ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 125 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 2481 - 2500 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2481 | การกำหนดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้ของรัฐบาล | นร | 27/09/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอขอถอนเรื่อง การ
กำหนดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้ของรัฐบาล เพื่อนำไปพิจารณาร่วมกับหน่วย งานที่เกี่ยวข้องและจะเสนอกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||
2482 | การจัดตั้งวิทยาเขต วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย | มท | 20/09/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการจัดตั้งวิทยาเขต วิทยาลัยป้องกัน
และบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งได้เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2547 มีวัตถุประสงค์ เพื่อดำเนินการพัฒนาบุคลากรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครและประชาชน ในหลักสูตรต่าง ๆ อาทิ หลักสูตรเกี่ยวกับการดับเพลิง หลักสูตรเกี่ยวกับการกู้ภัยอาคารถล่ม หลักสูตรเกี่ยว กับการกู้ภัยสารเคมี หลักสูตรเกี่ยวกับการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน และหลักสูตรเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากร รวมทั้งพัฒนาหลักสูตรองค์ความรู้ด้านการจัดการภัยพิบัติ โดยขอความร่วมมือกับองค์กรหรือสถาบันที่มีความ ชำนาญเฉพาะทางเพื่อให้ความช่วยเหลือทางวิชาการทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังได้ จัดตั้งวิทยาเขต วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ อีกจำนวน 6 แห่ง ได้แก่ วิทยา เขตปราจีนบุรี วิทยาเขตเชียงใหม่ วิทยาเขตขอนแก่น วิทยาเขตสงขลา วิทยาเขตภูเก็ต และวิทยาเขตพิษณุโลก โดยวิทยาเขตทั้ง 6 แห่ง จะจัดให้มีการฝึกอบรมหลักสูตรการระงับอัคคีภัย หลักสูตรการค้นหาและช่วยเหลือผู้ ประสบภัย และหลักสูตรการจัดการภัยพิบัติโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน เป็นหลักสูตรพื้นฐานสำหรับเจ้าหน้าที่ ของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครและประชาชน โดยจะเชิญวิทยากรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีความชำนาญเฉพาะด้านมาบรรยายให้ความรู้แก่ผู้เข้ารับการอบรม
|
||||||||||||||||||
2483 | การติตดามผลการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรณีพิบัติของจังหวัดกระบี่ พังงา และภูเก็ต | นร | 06/09/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการติดตาม
การช่วยเหลือ และฟื้นฟูพื้นที่ที่ประสบธรณีพิบัติภัย ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) ใน จังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่ โดยในพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าวมีพื้นที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด 14 อำเภอ 55 ตำบล 217 หมู่บ้าน ราษฎรและครัวเรือนได้รับความเสียหาย 57,917 คน 13,812 ครัวเรือน มีผู้เสีย ชีวิตทั้งหมด 5,226 คน บาดเจ็บ 11,279 คน และสูญหาย 2,914 คน ในส่วนของการป้องกันและอพยพ หนีภัยสึนามิ จังหวัดภูเก็ต ได้ซ้อมแผนอพยพที่หาดป่าตอง อำเภอกระทู้ไปแล้ว 1 ครั้ง โดยมีแนวปฏิบัติใน การซ้อมแผนอพยพปีละ 2 ครั้ง ได้ติดตั้งหอเตือนภัยแล้ว 3 จุดที่หาดป่าตอง รวมทั้งได้มอบหมายให้อำเภอ และท้องถิ่นทำแผนอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย กรณีเกิดภัย จังหวัดพังงา มีแผนที่จัดทำหอสัญญาณ เตือนภัย 20 จุด โดยศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ส่วนจังหวัดกระบี่ ได้จัดสรรงบยุทธศาสตร์การพัฒนา จังหวัดในการก่อสร้างหอเตือนภัยขนาดใหญ่ 6 หอ ขนาดเล็ก 13 หอ จัดให้มีไซเรนเตือนภัยอีก 35 แห่ง มีแผนซ้อมอพยพปีละ 3 ครั้ง นอกจากนี้ ทั้ง 3 จังหวัด ได้ขอให้ส่วนกลางช่วยสนับสนุนเร่งรัดการดำเนิน การโครงการต่าง ๆ โดยโครงการที่ควรเร่งรัดดำเนินการโดยเร็ว ได้แก่ การก่อสร้างท่าเทียบเรือที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ การก่อสร้างปรับปรุงถนนที่บริเวณเขาหลักและการติดตั้งหอสัญญาณเตือนภัย ป้ายและเส้น ทางหนีภัยของทั้ง 3 จังหวัด เพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว
|
||||||||||||||||||
2484 | รายงานการดำเนินการมาตรการป้องกันและระบบการเตือนภัยธรรมชาติ | นร | 06/09/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ)
รายงานข้อมูลการดำเนินการมาตรการป้องกันและระบบเตือนภัยธรรมชาติ (สึนามิ) มีหน่วยงานหลักที่รับ ผิดชอบ 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย คณะกรรมการศึกษาเตือนภัยล่วงหน้า องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่ พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) และหน่วยงานในพื้นที่ โดยมีแผนการดำเนินการมาตรการดัง กล่าวกระจายครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 6 จังหวัดที่ประสบภัยสึนามิ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล ดังนี้ แผนติดตั้งหอเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยงภัยของ 6 จังหวัด จำนวน 62 จุด มีเป้าหมายให้แล้วเสร็จ ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 สำหรับจังหวัดภูเก็ตได้ติดตั้งระบบเตือนภัย (ที่ยังใช้บุคลากรควบคุม) ไป แล้วที่เขตพื้นที่ป่าตอง โดยได้รับความช่วยเหลือจากบริษัท SIRCOM ประเทศเยอรมัน และบริษัท KOCKUM SONIC ประเทศสวีเดน จำนวน 3 จุด และภายในเดือนตุลาคม 2548 คณะกรรมการศึกษาระบบเตือนภัย ล่วงหน้าจะติดตั้งหอเตือนภัยเพิ่มในพื้นที่เสี่ยงภัยที่สำคัญที่สุด จังหวัดละ 4 จุด ส่วนที่เหลือจะติดตั้งให้ครบ ทั้ง 62 จุด ภายในเดือนธันวาคม 2548 ในส่วนของ อพท. ยังได้มีโครงการ Beach Guard และการเตือน ภัยนักท่องเที่ยว โดยได้รับอนุมัติงบประมาณจำนวน 25,075,400 บาท แบ่งเป็นการก่อสร้างหอสังเกต การณ์และเตือนภัยในพื้นที่ 6 จังหวัด จำนวน 50 แห่ง จัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ และฝึกอบรมเจ้าหน้า ที่อาสาสมัคร และได้ดำเนินการติดตั้งแล้วที่หาดกมลา จังหวัดภูเก็ต จำนวน 2 จุด ส่วนที่เหลือจะติดตั้งเพิ่ม ภายในปี 2548 นอกจากนี้ จังหวัดที่ประสบภัยสึนามิร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มูลนิธิ และภาค เอกชนได้ดำเนินการจัดสร้างหอกระจายข่าวอีกจำนวน 64 จุด |
||||||||||||||||||
2485 | โครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค | ทส | 06/09/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
การเปลี่ยนแปลงรายการในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ของกรมทรัพยากรน้ำ บาดาล จากโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลของระบบประปาเพื่อให้ได้มาตรฐานน้ำดื่มขององค์การ อนามัยโลกเป็นโครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบกระจายน้ำเพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ภายในวงเงินงบประมาณ 290,340,000 บาท โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อมดำเนินการ และให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาลดำเนินการภายใต้กรอบงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว จำนวน 313,605,000 บาทในโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลของระบบประปาเพื่อให้ได้มาตรฐาน น้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก รวมทั้งให้ปฏิบัติงานในภารกิจเกี่ยวกับการขุดบ่อน้ำบาดาลที่ได้ถ่ายโอน ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว โดยให้ประสานการดำเนินการ และตรวจสอบข้อมูลกับกระทรวง มหาดไทย เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนเกี่ยวกับพื้นที่ดำเนินโครงการและประสานกับคณะกรรมการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพิจารณาดำเนินการให้มีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติ กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ตามความเห็น ของกระทรวงมหาดไทยต่อไป และอนุมัติวงเงินงบประมาณเพื่อการดำเนินโครงการ ฯ ดังกล่าว จำนวน 3,163,990,000 บาท ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายเท่าที่จ่ายจริง โดยให้ขอตกลงในรายละเอียดด้านการเงินกับ สำนักงบประมาณต่อไป รวมทั้งอนุมัติในหลักการเงินงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 จำนวน 6,273,320,036 บาท เพื่อการดำเนินโครงการดังกล่าวในส่วนที่ค้างในระยะที่ 1 โดยให้เบิกจ่ายเท่าที่ จ่ายจริง และให้จัดทำแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงิน แล้วขอตกลงในรายละเอียดกับสำนัก งบประมาณต่อไป และเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการจัดหาแหล่งน้ำสำหรับ อุปโภคบริโภคทั่วประเทศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ |
||||||||||||||||||
2486 | สรุปผลการตรวจเยี่ยมพื้นที่อำเภอของรัฐมนตรี (ในพื้นที่ 8 อำเภอของจังหวัดพังงา) | นร | 06/09/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สรุปผลการตรวจเยี่ยมพื้นที่ของรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2548 โดยได้ตรวจเยี่ยมในพื้นที่ 8 อำเภอของ จังหวัดพังงา และมีข้อสั่งการดังนี้ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสนับสนุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเคลื่อนที่ให้องค์การ บริหารส่วนตำบลเกาะปันหยียืมใช้ เพื่อแก้ปัญหาไฟฟ้าในแหล่งท่องเที่ยวเกาะปันหยี ให้การประปาส่วนภูมิ ภาคพิจารณาสนับสนุนงบประมาณในการขยายเขตประปา จากเกาะปันหยีไปยังเกาะไม้ไผ่ ให้กระทรวงการ ท่องเที่ยวและกีฬาสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศบ้านสองแพรก ให้กรมทรัพยา กรทางทะเลและชายฝั่งเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาตามหลักวิชาการ พร้อมทั้งสำรวจและศึกษาความเป็นไปได้ ของการก่อสร้างท่าเทียบเรือและเขื่อนป้องกันตลิ่ง ให้ศูนย์เตือนภัยแห่งชาติเร่งดำเนินการติดตั้งระบบเตือน ภัยพร้อมประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพื้นที่ที่ยังมีปัญหาการทับซ้อนกับที่ดินของรัฐและการกำหนดแนว เขตพื้นที่ป่าให้ชัดเจน กับให้รณรงค์ส่งเสริมการเก็บน้ำไว้ใช้ในระดับครัวเรือนเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อ อุปโภคบริโภค รวมทั้งประสานกับอุตสาหกรรมจังหวัด สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ร่วมกับสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นพัฒนาออกแบบและคุณภาพสินค้า OTOP ให้สอดคล้องกับความต้องการ ของตลาด ให้กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี สำรวจข้อมูลท่าเทียบเรือทั้งหมดของ 3 จังหวัดสามเหลี่ยม อันดามัน เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาท่าเทียบเรือโดยรวมของกลุ่มจังหวัดให้ชัดเจน และให้จังหวัดพังงา ประสานงานกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อโอนถนนสายที่ชำรุดและไม่สามารถทำการปรับปรุงให้กับ กรมทางหลวงชนบท และให้กรมการขนส่งทางน้ำจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการ ดำเนินการขุดเจาะบ่อ บาดาลในหมู่บ้านที่ขาดแคลน ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดำเนินการเปิดสาขาย่อย ในพื้นที่อำเภอ ให้กระทรวงพาณิชย์จัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตรขึ้นเพื่อแก้ปัญหาพืชผลตกต่ำ ให้กรมชล ประทานพิจารณาสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการก่อสร้างโครงการชลประทาน 3 โครงการ ให้ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเร่งรัดดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์ สปก. 4-01 ในพื้นที่ประกาศเขต สปก. แล้ว ให้กรมทางหลวงชนบทบรรจุโครงการสร้างถนนของอำเภอ สายบ้านป่าทราย-บ้านท่าเขา เป็น โครงการเพิ่มเติมไว้ในแผนปี 2549 และให้กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมปี 2549 หรือ 2550 เพื่อดำเนินการขุดลอกร่องน้ำระหว่างเกาะยาวน้อยและเกาะยาวใหญ่ และให้กรม ทรัพยากรน้ำ สนับสนุนงบประมาณดำเนินการก่อสร้างบ่อน้ำดิบ สำหรับระบบประปาเทศบาลตำบลเกาะ ยาว สำหรับโครงการจัดตั้งวิทยาลัยเทคโนโลยีคุระบุรี ให้พิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องความเหมาะ สมของจำนวนนักเรียนรูปแบบสถานศึกษา การมีส่วนร่วมของนักธุรกิจในชุมชนและปรับลดงบประมาณลง โดยระยะแรกควรทำการศึกษาออกแบบและเตรียมพืที่ก่อน
|
||||||||||||||||||
2487 | ขอเปลี่ยนแปลงรายการในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 (โครงการ ฯ ของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) | ทส | 06/09/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
การเปลี่ยนแปลงรายการในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ของกรมทรัพยากรน้ำ บาดาล จากโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลของระบบประปาเพื่อให้ได้มาตรฐานน้ำดื่มขององค์การ อนามัยโลกเป็นโครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบกระจายน้ำเพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ภายในวงเงินงบประมาณ 290,340,000 บาท โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อมดำเนินการ และให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาลดำเนินการภายใต้กรอบงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว จำนวน 313,605,000 บาทในโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลของระบบประปาเพื่อให้ได้มาตรฐาน น้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก รวมทั้งให้ปฏิบัติงานในภารกิจเกี่ยวกับการขุดบ่อน้ำบาดาลที่ได้ถ่ายโอน ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว โดยให้ประสานการดำเนินการ และตรวจสอบข้อมูลกับกระทรวง มหาดไทย เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนเกี่ยวกับพื้นที่ดำเนินโครงการและประสานกับคณะกรรมการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพิจารณาดำเนินการให้มีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติ กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ตามความเห็น ของกระทรวงมหาดไทยต่อไป และอนุมัติวงเงินงบประมาณเพื่อการดำเนินโครงการ ฯ ดังกล่าว จำนวน 3,163,990,000 บาท ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายเท่าที่จ่ายจริง โดยให้ขอตกลงในรายละเอียดด้านการเงินกับ สำนักงบประมาณต่อไป รวมทั้งอนุมัติในหลักการเงินงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 จำนวน 6,273,320,036 บาท เพื่อการดำเนินโครงการดังกล่าวในส่วนที่ค้างในระยะที่ 1 โดยให้เบิกจ่ายเท่าที่ จ่ายจริง และให้จัดทำแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงิน แล้วขอตกลงในรายละเอียดกับสำนัก งบประมาณต่อไป และเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการจัดหาแหล่งน้ำสำหรับ อุปโภคบริโภคทั่วประเทศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ |
||||||||||||||||||
2488 | รายงานแนวทางการดำเนินการกรณีการจ่ายเงินก่อนมีการตรวจรับทรัพย์สินหรือตรวจรับงาน | กค | 30/08/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานแนวทางการดำเนินการกรณีการจ่าย
เงินก่อนมีการตรวจรับทรัพย์สินหรือตรวจรับงาน โดยได้กำหนดวิธีการจ่ายเงินของส่วนราชการเพิ่มเติม เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการเป็นไปอย่างรวดเร็ว คล่องตัว มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2548 ที่มีมติเห็นชอบและอนุมัติมาตรการเสริมสร้างเสถียรภาพ ทางเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2548 ทั้ง 6 กลุ่มมาตรการ และเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่คู่สัญญา ของส่วนราชการ โดยเมื่อคู่สัญญาของส่วนราชการได้ส่งมอบทรัพย์สิน หรือส่งมอบงานในแต่ละงวดแล้ว และแจ้งความประสงค์ว่าจะขอรับเงินก่อนที่ส่วนราชการจะตรวจรับทรัพย์สินหรือตรวจรับงานเสร็จสิ้น ให้ ส่วนราชการรีบดำเนินการขอเบิกเงินจากคลังทันที โดยยังไม่ต้องดำเนินการตรวจรับทรัพย์สินหรือตรวจ รับงาน เพื่อจ่ายเงินให้คู่สัญญาหรือผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง ในกรณีเป็นการจ่ายเงินตรงจากกรมบัญชี กลาง หรือกรณีจ่ายเงินเข้าบัญชีเงินฝากของส่วนราชการ เพื่อนำไปจ่ายให้กับคู่สัญญาหรือผู้รับโอนสิทธิ เรียกร้อง ให้รีบดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดระยะเวลา 3 วัน นับจากวันที่รับเงินจากคลัง โดย ให้คู่สัญญาหรือผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องกรอกข้อความ และลงลายมือชื่อในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมแนบท้าย สัญญาเดิมตามแบบที่กระทรวงการคลังกำหนด พร้อมทั้งให้คู่สัญญาหรือผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องนำหนัง สือค้ำประกันของธนาคารภายในประเทศ (BANK GUARANTEE) มามอบให้ส่วนราชการ เพื่อใช้เป็นหลัก ประกันด้วย และเมื่อส่วนราชการได้ดำเนินการตรวจรับถูกต้องครบถ้วนเรียบร้อยแล้วส่วนราชการจะคืน หนังสือค้ำประกันให้แก่คู่สัญญาหรือผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องต่อไป ทั้งนี้ ได้ขอความร่วมมือให้หน่วยงาน อื่น ๆ ของรัฐ ได้แก่ รัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่คู่สัญญาก่อน มีการตรวจรับทรัพย์สิน หรือตรวจรับงานในลักษณะเช่นเดียวกับส่วนราชการตามแนวทางของมติคณะ รัฐมนตรีดังกล่าวด้วยแล้ว
|
||||||||||||||||||
2489 | การชะลอถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 30/08/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2548 (เรื่อง ปัญหาการประเมิน
คุณภาพผลงานของข้าราชการครูและการถ่ายโอนภารกิจด้านการบริหารการศึกษาให้องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น) ข้อ 2 การถ่ายโอนสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไป สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และให้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ครั้งที่ 6/2548 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2548 ตามที่รองนายก รัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เสนอ ทั้งนี้ ให้ กกถ. รับไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้นำความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ส่วน การประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของ อปท. รวมทั้งการติดตามประเมินผลหลังจากที่ อปท. ได้รับโอนสถานศึกษาไปแล้วควรกำหนดให้มีผู้แทนของ อปท. นั้น ๆ ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรม การที่จะทำหน้าที่ดังกล่าวด้วย และให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดจัดทำแผนการปฏิรูปการศึกษาในภาพ รวมทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งประสานกับเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเรื่องนี้หารือนายก รัฐมนตรีร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
2490 | มติคณะรัฐมนตรีรับทราบและเห็นชอบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการมาตรการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2548 ครั้งที่ 1/2548 | พม | 30/08/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เสนอสรุปผลการประชุมคณะกรรมการมาตรการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2548 ครั้งที่ 1/2548 โดยมติที่ประชุมได้ขอเปลี่ยนหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนมาตรการ "ขยายการ ให้เบี้ยยังชีพคนชราผู้ยากไร้ 300 บาทต่อคนต่อเดือน ให้ครบทุกคน จาก 530,000 คน เป็น 1.07 ล้าน คน" จากหน่วยงานหลักเดิมกระทรวงมหาดไทย เป็นกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เนื่องจากการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2535 ใน โครงการกองทุนส่งเสริมสวัสดิการผู้สูงอายุและครอบครัวในชุมชน ในความรับผิดชอบของกรมประชาสง เคราะห์ และในปี พ.ศ. 2544 ภารกิจด้านสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้ถ่ายโอนไปยังกรมส่งเสริมการ ปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เห็นว่า การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งดำเนินการโดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถตอบ สนองความต้องการของผู้ประสบความเดือดร้อนโดยตรง อีกทั้งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 กระทรวงการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งมีภารกิจในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้สังคม เข้มแข็ง จะดำเนินการในส่วนของการขับเคลื่อนมาตรการการให้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยการกระตุ้น ติด ตามให้ผู้สูงอายุที่สมควรได้รับเบี้ยยังชีพ ได้รับการดูแลตามเจตนารมณ์ของการจัดสรรเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวมทั้งติดตามเร่งรัด การเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ได้มีแนวทาง เดียวกันในการดูแลคนพิการให้ได้รับการช่วยเหลือเบี้ยยังชีพคนพิการ ซึ่งได้ถ่ายโอนภารกิจให้แก่ กรม ส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547
|
||||||||||||||||||
2491 | ขอส่งรายงานสถานะการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2548 (ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2548) ข้อมูลจากระบบ GFMIS | นร | 30/08/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานสถานะการเร่งรัดการ
เบิกจ่ายงบประมาณปี พ.ศ. 2548 ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2548 ดังนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณจนถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2548 เบิกได้ 80% ของวงเงินรายจ่ายปี 2548 จำนวน 1,250,000 ล้านบาท วงเงินราย จ่ายปี 2548 บวกรายจ่ายเหลื่อมปี วงเงิน 1,414,343 ล้านบาท การเบิกจ่ายคงค้างที่ต้องเร่งรัดมียอด รวมทั้งงบประจำและลงทุน 316,746 ล้านบาท ยอดวงเงินคงค้าง 316,746 ล้านบาท ที่มีปัญหาจะ มีเฉพาะในส่วนของงบลงทุน และงบกลาง ที่ยังไม่ได้การจัดสรร หรือยังไม่ได้ผูกพัน โดยเฉพาะงบกลาง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐวิสาหกิจ (เฉพาะส่วนที่ได้รับจัด สรรจากงบประมาณ) กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จากการตรวจสอบในรายละเอียดการเบิกจ่ายพบว่า มีส่วนราช การที่ต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายในสาระสำคัญดังนี้ งบกลาง เร่งรัดให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ ในหมวดค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพและการแข่งขัน เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวง คมนาคม ควรเร่งรัดให้ทำการเบิกจ่ายตามงาน/โครงการดังนี้ งานพัฒนาทางหลวง งานบำรุงรักษาทาง หลวง โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลโครงการก่อสร้างทางเข้า -ออก ท่าอากาศยานสากล โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องทาง และงานพัฒนา ระบบโครงข่าย กระทรวงมหาดไทย ควรเร่งรัดการเบิกจ่ายโดยเฉพาะในส่วนของงบกรุงเทพมหานคร ที่มีการเบิกจ่ายต่ำมาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เร่งรัดในส่วนของกรมชลประทานเป็นสำคัญ สำหรับงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้โอน งบประมาณที่ค้างการเบิกและเป็นคดีความ เช่น งาน/โครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย คืนเงินคงคลัง เพื่อ สำรองจ่ายเมื่อจบคดีแล้ว
|
||||||||||||||||||
2492 | โครงการพัฒนาพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัยพื้นที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ | นร | 30/08/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรีรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครง
การพัฒนาพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัยพื้นที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง และให้ยกเลิก การดำเนินการของกรมโยธาธิการและผังเมือง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2548 (เรื่อง โครง การพัฒนาพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัยพื้นที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่) และเห็นชอบแนวทางการดำเนินการฟื้นฟูพื้น ที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ตามความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) โดยจากการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงในพื้นที่ดังกล่าว มีความเห็นร่วมกันดังนี้ สมควรทำการพิจารณาโดยเฉพาะด้านการออกแบบรายละ เอียดให้เหมาะสม และสอดคลองกับธรรมชาติท้องถิ่นได้อย่างกลมกลืนและประเมินราคาค่างานตามความเป็น จริงก่อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ราคาค่าก่อสร้างถูกลงจากเดิม จำนวน 200 กว่าล้านบาท เช่น การก่อ สร้างถนนและทางเท้ารอบเกาะ ระยะทาง 5.7 กิโลเมตร เสาไฟส่องสว่าง จำนวน 400 ต้น ที่เกินความจำเป็น ฯลฯ สำหรับกรอบแนวคิดในการจัดทำผังฟื้นฟูเกาะพีพี โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองในครั้งนี้จำเป็นต้องทำ การพิจารณาทบทวนใหม่ให้รอบคอบอีกครั้งหนึ่งโดยควรนำผลการศึกษาแนวทางในการฟื้นฟูและพัฒนาการ ท่องเที่ยวเกาะพีพี ขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) คาดว่า จะ ดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2548 มาใช้ประกอบการพิจารณาควบคู่กันไป เพื่อการออกแบบ รายละเอียด และในเบื้องต้นควรให้ความสำคัญกับการจัดทำภูมิทัศน์ (Landscape) รอบเกาะระยะแนวถอย ร่นฝั่งทะเลเข้าไปในแผ่นดินเป็นระยะทาง 30 เมตรเป็นลำดับแรก และจำเป็นต้องทบทวนประเด็นปัญหาเรื่อง ที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 10 ราย ที่เพียงแค่ยินยอมให้หน่วยงานราชการสามารถดำเนินการจัดรูปที่ ดิน เพื่อการพัฒนาในเนื้อที่ประมาณ 150 ไร่นี้เท่านั้น มิได้ยินยอมอุทิศยกกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับการก่อ สร้างให้ทางราชการซึ่งจะเป็นปัญหาการใช้ประโยชน์ในภายหลัง และภาครัฐไม่สามารถทำการควบคุมสภาพ แวดล้อมในพื้นที่บริเวณดังกล่าวที่อาจจะเกิดสภาพแวดล้อมในลักษณะชุมชนแออัดได้อีกในช่วงระยะต่อไป และ มอบให้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการแทน กรมโยธาธิการและผังเมือง
|
||||||||||||||||||
2493 | ผลการเยือนอินเดียและภูฎานของนายกรัฐมนตรี | นร | 23/08/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการเยือนอินเดีย
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2548 และภูฏาน เมื่อวันที่ 4-5 มิถุนายน 2548 ของนายกรัฐมนตรี โดยในส่วน ของผลการเยือนอินเดีย นายกรัฐมนตรีได้หารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับนายกรัฐมนตรีอินเดียในเรื่อง ที่สำคัญ ได้แก่ การเร่งกระบวนการเจรจา FTA ให้คืบหน้าตามเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ การเสนอตั้งเป้าหมาย มูลค่าการค้าในปี 2550 เป็น 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การผลักดันนโยบายการเปิดน่านฟ้าเสรีให้มีผลใน ทางปฏิบัติ การผลักดันให้พม่าดำเนินการสร้างถนนเชื่อมเส้นทางคมนาคมอินเดีย-พม่า-ไทย การเชื่อม โยงระบบเตือนภัยสึนามิและแผ่นดินไหวระหว่างไทย - อินเดีย การเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสน เทศ วิศวกรคอมพิวเตอร์ของอินเดียมาพัฒนาทรัพยากรบุคคลของไทย และได้มีการลงนามในบันทึกความ เข้าใจทางการศึกษาระหว่างไทย-อินเดีย ส่วนผลการเยือนภูฏาน ได้มีการหารือข้อคิดเห็นในเรื่องที่สำคัญ ได้แก่ การให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการแก่ภูฏาน การช่วยขายเห็ด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นใน ลักษณะสินค้า OTOP หรือการผลิตสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์สองประเทศ การติดตั้งระบบเชื่อมโยง โทรคมนาคม ความร่วมมือในการวิจัยสมุนไพร การร่วมลงทุนสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำ และการจ้างครูสอนภาษาอังกฤษจากภูฏาน และได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ ด้านวัฒนธรรมระหว่างไทย-ภูฏาน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานการดำเนินการดังกล่าว จากการ เยือนอินเดียและภูฏานในครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี ในส่วนของอินเดียเป็นการรักษา momentum ความสัมพันธ์ทางการเมืองระดับสูง เพื่อช่วยผลักดันเรื่องที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อไป สำหรับภูฏาน เป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่าไทยมีนโยบายที่จะผูกมิตรกับประเทศที่แม้จะไม่มีผลประโยชน์มากนัก เป็น การสะท้อนให้เห็นว่าไทยเอาใจใส่ต่อมิตรประเทศ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานต่าง ๆ เร่งรัดการดำเนินการตามผล การเยือนในประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||
2494 | แรงงานไทยในไต้หวันก่อการประท้วงผู้ดูแลแคมป์ที่พัก | รง | 23/08/2548 | |||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับกรณีแรงงานไทยในไต้หวันก่อ
การประท้วงผู้ดูแลแคมป์ที่พัก และทำลายทรัพย์สินในแคมป์ที่พัก เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2548 ซึ่งจากเหตุการณ์ ดังกล่าวอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงาน ณ กรุงมะนิลา ผู้บัญชาการตำรวจจังหวัดเกาสง เจ้าหน้าที่สำนักงานแรงงานท้องถิ่นจังหวัดเกาสง รวมทั้งตัวแทนนายจ้างได้ประชุมหารือถึงแนวทางในการแก้ไข ปัญหา และรับฟังข้อเรียกร้องของแรงงานไทยที่ขอให้นายจ้างแก้ไขระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นการลิดรอนเสรีภาพของ แรงงานไทย อาทิ ให้นายจ้างรับดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีนายจ้างคิดจำนวนชั่วโมงทำงานล่วงเวลาให้ไม่ครบ ถ้วน และให้มีใบแสดงรายการจ่ายเงินเดือน รายการหักค่าใช้จ่าย โดยมีรายละเอียดที่ชัดเจนและถูกต้อง กับให้ ยกเลิกการห้ามแรงงานไทยใช้โทรศัพท์มือถือในแคมป์ที่พัก แก้ไขปัญหาเรือนพักนอนซึ่งมีความแออัด และมีการ ปิดน้ำ ปิดไฟ ในเวลา 22.00 น. เป็นต้น ซึ่งนายจ้างได้รับข้อเรียกร้องดังกล่าวไปพิจารณา และรับจะดำเนินการ ให้เป็นไปตามที่แรงงานไทยเรียกร้อง ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ สาเหตุปัญหาเกิดจากนายจ้างดูแล แรงงานไทยไม่ดี และในเบื้องต้นสำนักงานคณะกรรมการแรงงานจะพิจารณาตัดโควต้าแรงงานต่างชาติของนาย จ้างรายนี้ จำนวน 800 คน และจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยแต่งตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนเข้าร่วม เป็นกรรมการด้วย และกระทรวงแรงงานจะได้ติดตามและให้ความช่วยเหลือต่อแรงงานไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป
|
||||||||||||||||||
2495 | รายงานสถานการณ์อุทกภัยในภาคเหนือ | กษ | 16/08/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานสถานการณ์อุทกภัยใน
ภาคเหนือ ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2548 เนื่องจากมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2548 เป็นต้นมา ทำให้มีน้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่งและท่วมในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ น่าน และลำปาง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานได้ดำเนินการแจ้งเตือนจังหวัดและ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ต่าง ๆ ทราบเป็นการล่วงหน้าประมาณ 1 วัน รวมทั้งประชาสัมพันธ์ ผ่านทางสถานีวิทยุในพื้นที่ เกี่ยวกับปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และคาดการณ์ระยะ เวลาที่น้ำจะท่วมล้นตลิ่ง การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ จัดเตรียมเครื่อง สูบน้ำขนาด 6-12 นิ้ว 80 เครื่อง ไว้ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสนับสนุนการเร่งระบายน้ำแก้ไขปัญหา จาก การสำรวจเบื้องต้น ยังไม่ครบทุกพื้นที่ ของกรมส่งเสริมการเกษตรพบว่า มีพื้นที่ประสบอุทกภัย รวม 6 จังหวัด 33 อำเภอ 140 ตำบล พื้นที่การเกษตรประสบภัย 142,805 ไร่ ด้านพืช เกษตรกร 4,243 ราย พื้นที่คาดว่าจะเสียหาย 141,420 ไร่ ด้านปศุสัตว์ เกษตรกร 7,281 ราย สัตว์ที่ได้รับผลกระทบ153,744 ตัว ด้านประมง เกษตรกร 3,246 ราย พื้นที่คาดว่าจะเสียหาย 678 ไร่ 735 บ่อ และกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ โดยศูนย์ป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
|
||||||||||||||||||
2496 | แนวทางการแก้ไขปัญหาวิทยุชุมชน | นร | 16/08/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรนันทน์
เวชชาชีวะ) เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาวิทยุชุมชน ดังนี้ ยืนยันในหลักการการสนับสนุนให้ชุมชนมีกลไกใน การสื่อสารภายในชุมชน, ยืนยันแนวทางการดำเนินการวิทยุชุมชนภายใต้โครงการจุดปฏิบัติการเตรียมความ พร้อมวิทยุชุมชน, ยืนยันการอนุญาตให้โฆษณาได้ไม่เกินชั่วโมงละ 6 นาที, บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังต่อ เนื่อง, ให้มีการติดตามตรวจสอบเนื้อหาการจัดรายการ, สนับสนุนให้มีการสัมมนาระดมความคิดเห็น และติด ตามการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาในอนาคต ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็น เพิ่มเติมว่า การกำหนดให้วิทยุชุมชนสามารถโฆษณาได้ไม่เกินชั่วโมงละ 6 นาที ในหลักการควรให้ดำเนินการ ได้เฉพาะการโฆษณาภาพลักษณ์ของสินค้าหรือกิจการซึ่งเป็นของท้องถิ่นหรือในชุมชนนั้น ๆ เท่านั้น จึงขอให้ รับประเด็นดังกล่าวไปพิจารณาประกอบกับความเห็นของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ โดยให้ หารือรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ด้วย ส่วนการแก้ไขปัญหาโดยจัดให้วิทยุชุมชนเข้าอยู่ในระบบ วิทยุกระจายเสียงของกรมประชาสัมพันธ์ จะเป็นการแก้ไขปัญหาส่วนหนึ่งได้ โดยให้ประสานงานร่วมกับกรม ประชาสัมพันธ์ และสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พิจารณาดำเนินการ โดยให้หารือ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ด้วย
|
||||||||||||||||||
2497 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 09/08/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมาย จัดตั้ง มีอำนาจในการกำหนดและจัดเก็บค่าตอบแทนการอนุญาตตามมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทน ราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||
2498 | รายงานการส่งเสริมให้เยาวชน และประชาชนมีความตื่นตัวในการเล่นกีฬา ตามมติคณะรัฐมนตรี | กก | 09/08/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานผลการจัดกิจกรรมส่ง
เสริมให้เยาวชนและประชาชน มีความตื่นตัวในการเล่นกีฬา ระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม 2547 ตาม ยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การใช้และบริหารสนามกีฬาของสถานศึกษาและหน่วยงาน ราชการให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อประชาชน ได้มีการเปิดสนามกีฬาภายในศูนย์การท่องเที่ยว กีฬา และ นันทนาการจังหวัด 75 แห่ง ศูนย์กีฬา (กกท.) 5 ภาค วิทยาลัยพลศึกษา 17 แห่ง โรงเรียนกีฬา 13 แห่ง และสนามกีฬาแห่งชาติ ปทุมวัน กรุงเทพ ฯ ให้เด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชน เล่น กีฬา ออกกำลังกาย มีผู้ใช้บริการ 27,538,854 คน ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาบุคลากรกีฬาอย่างเป็น ระบบ ได้จัดอบรม สัมมนา เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการกีฬา สุขภาพ นันทนาการ วิทยาศาสตร์การกีฬา มีผู้ เข้าร่วมกิจกรรม 120,519 คน ยุทธศาสตร์ที่ 3 การบูรณาการการกีฬาทุกระดับให้ต่อเนื่องและยั่งยืน ได้ส่งเสริม สนับสนุน และจัดกิจกรรมกีฬา ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม 15,924,823 คน ยุทธศาสตร์ที่ 4 การบริหารองค์กรเครือข่ายกีฬาของประเทศอย่างเป็นระบบ โดย จัดประชุม สัมมนาคณะกรรมการ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคีเครือข่ายคณะกรรมการกีฬา สมาคมกีฬา ผู้บริหารระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ผู้จัดการสถานกีฬา มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม 49,000 คน และยุทธศาสตร์ที่ 5 การช่วยเหลือนักกีฬาซึ่งทำคุณประโยชน์และชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ โดยการ จัดจ้างนักกีฬาทีมชาติ หรือนักกีฬาที่ทำคุณประโยชน์และสร้างชื่อเสียงแก่ประเทศชาติเข้าทำงานรวมทั้ง สิ้น 3,119 คน
|
||||||||||||||||||
2499 | ขออนุมัติงบประมาณดำเนินงานโครงการพัฒนาการศึกษาโรงเรียนในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ | ศธ | 09/08/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3.1 (ฝ่าย
การศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอโครงการพัฒนา การศึกษาโรงเรียนในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมีวัตถุ ประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาของโรงเรียนให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่มีคุณภาพสอดคล้องกับ สภาพของโรงเรียน และความต้องการของท้องถิ่น ให้นักเรียนมีความรู้ความสามารถมีคุณภาพทัดเทียมโรง เรียนชั้นนำ ส่งเสริม สนับสนุนความพร้อมของสถานศึกษาตามโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งส่งเสริมพัฒนาคุณ ภาพการศึกษา ตลอดจนเผยแพร่รูปแบบการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพโดยให้ดำเนินโครง การ ฯ ในกรอบวงเงิน 113,200,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี (พ.ศ. 2548-2550) โรงเรียนกลุ่ม เป้าหมายในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง จำนวน 8 โรงเรียน และให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติไปทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมโดยให้ใช้ งบประมาณตามที่จ่ายจริง และให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานประสานงานโครงการพัฒนาดอยตุง ฯ อาทิเช่น ความเห็นของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการ โครงการ พัฒนาดอยตุง และชุมชน ร่วมกันกำหนดรูปแบบและรายละเอียดกิจกรรมของโรงเรียน โดยในระยะเร่งด่วน ควรให้ความสำคัญกับการสร้างสิ่งจูงใจแก่บุคลากรเพื่อให้เข้ามาสอนอย่างต่อเนื่อง ส่วนในระยะยาวควรให้ ทุนการศึกษาและฝึกอบรมแก่นักเรียนและบุคลากรในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการศึกษาและฝึกอบรม เพื่อกลับ มาเป็นครูต่อไป และควรประเมินความพร้อมของสถานศึกษาทั้งบุคลากร นักเรียน และสภาพแวดล้อมก่อน การนำระบบ ICT มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน นอกจากนี้ ยังเห็นว่ากิจกรรมในแผนงบประมาณยังขาด ความชัดเจนในเหตุผลความจำเป็นของการขอใช้งบประมาณ เช่น กิจกรรมด้านการพัฒนาคณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้เข้มแข็งในการมีส่วนร่วมจัดการศึกษา การศึกษาดูงานในต่างประเทศ การจัดมห กรรมจัดแสดงผลงาน เป็นต้น ไปประกอบการทำความตกลงกับสำนักงบประมาณด้วย ทั้งนี้ ให้สำนักงบ ประมาณพิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายและแผนการใช้จ่ายของโครงการให้เหมาะสมตามความจำเป็น แล้ว ดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||
2500 | โครงการพัฒนาพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัยพื้นที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ | มท | 09/08/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพินิจ จารุสมบัติ) เสนอโครง
การพัฒนาพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัยพื้นที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง โดยได้จัด ทำแผนผังพัฒนาพื้นที่เพื่อปรับปรุงฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน และสภาพแวดล้อมในพื้นที่เกาะพีพี บริเวณอ่าว โละดาลัม และอ่าวต้นไทร และทำการออกแบบเบื้องต้นทางเท้า ทางหนีภัย และภูมิทัศน์ โดยประมาณการ งบประมาณค่าก่อสร้างเบื้องต้นรวมทั้งสิ้น 259,199,000 บาท ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ราคาต่อหน่วย และวงเงินค่าก่อสร้างของโครงการดังกล่าวสูงมาก จึงให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพินิจ จารุสมบัติ) รับไป พิจารณาทบทวนรายละเอียดและความจำเป็นเหมาะสมของราคาต่อหน่วยร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรม โยธาธิการและผังเมือง) สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยอาจหารือรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) ด้วย และควรพิจารณาใช้วัสดุที่เหมาะสมกับภูมิประเทศ และเป็นวัสดุที่ผลิตใน ประเทศเป็นหลัก เช่น อิฐบล๊อค ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้คิดค้นและพัฒนาขึ้น ซึ่งจะ ประหยัดการใช้ซิเมนต์ได้มาก เป็นต้น แล้วให้กรมโยธาธิการและผังเมืองขอทำความตกลงในรายละเอียด กับสำนักงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการต่อไป โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามความเห็นของสำนักงบ ประมาณ และให้รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่เห็นว่า การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และสภาพแวดล้อมในพื้นที่เกาะพีพี ควรคำนึงถึงการออกแบบก่อสร้างที่กลมกลืนกับสภาพธรรมชาติ และ ควรปลูกต้นไม้ท้องถิ่น เพื่อให้มีสุนทรียภาพ และภูมิทัศน์ที่สวยงาม สร้างบรรยากาศที่น่าประทับใจแก่นัก ท่องเที่ยว และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควร ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองเร่งประชาสัมพันธ์ และสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ถึงผล ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. 2547 ไปประกอบการ ดำเนินการด้วย สำหรับวิธีดำเนินโครงการนั้น เห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องใช้วิธีจ้างเหมาแบบ Turnkey และวิธีพิเศษ และให้ใช้วิธีสำรวจออกแบบควบคู่ไปกับการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนใน พื้นที่ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ประสาน และพิจารณาร่วมกับกระทรวง มหาดไทย เพื่อให้การก่อสร้างดังกล่าวไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสภาพภูมิทัศน์บริเวณแนวชาย หาดของเกาะด้วย |
.....