ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 125 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 2481 - 2500 จากข้อมูลทั้งหมด 3983 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2481 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการพัฒนามาตรฐานสปาเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ | สสป | 04/10/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางการพัฒนามาตรฐานสปาเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการ ของกระทรวง สาธารณสุข ในประเด็นต่าง ๆ อาทิ การปรับปรุงกฎระเบียบของรัฐให้สอดคล้องกับการให้บริการและเอื้อต่อ การพัฒนา และการดำเนินงานของสถานประกอบการ ได้มีการปรับปรุง กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องให้มีความทัน สมัย สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย ส่วนการส่งเสริมให้มี การศึกษาแพทย์แผนไทยและบริการสปาในสถานศึกษานั้น ขณะนี้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้เปิดหลักสูตร ระดับปริญญาตรีแพทย์แผนไทยประยุกต์และสปา หรือเป็นวิชาเลือกในระดับปริญญาตรีในสถานศึกษาต่าง ๆ และได้พัฒนาหลักสูตรสปาในสถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในระดับ ปวส. และ ปวช. รวมทั้งพัฒนา หลักสูตรมาตรฐานของการฝึกอบรมระยะสั้นของสปาเพื่อสุขภาพ (ระยะเวลา 3-6 เดือน หรือประมาณ 330 ชั่วโมง) และ/หรือพัฒนาหลักสูตรมาตรฐานเป็นรายหมวดวิชา (Module) เพื่อให้ผู้ดำเนินการสปาสามารถ เรียนเพิ่มเติมความรู้ตามความสนใจในหน่วยฝึกอบรมของรัฐและเอกชน สำหรับการส่งเสริมการนวดพื้นบ้าน และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวให้มีความหลากหลายมากขึ้น ได้มีการส่งเสริมพัฒนาการ นวดไทยประเภทต่าง ๆ และดำเนินการอบรมให้แก่ผู้นวดประเภทต่าง ๆ และพัฒนาครูฝึกของกรมพัฒนาการ แพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในระดับภาคและระดับจังหวัด โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น เชียง ใหม่ เชียงราย ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา ฯลฯ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในเชิงสุขภาพ เป็นต้น โดยให้ กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่าง เป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||
| 2482 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การลดการใช้พลาสติกและโฟม (ตุลาคม 2547 - กรกฎาคม 2548) | ทส | 04/10/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ
รายงานผลการดำเนินการลดการใช้พลาสติกและโฟม ระหว่างเดือนตุลาคม 2547-กรกฎาคม 2548 โดยได้ ดำเนินการทั้งมาตรการระยะสั้นและมาตรการระยะยาว ในส่วนของมาตรการระยะสั้น ได้แก่ มาตรการจัดการ พลาสติกและโฟมในอุทยานแห่งชาติ และแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและ พันธุ์พืช ได้ออกประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ ฯ จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ ประกาศห้ามนำภาชนะที่ทำด้วยโฟม เข้าไปในอุทยานทั่วประเทศ และประกาศการนำบรรจุภัณฑ์เข้าไปในบริเวณพื้นที่ควบคุมพิเศษในอุทยานแห่ง ชาติ โดยใช้กับอุทยานทั่วประเทศแล้ว จำนวน 148 แห่ง มาตรการด้านการรณรงค์ประชาสัมพันธ์โดยหน่วย งานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันรณรงค์ประชาสัมพันธ์การลดการใช้พลาสติกและโฟมผ่านสื่อสัมพันธ์ต่างๆ อย่างต่อ เนื่อง มาตรการด้านเทคโนโลยี ได้มีการส่งเสริมกิจการรีไซเคิลพลาสติกและโฟมในกิจการประเภท 7.21 กิจ การนำวัสดุที่ไม่ต้องการใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ และกิจการวัสดุที่ย่อยสลายได้หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุธรรม ชาติทดแทนการใช้พลาสติกและโฟมในกิจการประเภท 1.28 มาตรการด้าน กฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยา ลัย ได้เสนอแผนยุทธศาสตร์สำหรับการจัดการบรรจุภัณฑ์และของเสียบรรจุภัณฑ์ เสนอแนะการปรับปรุงกฎ หมายเพื่อผลักดันการบังคับใช้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ส่วนมาตรการระยะยาว ได้แก่ การจัดการบรรจุภัณฑ์ พลาสติกและโฟมในห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ กำหนดผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ทำจากพลาสติกใช้แล้ว ส่วนมาตรการด้านเศรษฐศาสตร์ ได้มีการเสนอผลการศึกษาตามมาตรการลดการใช้พลาสติกและโฟม ดังนี้ มาตรการลดของเสียประเภทพลาสติกและโฟมจากแหล่งกำเนิดมูลฝอยที่สำคัญ มาตรการส่งเสริมการนำพลา สติกและโฟมกลับมาใช้ใหม่ มาตรการลดการใช้พลาสติกและโฟมในห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ และ มาตรการส่งเสริมด้านการตลาด สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวด ล้อม สำหรับแผนการดำเนินการต่อไปจะได้มีการรวบรวมข้อมูลและผลการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมในโครงการ ฯ ต่าง ๆ วิเคราะห์และประเมินผลการดำเนิน งาน เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีในรอบ 6 เดือนครั้งต่อไป ตลอดจนประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำ มาตรการ ฯ ดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติเพื่อลดปริมาณขยะและโฟมในสถานที่ต่าง ๆ โดยในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2548-พ.ศ. 2549 จะดำเนินโครงการลดการใช้พลาสติกและโฟมในแหล่งกำเนิดที่สำคัญ ปี งบประมาณ พ.ศ. 2550 จะดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพของท้องถิ่นในการลดและคัดแยกขยะมูลฝอย และปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 จะติดตามตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการทั่วประเทศ
|
||||||||||||||||||
| 2483 | การรายงานผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน | ทส | 04/10/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การบริหารจัดการลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน โดยมีข้อเสนอแนะว่ารัฐ ควรกำหนดเรื่องลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่านเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อระดมทรัพยากรในการป้องกันและแก้ไขปัญหา อย่างบูรณาการและยั่งยืน โดยในส่วนของการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ เพื่อการเกษตรในช่วงฤดูแล้งรัฐ ควรจัดทำแผนการใช้น้ำระดับพื้นที่เพื่อการเกษตรโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนพัฒนาให้มีอ่างเก็บ น้ำกระจายในพื้นที่ทุกหมู่บ้าน ชุมชน ขุดลอกแหล่งเก็บน้ำเดิม พัฒนาระบบชลประทานและคู คลอง ให้ทั่วถึง ส่วนการแก้ไขปัญหามีน้ำหลากท่วมในช่วงฤดูฝนรัฐต้องเร่งศึกษาวางระบบคู คลองให้เป็นโครงข่าย สร้างผนัง กั้นน้ำเสริมคันคลองที่ต่ำและสร้างประตูระบายน้ำ ศึกษาพื้นที่น้ำท่วมขังเป็นประจำเพื่อปรับปรุงระบบระบาย น้ำให้มีประสิทธิภาพ ขุดลอกลำน้ำที่ตื้นเขิน และพัฒนาแหล่งกักเก็บ ปรับปรุงหนองน้ำธรรมชาติ จัดวาง ระบบการระบายน้ำในพื้นที่น้ำท่วมขัง และจัดวางระบบเตือนภัยและการอพยพให้การช่วยเหลือประชาชนใน พื้นที่น้ำท่วมขังเป็นประจำ สำหรับการแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายป่าไม้ การชะล้างพังทลายของพื้นที่ลาด ชันและดินริมตลิ่ง และการตกตะกอนในแหล่งเก็บน้ำ รัฐควรศึกษาออกกฎหมายให้เจ้าของผู้ครอบครอง หรือ ผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินต้องปลูกไม้ยืนต้นที่รักษาสภาพแวดล้อมอย่างน้อยร้อยละ 10 ของพื้นที่ที่ประชาชนครอบ ครองหรือทำประโยชน์อยู่เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่า รวมทั้งเร่งฟื้นฟูและขยายพื้นที่ป่าไม้ทดแทนป่าไม้เสื่อมโทรม จัด ให้มีมาตรการป้องกันการพังทลายของดินอย่างเหมาะสม ปรับปรุงแหล่งเก็บน้ำเดิมของชุมชนและหมู่บ้าน ให้ลดการตื้นเขิน ให้ความรู้ความเข้าใจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเฝ้าระวัง และบริหารจัดการน้ำ ระดับพื้นที่ กำหนดแนวทางให้คนอยู่กับป่าในพื้นที่อย่างเหมาะสม ตลอดจนฟื้นฟูอนุรักษ์แหล่งน้ำให้เป็น แหล่งท่องเที่ยว
|
||||||||||||||||||
| 2484 | ขออนุมัติวงเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน โครงการก่อสร้างทางหลวงเทศบาลสายเชื่อมระหว่างถนนจรัญสนิทวงศ์กับถนนพุทธมณฑลสาย 4 | มท | 04/10/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอดังนี้ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพ
มหานคร ดำเนินการก่อสร้างทางหลวงเทศบาลช่วงสองจากถนนวงแหวนรอบนอก (กาญจนาภิเษก) ถึงถนน พุทธมณฑลสาย 4 และอนุมัติวงเงินค่าทดแทนในเขตทางที่สอดคล้องกับการก่อสร้างช่วงสอง วงเงินประมาณ 2,304,633,930 บาท โดยมีสัดส่วนเงินอุดหนุนรัฐบาล : สัดส่วนรายได้ของกรุงเทพมหานคร ในอัตรา 50 : 50 และหากมีความจำเป็นต้องเบิกจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 หรือ พ.ศ. 2549 ในสัดส่วนของรัฐบาล ซึ่งยังไม่ได้จัดเตรียมงบประมาณรองรับไว้ ให้กรุงเทพมหานครใช้จ่ายจากเงินรายได้ของกรุงเทพมหานครไป ก่อน และให้กระทรวงมหาดไทยเสนอขอตั้งงบประมาณปี พ.ศ. 2550 เพื่อชดใช้คืนต่อไป และให้กำหนดเงิน อุดหนุนดังกล่าวไว้ในสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้ของรัฐบาลตามพระราชบัญญัติ กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ตามความเห็นของ กระทรวงการคลังด้วย |
||||||||||||||||||
| 2485 | รายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 | กค | 04/10/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำ
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2548 ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เบิกจ่ายเงินจากคลังทั้งสิ้น 1,103,522 ล้านบาท หรือร้อยละ 93.79 ของวงเงินงบประมาณ 1,176,600 ล้าน บาท เทียบกับผลการเบิกจ่ายในช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนสูงกว่าร้อยละ 1.41 ส่วนผลการเบิกจ่ายเงิน งบประมาณจำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังทั้งสิ้น 1,118,622 ล้านบาท หรือร้อยละ 93.22 ของวงเงินงบประมาณ 1,200,000 ล้านบาท จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน 901,796 ล้านบาท หรือร้อยละ 99.65 ของงบประมาณรายจ่ายประจำ 904,936 ล้านบาท และรายจ่าย ลงทุน จำนวน 216,826 ล้านบาท หรือร้อยละ 73.48 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน 295,064 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของ ประเทศ (23,400 ล้านบาท) จะมีการเบิกจ่ายเงินจากคลัง 206,726 ล้านบาท หรือร้อยละ 74.72 ของวงเงิน งบประมาณรายจ่ายลงทุน และผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายจำแนกตามกระทรวง กระทรวงที่มีอัตรา การเบิกจ่ายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กระทรวงการคลัง หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ และกระทรวงแรง งาน ซึ่งมีอัตราการเบิกจ่ายต่อวงเงินงบประมาณเท่ากับ 98.54 98.20 และ 97.86 ตามลำดับ สำหรับผลการ เบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 เพิ่มเติม จำนวน 50,000 ล้านบาท ส่วนราช การและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายเงินเพิ่มเติมแล้ว จำนวน 21,153 ล้านบาท หรือร้อยละ 42.31 ของวงเงินงบ ประมาณ 50,000 ล้านบาท ประกอบด้วย รายการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การ พัฒนาจังหวัดสำหรับผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ จำนวน 2,453 ล้านบาท รายการค่าใช้จ่ายในการ พัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านหรือชุมชน จำนวน 9,150 ล้านบาท เงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง จำนวน 4,599 ล้านบาท และเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น จำนวน 4,951 ล้านบาท นอกจากนี้ ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 รวมงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ณ สิ้นเดือนกันยายน 2548 ในภาพรวมจำนวน 1,250,000 ล้าน บาท ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังทั้งสิ้น 1,139,775 ล้านบาท หรือร้อยละ 91.18 ของวง เงินงบประมาณ (1,250,000 ล้านบาท) และการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรรายจ่าย ลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท ซึ่งมีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณดังกล่าว จำนวน 20 แห่ง ปรากฏว่า หน่วยงานในกลุ่มนี้เบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน จำนวน 170,909 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 78.04 ของวงเงินงบ ประมาณรายจ่ายลงทุนของกลุ่ม (219,005 ล้านบาท) |
||||||||||||||||||
| 2486 | สรุปสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือจากพายุไต้ฝุ่น "ดอมเรย" | มท | 04/10/2548 | |||||||||||||||
|
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรม
ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือ ประชาชนที่ประสบภัยจากพายุ "ดอมเรย" โดยสถานการณ์อุทกภัย ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2548 มีพื้นที่ประสบ ภัยรวม 13 จังหวัด 49 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ 141 ตำบล 470 หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน กาฬสินธุ์ เพชรบูรณ์ มุกดาหาร อุตรดิตถ์ เลย และตาก ความเสีย หาย ด้านชีวิต ราษฎรเสียชีวิต 10 คน บาดเจ็บ 7 คน สูญหาย 3 คน เดือดร้อน 33,572 คน 11,058 ครัวเรือน อพยพ 2,108 คน ด้านทรัพย์สิน ถนน 40 สาย สะพาน 24 แห่ง อ่างเก็บน้ำ 1 แห่ง ฝาย/พนัง กั้นน้ำ 15 แห่ง บ้านเรือนทั้งหลัง 18 หลัง บ้านเรือนบางส่วน 78 หลัง บ่อปลา/กุ้ง 10 แห่ง โรงเรียน 3 แห่ง มูลค่าความเสียหาย อยู่ระหว่างการสำรวจ สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน จังหวัดที่สถานการณ์อุทกภัย คลี่คลายแล้ว ได้แก่ จังหวัดพะเยา แพร่ น่าน มุกดาหาร อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ เลย และแม่ฮ่องสอน และที่ยัง คงมีน้ำท่วมขัง ได้แก่ จังหวัดลำปาง ที่อำเภอเถิน จังหวัดเชียงใหม่ ที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ อำเภอสารภี จังหวัดเชียงราย ที่อำเภอเมือง อำเภอเทิง อำเภอแม่ลาว อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่อำเภอ หนองกุงศรี อำเภอเมือง อำเภอยาตลาด และจังหวัดตาก ที่อำเภอสามเงา อำเภอบ้านตาก ในส่วนของการ ให้ความช่วยเหลือได้แจ้งเตือนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก และ ศูนย์ ปภ.เขต ในพื้นที่ เพื่อให้ติดตามสถานการณ์ และเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา จากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและให้เตรียมการช่วยเหลือประชาชน พร้อมกับระดมวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เรือท้องแบน จากทุกหน่วยงานให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทันทีเมื่อเกิด ความเสียหายรวมทั้งจัดเตรียมอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรคสำหรับแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัย และจุดที่เป็นสถานที่รองรับการอพยพ รวมทั้งให้จังหวัดถือปฏิบัติ ดังนี้ ในขณะที่มีสถานการณ์อุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก กัดเซาะคอสะพาน และน้ำท่วมผิวจราจรในระดับสูงที่ไม่สามารถมองเห็นสภาพพื้นผิว จราจรได้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการกำชับแขวงการทาง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ติดตั้ง ป้ายเตือน/วางแผนปิดกั้นช่องทางจราจร เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางได้ทราบ พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่ ตำรวจหรืออาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ให้ความช่วยเหลืออำนวยความสะดวกการจราจร ในจุดอันตราย ส่วนกรณีมีผู้สูญหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นให้จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว โดยให้สนธิกำลังจากทุก ภาคส่วนทั้งหน่วยทหาร ตำรวจศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตพื้นที่ อาสาสมัคร ฯ เข้าไปกู้ภัย ค้นหาผู้สูญหายและผู้ติดค้างในพื้นที่ประสบภัยเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยด่วน และภายหลัง น้ำลด ให้จังหวัดแจ้งแขวงการทางทางหลวงชนบทจังหวัด หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดเครื่อง จักรกลเข้าซ่อมแซมเส้นทางคมนาคมที่คอสะพานถูกน้ำกัดเซาะขาดให้สามารถใช้สัญจรไปมาได้เป็นการ ชั่วคราวโดยเร็วที่สุด หากความเสียหายมีมาก ให้ขอรับการสนับสนุนจากหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ในพื้นที่หรือพื้นที่ใกล้เคียง หรือศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต (กรม ปภ.) เข้าไปสนับสนุน ช่วยเหลือ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
| 2487 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดทำสัญญานักเรียนทุนพยาบาลศาสตร์ตามโครงการผลิตพยาบาล 1 ทุน 1 ตำบล ของกระทรวงสาธารณสุข | สธ | 27/09/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 (ฝ่าย
สาธารณสุข การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2543 ในประเด็นที่ให้กระทรวงสาธารณสุขยกเลิกการทำสัญญานักเรียนทุนที่ผูก พันให้กระทรวงสาธารณสุขบรรจุเป็นข้าราชการหลังสำเร็จการศึกษาทุกหลักสูตรตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา และอนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำสัญญากับผู้เข้าเรียนพยาบาลตั้งแต่ปีการศึกษา 2548 เป็นต้นไปมี ลักษณะเป็นสัญญาผูกพันฝ่ายเดียว หรือสัญญาปลายเปิดที่ไม่มีข้อผูกพันให้กระทรวงสาธารณสุขต้องบรรจุ ผู้รับทุนเข้ารับราชการเป็นข้าราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว โดยให้รับข้อ สังเกตและข้อเสนอแนะของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้มีการกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าสายอาชีพที่ชัดเจนและมาตร การเพื่อสร้างแรงจูงใจสำหรับพยาบาลให้ปฏิบัติงานในภาครัฐ เช่น การเปิดคลินิกนอกเวลาเพื่อให้เกิดการ สูญเสียบุคลากรในระบบน้อยที่สุด และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น/ชุมชนร่วมกับภาครัฐสนับสนุนงบ ประมาณในการผลิตพยาบาลให้ชุมชน/ท้องถิ่นที่ขาดแคลนบุคลากรหากมีงบประมาณเพียงพอ เพื่อสร้าง พันธะสัญญาระหว่างชุมชนกับนักเรียนทุนในการกลับมาปฏิบัติงานในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย สำหรับข้อเสนอเรื่องขอเงินอุดหนุนให้กับนักเรียนทุนพยาบาลศาสตร์ ฯ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนิน การตามความเห็นเพิ่มเติมของผู้แทนสำนักงบประมาณ โดยสำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณไว้ในหมวด เงินอุดหนุนจำนวนหนึ่ง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขสามารถนำมาถัวเฉลี่ยเป็นค่าอาหาร ค่าเครื่องแบบ ค่าที่ พัก และอื่น ๆ ได้อยู่แล้ว |
||||||||||||||||||
| 2488 | ขออนุมัติการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนแก่ผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | กค | 27/09/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับการจ่ายเงินตอบแทน
พิเศษรายเดือนแก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ประกอบ ด้วย ข้าราชการ (เช่น ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ครู) และลูกจ้างประจำ และผู้ปฏิบัติงานอื่นจำกัด เฉพาะประเภท ได้แก่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง/ ฝ่ายรักษาความปลอดภัย สารวัตรกำนัน แพทย์ประจำตำบล) อาสาสมัครทหารพราน พลอาสา อส.รด. พลทหารกองประจำการ รวมทั้งบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้คณะกรรมการนโยบาย เสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กสชต.) พิจารณารายละเอียดผู้มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนพิเศษ ดังกล่าวให้ชัดเจนเหมาะสมก่อน แล้วจึงดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
| 2489 | การกำหนดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้ของรัฐบาล | นร | 27/09/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอขอถอนเรื่อง การ
กำหนดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้ของรัฐบาล เพื่อนำไปพิจารณาร่วมกับหน่วย งานที่เกี่ยวข้องและจะเสนอกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||
| 2490 | การจัดตั้งวิทยาเขต วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย | มท | 20/09/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการจัดตั้งวิทยาเขต วิทยาลัยป้องกัน
และบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งได้เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2547 มีวัตถุประสงค์ เพื่อดำเนินการพัฒนาบุคลากรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครและประชาชน ในหลักสูตรต่าง ๆ อาทิ หลักสูตรเกี่ยวกับการดับเพลิง หลักสูตรเกี่ยวกับการกู้ภัยอาคารถล่ม หลักสูตรเกี่ยว กับการกู้ภัยสารเคมี หลักสูตรเกี่ยวกับการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน และหลักสูตรเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากร รวมทั้งพัฒนาหลักสูตรองค์ความรู้ด้านการจัดการภัยพิบัติ โดยขอความร่วมมือกับองค์กรหรือสถาบันที่มีความ ชำนาญเฉพาะทางเพื่อให้ความช่วยเหลือทางวิชาการทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังได้ จัดตั้งวิทยาเขต วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ อีกจำนวน 6 แห่ง ได้แก่ วิทยา เขตปราจีนบุรี วิทยาเขตเชียงใหม่ วิทยาเขตขอนแก่น วิทยาเขตสงขลา วิทยาเขตภูเก็ต และวิทยาเขตพิษณุโลก โดยวิทยาเขตทั้ง 6 แห่ง จะจัดให้มีการฝึกอบรมหลักสูตรการระงับอัคคีภัย หลักสูตรการค้นหาและช่วยเหลือผู้ ประสบภัย และหลักสูตรการจัดการภัยพิบัติโดยอาศัยชุมชนเป็นฐาน เป็นหลักสูตรพื้นฐานสำหรับเจ้าหน้าที่ ของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครและประชาชน โดยจะเชิญวิทยากรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีความชำนาญเฉพาะด้านมาบรรยายให้ความรู้แก่ผู้เข้ารับการอบรม
|
||||||||||||||||||
| 2491 | การติตดามผลการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรณีพิบัติของจังหวัดกระบี่ พังงา และภูเก็ต | นร | 06/09/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการติดตาม
การช่วยเหลือ และฟื้นฟูพื้นที่ที่ประสบธรณีพิบัติภัย ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) ใน จังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่ โดยในพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าวมีพื้นที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด 14 อำเภอ 55 ตำบล 217 หมู่บ้าน ราษฎรและครัวเรือนได้รับความเสียหาย 57,917 คน 13,812 ครัวเรือน มีผู้เสีย ชีวิตทั้งหมด 5,226 คน บาดเจ็บ 11,279 คน และสูญหาย 2,914 คน ในส่วนของการป้องกันและอพยพ หนีภัยสึนามิ จังหวัดภูเก็ต ได้ซ้อมแผนอพยพที่หาดป่าตอง อำเภอกระทู้ไปแล้ว 1 ครั้ง โดยมีแนวปฏิบัติใน การซ้อมแผนอพยพปีละ 2 ครั้ง ได้ติดตั้งหอเตือนภัยแล้ว 3 จุดที่หาดป่าตอง รวมทั้งได้มอบหมายให้อำเภอ และท้องถิ่นทำแผนอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย กรณีเกิดภัย จังหวัดพังงา มีแผนที่จัดทำหอสัญญาณ เตือนภัย 20 จุด โดยศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ส่วนจังหวัดกระบี่ ได้จัดสรรงบยุทธศาสตร์การพัฒนา จังหวัดในการก่อสร้างหอเตือนภัยขนาดใหญ่ 6 หอ ขนาดเล็ก 13 หอ จัดให้มีไซเรนเตือนภัยอีก 35 แห่ง มีแผนซ้อมอพยพปีละ 3 ครั้ง นอกจากนี้ ทั้ง 3 จังหวัด ได้ขอให้ส่วนกลางช่วยสนับสนุนเร่งรัดการดำเนิน การโครงการต่าง ๆ โดยโครงการที่ควรเร่งรัดดำเนินการโดยเร็ว ได้แก่ การก่อสร้างท่าเทียบเรือที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ การก่อสร้างปรับปรุงถนนที่บริเวณเขาหลักและการติดตั้งหอสัญญาณเตือนภัย ป้ายและเส้น ทางหนีภัยของทั้ง 3 จังหวัด เพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว
|
||||||||||||||||||
| 2492 | รายงานการดำเนินการมาตรการป้องกันและระบบการเตือนภัยธรรมชาติ | นร | 06/09/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ)
รายงานข้อมูลการดำเนินการมาตรการป้องกันและระบบเตือนภัยธรรมชาติ (สึนามิ) มีหน่วยงานหลักที่รับ ผิดชอบ 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย คณะกรรมการศึกษาเตือนภัยล่วงหน้า องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่ พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) และหน่วยงานในพื้นที่ โดยมีแผนการดำเนินการมาตรการดัง กล่าวกระจายครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 6 จังหวัดที่ประสบภัยสึนามิ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล ดังนี้ แผนติดตั้งหอเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยงภัยของ 6 จังหวัด จำนวน 62 จุด มีเป้าหมายให้แล้วเสร็จ ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 สำหรับจังหวัดภูเก็ตได้ติดตั้งระบบเตือนภัย (ที่ยังใช้บุคลากรควบคุม) ไป แล้วที่เขตพื้นที่ป่าตอง โดยได้รับความช่วยเหลือจากบริษัท SIRCOM ประเทศเยอรมัน และบริษัท KOCKUM SONIC ประเทศสวีเดน จำนวน 3 จุด และภายในเดือนตุลาคม 2548 คณะกรรมการศึกษาระบบเตือนภัย ล่วงหน้าจะติดตั้งหอเตือนภัยเพิ่มในพื้นที่เสี่ยงภัยที่สำคัญที่สุด จังหวัดละ 4 จุด ส่วนที่เหลือจะติดตั้งให้ครบ ทั้ง 62 จุด ภายในเดือนธันวาคม 2548 ในส่วนของ อพท. ยังได้มีโครงการ Beach Guard และการเตือน ภัยนักท่องเที่ยว โดยได้รับอนุมัติงบประมาณจำนวน 25,075,400 บาท แบ่งเป็นการก่อสร้างหอสังเกต การณ์และเตือนภัยในพื้นที่ 6 จังหวัด จำนวน 50 แห่ง จัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ และฝึกอบรมเจ้าหน้า ที่อาสาสมัคร และได้ดำเนินการติดตั้งแล้วที่หาดกมลา จังหวัดภูเก็ต จำนวน 2 จุด ส่วนที่เหลือจะติดตั้งเพิ่ม ภายในปี 2548 นอกจากนี้ จังหวัดที่ประสบภัยสึนามิร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มูลนิธิ และภาค เอกชนได้ดำเนินการจัดสร้างหอกระจายข่าวอีกจำนวน 64 จุด |
||||||||||||||||||
| 2493 | โครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค | ทส | 06/09/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
การเปลี่ยนแปลงรายการในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ของกรมทรัพยากรน้ำ บาดาล จากโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลของระบบประปาเพื่อให้ได้มาตรฐานน้ำดื่มขององค์การ อนามัยโลกเป็นโครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบกระจายน้ำเพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ภายในวงเงินงบประมาณ 290,340,000 บาท โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อมดำเนินการ และให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาลดำเนินการภายใต้กรอบงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว จำนวน 313,605,000 บาทในโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลของระบบประปาเพื่อให้ได้มาตรฐาน น้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก รวมทั้งให้ปฏิบัติงานในภารกิจเกี่ยวกับการขุดบ่อน้ำบาดาลที่ได้ถ่ายโอน ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว โดยให้ประสานการดำเนินการ และตรวจสอบข้อมูลกับกระทรวง มหาดไทย เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนเกี่ยวกับพื้นที่ดำเนินโครงการและประสานกับคณะกรรมการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพิจารณาดำเนินการให้มีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติ กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ตามความเห็น ของกระทรวงมหาดไทยต่อไป และอนุมัติวงเงินงบประมาณเพื่อการดำเนินโครงการ ฯ ดังกล่าว จำนวน 3,163,990,000 บาท ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายเท่าที่จ่ายจริง โดยให้ขอตกลงในรายละเอียดด้านการเงินกับ สำนักงบประมาณต่อไป รวมทั้งอนุมัติในหลักการเงินงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 จำนวน 6,273,320,036 บาท เพื่อการดำเนินโครงการดังกล่าวในส่วนที่ค้างในระยะที่ 1 โดยให้เบิกจ่ายเท่าที่ จ่ายจริง และให้จัดทำแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงิน แล้วขอตกลงในรายละเอียดกับสำนัก งบประมาณต่อไป และเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการจัดหาแหล่งน้ำสำหรับ อุปโภคบริโภคทั่วประเทศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ |
||||||||||||||||||
| 2494 | สรุปผลการตรวจเยี่ยมพื้นที่อำเภอของรัฐมนตรี (ในพื้นที่ 8 อำเภอของจังหวัดพังงา) | นร | 06/09/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สรุปผลการตรวจเยี่ยมพื้นที่ของรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2548 โดยได้ตรวจเยี่ยมในพื้นที่ 8 อำเภอของ จังหวัดพังงา และมีข้อสั่งการดังนี้ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสนับสนุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเคลื่อนที่ให้องค์การ บริหารส่วนตำบลเกาะปันหยียืมใช้ เพื่อแก้ปัญหาไฟฟ้าในแหล่งท่องเที่ยวเกาะปันหยี ให้การประปาส่วนภูมิ ภาคพิจารณาสนับสนุนงบประมาณในการขยายเขตประปา จากเกาะปันหยีไปยังเกาะไม้ไผ่ ให้กระทรวงการ ท่องเที่ยวและกีฬาสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศบ้านสองแพรก ให้กรมทรัพยา กรทางทะเลและชายฝั่งเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาตามหลักวิชาการ พร้อมทั้งสำรวจและศึกษาความเป็นไปได้ ของการก่อสร้างท่าเทียบเรือและเขื่อนป้องกันตลิ่ง ให้ศูนย์เตือนภัยแห่งชาติเร่งดำเนินการติดตั้งระบบเตือน ภัยพร้อมประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพื้นที่ที่ยังมีปัญหาการทับซ้อนกับที่ดินของรัฐและการกำหนดแนว เขตพื้นที่ป่าให้ชัดเจน กับให้รณรงค์ส่งเสริมการเก็บน้ำไว้ใช้ในระดับครัวเรือนเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อ อุปโภคบริโภค รวมทั้งประสานกับอุตสาหกรรมจังหวัด สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ร่วมกับสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นพัฒนาออกแบบและคุณภาพสินค้า OTOP ให้สอดคล้องกับความต้องการ ของตลาด ให้กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี สำรวจข้อมูลท่าเทียบเรือทั้งหมดของ 3 จังหวัดสามเหลี่ยม อันดามัน เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาท่าเทียบเรือโดยรวมของกลุ่มจังหวัดให้ชัดเจน และให้จังหวัดพังงา ประสานงานกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อโอนถนนสายที่ชำรุดและไม่สามารถทำการปรับปรุงให้กับ กรมทางหลวงชนบท และให้กรมการขนส่งทางน้ำจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการ ดำเนินการขุดเจาะบ่อ บาดาลในหมู่บ้านที่ขาดแคลน ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดำเนินการเปิดสาขาย่อย ในพื้นที่อำเภอ ให้กระทรวงพาณิชย์จัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตรขึ้นเพื่อแก้ปัญหาพืชผลตกต่ำ ให้กรมชล ประทานพิจารณาสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการก่อสร้างโครงการชลประทาน 3 โครงการ ให้ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเร่งรัดดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์ สปก. 4-01 ในพื้นที่ประกาศเขต สปก. แล้ว ให้กรมทางหลวงชนบทบรรจุโครงการสร้างถนนของอำเภอ สายบ้านป่าทราย-บ้านท่าเขา เป็น โครงการเพิ่มเติมไว้ในแผนปี 2549 และให้กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมปี 2549 หรือ 2550 เพื่อดำเนินการขุดลอกร่องน้ำระหว่างเกาะยาวน้อยและเกาะยาวใหญ่ และให้กรม ทรัพยากรน้ำ สนับสนุนงบประมาณดำเนินการก่อสร้างบ่อน้ำดิบ สำหรับระบบประปาเทศบาลตำบลเกาะ ยาว สำหรับโครงการจัดตั้งวิทยาลัยเทคโนโลยีคุระบุรี ให้พิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องความเหมาะ สมของจำนวนนักเรียนรูปแบบสถานศึกษา การมีส่วนร่วมของนักธุรกิจในชุมชนและปรับลดงบประมาณลง โดยระยะแรกควรทำการศึกษาออกแบบและเตรียมพืที่ก่อน
|
||||||||||||||||||
| 2495 | ขอเปลี่ยนแปลงรายการในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 (โครงการ ฯ ของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) | ทส | 06/09/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
การเปลี่ยนแปลงรายการในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ของกรมทรัพยากรน้ำ บาดาล จากโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลของระบบประปาเพื่อให้ได้มาตรฐานน้ำดื่มขององค์การ อนามัยโลกเป็นโครงการพัฒนาและปรับปรุงระบบกระจายน้ำเพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ภายในวงเงินงบประมาณ 290,340,000 บาท โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อมดำเนินการ และให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาลดำเนินการภายใต้กรอบงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว จำนวน 313,605,000 บาทในโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาลของระบบประปาเพื่อให้ได้มาตรฐาน น้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก รวมทั้งให้ปฏิบัติงานในภารกิจเกี่ยวกับการขุดบ่อน้ำบาดาลที่ได้ถ่ายโอน ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว โดยให้ประสานการดำเนินการ และตรวจสอบข้อมูลกับกระทรวง มหาดไทย เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนเกี่ยวกับพื้นที่ดำเนินโครงการและประสานกับคณะกรรมการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพิจารณาดำเนินการให้มีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติ กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ตามความเห็น ของกระทรวงมหาดไทยต่อไป และอนุมัติวงเงินงบประมาณเพื่อการดำเนินโครงการ ฯ ดังกล่าว จำนวน 3,163,990,000 บาท ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายเท่าที่จ่ายจริง โดยให้ขอตกลงในรายละเอียดด้านการเงินกับ สำนักงบประมาณต่อไป รวมทั้งอนุมัติในหลักการเงินงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 จำนวน 6,273,320,036 บาท เพื่อการดำเนินโครงการดังกล่าวในส่วนที่ค้างในระยะที่ 1 โดยให้เบิกจ่ายเท่าที่ จ่ายจริง และให้จัดทำแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงิน แล้วขอตกลงในรายละเอียดกับสำนัก งบประมาณต่อไป และเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการจัดหาแหล่งน้ำสำหรับ อุปโภคบริโภคทั่วประเทศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ |
||||||||||||||||||
| 2496 | รายงานแนวทางการดำเนินการกรณีการจ่ายเงินก่อนมีการตรวจรับทรัพย์สินหรือตรวจรับงาน | กค | 30/08/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานแนวทางการดำเนินการกรณีการจ่าย
เงินก่อนมีการตรวจรับทรัพย์สินหรือตรวจรับงาน โดยได้กำหนดวิธีการจ่ายเงินของส่วนราชการเพิ่มเติม เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการเป็นไปอย่างรวดเร็ว คล่องตัว มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2548 ที่มีมติเห็นชอบและอนุมัติมาตรการเสริมสร้างเสถียรภาพ ทางเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2548 ทั้ง 6 กลุ่มมาตรการ และเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่คู่สัญญา ของส่วนราชการ โดยเมื่อคู่สัญญาของส่วนราชการได้ส่งมอบทรัพย์สิน หรือส่งมอบงานในแต่ละงวดแล้ว และแจ้งความประสงค์ว่าจะขอรับเงินก่อนที่ส่วนราชการจะตรวจรับทรัพย์สินหรือตรวจรับงานเสร็จสิ้น ให้ ส่วนราชการรีบดำเนินการขอเบิกเงินจากคลังทันที โดยยังไม่ต้องดำเนินการตรวจรับทรัพย์สินหรือตรวจ รับงาน เพื่อจ่ายเงินให้คู่สัญญาหรือผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง ในกรณีเป็นการจ่ายเงินตรงจากกรมบัญชี กลาง หรือกรณีจ่ายเงินเข้าบัญชีเงินฝากของส่วนราชการ เพื่อนำไปจ่ายให้กับคู่สัญญาหรือผู้รับโอนสิทธิ เรียกร้อง ให้รีบดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดระยะเวลา 3 วัน นับจากวันที่รับเงินจากคลัง โดย ให้คู่สัญญาหรือผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องกรอกข้อความ และลงลายมือชื่อในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมแนบท้าย สัญญาเดิมตามแบบที่กระทรวงการคลังกำหนด พร้อมทั้งให้คู่สัญญาหรือผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องนำหนัง สือค้ำประกันของธนาคารภายในประเทศ (BANK GUARANTEE) มามอบให้ส่วนราชการ เพื่อใช้เป็นหลัก ประกันด้วย และเมื่อส่วนราชการได้ดำเนินการตรวจรับถูกต้องครบถ้วนเรียบร้อยแล้วส่วนราชการจะคืน หนังสือค้ำประกันให้แก่คู่สัญญาหรือผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องต่อไป ทั้งนี้ ได้ขอความร่วมมือให้หน่วยงาน อื่น ๆ ของรัฐ ได้แก่ รัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่คู่สัญญาก่อน มีการตรวจรับทรัพย์สิน หรือตรวจรับงานในลักษณะเช่นเดียวกับส่วนราชการตามแนวทางของมติคณะ รัฐมนตรีดังกล่าวด้วยแล้ว
|
||||||||||||||||||
| 2497 | การชะลอถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 30/08/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2548 (เรื่อง ปัญหาการประเมิน
คุณภาพผลงานของข้าราชการครูและการถ่ายโอนภารกิจด้านการบริหารการศึกษาให้องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น) ข้อ 2 การถ่ายโอนสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไป สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และให้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ครั้งที่ 6/2548 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2548 ตามที่รองนายก รัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เสนอ ทั้งนี้ ให้ กกถ. รับไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้นำความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ส่วน การประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของ อปท. รวมทั้งการติดตามประเมินผลหลังจากที่ อปท. ได้รับโอนสถานศึกษาไปแล้วควรกำหนดให้มีผู้แทนของ อปท. นั้น ๆ ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรม การที่จะทำหน้าที่ดังกล่าวด้วย และให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดจัดทำแผนการปฏิรูปการศึกษาในภาพ รวมทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งประสานกับเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเรื่องนี้หารือนายก รัฐมนตรีร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2498 | มติคณะรัฐมนตรีรับทราบและเห็นชอบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการมาตรการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2548 ครั้งที่ 1/2548 | พม | 30/08/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เสนอสรุปผลการประชุมคณะกรรมการมาตรการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2548 ครั้งที่ 1/2548 โดยมติที่ประชุมได้ขอเปลี่ยนหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนมาตรการ "ขยายการ ให้เบี้ยยังชีพคนชราผู้ยากไร้ 300 บาทต่อคนต่อเดือน ให้ครบทุกคน จาก 530,000 คน เป็น 1.07 ล้าน คน" จากหน่วยงานหลักเดิมกระทรวงมหาดไทย เป็นกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เนื่องจากการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2535 ใน โครงการกองทุนส่งเสริมสวัสดิการผู้สูงอายุและครอบครัวในชุมชน ในความรับผิดชอบของกรมประชาสง เคราะห์ และในปี พ.ศ. 2544 ภารกิจด้านสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้ถ่ายโอนไปยังกรมส่งเสริมการ ปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เห็นว่า การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งดำเนินการโดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถตอบ สนองความต้องการของผู้ประสบความเดือดร้อนโดยตรง อีกทั้งสอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 กระทรวงการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งมีภารกิจในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้สังคม เข้มแข็ง จะดำเนินการในส่วนของการขับเคลื่อนมาตรการการให้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยการกระตุ้น ติด ตามให้ผู้สูงอายุที่สมควรได้รับเบี้ยยังชีพ ได้รับการดูแลตามเจตนารมณ์ของการจัดสรรเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวมทั้งติดตามเร่งรัด การเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ได้มีแนวทาง เดียวกันในการดูแลคนพิการให้ได้รับการช่วยเหลือเบี้ยยังชีพคนพิการ ซึ่งได้ถ่ายโอนภารกิจให้แก่ กรม ส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547
|
||||||||||||||||||
| 2499 | ขอส่งรายงานสถานะการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2548 (ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2548) ข้อมูลจากระบบ GFMIS | นร | 30/08/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานสถานะการเร่งรัดการ
เบิกจ่ายงบประมาณปี พ.ศ. 2548 ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2548 ดังนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณจนถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2548 เบิกได้ 80% ของวงเงินรายจ่ายปี 2548 จำนวน 1,250,000 ล้านบาท วงเงินราย จ่ายปี 2548 บวกรายจ่ายเหลื่อมปี วงเงิน 1,414,343 ล้านบาท การเบิกจ่ายคงค้างที่ต้องเร่งรัดมียอด รวมทั้งงบประจำและลงทุน 316,746 ล้านบาท ยอดวงเงินคงค้าง 316,746 ล้านบาท ที่มีปัญหาจะ มีเฉพาะในส่วนของงบลงทุน และงบกลาง ที่ยังไม่ได้การจัดสรร หรือยังไม่ได้ผูกพัน โดยเฉพาะงบกลาง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐวิสาหกิจ (เฉพาะส่วนที่ได้รับจัด สรรจากงบประมาณ) กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จากการตรวจสอบในรายละเอียดการเบิกจ่ายพบว่า มีส่วนราช การที่ต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายในสาระสำคัญดังนี้ งบกลาง เร่งรัดให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ ในหมวดค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพและการแข่งขัน เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวง คมนาคม ควรเร่งรัดให้ทำการเบิกจ่ายตามงาน/โครงการดังนี้ งานพัฒนาทางหลวง งานบำรุงรักษาทาง หลวง โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลโครงการก่อสร้างทางเข้า -ออก ท่าอากาศยานสากล โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องทาง และงานพัฒนา ระบบโครงข่าย กระทรวงมหาดไทย ควรเร่งรัดการเบิกจ่ายโดยเฉพาะในส่วนของงบกรุงเทพมหานคร ที่มีการเบิกจ่ายต่ำมาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เร่งรัดในส่วนของกรมชลประทานเป็นสำคัญ สำหรับงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้โอน งบประมาณที่ค้างการเบิกและเป็นคดีความ เช่น งาน/โครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย คืนเงินคงคลัง เพื่อ สำรองจ่ายเมื่อจบคดีแล้ว
|
||||||||||||||||||
| 2500 | โครงการพัฒนาพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัยพื้นที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ | นร | 30/08/2548 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรีรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครง
การพัฒนาพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัยพื้นที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง และให้ยกเลิก การดำเนินการของกรมโยธาธิการและผังเมือง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2548 (เรื่อง โครง การพัฒนาพื้นที่ประสบธรณีพิบัติภัยพื้นที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่) และเห็นชอบแนวทางการดำเนินการฟื้นฟูพื้น ที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ตามความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) โดยจากการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงในพื้นที่ดังกล่าว มีความเห็นร่วมกันดังนี้ สมควรทำการพิจารณาโดยเฉพาะด้านการออกแบบรายละ เอียดให้เหมาะสม และสอดคลองกับธรรมชาติท้องถิ่นได้อย่างกลมกลืนและประเมินราคาค่างานตามความเป็น จริงก่อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ราคาค่าก่อสร้างถูกลงจากเดิม จำนวน 200 กว่าล้านบาท เช่น การก่อ สร้างถนนและทางเท้ารอบเกาะ ระยะทาง 5.7 กิโลเมตร เสาไฟส่องสว่าง จำนวน 400 ต้น ที่เกินความจำเป็น ฯลฯ สำหรับกรอบแนวคิดในการจัดทำผังฟื้นฟูเกาะพีพี โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองในครั้งนี้จำเป็นต้องทำ การพิจารณาทบทวนใหม่ให้รอบคอบอีกครั้งหนึ่งโดยควรนำผลการศึกษาแนวทางในการฟื้นฟูและพัฒนาการ ท่องเที่ยวเกาะพีพี ขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) คาดว่า จะ ดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2548 มาใช้ประกอบการพิจารณาควบคู่กันไป เพื่อการออกแบบ รายละเอียด และในเบื้องต้นควรให้ความสำคัญกับการจัดทำภูมิทัศน์ (Landscape) รอบเกาะระยะแนวถอย ร่นฝั่งทะเลเข้าไปในแผ่นดินเป็นระยะทาง 30 เมตรเป็นลำดับแรก และจำเป็นต้องทบทวนประเด็นปัญหาเรื่อง ที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 10 ราย ที่เพียงแค่ยินยอมให้หน่วยงานราชการสามารถดำเนินการจัดรูปที่ ดิน เพื่อการพัฒนาในเนื้อที่ประมาณ 150 ไร่นี้เท่านั้น มิได้ยินยอมอุทิศยกกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับการก่อ สร้างให้ทางราชการซึ่งจะเป็นปัญหาการใช้ประโยชน์ในภายหลัง และภาครัฐไม่สามารถทำการควบคุมสภาพ แวดล้อมในพื้นที่บริเวณดังกล่าวที่อาจจะเกิดสภาพแวดล้อมในลักษณะชุมชนแออัดได้อีกในช่วงระยะต่อไป และ มอบให้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการแทน กรมโยธาธิการและผังเมือง
|
||||||||||||||||||
.....
