดียวกับผู้ที่มีสิทธิรายเดิม ทั้งนี้ ผู้นำเข้าต้องทำสัญญารับซื้อถั่วเหลืองภายในประเทศกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ สำหรับสินค้า 8 รายการ ได้แก่ ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ละหุ่ง มะม่วงหิมพานต์ ยูคาลิปตัส ถั่วลิสง มันฝรั่ง และลูกเดือย กระทรวงเกษตร ฯ ไม่ขัดข้องในการให้สิทธิพิเศษในทางภาษีศุลกากร เนื่องจากความ ต้องการในประเทศมีมาก ประกอบกับปริมาณและมูลค่าการนำเข้ามีเพียงเล็กน้อย และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ต่อการผลิตในประเทศการให้สิทธิพเศษดังกล่าวควรพิจารณาปีต่อปี |
||||||||||||||||||||||||||||||
231 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (การป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจังหวัดจันทบุรีอย่างบูรณาการ) | ทส | 14/12/2547 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนิน
การตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2547 ที่อนุมัติในหลักการมาตรการ/โครงการป้องกันและแก้ไข ปัญหาน้ำท่วมจังหวัดจันทบุรีอย่างบูรณาการ เพื่อพิจารณาทบทวนปรับรูปแบบและรายละเอียดของการดำเนิน การต่าง ๆ ให้มีขนาด เทคนิค วิธีการ และวงเงินค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม เท่าที่จำเป็น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ โดยกรมทรัพยากรน้ำได้ดำเนินการประสานและติดตามความคืบหน้าการดำเนินการของกรมชลประทานในการ พิจารณาปรับรูปแบบของคลองระบายด้วยการลดการก่อสร้างถนนฝั่งซ้ายของคลองให้เหลือเฉพาะเขตคลองเพื่อ การซ่อมบำรุงเท่านั้น เพื่อลดราคาโครงการและยังลดปัญหาทางสังคมได้ด้วย ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาทบ ทวนปรับรูปแบบของกรมชลประทาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
232 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำท่าจีน | นร | 23/11/2547 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำท่าจีน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยสำนักวางแผนทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์และเทค โนโลยี ได้ประสานงานกับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการ อย่างต่อเนื่องในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้ให้ความสำคัญกับการ แก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำท่าจีนในภาพลุ่มน้ำใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดชัยนาท สุพรรณบุรี นคร ปฐม และสมุทรสาคร มีแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับการจัดการลุ่มน้ำในภาพรวมที่ชัดเจน เช่น มีแนวทาง การจัดการน้ำเสียจากฟาร์มสุกร และได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งดำเนินการตามแผนฟื้นฟู และปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนทั่วประเทศ และแผนการจัดการน้ำเสียชุมชนทั่วประเทศ คาด ว่าจะจัดทำแผนปฏิบัติการแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2547 และจะรายงานผลสถานการณ์คุณภาพน้ำให้คณะ รัฐมนตรีทราบทุกรอบ 6 เดือน กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ติดตามตรวจสอบโรงงานและจัดทำข้อมูลน้ำทิ้ง จากภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำท่าจีนทุก 3 เดือน พบว่าโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก มีการจัดทำระบบบำบัดชนิดบ่อธรรมชาติ เพื่อป้องกันปัญหาน้ำทิ้งจากโรงงานลงสู่แม่น้ำ กระทรวงศึกษา ธิการ มีการสร้างจิตสำนึกควบคู่กับการศึกษาทางการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกับโรงเรียนที่ชัดเจนอยู่อย่าง ต่อ เนื่อง และกระทรวงมหาดไทย มีการดำเนินการเพื่ออนุรักษ์แม่น้ำท่าจีนอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับแนวทาง การปฏิรูประบบราชการและการกระจายอำนาจ เช่น มีการจัดกิจกรรม ทำความสะอาดลำน้ำ การเก็บผัก ตบชวา เป็นต้น จากผลการประสานงานทำให้ทราวว่าแนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำท่าจีนได้มี การแก้ไขปัญหาที่เป็นระบบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะ ๆ น่าจะส่ง ผลดีต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชนบริเวณลุ่มน้ำท่าจีนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
233 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ขออนุมัติในหลักการให้จ่ายเงินชดเชยเพื่อจัดหาที่ดินเป็นกรณีพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนน้ำอูน) | กษ | 09/11/2547 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะ
รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2547 เกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยเพื่อจัดหาที่ดินเป็นกรณีพิเศษแทนการจัดสรร ที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ซึ่งได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนน้ำอูน โดยสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้ดำเนินการเจรจากับผู้ถือครองที่ดินเดิมที่ประสงค์จะสละการถือครองที่ดิน ซึ่งมีผู้ประสงค์ ฯ ขอรับ ค่าชดเชย รวมทั้งสิ้น 186 แปลง เนื้อที่ประมาณ 3,296-2-87 ไร่ ในพื้นที่ 12 อำเภอ สำหรับกรณีราษฎร จำนวน 854 รายขอรับเป็นเงินไร่ละ 10,000 บาทแทนที่ดินที่ ส.ป.ก. จะจัดหาให้ และอีก 41 รายขอรับเงิน ทดแทนไร่ละ 30,000 บาท นั้น เห็นควรจ่ายเป็นเงินชดเชยไร่ละ 10,000 บาทให้แก่ราษฎรจำนวน 854 ราย แทนการจัดหาที่ดินในเขต ส.ป.ก. ส่วนราษฎรอีก 41 รายที่เรียกร้องไร่ละ 30,000 บาท เห็นควรจัดที่ดินให้ ตามหลักการเดิม ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของคณะรับมนตรีไปดำเนินการด้วยว่า การ จ่ายเงินชดเชยกรณีนี้ให้ยึดหลักการที่จะจ่ายในอัตราไร่ละ 10,000 บาท หากราษฎร จำนวน 41 ราย ที่ได้ เรียกร้องเงินชดเชยไว้สูงกว่านี้ ตกลงที่จะยอมรับเงินชดเชยในอัตราไร่ละ 10,000 บาท ก็ให้กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ดำเนินการต่อไปได้ โดยใช้งบประมาณปกติของหน่วยงาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
234 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (จำนวน 9 เรื่อง 1 โครงการ ขยายโอกาสอุดมศึกษาไปสู่ภูมิภาคของมหาวิทยาลัยมหิดล จังหวัดนครสวรรค์ ฯลฯ) | ศธ | 05/10/2547 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
จำนวน 9 เรื่อง ดังนี้ (1) โครงการขยายโอกาสอุดมศึกษาไปสู่ภูมิภาคของมหาวิทยาลัยมหิดล จังหวัดนครสวรรค์ มหาวิทยา ลัยเกษตรศาสตร์ จังหวัดกระบี่ และมหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดสระแก้ว (2) โครงการพัฒนาการศึกษาด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมระดับอุดมศึกษา ของสถาบันเทคโนโลยีพระ จอมเกล้าพระนครเหนือ (3) การยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติและคำสั่งอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน (4) ยืนยันการขออนุมัติขยายหน่วยงานรับจัดทำ หรือรับจ้างผลิตตามคำสั่งซื้อจากหน่วยงานราชการ ต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ (5) โครงการพัฒนาบุคลากรเพื่อการปฏิรูปการศึกษาของสถาบันราชภัฏ (6) ยุทธศาสตร์และแนวทางการปฏิรูปอุดมศึกษาไทย (7) ยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษา (8) การปรับปรุงพัฒนาการศึกษาของประเทศ (9) โครงการพัฒนาการศึกษาด้านอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม |
||||||||||||||||||||||||||||||
235 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ข้อตกลงความเข้าใจในเรื่องการจัดหารถดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยใหักับกรุงเทพมหานครระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับ รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย) | มท | 17/08/2547 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการทำความตกลงกับรัฐบาลแห่ง
สาธารณรัฐออสเตรียเรื่อง การจัดหารถดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยให้กับกรุงเทพมหานคร โดย กระทรวงมหาดไทยได้ลงนามข้อตกลงของความเข้าใจเรื่องการจัดหารถดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณ ภัยให้กับกรุงเทพมหานคร ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย เมื่อวัน ศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม 2547 เรียบร้อยแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
236 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี [สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP)] | อก | 27/07/2547 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการดำเนินการตามมติ
คณะรัฐมนตรี วันที่ 12 พฤศจิกายน 2545 และวันที่ 2 มกราคม 2546 ในเรื่อง สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) สรุปได้ดังนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้จัดทำโครงการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริม การพัฒนาและกระจายสินค้าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อ เป็นศูนย์กลางการให้บริการแก่ SMEs และวิสาหกิจชุมชนอย่างครบวงจร จัดตั้งศูนย์การตลาดผลิต ภัณฑ์ไทย ส่งเสริมการท่องเที่ยวและส่งเสริมการลงทุน เพื่อเป็นศูนย์กลางการดำเนินธุรกิจ เป็น ช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ จาก SMEs โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ และเป็นสถานที่พัฒนา สินค้าทั้งในด้านรูปแบบการผลิตและการตลาด และได้ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงรูปแบบผลิตภัณฑ์ โดยคัดเลือกนักออกแบบจำนวน 214 คน และแบบบรรจุภัณฑ์ที่ผ่านเกณฑ์ จำนวน 100 แบบ จาก การประกวดออกแบบผลิตภัณฑ์ 3 ครั้ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น และกรุงเทพฯ ในด้านคุณภาพ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนด มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน มาตรฐานอาหารและยา และมาตรฐานเกษตรและอาหารแห่งชาติ รอง รับสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ จำนวนกว่า 9,000 ประเภทผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ได้จัดตั้งศูนย์ ออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อเป็นหน่วยงานด้านกลยุทธ์การออกแบบส่ง เสริมและพัฒนาการออกแบบ ทั้งผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและหัตถกรรม สนับสนุนด้านการศึกษา ส่งเสริมการสร้างฐานความรู้ในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ฯลฯ โครงการ ฯ มีระยะเวลา ดำเนินการ 5 ปี (2548-2552) โดยในปี 2548 มีเป้าหมายดำเนินการจัดทำข้อมูลด้านการออก แบบ พัฒนาบุคลากรด้านการออกแบบ และการศึกษาวิจัยเพื่อการพัฒนา
|
||||||||||||||||||||||||||||||
237 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่องแผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาดประจำปี พ.ศ. 2546 | นร | 20/07/2547 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ. รายงานผลการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ
สร้างราชการใสสะอาด ประจำปี พ.ศ. 2546 ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งสิ้น 125 แห่ง จำแนกเป็น กระทรวง กรม 118 แห่ง รัฐวิสาหกิจ 1 แห่ง มหาวิทยาลัย 5 แห่ง และองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น 1 แห่ง โดยมีผลการดำเนินการดังนี้ (1) การส่งเสริมจิตสำนึกราชการใสสะอาด ช่วยให้ข้าราชการ มีสำนึกและพฤติกรรมการทำงานที่มีคุณธรรม จริยธรรม เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติงาน ของส่วนราชการ ลดปัญหาร้องเรียนและทุจริต ประชาชนได้รับบริการที่ดี (2) การป้องกันเหตุการณ์และ พฤติกรรมที่อาจเป็นภัยต่อประเทศไทยใสสะอาด ช่วยให้หน่วยงานมีบรรยากาศการทำงานที่ดี ลดขั้นตอน รวมทั้งข้อผิดพลาดในการทำงาน ข้าราชการมีคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดี และเกิดความร่วมมือกัน (3) การจัดการกรณีทุจริตที่เกิดขึ้นแล้วหรือกำลังเกิดขึ้น ช่วยให้การบริหารงานของหน่วยงานมีมาตรฐานและ มีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงและข้อผิดพลาดในการทำงาน ลดการทำผิดวินัยและทุจริต ข้าราชการปฏิบัติ งานอย่างโปร่งใสเป็นธรรม และข้อร้องเรียนของประชาชนได้รับการแก้ไข ทั้งนี้ จากผลการดำเนินการตาม แผน ฯ ดังกล่าว กิจกรรมที่ส่วนราชการให้ความสำคัญมากที่สุดคือ การป้องกันพฤติกรรมที่อาจเป็นภัยต่อ ประเทศไทยใสสะอาด รองลงมาคือ การสร้างจิตสำนึกราชการใสสะอาด และการดำเนินการกรณีทุจริตที่ เกิดขึ้นหรือจะเกิดขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
238 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (โครงการพัฒนาระบบบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของกรุงเทพมหานคร) | มท | 20/07/2547 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร รายงานผลการประชุม
หารือเกี่ยวกับโครงการพัฒนาระบบบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของกรุง เทพมหานคร เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร โดยที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยว กับการจัดตั้งสถาบันหรือศูนย์ฝึกอบรมการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย หรือโรงเรียนการดับเพลิง การ จัดหาวัสดุ อุปกรณ์ ครุภัณฑ์ยานพาหนะต่าง ซึ่งที่ประชุม ฯ มีมติเห็นชอบให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานดำเนินการขอรับการสนับสนุนเงินงบประมาณจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมดัง กล่าว โดยให้กรุงเทพมหานครมีส่วนในการพิจารณาองค์ประกอบของสถานที่ รวมทั้งอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่อง ใช้ต่าง ๆ ซึ่งกรุงเทพมหานครพิจารณาเห็นว่า จำเป็นต้องซื้อยานพาหนะเพิ่มจำนวน 315 คัน เรือดับเพลิง จำนวน 30 ลำ และครุภัณฑ์ที่จะต้องจัดหาตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการไว้แล้วเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2547 เป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้น 133.74978 ล้านยูโร หรือ 6,687,489,000.00 บาท นอกจากนี้ ที่ ประชุม ฯ ได้พิจารณาเกี่ยวกับสัดส่วนและจำนวนเงินอุดหนุนต่อกรุงเทพมหานคร โดยมีมติรับหลักการใช้จ่าย เงินงบประมาณในลักษณะเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ร้อยละ 60 และเงินของกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 40 และ การดำเนินการเกี่ยวกับการทำการค้าต่างตอบแทน (Counter Trade) กับรัฐบาลออสเตรีย ซึ่งรัฐบาลออส เตรียได้แสดงเจตนาชัดเจนยินดีรับพันธะกรณี |
||||||||||||||||||||||||||||||
239 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (เรื่อง การขยายระยะเวลาการให้ความคุ้มครองชดใช้ความเสียหายต่อบุคคลที่สามที่เกิดจากภัยสงคราม และภัยที่เกี่ยวเนื่องในส่วนที่เกินจากวงเงิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) | คค | 16/07/2547 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินการขยายระยะเวลาการ
ให้ความคุ้มครองชดใช้ความเสียหายต่อบุคคลที่สามที่เกิดจากภัยสงคราม และภัยที่เกี่ยวเนื่องในส่วนที่เกินจาก วงเงิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สรุปได้ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2547 อนุมัติการ ขยายระยะเวลาในการให้ความคุ้มครองชดใช้ความเสียหายต่อบุคคลที่สามที่เกิดจาภัยสงคราม และภัยที่เกี่ยว เนื่องในส่วนที่เกินจากวงเงิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ อีกเป็นจำนวน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ ในรูป ของ Government Indemnity จากเดิมออกไปอีก 6 เดือน นับจากวันที่ 1 เมษายน-30 กันยายน 2547 โดยให้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการจัดหาผู้รับประกันภัยในส่วนวงเงินที่เกิน 50 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ ฯ โดยเร็ว นั้น ในส่วนของการจัดหาผู้รับประกันภัยดังกล่าว จากการประสานระหว่าง บกท. กับตลาด ประกันภัยเครื่องบิน ทราบว่า มีแหล่งรับประกันภัยที่มีความมั่นคงที่สามารถรับประกันภัยดังกล่าวได้ ซึ่งสาย การบินส่วนใหญ่จะซื้อความคุ้มครองในส่วนที่เกินจากวงเงิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ ไปอีก 950 ดอลลาร์ สหรัฐ ฯ ต่อกรณี และสูงสุดไม่เกิน 950 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลอดระยะเวลาเอาประกันภัย 12 เดือน โดย ขณะนี้ บกท. กำลังเจรจากับแหล่งรับประกันภัยดังกล่าว เพื่อให้ บกท. ได้รับเงื่อนไขความคุ้มครองและเบี้ย ประกันภัยที่ดีที่สุดสำหรับความคุ้มครองที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไป และ บกท. จะได้ราย งานผลความคืบหน้าของการดำเนินงานให้ทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
240 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (เรื่อง การลงนามความตกลงโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำเหืองไทย - ลาว) | คค | 29/06/2547 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินการลงนามความตกลง
โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำเหือง ไทย-ลาว โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ของไทย และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของลาว ได้ลงนามความตกลง ดังกล่าวร่วมกันในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-ลาว อย่างไม่เป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2547 ณ จังหวัดอุบลราชธานี |
.....