ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 128 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 2541 - 2560 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2541 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 9 | กค | 12/04/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 9 (The Ninth ASEAN Finance Ministers Meeting : AFMM) ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง วันที่ 5-6 เมษายน 2548 ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สรุปผลการ ประชุมได้ดังนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนเห็นพ้องที่จะดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเวียงจันทน์ (Vientiane Action Program) ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการที่มีระยะเวลา 6 ปี (2548-2553) เพื่อนำไปสู่การก่อตั้ง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) ในปี 2563 และตกลงที่จะเสริมสร้างการเชื่อม โยงตลาดทุนต่าง ๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียนได้กำหนดวิสัยทัศน์สำหรับตลาดทุนของอาเซียนให้เป็นตลาดทุนที่ มีความเชื่อมโยงกันภายในปี 2553 (ค.ศ. 2010) รวมทั้งเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์สำหรับการพัฒนาศุลกากร อาเซียนปี 2548-2553 (Strategic Plan of Customs Development 2005-2010) เพื่อสนับสนุนการรวมตัว ของอาเซียน โดยการส่งเสริมการค้าและการลงทุนของภูมิภาค ส่วนมาตรการช่วยเหลือกันเองระหว่างประเทศ สมาชิกอาเซียน (Regional Self-Help and Support Mechanism) ที่ประชุมมีมติให้ขยายวงเงินของความตกลง ว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตราอาเซียน (ASEAN swap Arrangement) โดยขยายวงเงินเพิ่มจาก 1 พันล้านเหรียญ สหรัฐ ฯ เป็น 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินมาตรการริเริ่ม พัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Boond Markets Initiative : ABMI) ซึ่งมีความคืบหน้าไปมากแล้ว โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการออกพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นในภูมิภาค อาทิ การออกพันธบัตรสกุลเงินริงกิต โดยธนาคารพัฒนา เอเชียในประเทศมาเลเซียจำนวน 400 ล้านริงกิต และในสิงคโปร์อีกเป็นจำนวน 200 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เป็น ต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2542 | การตรวจราชการเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง จังหวัดเลยและจังหวัดอุดรธานี | วท | 12/04/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานสรุปผล
การตรวจราชการเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งจังหวัดเลยและจังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 7-8 เมษายน 2548 โดยผล การช่วยเหลือราษฎรทั้ง 2 จังหวัดที่ประสบภัยแล้ง ทางจังหวัดได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วโดยใช้เงินทดรองราช การในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด (50 ล้านบาท) ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2546 ดังนี้ จังหวัดเลย 29 ล้านบาท จังหวัดอุดรธานี 46.47 ล้านบาท งบอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและงบปกติของส่วนราชการ ในการนี้ รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้มอบนโยบายให้จังหวัดเร่งรัดการให้ความช่วยเหลือให้ทันท่วงที โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ดำเนินการเพื่อการกักเก็บน้ำที่จะต้องเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จประมาณ กลางเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อให้สามารถกักเก็บน้ำได้ทันในฤดูฝนที่จะมาถึง สำหรับปัญหาอุปสรรคที่พบและ เห็นสมควรให้มีการดำเนินการแก้ไข อาทิ เร่งรัดการส่งงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการขุดลอกแหล่งน้ำลงสู่พื้น ที่ เพื่อให้การดำเนินการแล้วเสร็จก่อนฤดูฝนจะมาถึงเพื่อให้การจัดเก็บน้ำสามารถทำได้ทันเวลา และเพื่อป้อง กันไม่ให้เกิดปัญหาดังเช่นทุกปีที่ผ่านมาซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้และต้องเลื่อนไปดำเนินการในปีถัดไป โดย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันรับผิดชอบพิจารณาคัดแยกโครงการเร่งด่วนเฉพาะหน้า เกี่ยวกับการแก้ปัญหา เรื่องน้ำเพื่อให้งบประมาณสามารถจัดส่งลงถึงพื้นที่ได้ทันในปีนี้ เป็นต้น โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพินิจ จารุสมบัติ) รับข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคและแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง รวมทั้งรายงาน หรือข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในจังหวัดอื่นๆ ทั้งหมดของรัฐมนตรีทุกท่านที่ได้รับมอบ หมายให้ดูแลพื้นที่จังหวัดซึ่งได้เดินทางไปตรวจราชการ และได้เสนอคณะรัฐมนตรีมาแล้วในคราวนี้ และที่จะ เสนอในคราวต่อ ๆ ไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2548 เรื่อง การแก้ไขปัญหาภัยแล้งทั้งระบบในภาพรวมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2543 | รายงานสรุปความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ (ครั้งที่ 14) | มท | 05/04/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับข้อมูลความเสียหายและการ
ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ครั้งที่ 14) จนถึงวันที่ 4 เมษายน 2548 โดยพื้นที่ประสบภัยพิบัติบริเวณพื้นที่ ชายฝั่งทะเลอันดามันของจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันตก 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล มีพื้นที่ประสบภัยรวม 25 อำเภอ/กิ่งอำเภอ 95 ตำบล 407 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 58,550 คน 12,017 ครอบครัว ผู้เสียชีวิต 5,395 คน (คนไทย 1,952 คน คนต่างประเทศ 1,953 คน ไม่ สามารถระบุได้ 1,490 คน) บาดเจ็บ 8,457 คน (คนไทย 6,065 คน คนต่างประเทศ 2,392 คน) สูญหาย 2,906 คน (คนไทย 1,998 คน คนต่างประเทศ 908 คน) และเด็กกำพร้ามีจำนวนทั้งสิ้น 1,172 คน ด้าน ความเสียหายต่อทรัพย์สิน ประกอบด้วย บ้านเรือนราษฎรเสียหายทั้งหลัง 3,302 หลัง และเสียหายบางส่วน 1,504 หลัง พื้นที่การเกษตร เสียหายคิดเป็นมูลค่า 6,625,174.50 บาท พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และเครื่องมือ ประมง เสียหายคิดเป็นมูลค่า 1,808,891,883 บาท ปศุสัตว์ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 17,625,605.50 บาท สถานประกอบการ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 13,101,249,720 บาท ส่วนสิ่งสาธารณประโยชน์ ประกอบด้วย ท่าเทียบเรือ สะพาน ถนน ท่อระบายน้ำ พนัง/เขื่อน ระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และอื่น ๆ ได้รับความเสียหายประเมินขั้นต้นประมาณ 1,057.39 ล้านบาท และความเสียหายด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่แวดล้อม ได้รับความเสียหายทั้งด้านสภาพชายหาด ป่าชายเลน ป่าไม้ แหล่งน้ำจืด แนวปะการัง รวมทั้ง เกิดสภาพดินเค็มในบางพื้นที่ สำหรับการให้ความช่วยเหลือได้มีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย (จนถึงวันที่ 3 เมษายน 2548) เป็นเงินทั้งสิ้น 318,546,471 บาท การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวประมงและผู้เพาะเลี้ยงสัตว์ น้ำ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน 2548) เป็นเงินทั้งสิ้น 409,827,243 บาท การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกอบ การรายย่อย ถึงวันที่ 1 เมษายน 2548 เป็นเงินทั้งสิ้น 83,910,000 บาท ในส่วนของการจัดหาที่อยู่อาศัย ให้แก่ผู้ประสบภัย ได้สำรวจจำนวนความต้องการ (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548) มีเป้าหมายยอดรวมทั้งสิ้น 2,783 หลัง โดยก่อสร้างเสร็จแล้ว 406 หลัง และราษฎรขอรับเงินชดเชย 30,000 บาท เพื่อก่อสร้างบ้านเอง 278 ราย นอกจากนี้ ได้ดำเนินการฟื้นฟูจัดระเบียบการก่อสร้างอาคารสิ่งก่อสร้าง และจัดระเบียบชายหาด โดยทำความสะอาดขนย้ายซากปรักหักพัง ขยะมูลฝอย การบูรณะฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมในพื้นที่เขาหลัก และช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เอกสารสิทธิ ชำรุด สูญหาย และทำการรังวัดปูเขตที่ดินที่หลักเขตสูญหาย ตลอดจนช่วยเหลือการจัดระเบียบที่ดิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2544 | รายงานสรุปความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ (ครั้งที่ 13) | มท | 29/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสรุปข้อมูลความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ครั้งที่ 13) จนถึงวันที่ 28 มีนาคม 2548 โดยข้อมูลพื้นที่ประสบภัยและความเสียหาย 6 จังหวัดภาคใต้ รวม 25 อำเภอ/กิ่งอำเภอ 95 ตำบล 407 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 58,550 คน 12,017 ครอบ ครัว จำนวนผู้เสียชีวิต 5,395 คน (คนไทย 1,939 คน คนต่างประเทศ 1,953 คน ไม่สามารถระบุได้ 1,503 คน) บาดเจ็บ 8,457 คน (คนไทย 6,065 คน คนต่างประเทศ 2,392 คน) สูญหาย 2,929 คน (คนไทย 2,020 คน คนต่างประเทศ 909 คน) และเด็กกำพร้ามีจำนวนทั้งสิ้น 1,172 คน ในส่วนของความเสียหาย ต่อทรัพย์สิน ประกอบด้วย บ้านเรือนราษฎรเสียหาย 4,806 หลัง แยกเป็นเสียหายทั้งหลัง 3,302 หลัง และ เสียหายบางส่วน 1,504 หลัง พื้นที่การเกษตร เสียหายคิดเป็นมูลค่า 6,625,174.50 บาท พื้นที่เพาะเลี้ยง สัตว์น้ำ และเครื่องมือประมง เสียหายคิดเป็นมูลค่า 1,808,891,883 บาท ปศุสัตว์ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 17,625,605.50 บาท สถานประกอบการ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 13,101,249,720 บาท ส่วนความเสีย หายด้านสิ่งสาธารณประโยชน์ ประกอบด้วย ท่าเทียบเรือ สะพาน ถนน ท่อระบายน้ำ พนัง/เขื่อน ระบบ สาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และอื่น ๆ ได้รับความเสียหาย ประเมินขั้นต้นประมาณ 1,057.39 ล้านบาท และความเสียหายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับความเสียหายทั้งด้านสภาพชาย หาด ป่าชายเลน ป่าไม้ แหล่งน้ำจืด แนวประการัง รวมทั้งเกิดสภาพดินเค็มในบางพื้นที่ สำหรับการช่วย เหลือ ประกอบด้วย การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย (จนถึงวันที่ 25 มีนาคม 2548) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 317,088,451 บาท การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวประมงและผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ข้อมูล ณ วันที่ 27 มีนาคม 2548) รวมเป็นเงิน 393,444,733 บาท และการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ถึงวันที่ 24 มีนาคม 2548 จำนวน 4,238 ราย รวมเป็นเงิน 83,930,000 บาท การก่อสร้างบ้านพักถาวร จากข้อมูล สำรวจจำนวนความต้องการ ณ วันที่ 28 มีนาคม 2548 มีเป้าหมายยอดรวมทั้งสิ้น 2,751 หลัง โดยก่อ สร้างแล้วเสร็จ 176 หลัง และราษฎรขอรับเงินชดเชย 30,000 บาท เพื่อก่อสร้างบ้านเอง 266 ราย นอก จากนี้ ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการฟื้นฟูจัดระเบียบการก่อสร้างอาคารสิ่งก่อสร้างและการ จัดระเบียบชายหาด โดยการทำความสะอาดขนย้ายซากปรักหักพัง ขยะมูลฝอย การบูรณะฟื้นฟูโครงสร้าง พื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้ความช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม ในพื้นที่เขาหลัก และช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เอกสารสิทธิชำรุด สูญหาย และทำการรังวัดปูเขตที่ดินที่หลัก เขตสูญหาย ตลอดจนช่วยเหลือการจัดระเบียบที่ดิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2545 | คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยผู้นำชุมชนท้องถิ่น (จำนวน 50 ราย) | นร | 29/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอคำสั่งสำนักนายก
รัฐมนตรี ที่ 112/2548 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยผู้นำชุมชนท้องถิ่น จำนวน 50 คน โดยมี อำนาจหน้าที่เสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหาและการพัฒนาเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม การประกอบอาชีพ การแก้ปัญหาความยากจน คุณภาพชีวิตชุมชน สาธารณสุขชุมชนทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม วิถีชีวิต การพัฒนาเยาวชน การส่งเสริมคุณธรรม และการพัฒนาค่านิยม ต่อนายกรัฐมนตรี รวมทั้งยกร่างกฎ ระเบียบ หรือแนวทางพัฒนาการจัดตั้งองค์กรผู้นำชุมชนท้องถิ่นในระดับชาติและระดับอื่น ๆ ให้เป็นองค์กร ถาวร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2548 เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2546 | รายงานผลการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความแห้งแล้งของจังหวัดต่าง ๆ ในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 2, 3 และ 16 | นร | 29/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) รายงานผลการ
ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความแห้งแล้งของจังหวัดต่างๆ ในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 2 (จังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ และตาก) เขตตรวจราชการที่ 3 (จังหวัดนครสวรรค์ กำแพง เพชร พิจิตร และอุทัยธานี) และเขตตรวจราชการที่ 16 (จังหวัดนครศรีธรรมราช ตรัง และพัทลุง) โดย สถานการณ์ความแห้งแล้งของจังหวัดในเขตตรวจราชการที่ 2 มีความแห้งแล้งในระดับปานกลาง ราษฎรได้ รับความเดือดร้อนรวม 234,737 ครัวเรือน จำนวน 773,536 คน พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายรวม 491,293 ไร่ ค่าเสียหายรวมประมาณ 256,826,315 บาท ทุกจังหวัดได้จัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค 127,595,200 ลิตร โดยใช้จ่ายงบประมาณจากงบ ฯ ทดรองฉุกเฉิน งบฉุกเฉินของท้องถิ่น และงบประมาณ อื่น ๆ รวม 71,039,378 บาท สถานการณ์ความแห้งแล้งของจังหวัดในเขตตรวจราชการที่ 3 มีความแห้ง แล้งในระดับปานกลาง ราษฎรได้รับความเดือดร้อน รวม 98,526 ครัวเรือน จำนวน 396,072 คน พื้นที่ การเกษตรได้รับความเสียหายรวม 1,039,049.75 ไร่ ค่าเสียหายรวมประมาณ 265,330,013.25 บาท ทุกจังหวัดได้จัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค 76,505,060 ลิตร โดยใช้จ่ายงบประมาณจากงบ ฯ ทดรอง ฉุกเฉิน งบฉุกเฉินของท้องถิ่นและงบประมาณอื่น ๆ รวม 109,616,492.87 บาท ส่วนสถานการณ์ความ แห้งแล้งของจังหวัดในเขตตรวจราชการที่ 16 มีความแห้งแล้งในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ราษฎรได้รับ ความเดือดร้อน รวม 93,421 ครัวเรือน จำนวน 417,028 คน พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายรวม 62,641 ไร่ ค่าเสียหายรวมประมาณ 16,030,284 บาท ทุกจังหวัดได้จัดสรรน้ำเพื่อการเกษตรไปแล้วรวม 66,000 ลิตร น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค 45,553,900 ลิตร โดยใช้จ่ายงบประมาณจากงบฯ ทดรองฉุกเฉิน งบฉุกเฉินของท้องถิ่นและงบประมาณอื่น ๆ รวม 3,087,726 บาท โดยทุกจังหวัดของทั้ง 3 เขตตรวจ ราชการได้ให้ความช่วยเหลือแก่ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน โดยการจัดตั้งศูนย์อำนวยการ เฉพาะกิจช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยแล้ง นอกจากนี้ ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงได้ปฏิบัติการฝนหลวงใน ช่วงเดือนมีนาคม 2548 มีผลทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่มีความชุ่มชื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน น้ำในเขื่อนและอ่าง เก็บน้ำในหลายจังหวัดมีระดับสูงขึ้น และโดยที่จังหวัดต่างๆ ในเขตตรวจราชการที่ 2 และ 3 เป็นพื้นที่วิกฤต ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยและภัยแล้งซ้ำซากรัฐบาลควรสนับสนุนมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย และภัยแล้งดังกล่าว อาทิเช่น การก่อสร้างฝาย อ่างเก็บน้ำ และเขื่อนขนาดเล็ก-กลาง เพื่อใช้ในการกักเก็บ น้ำในฤดูแล้ง รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำยมและลำน้ำสาขาควรสนับสนุนการพัฒนาลุ่มน้ำยม และลำน้ำสาขาอย่างเป็นระบบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2547 | สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2547 - 10 มีนาคม 2548) | มท | 22/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ความแห้งแล้ง
ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2547-10 มีนาคม 2548 มีพื้นที่ประสบภัย 66 จังหวัด 633 อำเภอ 61 กิ่งอำเภอ 4,808 ตำบล 41,668 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 2,479,626 ครัวเรือน 9,596,883 คน ส่วนพื้นที่การ เกษตรที่ประสบความแห้งแล้ง (ภาพรวมทั้งประเทศ) มีดังนี้ นาข้าวเสียหาย 10,243,419 ไร่ พืชไร่เสียหาย 3,006,473 ไร่ และพืชสวนเสียหาย 454,783 ไร่ สำหรับการให้ความช่วยเหลือของจังหวัด/อำเภอ/กิ่งอำเภอ ได้ดำเนินการจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร และน้ำเพื่ออุปโภค/บริโภค ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้ประชุม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการการแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นระบบ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2548 ดังนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างกำชับให้เกษตรกรงดการปลูกข้าวนาปรัง ครั้งที่ 2 โดย เด็ดขาด และในเขตพื้นที่อ่างเก็บน้ำที่อยู่ในขั้นวิฤต ได้แก่ อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคอง ลำพระเพลิง กระเสียว ทับเสลา แก่งกระจาน และปราณบุรี ให้จังหวัดประกาศให้เกษตรกรงดการปลูกพืชฤดูแล้ง และสงวนน้ำไว้ใช้ เพื่อการอุปโภคและบริโภคเท่านั้น รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นจัดระบบการแจกจ่ายน้ำ โดยให้ประสานกับจุดจ่ายน้ำของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลในพื้นที่ ต่างๆ เพื่อรับน้ำไปแจกจ่ายให้หมู่บ้านที่ประสบภัยแล้ง และแจ้งให้ผู้จัดการการประปาภูมิภาคเตรียมการผลิต น้ำประปาเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 20 แจกจ่ายให้หมู่บ้านประสบภัยแล้ง นอกจากนี้ ให้ขุดลอกแหล่งน้ำขนาดเล็ก ก่อสร้างฝ่ายประชาอาสาและจัดหาถังน้ำกลางประจำหมู่บ้าน โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนงบ ประมาณในเบื้องต้น ทั้งนี้ หากเกินขีดความสามารถให้ร้องขอไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2548 | รายงานสรุปความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ (ครั้งที่ 11) | มท | 22/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับข้อมูลความเสียหาย และการ
ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ครั้งที่ 11) จนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2548 โดยมีพื้นที่ประสบภัยรวม 6 จังหวัด ภาคใต้ 25 อำเภอ/กิ่งอำเภอ 95 ตำบล 407 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือนร้อน 58,550 คน 12,017 ครอบครัว จำนวนผู้เสียชีวิต 5,395 คน (คนไทย 1,926 คน คนต่างประเทศ 1,953 คน ไม่สามารถระบุได้ 1,516 คน) บาดเจ็บ 8,457 คน (คนไทย 6,065 คน คนต่างประเทศ 2,392 คน) สูญหาย 2,932 คน (คน ไทย 2,023 คน คนต่างประเทศ 909 คน) และเด็กกำพร้ามีจำนวนทั้งสิ้น 882 คน ในส่วนของความเสียหายต่อ ทรัพย์สิน ประกอบด้วย บ้านเรือนราษฎรเสียหายทั้งหลัง 3,302 หลัง และเสียหายบางส่วน 1,505 หลัง พื้นที่ การเกษตร เสียหายคิดเป็นมูลค่า 6,767,958.75 บาท พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และเครื่องมือประมง เสียหายคิด เป็นมูลค่า 1,811,407,405 บาท ปศุสัตว์ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 17,625,605 บาท และสถานประกอบการ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 12,852,617,712 บาท ส่วนความเสียหายด้านสิ่งสาธารณประโยชน์ ประกอบด้วย ท่า เทียบเรือ สะพาน ถนน ท่อระบายน้ำ พนัง/เขื่อน ระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และอื่น ๆ ได้ รับความเสียหาย ประเมินขั้นต้นประมาณ 1,057.39 ล้านบาท และความเสียหายด้านทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ได้รับความเสียหายทั้งด้านสภาพชายหาด ป่าชายเลน ป่าไม้ แหล่งน้ำจืด แนวประการัง รวมทั้ง เกิดสภาพดินเค็มในบางพื้นที่ ด้านการตรวจพิสูจน์ สามารถยืนยันได้แล้ว (Identified) 1,870 ศพ (ไทย 1,471 ศพ ต่างชาติ 399 ศพ) โดยญาติได้รับศพไปแล้ว 1,789 ศพ แยกเป็นคนไทย 1,446 ศพ คนต่างชาติ 343 ศพ คงเหลือศพที่ยังไม่มารับ 81 ศพ แยกเป็นคนไทย 25 ศพ คนต่างชาติ 56 ศพ ในส่วนของผลความคืบหน้าการ ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและบริหารจัดการเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตที่ไม่สามารถยืนยันได้ (Unidentified) โดย ณ วันที่ 7 มีนาคม 2547 สามารถพิสูจน์ยืนยันบุคคลและรับศพไปแล้ว 800 ศพ แยกเป็นที่สุสานไม้ขาว จังหวัด ภูเก็ต 742 ศพ ที่วัดย่านยาว จังหวัดพังงา 58 ศพ คงเหลือศพคนต่างชาติและศพคนไทยที่รอการยืนยัน 3,082 ศพ สำหรับการช่วยเหลือ ประกอบด้วย การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย (จนถึงวันที่ 13 มีนาคม 2548) รวม เป็นเงิน 312,076,051 บาท การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวประมงและผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ข้อมูล ณ วันที่ 13 มีนา คม2548) รวมเป็นเงิน 293,896,516 บาท และการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยถึงวันที่ 11 มีนา คม 2548 จำนวน 4,239 ราย รวมเป็นเงิน 83,950,000 บาท การก่อสร้างบ้านพักถาวร จากข้อมูลสำรวจ จำนวนความต้องการ ณ วันที่ 10 มีนาคม 2548 มีเป้าหมายยอดรวมทั้งสิ้น 2,745 หลัง โดยก่อสร้างแล้วเสร็จ 148 หลัง และราษฎรขอรับเงินชดเชย 30,000 บาท เพื่อก่อสร้างบ้านเอง 266 ราย นอกจากนี้ ได้ดำเนินการ ให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการฟื้นฟูจัดระเบียบการก่อสร้างอาคารสิ่งก่อสร้าง และการจัดระเบียบชายหาด โดย การทำความสะอาดขนย้ายซากปรักหักพัง ขยะมูลฝอย การบูรณะฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น และให้ความช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมในพื้นที่เขาหลัก และช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยที่เอกสารสิทธิชำรุด สูญหาย และทำการรังวัดปูเขตที่ดินที่หลักเขตสูญหาย ตลอดจนช่วยเหลือการ จัดระเบียบที่ดิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2549 | สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง (จนถึงวันที่ 21 มีนาคม 2548) | มท | 22/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง และผลการดำเนินการให้ ความช่วยเหลือ จนถึงวันที่ 21 มีนาคม 2548 มีจังหวัดที่ประสบภัย 71 จังหวัด 696 อำเภอ 61 กิ่งอำเภอ 5,340 ตำบล 44,519 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 2,843,540 ครัวเรือน 11,058,902 คน แยกเป็นภาค เหนือ 17 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด ภาคกลาง 13 จังหวัด และภาคตะวันออก 8 จังหวัด ภาคใต้ 14 จังหวัด พื้นที่การเกษตรเสียหาย 13,736,660 ไร่ แยกเป็น นาข้าว 10,190,292 ไร่ พืชไร่ 3,031,745 ไร่ พืชสวน 514,623 ไร่ มูลค่าความเสียหายประมาณ 7,565,861,139 บาท ด้าน การให้ความช่วยเหลือ ได้มีการจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่นอกเขตชลประทาน รวมทั้งแจกจ่ายน้ำ อุปโภค/บริโภค ในส่วนของงบประมาณดำเนินการใช้จ่ายไปแล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,235,807,193.56 บาท จำแนกเป็น งบฉุกเฉินทดรองราชการของจังหวัด (งบ 50 ล้านบาท) 896,851,630 บาท งบ ฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 263,637,264.56 บาท และงบประมาณอื่นๆ เช่น งบจังหวัด CEO 75,318,299 บาท นอกจากนี้ได้มีการติดตามสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งการช่วยเหลือ/ ปัญหาอุปสรรคต่างๆ ได้มีมาตรการเร่งด่วนให้ทุกจังหวัดดำเนินการในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน 2548 ดังนี้ ให้จังหวัดประสานงานสำนักฝนหลวง เร่งปฏิบัติการฝนหลวงทันทีเมื่อมีเมฆ หรือสภาวะ อากาศเอื้ออำนวย ให้มีการจัดระบบการแจกจ่ายน้ำ โดยประสานกับจุดจ่ายน้ำของกรมทรัพยากรน้ำ บาดาล ในพื้นที่ต่างๆ เร่งซ่อมบ่อบาดาลเดิม และขุดบ่อบาดาลเพิ่มเติมในหมู่บ้านแล้งรุนแรงให้แล้วเสร็จ ในเดือนเมษายน ส่วนในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ให้เกษตรกรงดการปลูกข้าวนาปรัง ครั้งที่ 2 โดย เด็ดขาด สำหรับในเขตอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในขั้นวิกฤติ ให้เกษตรกรงดการปลูกพืชฤดูแล้ง และสงวนน้ำไว้ ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคเท่านั้น และให้พิจารณาขุดลอกแหล่งน้ำขนาดเล็ก ก่อสร้างฝายประชาอาสา จัดหาถังน้ำกลางประจำหมู่บ้าน ตลอดจนให้มีการบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดให้ทั่วถึงและเป็น ธรรม และรณรงค์ให้ประชาชนประหยัดการใช้น้ำ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2550 | เรื่องที่เป็นการมอบอำนาจตามแนวปฏิบัติเดิม | นร | 15/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นการมอบอำนาจตามแนวปฏิบัติเดิม ตามที่สำนักเลขาธิการคณะ
รัฐมนตรีเสนอ โดยเห็นชอบให้คงถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเดิม รวม 2 มติ คือ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2520 เรื่อง ให้นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบ หรืออนุมัติเรื่อง ต่าง ๆ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2547 เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอใช้เงินงบกลาง ราย การเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี รวม 4 มติ คือ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2538 เรื่อง ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการมอบอำนาจของ คณะรัฐมนตรี มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2538 เรื่อง มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระจาย ความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (เฉพาะเรื่องขั้นตอนการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายกระจายความ เจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 เรื่อง มติคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ครั้งที่ กพอ.1/2538 และ กอพ.2/2538 (เฉพาะข้อ 3) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2542 เรื่อง มติคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ ครั้งที่ กศร.1/2541 (เฉพาะข้อ 1) ทั้งนี้ มอบให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาเป็นกรณี ๆ ไปว่า มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คณะ กรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก และคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ เรื่องใดสมควรจะอนุมัติหรือเห็นชอบตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2520 แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ หรือจะสมควรนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2551 | สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม - 2547 - 3 มีนาคม 2548) | มท | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสถานการณ์ความแห้งแล้งและการให้ความช่วยเหลือ สรุปได้ดัง นี้ สถานการณ์ความแห้งแล้ง (ข้อมูลถึงวันที่ 3 มีนาคม 2548) มีจังหวัดประสบภัย 63 จังหวัด 631 อำเภอ 59 กิ่งอำเภอ 4,701 ตำบล 41,099 หมู่บ้าน และคาดว่า ช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2548 จะ มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความแห้งแล้งทั่วประเทศ 70 จังหวัด 643 อำเภอ 60 กิ่งอำเภอ สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ที่ประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉาย แสง) เป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2548 ณ ทำเนียบรัฐบาล ได้กำหนดนโยบาย/มาตรการ แก้ไขปัญหาภัยแล้งในช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนาย 2548 ดังนี้ ในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ขอให้งดการ ปลูกข้าวนาปรัง ครั้งที่ 2 โดยเด็ดขาด ส่วนอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในขั้นวิฤต 6 อ่าง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคอง ลำพระเพลิง กระเสียว ทับเสลา แก่งกระจาน และปราณบุรี ให้งดการปลูกพืชฤดูแล้ง และสงวนน้ำไว้ใช้ เพื่อการอุปโภค บริโภค และให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดระบบการแจกจ่ายน้ำ รวมทั้งให้ขุด ลอกแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดเล็กประมาณ 14,000 แห่ง โดยใช้แรงงานท้องถิ่นในฤดูแล้งนี้ และให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณในเบื้องต้น ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้เร่งรัดให้จังหวัดที่ ประสบภัยแล้งใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการป้องกันและให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 784,091,141 บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2552 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "แนวทางการพัฒนางานด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นขององค์กรภาคประชาชน" | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับ "แนวทางการพัฒนางานด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นขององค์กร ภาคประชาชน" ที่เห็นว่า ควรปรับบทบาทสภาวัฒนธรรมตำบลในการดำเนินกิจกรรมด้านวัฒนธรรมให้ครอบ คลุม โดยมีการแบ่งกลุ่มงานเพิ่มเพื่อให้ครอบคลุมการดำเนินงานด้านวัฒนธรรม รวมทั้งส่งเสริมการสร้างวัฒน ธรรมท้องถิ่นเข้มแข็ง โดยลดการพึ่งพิงรัฐ อาศัยแนวความคิดในการพัฒนาชุมชน โดยมีชุมชนเป็นศูนย์กลางและ พัฒนาอย่างเป็นองค์รวมทุกมิติ ทั้งมิติเศรษฐกิจ มิติสังคมและวัฒนธรรม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในระยะ ยาว และส่งเสริมบทบาทกลุ่มแกนนำต่าง ๆ ในชุมชนที่มีพลังในการขับเคลื่อนงานทางด้านวัฒนธรรมท้องถิ่น ให้พัฒนาต่อไปได้ เป็นต้น และรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการ ดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรม กรณีการบรรจุประเด็นทางวัฒนธรรมอันเกี่ยวกับอนุรักษ์ ฟื้นฟู ส่งเสริม วิถีชีวิตชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ในแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ด้านที่ 6 ด้านศิลปวัฒนธรรมและจารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น และสนับสนุนงบประมาณ เพื่อการดำเนินงานวัฒนธรรมให้แก่ทุกจังหวัด และเขตในกรุงเทพมหานคร เป็นต้น โดยให้กระทรวงวัฒนธรรม รับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2553 | การยกฐานะสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานระดับกรมในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และการจัดทำและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่าย
กฎหมาย ฯ) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นเสนอ ร่างพระราชบัญญัติ รวม 3 ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระ จายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติโอนอำนาจหน้าที่และกิจการบริหารบางส่วนของ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... และตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ร่างพระราชบัญญัติ รวม 4 ฉบับ ได้แก่ ร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่างพระราช บัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้น ตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ตั้งคณะกรรมการคณะพิเศษตรวจพิจารณา ทั้งนี้ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประ เด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ อาทิเช่น ร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตราขึ้นในวาระที่แตกต่างกัน ทำให้มีภารกิจ และอำนาจหน้าที่ไม่สอดคล้อง และเป็นแนวทางเดียวกัน ควรพิจารณาในเรื่องของการนำกฎหมายหลาย ฉบับมารวมกัน อาจทำให้เกิดปัญหาการทับซ้อนด้านพื้นที่ อำนาจหน้าที่ การเก็บภาษี การจัดตั้งรัฐวิสาห กิจท้องถิ่น องค์การมหาชนท้องถิ่นจะมีความเหมาะสม หรือทับซ้อน หรือทำให้เกิดความสับสนกับรัฐวิสาห กิจของรัฐ หรือองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชนหรือไม่ การใช้ชื่อกฎหมายว่าประมวล กฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีความเหมาะสม และสอดคล้องกับความหมายของประมวลกฎ หมาย หรือไม่ เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย และหากมีความจำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเพิ่มเติม ให้เชิญผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เสนอความเห็นเพื่อประกอบการตรวจ พิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาต่อไป และเห็นควรให้ ก.พ.ร. รับประเด็นอภิ ปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นควรให้ ก.พ.ร. รับไปพิจารณาในภาพรวมโครงสร้างระบบ ราชการทั้งหมดว่า สมควรกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจ เป็นหน่วยงานที่มีฐานะ เป็นกรม หรือหน่วยงานที่มีสถานะอย่างอื่นหรือไม่ ระดับไหน และสังกัดอยู่ในสังกัดใด เพื่อให้สอดคล้อง กับการปฏิรูประบบราชการ ไปพิจารณา แล้วแจ้งผลให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบการ ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2554 | การปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ | อก | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่ายการ
เกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอการแก้ไขปัญหา ความล่าช้าในการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ ตามผลการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยปรับลดขั้นตอนกระบวนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 บี จากที่กำหนด ไว้ในปัจจุบัน จะลดระยะเวลาการพิจารณาอนุญาตการต่ออายุประทานบัตร และการขอประทานบัตรในขั้นตอน การขออนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ดังกล่าวจากคณะรัฐมนตรีลงเหลือไม่เกิน 150 วัน และให้กรมทรัพยากรธรณี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดพื้นที่เขตศักยภาพแร่เพื่อการทำเหมืองแร่ (Mining Zone) ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรี (ยกเว้นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ ป่า) เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เพื่อให้สามารถอนุญาตประทานบัตรและต่ออายุประทานบัตรได้อย่าง เหมาะสมและรวดเร็วขึ้น แทนการขอผ่อนผันการทำเหมืองในพื้นที่ดังกล่าวจากคณะรัฐมนตรีเป็นแต่ละรายคำขอ หรือรายผู้ประกอบการ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงทบทวนระเบียบปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาความล่า ช้าในการพิจารณาอนุญาตประทานบัตร และให้ดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าวโดยเร็วต่อไป และให้รับประเด็น อภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ที่เห็นควรกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้หลักฐานหรือข้อมูลเอกสาร ประกอบการพิจารณาอนุญาต ที่หน่วยงานแต่ละแห่งจะสอบถามไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถใช้ เอกสารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่แจ้งไปยังกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ร่วมกันได้ โดยให้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อ กำหนดแบบพิมพ์ ที่สามารถเก็บรายละเอียดในเรื่องที่จะขอความเห็นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นครอบคลุม ทุกประเด็นที่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต้องการในแบบพิมพ์เดียวกัน และควรกำหนดระยะเวลาการดำเนิน การของเจ้าหน้าที่ในแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน โดยให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาหลักเกณฑ์และวิธีการบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และระเบียบ ก.พ.ร ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้มีการรายงานเหตุที่ไม่สามารถดำเนิน การตามกำหนดเวลาต่อผู้บังคับบัญชา ตลอดจนแจ้งผู้ที่ขออนุญาตให้ทราบโดยพลันเมื่อได้รับการสอบสวน ไป พิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงอุตสาห กรรมรับไปพิจารณาร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อสร้างระบบและกติกาสำหรับใช้ประกอบ การพิจารณาของหน่วยงานของรัฐกรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเห็นไม่สอดคล้องกับหน่วยงานของ รัฐหรือผู้ประกอบการในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ว่า จำเป็นต้องหยุดดำเนินการเนื่องจากหลักกฎ หมายใด และหากไม่มีกฎหมายห้ามมิให้ดำเนินการตามความเห็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงาน ของรัฐหรือผู้ประกอบการควรมีแนวทางดำเนินการอย่างใดต่อไปโดยเร็ว เพื่อส่งเสริมการประกอบกิจการที่มี ผลต่อความเจริญของประเทศโดยรวม และเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญอีกโสดหนึ่งด้วย โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับประเด็นอภิปรายดังกล่าวไปหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและนำเสนอคณะ รัฐมนตรีเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติในเรื่องนี้ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับหลักกฎหมาย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2555 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การอนุรักษ์ เผยแพร่ และใช้ประโยชน์จากวัฒนธรรมท้องถิ่น | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (ฝ่ายการ
ต่างประเทศ วัฒนธรรม ท่องเที่ยวและกีฬา) ที่มีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับการอนุรักษ์ เผยแพร่ และใช้ประโยชน์ จากวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยมีข้อเสนอเกี่ยวกับการกำหนดนิยาม ขอบเขต และเป้าหมายของการดำเนินงาน ด้านวัฒนธรรมอย่างชัดเจน จัดทำระบบข้อมูลพื้นฐานทางวัฒนธรรม พัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่นควบคู่การอนุ รักษ์และฟื้นฟูความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นและชาติพันธุ์ กระจายอำนาจและบทบาทการดำเนินงาน ด้านวัฒนธรรมของรัฐ ส่งเสริมศักยภาพหน่วยงานด้านวัฒนธรรมของท้องถิ่น ส่งเสริม "สิทธิทางวัฒนธรรม" "ความหลากหลายทางวัฒนธรรม" และ "การมีส่วนร่วม" ของประชาชน ส่งเสริมการลงทุนทางวัฒนธรรมเพื่อ เป็นทุนทางสังคมแห่งการอยู่ร่วมกัน สร้างการเห็นคุณค่าวัฒนธรรมท้องถิ่น และสร้างวัฒนธรรมที่ปลูกฝังคุณ ธรรมและค่านิยมที่ดี รวมทั้งรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการ ดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิ เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อส่งเสริมองค์ ประกอบของวัฒนธรรมที่สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาประเทศ พัฒนาคุณภาพชีวิตของคน และความเข้ม แข็งของชุมชนท้องถิ่น และต้องไม่ทำลายความหลากหลายทางวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นและแต่ละชาติพันธุ์ และควรกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อสนับสนุนกิจกรรมและผลงานด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีศักยภาพและไม่มีศักย ภาพในการสร้างผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ออกจากกัน ส่วนจัดทำระบบข้อมูลพื้นฐานทางวัฒนธรรม ได้มีการ จัดทำเป็นระบบข้อมูลพื้นฐานทางด้านวัฒนธรรมในเรื่องต่าง ๆ เช่น ข้อมูลทางวัฒนธรรม 76 จังหวัด ข้อมูล แหล่งโบราณสถานและโบราณคดีทั่วประเทศ ฯลฯ และเห็นด้วยกับการพัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่นควบคู่การ อนุรักษ์และการฟื้นฟูความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นและชาติพันธ์ โดยวิธีการอนุรักษ์วัฒนธรรมได้ดีที่ สุด คือ การพัฒนาวัฒนธรรมดั้งเดิมและสร้างสรรค์วัฒนธรรมใหม่ โดยยังคงความเป็นเอกลักษณะของแต่ละ วัฒนธรรมท้องถิ่นและชาติพันธุ์ เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลง ไป เป็นต้น โดยให้กระทรวงวัฒนธรรมรับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภา ที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2556 | ผลการประชุมปฏิบัติการเรื่องแนวทางการพัฒนาการศึกษาของชาติ | ศธ | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น
พิ้นฐานรายงานผลการประชุมปฏิบัติการเรื่องแนวทางการพัฒนาการศึกษาของชาติ ระหว่างวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์ 2548 ณ โรงแรมโซฟิเทล จังหวัดขอนแก่น โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณรวมทั้งสิ้น 150 คน จากจังหวัดต่าง ๆ วัตถุประสงค์ของการประชุมเพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหา ของการจัดการศึกษา และแสดงความต้องการแนวทางในการพัฒนาการศึกษาของชาติ และของภูมิภาคใน เรื่องของหลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน การพัฒนาครู สถานศึกษา และแนวทางการบริหารจัดการ ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา ตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และกำหนดแนวทางในการ พัฒนายุทธศาสตร์ของการพัฒนาการศึกษาของชาติและภูมิภาค โดยผลการประชุมเป็นที่น่าพอใจ ผู้เข้า ร่วมประชุมส่วนใหญ่ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น และเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการศึกษาที่เป็นประ โยชน์ต่อการวางแผนยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ และในการประชุมได้มีการ กล่าวถึงเรื่องสำคัญๆ ได้แก่ การส่งเสริมเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน การสร้างและซ่อมแซมอาคาร เรียนเพื่อทดแทนอาคารที่ชำรุด และรองรับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครู การพัฒนาด้านคุณภาพของหลักสูตรปฐมวัย การดูแลเด็กยากจน ด้อยโอกาส และผู้พิการเป็นพิเศษ เรื่อง การขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 และเรื่องถ่ายโอนสถานศึกษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผน และขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2557 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "ยุทธศาสตร์การผังเมืองของประเทศไทย | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การผังเมืองของประเทศไทย และรับทราบตาม ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย อาทิ ข้อ เสนอให้ย้ายภารกิจด้านนโยบายผังเมืองจากกระทรวงมหาดไทยไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การกำหนด นโยบายและการกำกับดูแลด้านผังเมือง และการจัดทำผังภาคสามารถกระทำได้ด้วยกลไกทางด้านงบประมาณ และการควบคุมทางกฎหมาย บรรลุผลตามเป้าหมายของรัฐและเป็นอิสระจากงานด้านปฏิบัติ เห็นว่า การวาง และจัดทำผังเมืองมี 2 ระดับ คือ ผังระดับนโยบาย ได้แก่ ผังประเทศ ผังภาค ผังอนุภาค และผังระดับปฏิบัติ ได้แก่ ผังเมืองรวมจังหวัด ผังเมืองรวมระดับเมืองหรือชุมชน ผังเมืองเฉพาะและผังอื่น ๆ ซึ่งการดำเนินงานทั้ง 2 ระดับมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันในเชิงพื้นที่เป็นลำดับชั้น ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ทั้งในเชิงการกำหนด นโยบาย การกำกับดูแล และการปฏิบัติ หากแยกภารกิจทั้ง 3 ด้านออกจากกันจะทำให้กรอบแนวทางการ พัฒนาพื้นที่ในผังทุกระดับขาดการบูรณาการ เกิดความซ้ำซ้อนและสูญเสียงบประมาณ ประกอบกับระบบการ วางผังเมืองในเชิงสากลต้องอยู่ในระบบเดียวกันทั้งกระบวนการ จึงเห็นควรดำรงสถานะเป็น "หน่วยงานระดับ กรม" และขณะที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนถ่ายภารกิจ จึงเห็นควรให้ภารกิจดังกล่าวอยู่กับกระทรวงมหาดไทยไป ก่อน และข้อเสนอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือกลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความต่อเนื่องของพื้น ที่เมือง ดำเนินการวางและจัดทำผังเมืองรวมที่มีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตั้งแต่ต้น โดยมีรายละ เอียดของแผนผังและข้อกำหนด (Zoning) อย่างครบถ้วนและถูกต้องนั้น เห็นว่า การดำเนินการวางและจัดทำ ผังเมืองรวม ประชาชนและกลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมในกระบวนการวางผังเมืองอยู่แล้วตาม พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518 และได้พยายามส่งเสริมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน และกลุ่มองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นได้เข้าใจและมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ ยังเห็นด้วยกับข้อเสนอที่จัดให้มีกฎหมายที่ เหมาะสมกับการเพิ่มรายได้ของท้องถิ่น เช่น ภาษีทรัพย์สิน การประเมินพิเศษ รวมทั้งแหล่งที่มาของรายได้ อื่น ๆ สำหรับการดำเนินการให้เป็นไปตามผังเมืองรวมและผังเมืองเฉพาะ เป็นต้น โดยให้กระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2558 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การกระจายอำนาจการจัดการการศึกษาสู่ท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของประชาชน | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การกระจายอำนาจการจัดการการศึกษาสู่ท้องถิ่นและการมีส่วน ร่วมในการจัดการศึกษาของประชาชน โดยมีความเห็นและข้อเสนอแนะในประเด็นปัญหาต่าง ๆ อาทิ ภาครัฐยัง ขาดความชัดเจนในภาคปฏิบัติเกี่ยวกับการส่งเสริมให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน และองค์กรทางสังคม มีส่วนร่วมจัด การศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎกระทรวงเพื่อรองรับระบบการจัดการศึกษาโดยบุคคล ครอบครัว และองค์กร อื่นยังไม่ประกาศใช้ รวมทั้งการให้มีครู 2 ระบบ คือ ข้าราชการครูเดิมยังคงเป็นข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิ การ ในขณะที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่รับเข้าใหม่จะเป็นบุคคลในสังกัดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การจัดตั้งกองทุนพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา การจัดตั้งสภาการศึกษาของท้องถิ่น การยกเลิกการผูก ขาดการจัดทำสื่อการเรียนการสอน และการกระจายครูและบุคลากรที่มีคุณภาพสู่ท้องถิ่นโดยการกำหนดโควตา ให้อยู่ในตำแหน่งกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาหรือกรรมการสถานศึกษา เป็นต้น และรับทราบตามที่กระทรวง ศึกษาธิการเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการ และเห็นชอบให้ กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณา ดำเนินการต่อไป โดยให้กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้ สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2559 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับ "โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค : การวิเคราะห์ประสิทธิภาพและการเข้าถึงบริการของประชาชนระดับล่าง" | สสป | 08/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับ "โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค : การวิเคราะห์ประสิทธิ ภาพและการเข้าถึงบริการของประชาชนระดับล่าง" โดยมีความเห็นในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การมีส่วนร่วมของ ภาคประชาชน การพัฒนาคุณภาพบริการโดยเฉพาะหน่วยบริการปฐมภูมิ การจัดสรรงบประมาณ และการแก้ ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่เสมอภาคของการกระจายบุคลากรและสถานบริการ รวมทั้งรับทราบตามที่กระทรวง สาธารณสุขเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง อาทิ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ได้ให้ตัวแทนจากภาคประชาชนเข้ามาเป็นคณะกรรมการเพื่อ ให้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ตลอดจนกำหนดทิศทางในการดำเนินงานและควบคุมกำกับในทุกระดับทั้ง ในส่วนกลาง จังหวัด อำเภอ และตำบล ทั้งในรูปองค์กรและบุคคล และมีการประสานการดำเนินงานร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรท้องถิ่นและองค์กรชุมชนในการช่วยเหลือสนับสนุนในด้านการบริหารจัดการใน รูปคณะกรรมการในแต่ละระดับ ส่วนการจัดสรรงบประมาณ ที่ผ่านมาได้มีการจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วย งานระดับจังหวัด คือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สำนักงานสาขา) และจัดสรรต่อไปยังหน่วยบริการระดับ อำเภอ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดในการจัดสรรในระยะแรกของการเริ่มโครงการเนื่องจากอัตรางบประมาณ เหมาจ่ายรายหัวและงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวจะรวมเงินเดือนของบุคลากรและจัดสรรตามประชากรที่แต่ละ จังหวัดหรือหน่วยบริการรับผิดชอบ จึงจำเป็นต้องมีการปรับเกลี่ยงบประมาณให้สามารถดำเนินงานได้ในทุก หน่วยบริการก่อนการจัดสรรลงไปสู่หน่วยบริการในระยะเปลี่ยนผ่าน เป็นต้น โดยให้กระทรวงสาธารณสุขรับ ผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2560 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน กรณีโครงการ "หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์" | นร | 01/03/2548 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน กรณีโครงการ "หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์" โดยสภาที่ปรึกษา ฯ มีความเห็นเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนแนวคิดของชุมชนในการพึ่งพาตนเอง การยอมรับภูมิปัญญา/ศักยภาพของตนเอง การสร้างการยอมรับในผลิตภัณฑ์ชุมชน การแลกเปลี่ยนสินค้าภาย ในชุมชน และยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นรากฐานในการดำรงชีวิต และข้อเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐ กิจชุมชนและการพัฒนาคุณภาพชีวิต ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การส่งเสริมและการพัฒนาโดยยึดหลักชุมชนเป็น ศูนย์กลางและยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกกระบวนการ ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุ รักษ์วัฒนธรรมโดยกระตุ้นให้ท้องถิ่นเห็นความสำคัญของวัฒนธรรม และถ่ายทอดให้คนภายนอกได้รับรู้ถึงความ สำคัญและเรียนรู้โดยการสัมผัสจริง ยุทธศาสตร์ส่งเสริมสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ชุมชนสู่สากล ซึ่งต้องมีมาตรการ ที่ชัดเจนส่งเสริม สนับสนุน การส่งออกสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ โดยไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการส่งออก ใด ๆ ทั้งสิ้น ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้ชุมชน โดยให้มีหลักสูตรชุมชนในระบบโรงเรียน และ สอน โดยคนในชุมชนเองเพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาไปสู่คนรุ่นหลัง ยุทธศาสตร์การส่งเสริมด้านการบริหารจัดการ รัฐจะต้องส่งเสริมให้มีการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความเข้าใจในการบริหารจัดการที่ดี รู้จักใช้ระบบฐานข้อ มูลเป็นประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ตลอดจนดำเนินการให้ชุมชนสามารถนำกองทุนต่าง ๆ เข้ามา บริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพควบคู่กับการรู้จักใช้ระบบฐานข้อมูลเป็นประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจชุม ชน และยุทธศาสตร์การรักษาดุลยภาพภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยการกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกับมาตรา 56 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ให้ชุมชนมีส่วนดูแล บำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ที่จำเป็นต่อการประกอบดำรงชีพและโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ นโยบายใด ๆ ของรัฐที่จะกระทบต่อ ความหลากหลายทางชีวภาพต้องให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เป็นต้น และรับทราบตามที่คณะกรรมการ อำนวยการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ (กอ.นตผ.) เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนิน การของ กอ.นตผ. โดยให้ กอ.นตผ. ประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
.....