ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 124 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 2461 - 2480 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2461 | การถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 08/11/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการการ
กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เสนอมติคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใน การถ่ายโอนสถานศึกษาและบุคลากรด้านการศึกษาไปให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ต้องยึดนัก เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยคำนึงถึงคุณภาพ มาตรฐานการศึกษา และประโยชน์ที่นักเรียนจะได้เป็นสำคัญ และ พิจารณาด้านความพร้อมของ อปท. รวมทั้งสถานศึกษา และจะต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย โดยให้ประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของ อปท. ในการรับโอนสถานศึกษา ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นปีแรกที่จะมีการถ่ายโอน ให้กำหนดจำนวนสถานศึกษาที่จะถ่ายโอนไว้ตามที่ กกถ. เสนอ เพื่อเป็นการนำร่องและติดตามประเมินผล กับให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยว ข้องเพื่อแก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับแนวทางการถ่ายโอนสถานศึกษาดังกล่าว และ ให้แก้ไขกำหนดเวลาต่าง ๆ ให้สอดคล้องกันด้วย นอกจากนี้ โดยที่พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอน การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และแผนปฏิบัติการเพื่อกำหนดขั้นตอน การกระจายอำนาจได้ใช้บังคับมาระยะหนึ่งแล้ว จึงให้ กกถ. รับไปพิจารณาทบทวนปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่ เกิดขึ้น และแนวทางแก้ไข โดยให้พิจารณารวมถึงการถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาให้แก่ อปท. ด้วย แล้วให้ นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2462 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่อำเภอ/กิ่งอำเภอ และ โครงการพิเศษในจังหวัดนครสวรรค์ | นร | 01/11/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
แนวทางและข้อสั่งการแก้ไขปัญหาของคณะรัฐมนตรีซึ่งได้เดินทางไปปฏิบัติราชการร่วมประชุมรับทราบปัญหา ของประชาชนในพื้นที่ 13 อำเภอ 2 กิ่งอำเภอ และตรวจเยี่ยมโครงการพิเศษ 7 แห่ง ในจังหวัดนครสวรรค์ โดย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปเร่งรัดดำเนินการ และรายงานผลต่อรองนายกรัฐมนตรี (นายสุรเกียรติ์ เสถียร ไทย) และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข นำโครงการขนาดใหญ่ที่เสนอไปพิจารณาจัดทำรายละเอียด และจัดลำดับความสำคัญของโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ (Mega Project) ของกระทรวง และให้จังหวัดนคร สวรรค์ปรับเปลี่ยนงบประมาณจังหวัดแบบบูรณาการ (CEO) พร้อมทั้งประสานการใช้งบประมาณขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น และงบประมาณโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน (SML) เพื่อดำเนินโครงการที่มี ลำดับความสำคัญสูงในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในพื้นที่และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด นอก จากนี้ ให้จัดตั้งคณะทำงานกลั่นกรองโครงการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดที่จัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็น ทางการนอกสถานที่ในส่วนภูมิภาค เพื่อพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมและจัดลำดับความสำคัญของโครง การที่เสนอและความเหมาะสมของแหล่งงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการดังกล่าว และให้จังหวัด ติดตามและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันการดำเนินโครงการตามข้อสั่งการของคณะรัฐมนตรี และรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินการเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||
2463 | การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมโดยการจัดทำทางระบายน้ำหรือทางลอดถนน(box culvert) | นร | 01/11/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอันเนื่องมาจากปัญหา
การก่อสร้างทางสายต่าง ๆ กีดขวางทางไหลของน้ำ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เร่งสำรวจข้อมูลทางไหลของน้ำและจุดตัดกับทางสายต่าง ๆ ทั่วประเทศที่จำเป็นจะต้องก่อสร้างหรือแก้ไขให้ เป็นทางระบายน้ำหรือทางลอดถนน (box culvert) โดยให้พิจารณาใช้ระบบ GPS สำรวจ ทั้งนี้ ให้ประสาน กับกระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย แล้วจัดส่งข้อมูลจากการสำรวจให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2464 | ผลการพิจารณาต่อมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับ "ยุทธศาสตร์การผังเมืองของประเทศไทย" | สสป | 01/11/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่าย
กฎหมาย ฯ) ที่มีมติให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การผังเมืองของประเทศไทย ใน 2 ประเด็น คือ การพิจารณาย้ายภารกิจด้าน นโยบายผังเมืองจากกระทรวงมหาดไทยไปสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การกำหนดนโยบายและการกำกับดู แลด้านผังเมือง และการจัดทำผังภาค สามารถกระทำได้ด้วยกลไกทางด้านงบประมาณ และการควบคุมทาง กฎหมายบรรลุผลตามเป้าหมายของรัฐ และเป็นอิสระจากงานด้านปฏิบัติ และการจัดสรรบุคลากรด้านผัง เมืองจากหน่วยงานส่วนกลางให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเพียงพอต่อการดำเนินงานตามบทบาท หน้าที่ ตามลำดับความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วน ไปประกอบการพิจารณาในการปฏิรูประบบราชการ ในภาพรวมต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2465 | การดำเนินการตามโครงการเร่งด่วนสนับสนุนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนจังหวัดเชียงราย และจังหวัดตาก | นร | 25/10/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 (ฝ่าย
เศรษฐกิจ) ที่มีมติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการเร่งด่วนสนับสนุนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนจังหวัดเชียง ราย และจังหวัดตาก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยอนุมัติ ให้จังหวัดเชียงรายสามารถจ่ายเงินค่าชดเชยที่ดินเป็นกรณีพิเศษให้กับประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถส่ง มอบพื้นที่ให้กรมศุลกากรดำเนินการจัดตั้ง One Stop Service ชายแดน ณ ด่านแม่สาย 2 ได้ตามระยะเวลา ที่กำหนด ในส่วนของงบประมาณโครงการจัดทำระบบป้องกันน้ำท่วมแม่ระมาด จำนวน 53.16 ล้านบาท เห็นชอบให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ประสานสำนักงบประมาณในการขอ รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางปี พ.ศ. 2549 (ค่าใช้จ่ายเพื่อปรับกลยุทธ์และรองรับการเปลี่ยน แปลง วงเงิน 27,200 ล้านบาท) และประสานเทศบาลดำเนินการให้เกิดผลทางปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2466 | การจัดตั้งกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | นร | 25/10/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอดังนี้ เห็นชอบการจัดตั้งกรมการข้าว กระทรวง
เกษตรและสหกรณ์ เพื่อทำหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องข้าวทั้งระบบ โดยมีภารกิจ ดังนี้ ศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต การแปรรูปและเศรษฐกิจ ส่งเสริม ถ่ายทอดเทคโนโลยีและผลิตเมล็ดพันธุ์ ดำเนินการในการตรวจสอบรับรองมาตรฐาน คุ้มครองพันธุ์ สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ รวมทั้งอนุรักษ์วัฒน ธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น และอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ จัดตั้งกรมการข้าวขึ้นมีฐานะเป็นส่วนราชการระดับกรม และให้ ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงาน สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ กรมการข้าวที่จะจัดตั้งขึ้น ใหม่ นั้น ควรกำหนดให้เป็นกรมคุณภาพเป็นตัวอย่างสำหรับกรมในอนาคต โดยให้กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณากำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ (function/Job Dcscription) ของหน่วยงานและบุคลากรให้มีความชัดเจน เพื่อคัดสรรบุคลากรไปปฏิบัติภารกิจได้อย่างเหมาะสม และ กำหนดช่องทางที่ให้กรมการข้าวสามารถนำเอาทรัพยากรบุคคล ตลอดจนองค์ความรู้ทางวิชาการจาก ภายนอกองค์กร เช่น สถาบันการศึกษาและวิชาการต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ในการดำเนินงานของกรมได้ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
2467 | รายงานผลการจัดโครงการสัมมนา "สื่อท้องถิ่นกับนโยบายรัฐบาล" ครั้งที่ 2 | นร | 18/10/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการจัดสัมมนาโครงการ
"สื่อท้องถิ่นกับนโยบายรัฐบาล" ครั้งที่ 2 วันที่ 6 สิงหาคม 2548 ณ จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อชี้แจงและสร้าง ความเข้าใจในนโยบายและการบริหารงานของรัฐบาลแก่สื่อมวลชนท้องถิ่น ในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ และอุทัยธานี ในการนี้ คณะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้นำเสนอนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคเหนือตอน ล่างของรัฐบาล รวมทั้งตอบข้อซักถามของสื่อมวลชน ซึ่งมีบางปัญหาที่จะต้องดำเนินการต่อไปโดยรับที่จะนำ มาพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ นอกจากนี้ ได้มีการสัมมนากลุ่มย่อยเรื่อง การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ของสื่อมวลชนท้องถิ่น จำนวน 6 กลุ่ม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำงานระหว่างสื่อมวลชนกับภาครัฐ รวมทั้งหาแนวทางให้สื่อท้องถิ่นสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐได้มากขึ้นซึ่งจะเป็นผลให้ประชาชนได้ รับทราบการดำเนินงานของรัฐบาลได้ดียิ่งขึ้น โดยผลจากการสัมมนากลุ่มย่อย ได้รับทราบถึงความต้องการ ของสื่อมวลชนท้องถิ่น อาทิเช่น ให้มีการแถลงผลการดำเนินงานของภาครัฐที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นและสื่อ มวลชนอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ให้ปรับปรุงข้อมูลข่าวสารภาครัฐให้ลงลึกในรายละเอียดของนโยบายสำคัญ ให้ภาครัฐส่งเสริมและพัฒนาช่องทางการรับ-ส่งข้อมูลข่าวสารถึงสื่อท้องถิ่น เป็นต้น และจากการสำรวจความ คิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการจัดสัมมนาครั้งนี้ สื่อมวลชนส่วนใหญ่เห็นว่า ได้รับประโยชน์จากการสัมมนามาก เพราะเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐได้โดยตรงและมากขึ้น สามารถสะท้อนปัญหา ความต้องการของท้องถิ่นให้รัฐบาลได้รับทราบอย่างชัดเจนและทำให้สื่อเข้าใจในนโยบายมากยิ่งขึ้น สำหรับ สิ่งที่สื่อมวลชนรู้สึกพึงพอใจในการเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้มากที่สุด คือ ได้รับฟังการชี้แจงนโยบายและการ บริหารงานของรัฐบาล รวมทั้งการตอบคำถามของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและคณะโฆษก ฯ ส่วน ข้อเสนอแนะของสื่อมวลชนต้องการให้จัดสัมมนาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสม่ำ เสมอ และเพื่อติดตามประเมินผลการทำงานของรัฐบาลและสื่อท้องถิ่น
|
|||||||||||||||||||||
2468 | รายงานสรุปความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการ CFO | กค | 18/10/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปความคืบหน้าการดำเนินงานการปรับ
บทบาทและภารกิจคลังจังหวัดเป็นนักบริหารเศรษฐกิจการคลังจังหวัด (Chief Financial Officer : CFO) สรุปได้ ว่า คลังจังหวัดมีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่นักบริหารเศรษฐกิจการคลังจังหวัด (CFO) เพื่อสนับสนุนการ ดำเนินงานของผู้ว่าราชการจังหวัด โดยได้วิเคราะห์ เสนอแนะ และให้คำปรึกษาแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดในด้าน การคลัง ด้านงบประมาณ ด้านเศรษฐกิจ ด้านบัญชี ตลอดจนประสานงานหน่วยงาน และธนาคารในสังกัด กระทรวงการคลัง เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชนในจังหวัด รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาและฝึกอบรมหน่วยงาน ภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในเรื่องบัญชี ตรวจสอบภายใน กฎหมายและระเบียบการเงิน การคลัง และการพัสดุ นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์ข้อมูลด้านการเงิน การคลัง การบัญชี เศรษฐกิจ และหนี้สินภาค ประชาชนในจังหวัด ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงาน และผู้ว่าราชการจังหวัดให้ความร่วมมือใน การดำเนินงานและสนับสนุนข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เช่น ข้อมูลด้านการเงิน การคลัง การบัญชี เศรษฐกิจ และ หนี้สินภาคประชาชนในจังหวัด เป็นต้น ให้กับคลังจังหวัดในฐานะนักบริหารเศรษฐกิจการคลังจังหวัด (CFO) เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2469 | การเตรียมรับงานด้านการปฏิบัติภารกิจการถวายความปลอดภัยด้านอัคคีภัยฯ | มท | 18/10/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอเพิ่มเติม
เกี่ยวกับการถ่ายโอนภารกิจด้านการถวายความปลอดภัยด้านอัคคีภัยในเขตพระราชฐานและที่ประทับใน เขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดไปเป็นภารกิจของสำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ สำนัก งานตำรวจแห่งชาติ นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถปฏิบัติภารกิจได้โดยไม่มีความจำเป็นต้องจัดตั้ง เป็นกองกำกับการตำรวจถวายความปลอดภัยจากสาธารณภัยและอุบัติภัยเพิ่มเติม ขึ้นในสังกัดสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติแต่ประการใด ทั้งนี้ ให้ระงับการดำเนินการเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็น กองบังคับการหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎหมาย พลังงาน ระบบราชการและการประชาสัมพันธ์) ครั้งที่ 7/2548 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2548 โดยยกเว้นในส่วนที่เกี่ยวกับร่างกฎกระทรวง ฯ ซึ่งให้ระงับการดำเนินการแล้ว และให้รับความเห็น ของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า การจัดตั้งกองกำกับการตำรวจถวายความปลอดภัยจากสาธารณภัยและ อุบัติภัย สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ถ่ายโอนภารกิจด้านการดับเพลิง พร้อมทั้งอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการดับเพลิงและบุคลากรบางส่วนให้กับกรุงเทพมหานคร รวมทั้ง จัดบุคลากรของตำรวจดับเพลิงเดิมลงตามโครงสร้างใหม่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว หากกระทรวง มหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เกี่ยวข้องยังไม่มีความ พร้อมในด้านบุคลากร เครื่องมือเครื่องใช้ และอุปกรณ์ที่จะปฏิบัติภารกิจดังกล่าว ก็ให้ประสานกับสำนัก งานตำรวจแห่งชาติ และกรุงเทพมหานครเพื่อบูรณาการการปฏิบัติภารกิจ และขอรับการสนับสนุนเรื่อง บุคลากร เครื่องมือเครื่องใช้ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ต่อไป จนกว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีความพร้อมและ สามารถดำเนินภารกิจดังกล่าวได้ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2470 | การแก้ไขปัญหาสังคมในส่วนของเด็กและเยาวชน | ศธ | 18/10/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานการแก้ไขปัญหาสังคมในส่วนของเด็ก
และเยาวชน จากรายงานการวิจัย "โครงการเฝ้าระวังรักษาคุณภาพอนาคตเด็กไทย" ของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้ระบุประเด็นปัญหารุนแรงที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เหล้า/บุหรี่ หนีเรียน ยาเสพติด เพศสัมพันธ์ และการพนันเฉพาะนักศึกษาในกรุงเทพมหานคร และข้อมูลจากสถาบันรามจิตติ ได้ประเมินสถาน การณ์ของปัญหาเด็กและเยาวชนไทย ได้แก่ การขาดความอบอุ่นในครอบครัว ห่างไกลวัดใช้ชีวิตยามว่างตาม ห้างสรรพสินค้า ใช้มือถือและคุยผ่านอินเตอร์เน็ต ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเล่นพนัน ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้นและ ขาดความรับผิดชอบ ในการนี้ คณะกรรมการอำนวยการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมเด็กและเยาวชน กระทรวง ศึกษาธิการ ได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่ใช้เป็นพื้นฐานในการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมเยาวชน โดยแบ่งเป็น ยุทธ ศาสตร์ทั่วไปได้เน้นการใช้ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาที่เข้มแข็ง ครูทุกคนต้องช่วยสอดส่องเอาใจใส่ นักเรียนนักศึกษา สถานศึกษาต้องจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อป้องกันไม่ให้เยาวชนไปมั่วกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม ปรับปรุงการสอนคุณธรรมจริยธรรมในรูปแบบที่เน้นการปฏิบัติจริงและทันสมัย ปรับปรุงเกณฑ์การประเมิน ผลงานครูอาจารย์ กำหนดมาตรฐานที่ชี้วัดความสำเร็จของโรงเรียน ส่งเสริมให้เกิดอาสาสมัคร พนักงานเจ้า หน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดและองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นมาทำเกณฑ์เมืองดีน่าอยู่สำหรับเด็ก และยุทธศาสตร์เฉพาะ ได้แก่ การทะเลาะวิวาทเพศ สัมพันธ์ ติดเกมและติดอินเตอร์เน็ต การพนัน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ หนีเรียน ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย และ กิจกรรมเยาวชนสร้างสรรค์ สำหรับการดำเนินงานต่อไป กระทรวงศึกษาธิการจะประกาศให้สถานศึกษาและ หน่วยงานในสังกัดทุกแห่งถือเป็นความรับผิดชอบที่จะเป็นแกนนำในการรณรงค์แก้ปัญหาสังคม ที่เกี่ยวกับเด็ก และเยาวชน กำหนดเป้าหมายและแนวทางที่จะวางระบบดูแลนักเรียนนักศึกษา รณรงค์และจัดทำคู่มือเพื่อแก้ ปัญหาเยาวชนในแต่ละประเด็นให้เหมาะสม สนับสนุนให้สถานศึกษาจัดตั้งพัฒนาเครือข่ายผู้ปกครองที่เข้มแข็ง เป็นต้น โดยจะพัฒนาโรงเรียนนำร่องขึ้นในทุกตำบล เพื่อเป็นต้นแบบในการจัดระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน จัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นเรื่องการคิด วิเคราะห์เชิงจริยธรรม จัดให้มีศูนย์กิจกรรมรณรงค์ของชุมชนและจะ ขยายผลให้ครบทุกโรงเรียนภายในปีการศึกษาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
2471 | การประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อซักซ้อมการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล | มท | 18/10/2548 | ||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับผลการประชุมผู้บริหาร
ระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อซักซ้อมการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล เมื่อวันที่ 14 -15 ตุลาคม 2548 ณ โรงแรมรามาการ์เดนส์ โดยสาระสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ ได้มี การมีการมอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในส่วนของการ บริหารงานของผู้ว่าราชการจังหวัด CEO การวางแผนและการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหา ความยากจนการดำเนินการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด การปราบปรามผู้มีอิทธิพล การแก้ไขปัญหาสังคม ปัญหาภัยพิบัติร้ายแรงต่าง ๆ ส่วนประเด็นงานสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ โครงการ SML ที่ดินทำกิน โครงการ ต้นแบบคนรวยช่วยคนจน โครงการถนนคอนกรีตเสริมไม้ไผ่ การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การก่อ สร้างฝายต้นน้ำลำธาร การป้องกันแผ่นดินไหว ภัยหนาว ไข้หวัดนกอุบัติเหตุบนถนนหลวง ประปาหมู่บ้าน เงินสะสมในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปัญหาขยะ ทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ การเร่งรัดการเบิกจ่าย งบประมาณและการดำเนินการประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานต่าง ๆ ให้ประชาชนได้รับทราบ สำหรับ แนวทางปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลในด้านสังคม ได้แก่ การให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข มีครอบครัวและคน ในสังคมที่เข้มแข็ง แก้ไขปัญหาพฤติกรรมที่มีผลต่อสุขภาพของประชาชน และยุทธศาสตร์การปรับปรุง คุณภาพด้านการศึกษา รวมทั้งได้ชี้แจงนโยบาย แนวทาง และมาตรการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีการผลิต ปี พ.ศ. 2548-2549 การมอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงาน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ในส่วนของการปรับโครงสร้างการผลิตและแก้ไขปัญหาความยากจน การแก้ไขปัญหาไข้หวัด นก งานมหกรรมพืชสวนโลก และแนวทางการบริหารราชการและการบริหารงบประมาณ โดยที่การ บริหารงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ระบบ GFMIS เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อส่วน ราชการและจังหวัด โดยใช้บันทึกแผนข้อมูลการปฏิบัติงาน แผนการใช้จ่ายงบประมาณใช้อนุมัติในการจัด สรรการโอนเปลี่ยนแปลงการเบิกจ่าย และการรายงานผล ตลอดจนใช้ในการติดตามเหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง จากการประชุมดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งรัดให้เป็นไปตาม นโยบายสำคัญของรัฐบาลและตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดโดยให้มีการติดตามและรายงานผลเป็น ระยะ
|
|||||||||||||||||||||
2472 | สรุปสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือจากพายุไต้ฝุ่น "ดอมเรย" (เพิ่มเติม) | มท | 11/10/2548 | ||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกัน
และบรรเทาสาธารณภัย เกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุไต้ฝุ่น "ดอมเรย" (เพิ่มเติม) โดยสถานการณ์อุทกภัย ระหว่างวันที่ 27 กันยายน-10 ตุลาคม 2548 มีพื้นที่ประ สบภัยรวม 13 จังหวัด 59 อำเภอ 7 กิ่งอำเภอ 217 ตำบล 1,173 หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดลำปางเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน กาฬสินธุ์ เพชรบูรณ์ มุกดาหาร อุตรดิตถ์ เลย และตาก ความ เสียหาย ด้านชีวิต ราษฎรเสียชีวิต 10 คน บาดเจ็บ 7 คน เดือดร้อน 121,238 คน 58,710 ครัวเรือน อพยพ 2,108 คน ด้านทรัพย์สิน ถนน 182 สาย สะพาน 29 แห่ง อ่างเก็บน้ำ 1 แห่ง ฝาย/พนังกั้นน้ำ 36 แห่ง บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 92 หลัง เสียหายบางส่วน 314 หลัง บ่อปลา/กุ้ง 39 แห่ง โรงเรียน 3 แห่งมูลค่าความเสียหายประมาณในเบื้องต้นไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย/จังหวัด/อำเภอ/องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ประสบอุทกภัย โดยส่งเจ้าหน้าที่พร้อมเรือท้องแบน และรถยนต์บรรทุก ไปช่วยเหลือและอพยพราษฎรที่ประสบภัยไปอยู่ในที่ปลอดภัย รวมทั้งสั่งการให้ผู้ว่า ราชการจังหวัดใช้จ่ายเงินทดรองราชการ (งบ 50 ล้านบาท) เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในด้าน เครื่องอุปโภคบริโภคค่าซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย ค่าจัดการศพ และซ่อมแซมสิ่งสาธารณประโยชน์ที่ ชำรุดเสียหาย สำหรับพื้นที่การเกษตรและปศุสัตว์ บ่อปลาที่เสียหาย อยู่ระหว่างการสำรวจและจะให้ ความช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป นอกจากนี้ ได้วิทยุแจ้งไปยังจังหวัด/กรุงเทพมหานครและศูนย์ ปภ.เขต ที่ อยู่ในพื้นที่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพื่อเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากสภาวะน้ำในแม่น้ำ เจ้าพระยาเอ่อล้นตลิ่ง เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
2473 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการพัฒนามาตรฐานสปาเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ | สสป | 04/10/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางการพัฒนามาตรฐานสปาเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการ ของกระทรวง สาธารณสุข ในประเด็นต่าง ๆ อาทิ การปรับปรุงกฎระเบียบของรัฐให้สอดคล้องกับการให้บริการและเอื้อต่อ การพัฒนา และการดำเนินงานของสถานประกอบการ ได้มีการปรับปรุง กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องให้มีความทัน สมัย สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย ส่วนการส่งเสริมให้มี การศึกษาแพทย์แผนไทยและบริการสปาในสถานศึกษานั้น ขณะนี้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้เปิดหลักสูตร ระดับปริญญาตรีแพทย์แผนไทยประยุกต์และสปา หรือเป็นวิชาเลือกในระดับปริญญาตรีในสถานศึกษาต่าง ๆ และได้พัฒนาหลักสูตรสปาในสถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในระดับ ปวส. และ ปวช. รวมทั้งพัฒนา หลักสูตรมาตรฐานของการฝึกอบรมระยะสั้นของสปาเพื่อสุขภาพ (ระยะเวลา 3-6 เดือน หรือประมาณ 330 ชั่วโมง) และ/หรือพัฒนาหลักสูตรมาตรฐานเป็นรายหมวดวิชา (Module) เพื่อให้ผู้ดำเนินการสปาสามารถ เรียนเพิ่มเติมความรู้ตามความสนใจในหน่วยฝึกอบรมของรัฐและเอกชน สำหรับการส่งเสริมการนวดพื้นบ้าน และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวให้มีความหลากหลายมากขึ้น ได้มีการส่งเสริมพัฒนาการ นวดไทยประเภทต่าง ๆ และดำเนินการอบรมให้แก่ผู้นวดประเภทต่าง ๆ และพัฒนาครูฝึกของกรมพัฒนาการ แพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในระดับภาคและระดับจังหวัด โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น เชียง ใหม่ เชียงราย ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา ฯลฯ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในเชิงสุขภาพ เป็นต้น โดยให้ กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่าง เป็นระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
2474 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การลดการใช้พลาสติกและโฟม (ตุลาคม 2547 - กรกฎาคม 2548) | ทส | 04/10/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ
รายงานผลการดำเนินการลดการใช้พลาสติกและโฟม ระหว่างเดือนตุลาคม 2547-กรกฎาคม 2548 โดยได้ ดำเนินการทั้งมาตรการระยะสั้นและมาตรการระยะยาว ในส่วนของมาตรการระยะสั้น ได้แก่ มาตรการจัดการ พลาสติกและโฟมในอุทยานแห่งชาติ และแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและ พันธุ์พืช ได้ออกประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ ฯ จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ ประกาศห้ามนำภาชนะที่ทำด้วยโฟม เข้าไปในอุทยานทั่วประเทศ และประกาศการนำบรรจุภัณฑ์เข้าไปในบริเวณพื้นที่ควบคุมพิเศษในอุทยานแห่ง ชาติ โดยใช้กับอุทยานทั่วประเทศแล้ว จำนวน 148 แห่ง มาตรการด้านการรณรงค์ประชาสัมพันธ์โดยหน่วย งานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันรณรงค์ประชาสัมพันธ์การลดการใช้พลาสติกและโฟมผ่านสื่อสัมพันธ์ต่างๆ อย่างต่อ เนื่อง มาตรการด้านเทคโนโลยี ได้มีการส่งเสริมกิจการรีไซเคิลพลาสติกและโฟมในกิจการประเภท 7.21 กิจ การนำวัสดุที่ไม่ต้องการใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ และกิจการวัสดุที่ย่อยสลายได้หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุธรรม ชาติทดแทนการใช้พลาสติกและโฟมในกิจการประเภท 1.28 มาตรการด้าน กฎหมาย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยา ลัย ได้เสนอแผนยุทธศาสตร์สำหรับการจัดการบรรจุภัณฑ์และของเสียบรรจุภัณฑ์ เสนอแนะการปรับปรุงกฎ หมายเพื่อผลักดันการบังคับใช้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ส่วนมาตรการระยะยาว ได้แก่ การจัดการบรรจุภัณฑ์ พลาสติกและโฟมในห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ กำหนดผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ทำจากพลาสติกใช้แล้ว ส่วนมาตรการด้านเศรษฐศาสตร์ ได้มีการเสนอผลการศึกษาตามมาตรการลดการใช้พลาสติกและโฟม ดังนี้ มาตรการลดของเสียประเภทพลาสติกและโฟมจากแหล่งกำเนิดมูลฝอยที่สำคัญ มาตรการส่งเสริมการนำพลา สติกและโฟมกลับมาใช้ใหม่ มาตรการลดการใช้พลาสติกและโฟมในห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ และ มาตรการส่งเสริมด้านการตลาด สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวด ล้อม สำหรับแผนการดำเนินการต่อไปจะได้มีการรวบรวมข้อมูลและผลการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมในโครงการ ฯ ต่าง ๆ วิเคราะห์และประเมินผลการดำเนิน งาน เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีในรอบ 6 เดือนครั้งต่อไป ตลอดจนประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำ มาตรการ ฯ ดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติเพื่อลดปริมาณขยะและโฟมในสถานที่ต่าง ๆ โดยในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2548-พ.ศ. 2549 จะดำเนินโครงการลดการใช้พลาสติกและโฟมในแหล่งกำเนิดที่สำคัญ ปี งบประมาณ พ.ศ. 2550 จะดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพของท้องถิ่นในการลดและคัดแยกขยะมูลฝอย และปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 จะติดตามตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการทั่วประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
2475 | การรายงานผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน | ทส | 04/10/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การบริหารจัดการลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน โดยมีข้อเสนอแนะว่ารัฐ ควรกำหนดเรื่องลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่านเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อระดมทรัพยากรในการป้องกันและแก้ไขปัญหา อย่างบูรณาการและยั่งยืน โดยในส่วนของการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ เพื่อการเกษตรในช่วงฤดูแล้งรัฐ ควรจัดทำแผนการใช้น้ำระดับพื้นที่เพื่อการเกษตรโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนพัฒนาให้มีอ่างเก็บ น้ำกระจายในพื้นที่ทุกหมู่บ้าน ชุมชน ขุดลอกแหล่งเก็บน้ำเดิม พัฒนาระบบชลประทานและคู คลอง ให้ทั่วถึง ส่วนการแก้ไขปัญหามีน้ำหลากท่วมในช่วงฤดูฝนรัฐต้องเร่งศึกษาวางระบบคู คลองให้เป็นโครงข่าย สร้างผนัง กั้นน้ำเสริมคันคลองที่ต่ำและสร้างประตูระบายน้ำ ศึกษาพื้นที่น้ำท่วมขังเป็นประจำเพื่อปรับปรุงระบบระบาย น้ำให้มีประสิทธิภาพ ขุดลอกลำน้ำที่ตื้นเขิน และพัฒนาแหล่งกักเก็บ ปรับปรุงหนองน้ำธรรมชาติ จัดวาง ระบบการระบายน้ำในพื้นที่น้ำท่วมขัง และจัดวางระบบเตือนภัยและการอพยพให้การช่วยเหลือประชาชนใน พื้นที่น้ำท่วมขังเป็นประจำ สำหรับการแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายป่าไม้ การชะล้างพังทลายของพื้นที่ลาด ชันและดินริมตลิ่ง และการตกตะกอนในแหล่งเก็บน้ำ รัฐควรศึกษาออกกฎหมายให้เจ้าของผู้ครอบครอง หรือ ผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินต้องปลูกไม้ยืนต้นที่รักษาสภาพแวดล้อมอย่างน้อยร้อยละ 10 ของพื้นที่ที่ประชาชนครอบ ครองหรือทำประโยชน์อยู่เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่า รวมทั้งเร่งฟื้นฟูและขยายพื้นที่ป่าไม้ทดแทนป่าไม้เสื่อมโทรม จัด ให้มีมาตรการป้องกันการพังทลายของดินอย่างเหมาะสม ปรับปรุงแหล่งเก็บน้ำเดิมของชุมชนและหมู่บ้าน ให้ลดการตื้นเขิน ให้ความรู้ความเข้าใจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเฝ้าระวัง และบริหารจัดการน้ำ ระดับพื้นที่ กำหนดแนวทางให้คนอยู่กับป่าในพื้นที่อย่างเหมาะสม ตลอดจนฟื้นฟูอนุรักษ์แหล่งน้ำให้เป็น แหล่งท่องเที่ยว
|
|||||||||||||||||||||
2476 | ขออนุมัติวงเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน โครงการก่อสร้างทางหลวงเทศบาลสายเชื่อมระหว่างถนนจรัญสนิทวงศ์กับถนนพุทธมณฑลสาย 4 | มท | 04/10/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอดังนี้ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพ
มหานคร ดำเนินการก่อสร้างทางหลวงเทศบาลช่วงสองจากถนนวงแหวนรอบนอก (กาญจนาภิเษก) ถึงถนน พุทธมณฑลสาย 4 และอนุมัติวงเงินค่าทดแทนในเขตทางที่สอดคล้องกับการก่อสร้างช่วงสอง วงเงินประมาณ 2,304,633,930 บาท โดยมีสัดส่วนเงินอุดหนุนรัฐบาล : สัดส่วนรายได้ของกรุงเทพมหานคร ในอัตรา 50 : 50 และหากมีความจำเป็นต้องเบิกจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 หรือ พ.ศ. 2549 ในสัดส่วนของรัฐบาล ซึ่งยังไม่ได้จัดเตรียมงบประมาณรองรับไว้ ให้กรุงเทพมหานครใช้จ่ายจากเงินรายได้ของกรุงเทพมหานครไป ก่อน และให้กระทรวงมหาดไทยเสนอขอตั้งงบประมาณปี พ.ศ. 2550 เพื่อชดใช้คืนต่อไป และให้กำหนดเงิน อุดหนุนดังกล่าวไว้ในสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้ของรัฐบาลตามพระราชบัญญัติ กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ตามความเห็นของ กระทรวงการคลังด้วย |
|||||||||||||||||||||
2477 | รายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 | กค | 04/10/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำ
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2548 ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เบิกจ่ายเงินจากคลังทั้งสิ้น 1,103,522 ล้านบาท หรือร้อยละ 93.79 ของวงเงินงบประมาณ 1,176,600 ล้าน บาท เทียบกับผลการเบิกจ่ายในช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนสูงกว่าร้อยละ 1.41 ส่วนผลการเบิกจ่ายเงิน งบประมาณจำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังทั้งสิ้น 1,118,622 ล้านบาท หรือร้อยละ 93.22 ของวงเงินงบประมาณ 1,200,000 ล้านบาท จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน 901,796 ล้านบาท หรือร้อยละ 99.65 ของงบประมาณรายจ่ายประจำ 904,936 ล้านบาท และรายจ่าย ลงทุน จำนวน 216,826 ล้านบาท หรือร้อยละ 73.48 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน 295,064 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของ ประเทศ (23,400 ล้านบาท) จะมีการเบิกจ่ายเงินจากคลัง 206,726 ล้านบาท หรือร้อยละ 74.72 ของวงเงิน งบประมาณรายจ่ายลงทุน และผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายจำแนกตามกระทรวง กระทรวงที่มีอัตรา การเบิกจ่ายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กระทรวงการคลัง หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ และกระทรวงแรง งาน ซึ่งมีอัตราการเบิกจ่ายต่อวงเงินงบประมาณเท่ากับ 98.54 98.20 และ 97.86 ตามลำดับ สำหรับผลการ เบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 เพิ่มเติม จำนวน 50,000 ล้านบาท ส่วนราช การและรัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายเงินเพิ่มเติมแล้ว จำนวน 21,153 ล้านบาท หรือร้อยละ 42.31 ของวงเงินงบ ประมาณ 50,000 ล้านบาท ประกอบด้วย รายการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การ พัฒนาจังหวัดสำหรับผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ จำนวน 2,453 ล้านบาท รายการค่าใช้จ่ายในการ พัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านหรือชุมชน จำนวน 9,150 ล้านบาท เงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง จำนวน 4,599 ล้านบาท และเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น จำนวน 4,951 ล้านบาท นอกจากนี้ ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 รวมงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ณ สิ้นเดือนกันยายน 2548 ในภาพรวมจำนวน 1,250,000 ล้าน บาท ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังทั้งสิ้น 1,139,775 ล้านบาท หรือร้อยละ 91.18 ของวง เงินงบประมาณ (1,250,000 ล้านบาท) และการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรรายจ่าย ลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท ซึ่งมีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณดังกล่าว จำนวน 20 แห่ง ปรากฏว่า หน่วยงานในกลุ่มนี้เบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน จำนวน 170,909 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 78.04 ของวงเงินงบ ประมาณรายจ่ายลงทุนของกลุ่ม (219,005 ล้านบาท) |
|||||||||||||||||||||
2478 | สรุปสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือจากพายุไต้ฝุ่น "ดอมเรย" | มท | 04/10/2548 | ||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรม
ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือ ประชาชนที่ประสบภัยจากพายุ "ดอมเรย" โดยสถานการณ์อุทกภัย ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2548 มีพื้นที่ประสบ ภัยรวม 13 จังหวัด 49 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ 141 ตำบล 470 หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน กาฬสินธุ์ เพชรบูรณ์ มุกดาหาร อุตรดิตถ์ เลย และตาก ความเสีย หาย ด้านชีวิต ราษฎรเสียชีวิต 10 คน บาดเจ็บ 7 คน สูญหาย 3 คน เดือดร้อน 33,572 คน 11,058 ครัวเรือน อพยพ 2,108 คน ด้านทรัพย์สิน ถนน 40 สาย สะพาน 24 แห่ง อ่างเก็บน้ำ 1 แห่ง ฝาย/พนัง กั้นน้ำ 15 แห่ง บ้านเรือนทั้งหลัง 18 หลัง บ้านเรือนบางส่วน 78 หลัง บ่อปลา/กุ้ง 10 แห่ง โรงเรียน 3 แห่ง มูลค่าความเสียหาย อยู่ระหว่างการสำรวจ สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน จังหวัดที่สถานการณ์อุทกภัย คลี่คลายแล้ว ได้แก่ จังหวัดพะเยา แพร่ น่าน มุกดาหาร อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ เลย และแม่ฮ่องสอน และที่ยัง คงมีน้ำท่วมขัง ได้แก่ จังหวัดลำปาง ที่อำเภอเถิน จังหวัดเชียงใหม่ ที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ อำเภอสารภี จังหวัดเชียงราย ที่อำเภอเมือง อำเภอเทิง อำเภอแม่ลาว อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่อำเภอ หนองกุงศรี อำเภอเมือง อำเภอยาตลาด และจังหวัดตาก ที่อำเภอสามเงา อำเภอบ้านตาก ในส่วนของการ ให้ความช่วยเหลือได้แจ้งเตือนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก และ ศูนย์ ปภ.เขต ในพื้นที่ เพื่อให้ติดตามสถานการณ์ และเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา จากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและให้เตรียมการช่วยเหลือประชาชน พร้อมกับระดมวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เรือท้องแบน จากทุกหน่วยงานให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทันทีเมื่อเกิด ความเสียหายรวมทั้งจัดเตรียมอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรคสำหรับแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัย และจุดที่เป็นสถานที่รองรับการอพยพ รวมทั้งให้จังหวัดถือปฏิบัติ ดังนี้ ในขณะที่มีสถานการณ์อุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก กัดเซาะคอสะพาน และน้ำท่วมผิวจราจรในระดับสูงที่ไม่สามารถมองเห็นสภาพพื้นผิว จราจรได้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการกำชับแขวงการทาง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ติดตั้ง ป้ายเตือน/วางแผนปิดกั้นช่องทางจราจร เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางได้ทราบ พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่ ตำรวจหรืออาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ให้ความช่วยเหลืออำนวยความสะดวกการจราจร ในจุดอันตราย ส่วนกรณีมีผู้สูญหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นให้จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว โดยให้สนธิกำลังจากทุก ภาคส่วนทั้งหน่วยทหาร ตำรวจศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตพื้นที่ อาสาสมัคร ฯ เข้าไปกู้ภัย ค้นหาผู้สูญหายและผู้ติดค้างในพื้นที่ประสบภัยเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยด่วน และภายหลัง น้ำลด ให้จังหวัดแจ้งแขวงการทางทางหลวงชนบทจังหวัด หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดเครื่อง จักรกลเข้าซ่อมแซมเส้นทางคมนาคมที่คอสะพานถูกน้ำกัดเซาะขาดให้สามารถใช้สัญจรไปมาได้เป็นการ ชั่วคราวโดยเร็วที่สุด หากความเสียหายมีมาก ให้ขอรับการสนับสนุนจากหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ในพื้นที่หรือพื้นที่ใกล้เคียง หรือศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต (กรม ปภ.) เข้าไปสนับสนุน ช่วยเหลือ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
2479 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดทำสัญญานักเรียนทุนพยาบาลศาสตร์ตามโครงการผลิตพยาบาล 1 ทุน 1 ตำบล ของกระทรวงสาธารณสุข | สธ | 27/09/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 (ฝ่าย
สาธารณสุข การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2543 ในประเด็นที่ให้กระทรวงสาธารณสุขยกเลิกการทำสัญญานักเรียนทุนที่ผูก พันให้กระทรวงสาธารณสุขบรรจุเป็นข้าราชการหลังสำเร็จการศึกษาทุกหลักสูตรตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา และอนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำสัญญากับผู้เข้าเรียนพยาบาลตั้งแต่ปีการศึกษา 2548 เป็นต้นไปมี ลักษณะเป็นสัญญาผูกพันฝ่ายเดียว หรือสัญญาปลายเปิดที่ไม่มีข้อผูกพันให้กระทรวงสาธารณสุขต้องบรรจุ ผู้รับทุนเข้ารับราชการเป็นข้าราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว โดยให้รับข้อ สังเกตและข้อเสนอแนะของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้มีการกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าสายอาชีพที่ชัดเจนและมาตร การเพื่อสร้างแรงจูงใจสำหรับพยาบาลให้ปฏิบัติงานในภาครัฐ เช่น การเปิดคลินิกนอกเวลาเพื่อให้เกิดการ สูญเสียบุคลากรในระบบน้อยที่สุด และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น/ชุมชนร่วมกับภาครัฐสนับสนุนงบ ประมาณในการผลิตพยาบาลให้ชุมชน/ท้องถิ่นที่ขาดแคลนบุคลากรหากมีงบประมาณเพียงพอ เพื่อสร้าง พันธะสัญญาระหว่างชุมชนกับนักเรียนทุนในการกลับมาปฏิบัติงานในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย สำหรับข้อเสนอเรื่องขอเงินอุดหนุนให้กับนักเรียนทุนพยาบาลศาสตร์ ฯ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนิน การตามความเห็นเพิ่มเติมของผู้แทนสำนักงบประมาณ โดยสำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณไว้ในหมวด เงินอุดหนุนจำนวนหนึ่ง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขสามารถนำมาถัวเฉลี่ยเป็นค่าอาหาร ค่าเครื่องแบบ ค่าที่ พัก และอื่น ๆ ได้อยู่แล้ว |
|||||||||||||||||||||
2480 | ขออนุมัติการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษรายเดือนแก่ผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | กค | 27/09/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับการจ่ายเงินตอบแทน
พิเศษรายเดือนแก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ประกอบ ด้วย ข้าราชการ (เช่น ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ครู) และลูกจ้างประจำ และผู้ปฏิบัติงานอื่นจำกัด เฉพาะประเภท ได้แก่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง/ ฝ่ายรักษาความปลอดภัย สารวัตรกำนัน แพทย์ประจำตำบล) อาสาสมัครทหารพราน พลอาสา อส.รด. พลทหารกองประจำการ รวมทั้งบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้คณะกรรมการนโยบาย เสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กสชต.) พิจารณารายละเอียดผู้มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนพิเศษ ดังกล่าวให้ชัดเจนเหมาะสมก่อน แล้วจึงดำเนินการต่อไปได้
|
.....