ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 9 จากทั้งหมด 83 หน้า แสดงรายการที่ 161 - 180 จากข้อมูลทั้งหมด 1651 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
161 | ขอนำเสนอวีดีทัศน์สรุปผลงานด้านต่างประเทศของกระทรวงวัฒธรรมในการประชุมคณะรัฐมนตรี | วธ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลงานด้านต่างประเทศของกระทรวงวัฒนธรรม ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมนำเสนอวีดิทัศน์สรุปผลงานด้านต่างประเทศของกระทรวงวัฒนธรรม ช่วงระหว่างที่ ๑๕ พฤศจิกายน-๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยกระทรวงวัฒนธรรมมีนโยบายในการใช้มิติทางวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์กับนานาประเทศและเผยแพร่ภาพลักษณ์ประเทศไทย จึงได้มีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ ๑.๑ กิจกรรมวัฒนธรรมสัญจรสำหรับคณะทูตานุทูต ณ จังหวัดน่าน ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ โดยมีคณะทูตานุทูตพร้อมคู่สมรสจาก ๒๒ ประเทศ รวม ๓๙ คน เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม แหล่งศิลปหัตถกรรมและภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทย ตลอดจนเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านบริหารจัดการแหล่งมรดกวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ๑.๒ การเข้าพบและหารือความร่วมมือทวิภาคีทางด้านวัฒนธรรมกับเอกอัครราชทูตต่างประเทศ ได้แก่ เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรโมร็อกโกประจำประเทศไทย เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโปรตุเกสประจำระเทศไทย และเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย ๑.๓ การลงนามในแผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ ในระหว่างการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ในการนี้จะได้มีการเตรียมการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ ๔๐ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เวียดนาม ในปี ๒๕๕๙ โดยทั้งสองฝ่ายจะแลกเปลี่ยนการจัดงานเทศกาลวัฒนธรรม คือ เทศกาลวัฒนธรรมไทยในเวียดนาม (Thai Cultural Days in Viet Nam) และเทศกาลวัฒนธรรมเวียดนามในไทย (Viet Nam Cultural Day in Thailand) ๑.๔ การรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเมียนมาเยือนไทย ระหว่างวันที่ ๓-๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ซึ่งได้มีการเจรจาหารือทวิภาคีเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างกันในด้านต่าง ๆ ๑.๕ การเชิญคณะนักแสดงจากกลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศคู่เจรจาอาเซียนเข้าร่วมงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน-๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงเทพมหานคร จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดขอนแก่น โดยมีคณะนักแสดงจาก ๙ ประเทศ เข้าร่วมงาน ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม กัมพูชา ลาว เมียนมา มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม จีน และอินเดีย ๑.๖ การจัดกิจกรรมเสริมสร้างภาพลักษณ์ไทยและนำความเป็นไทยสู่สากล ณ ประเทศเอธิโอเปีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ ระหว่างวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน-๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐอียิปต์ ระหว่างวันที่ ๔-๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อเป็นประธานการจัดการแสดงนาฏศิลป์ ดนตรีไทย และสาธิตงานศิลปหัตถกรรมไทย ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบ ๖๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ๒. มอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชนในการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมไทยและสถานที่ท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการ “เมืองต้องห้าม...พลาด” ทั้งนี้ เพื่อสร้างความรับรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวดังกล่าวว่า สถานที่ท่องเที่ยวนั้นมีอะไรที่น่าสนใจ มีความสำคัญอย่างไร นักท่องเที่ยวจะได้เกิดมุมมองและประสบการณ์ใหม่ รวมทั้งได้รู้จักประเทศไทยมากขึ้น ทั้งนี้ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของไทยเพื่อเชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยวในระดับภูมิภาคอาเซียนต่อไปด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงวัฒนธรรมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชนในการเตรียมการจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบ ๖๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา และการจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบ ๔๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามความเหมาะสมต่อไป โดยให้คำนึงถึงสถานที่ในการจัดงานดังกล่าวให้มีความเหมาะสมและเพียงพอในการรองรับผู้เข้าร่วมงานด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
162 | การดำเนินงานของกระทรวงแรงงานเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน | รง | 30/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินงานของกระทรวงแรงงานเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. จัดตั้ง “ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย” (Smart Job Center) เพื่อให้บริการด้านแรงงานแก่ประชาชนแบบครบวงจร โดยให้บริการตั้งแต่การบริการจัดหางานด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ผู้หางานสามารถสืบค้นตำแหน่งงานได้ด้วยตนเอง สามารถติดตามผลการบรรจุงานได้เป็นรายบุคคล และมีบริการแนะแนวและให้คำปรึกษาด้านอาชีพ การทดสอบความพร้อมทางวิชาชีพ รวมถึงห้องแสดงสินค้าของกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านและผู้ประกอบอาชีพอิสระ ห้องแสดงบทบาทอาชีพเสมือนจริง (Role Play) และการให้บริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมีงานทำ ๒. เพิ่มสิทธิประโยชน์กองทุนเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างที่ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน อยู่ระหว่างดำเนินการออกกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่ารักษาพยาบาลให้นายจ้างจ่ายตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. .... ๓. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินการเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด "ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น" อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ศูนย์ฟื้นฟูฯ จังหวัดขอนแก่น เป็นหนึ่งในโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๗ ครอบคลุมการให้บริการแก่ลูกจ้าง ผู้ประกันตนที่พิการ ทุพพลภาพ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒๐ จังหวัด มุ่งเน้นการให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพแก่ลูกจ้าง ผู้ประกันตนที่สูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานและทุพพลภาพ โดยให้การฟื้นฟูฯ ที่เหมาะสมครบทุกด้าน ทั้งด้านการแพทย์ ด้านอาชีพ จิตใจและสังคม รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการเล่นกีฬาเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพ จนกระทั่งจบการฟื้นฟูสามารถกลับไปดำรงชีวิตประจำวันและประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองได้ ๔. จัดตั้ง “สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน)” เพื่อดำเนินการด้านการส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานให้กับแรงงานและคนทำงานทั้งในระบบและนอกระบบ ๕. การแก้ไขกฎหมายเพื่อการคุ้มครองแรงงาน ได้แก่ กฎกระทรวงว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานในงานเกษตรกรรม พ.ศ. .... และกฎกระทรวงว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. .... ๖. ดำเนิน “โครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงานตามความต้องการของสถานประกอบกิจการ” เป็นการดำเนินงานเชิงรุกในการเข้าหาสถานประกอบกิจการ โดยให้คำปรึกษา แนะนำ แก่บุคลากรในสถานประกอบกิจการ ในการสร้างจิตสำนึกให้รู้คุณค่าของทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เข้าใจถึงความสูญเสียที่แฝงอยู่ในกระบวนการทำงานและดำเนินการแก้ไข ปรับปรุงได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง รวมถึงสามารถนำแนวทางไปปฏิบัติเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานในสถานประกอบกิจการ ๗. จัดทำโครงการคลินิกช่าง “กรมพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่” โดยจัดบริการตรวจเช็คสภาพรถ ซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ และรถจักรยานยนต์ แก่ประชาชนฟรี ในช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ ๑๕-๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ ที่ตั้งสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด และช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๗-๔ มกราคม ๒๕๕๘ ณ จุดบริการบนถนนสายหลักทั่วประเทศ และจัดให้มีบริการอื่น ๆ ที่นอกเหนือ เช่น ให้บริการเครื่องดื่ม ผ้าเย็น นวดแผนไทย และนวดฝ่าเท้า เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
163 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสุชาดา ฮุนพงษ์สิมานนท์) | สธ | 16/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๕ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายวีระ สถิรอังกูร ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านเวชกรรม สาขาออร์โธปิดิกส์) กลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านออร์โธปิดิกส์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๕ ๒. นายเอกชัย โควาวิสารัช ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาสิติ-นรีเวชกรรม) กลุ่มงานสูติ-นรีเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๓. นายชุษณะ มะกรสาร ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านสาธารณสุข) กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๖ ๔. นางสุชาดา ฮุนพงษ์สิมานนท์ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) กลุ่มงานรังสีวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๕. นายวีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลขอนแก่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
164 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (1. นายชุษณะ มะกรสาร 2. นายวีระ สถิริอังกูร 3. นายเอกชัย โควาวิสารัช) | สธ | 16/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๕ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายวีระ สถิรอังกูร ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านเวชกรรม สาขาออร์โธปิดิกส์) กลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านออร์โธปิดิกส์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๕ ๒. นายเอกชัย โควาวิสารัช ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาสิติ-นรีเวชกรรม) กลุ่มงานสูติ-นรีเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๓. นายชุษณะ มะกรสาร ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านสาธารณสุข) กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๖ ๔. นางสุชาดา ฮุนพงษ์สิมานนท์ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) กลุ่มงานรังสีวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๕. นายวีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลขอนแก่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ |
||||||||||||||||||||||||
165 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายวีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์) | สธ | 16/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๕ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายวีระ สถิรอังกูร ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านเวชกรรม สาขาออร์โธปิดิกส์) กลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านออร์โธปิดิกส์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๕ ๒. นายเอกชัย โควาวิสารัช ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาสิติ-นรีเวชกรรม) กลุ่มงานสูติ-นรีเวชศาสตร์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๓. นายชุษณะ มะกรสาร ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านสาธารณสุข) กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๖ ๔. นางสุชาดา ฮุนพงษ์สิมานนท์ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) กลุ่มงานรังสีวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๕. นายวีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลขอนแก่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
166 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 20 การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน - ประเทศคู่เจรจาและการหารือทวิภาคีระหว่างไทย - สปป.ลาว และไทย - ญี่ปุ่น | คค | 16/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๐ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๓ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๒ ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๕ และผลการหารือทวิภาคีระหว่างไทย-สปป.ลาว และไทย-ญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ เมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน (ATM) ครั้งที่ ๒๐ ประกอบด้วย ๑.๑ แผนงานด้านการขนส่งของอาเซียนหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ประชุมให้การรับรองวิสัยทัศน์และกรอบยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ได้แก่ วิสัยทัศน์ความร่วมมือด้านการขนส่งของอาเซียน หลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่กำหนดว่า “Towards greater connectivity, efficiency, integration, safety and sustainability of ASEAN transport to strengthen ASEAN’s competitiveness and foster regional inclusive growth and development” และกรอบยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ จำนวน ๕ สาขา คือ การขนส่งทางอากาศ ทางบก ทางน้ำ การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง และการขนส่งอย่างยั่งยืน ๑.๒ ด้านการขนส่งทางอากาศ ที่ประชุมรับทราบว่า ประเทศไทยได้ลงนามพิธีสาร ๒ ว่าด้วยสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ แนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียน-จีน เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ และการเริ่มต้นการเจรจาการจัดทำข้อผูกพัน ชุดที่ ๙ ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน ๑.๓ ด้านการขนส่งทางบกและการอำนวยความสะดวก ที่ประชุมรับทราบการก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ของมาเลเซีย สายอิโป-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง ๓๒๙ กิโลเมตร ซึ่งได้แล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ โดยในส่วนของไทยมีความคืบหน้าของการเริ่มก่อสร้างสะพานรถไฟช่วงคลองลึก-ปอยเปต ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่เส้นทางจิระ-ขอนแก่น และประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งที่ประชุมขอให้ประเทศสมาชิกได้ข้อยุติการจัดทำร่างความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผู้โดยสารทางบกข้ามพรมแดน (ASEAN CBTP) ๑.๔ ด้านการขนส่งทางน้ำ ที่ประชุมให้การรับรองกรอบการดำเนินการการรวมตัวเป็นตลาดการขนส่งทางทะเลร่วมอาเซียน และประเทศสมาชิกร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยกลไกความร่วมมือในการเตรียมความพร้อมและการจัดการน้ำมันรั่วไหลของอาเซียน ๒. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๓ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการภายใต้ความตกลงด้านการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียน-จีน และพิธีสาร ๑ สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ แนบท้ายความตกลงฯ และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการขนส่งของอาเซียนเร่งรัดการให้สัตยาบันเพื่อการมีผลบังคับใช้ของพิธีสาร ๒ สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ภายใต้กรอบความตกลงฯ รวมทั้งรับทราบความคืบหน้าการก่อสร้าง/บูรณะเส้นทางรถไฟสายสิงคโปร์-คุนหมิง รวมทั้งกรณีที่จีนจะให้เงินสนับสนุนการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียน-จีน ภายใต้แนวทาง 21st Century Maritime Silk Road ๓. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๒ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการโครงการ ๒๓ โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการปากเซเรื่องความเป็นหุ้นส่วนด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น รวมทั้งให้การรับรอง “แนวทางการแนะนำระบบ Electronics Database Interchange (EDI) ของท่าเรือ” กลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางเรือระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น รายงานผลการสำรวจท่าอากาศยานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศสมาชิกอาเซียน และรายงานเบื้องต้นของการศึกษาเรื่องการขนส่ง Landbridge ในอาเซียน และให้การรับรองแผนงานการดำเนินงานหุ้นส่วนความร่วมมือด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ๔. ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมให้การรับรองแผนงานความร่วมมือด้านการขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ฉบับปรับปรุง และรับทราบโครงการสำคัญที่จะดำเนินการในปี ๒๕๕๘ ได้แก่ การพัฒนาบุคลากรด้านรถไฟ ด้านโลจิสติกส์ การขนส่งอย่างยั่งยืน และการศึกษาเรื่องการปรับปรุงการขนส่งทางลำน้ำในไทยและกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม (CLMV) และเห็นชอบที่จะจัดให้มีการประชุมคณะทำงานเพื่อเจรจาการจัดทำว่าด้วยบริการเดินอากาศอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๕. การหารือทวิภาคระหว่างไทย-สปป.ลาว และไทย-ญี่ปุ่น โดยผลการหารือระหว่างไทย-สปป.ลาว ส่วนใหญ่เป็นประเด็นที่ฝ่ายลาวขอรับการสนับสนุนจากฝ่ายไทยในการพัฒนาเส้นทางถนน และโครงการก่อสร้างสะพาน สำหรับผลการหารือระหว่างไทย-ญี่ปุ่น จะเน้นเรื่องความร่วมมือด้านรถไฟไทย-ญี่ปุ่น
|
||||||||||||||||||||||||
167 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดขอนแก่น [นายหลี่ หมิงกัง (Mr. Li Minggang)] | กต | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายหลี่ หมิงกัง (Mr. Li Minggang) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุม ๒๐ จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา บึงกาฬ บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
168 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโนนสะอาด อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... | กษ | 09/12/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโนนสะอาด อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโนนสะอาด อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ในการก่อสร้างทำนบดินและอาคารประกอบอื่นตามโครงการพัฒนากุดจับ-กึดหมากเห็บ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
169 | รายงานการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน | วธ | 25/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี (๗ ตุลาคม ๒๕๕๗) เรื่อง การดำเนินการโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็วเพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ฤกษ์ดีปีใหม่ไหว้พระปฏิมา โดยเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ๔๔ แห่งทั่วประเทศ และอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญของชาติมาประดิษฐานให้ประชาชนเข้ากราบสักการะบูชา เพื่อเป็นสิริมงคลในวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗-๑๕ มกราคม ๒๕๕๘ ๒. ไหว้พระ ๙ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๙ รัชกาล (วัดประจำรัชกาลที่ ๑-รัชกาลที่ ๙) โดยองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ให้ความร่วมมือจัดรถโดยสารปรับอากาศ ขสมก. ให้บริการรับ-ส่ง ฟรี ตั้งแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗-๔ มกราคม ๒๕๕๘ ๓. สวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่า วิถีไทย-ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ ณ วัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.๐๐ น.-วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ เวลา ๐๐.๓๐ น. ๔. พลัง “บวร” บ้าน-วัด-โรงเรียน ชวนเชิญชุมชนปั่นจักรยานไหว้พระรับฤดูหนาว โดยเชิญชุมชนปั่นจักรยานใน ๑๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน น่าน เชียงใหม่ ลำพูน สุโขทัย กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี กาญจนบุรี และราชบุรี ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗-มกราคม ๒๕๕๘ ๕. เปิดอุทยานประวัติศาสตร์ ๙ แห่ง และแหล่งโบราณสถานต่าง ๆ ทั่วประเทศให้ประชาชนเที่ยวชมฟรี ตั้งแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗-๑๕ มกราคม ๒๕๕๘ ๖. หุ่นไทยสันทนาการ สัญจร ๔ ภาค ให้ประชาชนชมฟรี ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ สุโขทัย และพิษณุโลก ตั้งแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗-๑ มกราคม ๒๕๕๘ ภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต นครศรีธรรมราช และสงขลา ในวันที่ ๒๔-๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ภาคอีสาน ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา และอุบลราชธานี ในวันที่ ๑๗-๑๘ มกราคม ๒๕๕๘ และภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม ในวันที่ ๑๔-๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ๗. ศิลปวัฒนธรรมไทยสู่ใจประชาชน ในงานมหกรรมการแสดงดนตรีและศิลปะพื้นบ้านของจังหวัด เพื่อสร้างความสุขและความสามัคคีปรองดองให้แก่คนในชาติในส่วนภูมิภาค ณ จังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ จังหวัดสุรินทร์ ในวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ และจังหวัดลำปาง ในวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๗ และจัดแสดงนาฏศิลป์-ดนตรี และกิจกรรมทางศิลปะ ณ โรงละครวังหน้า วิทยาลัยช่างศิลป (ลาดกระบัง) และวิทยาลัยนาฏศิลปทุกแห่ง ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๘. มอบของขวัญปีใหม่ด้วยผลิตภัณฑ์ไทยทั่วถิ่น จะได้มีอยู่มีกิน ทั่วแดนดินสุขร่วมกัน โดยร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องและห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ทั่วประเทศ จัดกระเช้าของขวัญปีใหม่ด้วยผลิตภัณฑ์ชุมชนภูมิปัญญาไทย ตลอดช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗-มกราคม ๒๕๕๘ ๙. อวยพรปีใหม่ผ่านระบบ Online (ส.ค.ส. Online) โดยคัดเลือกภาพถ่ายของศิลปินอาเซียน (ASEAN Eye Culture) ซึ่งเป็นภาพถ่ายวิถีชีวิตของประเทศสมาชิกอาเซียนและภาพถ่ายวิถีชีวิตวัฒนธรรมทางภาคใต้ สื่อถึงค่านิยมหลัก ๑๒ ประการ จัดทำเป็น ส.ค.ส. ส่งความสุขตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗-๑๕ มกราคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
170 | ผลการเยือนญี่ปุ่นของคณะผู้แทนนายกรัฐมนตรี | นร | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และคณะผู้แทนนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เพื่อหารือความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น ทั้งในด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ซึ่งเป็นการหารือจากการที่นายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้หารือทวิภาคีระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซม เมื่อวันที่ ๑๖-๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี รวมทั้งเป็นการเตรียมการเบื้องต้นในการเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เสนอ ดังนี้
๑. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง และการท่องเที่ยว ของญี่ปุ่น ผ่านคณะทำงานร่วมที่มีอยู่แล้ว ดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอของฝ่ายญี่ปุ่น เพื่อดำเนินการศึกษารายละเอียดความเป็นไปได้ของการพัฒนาระบบรถไฟเส้นทางเชื่อมระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (แม่สอด-พิษณุโลก-ขอนแก่น-มุกดาหาร) ๒. มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศประสานกับฝ่ายญี่ปุ่นเพื่อดำเนินการเรื่องการยกระดับคณะกรรมการร่วมไทย-ญี่ปุ่น (Joint Committee : JC) จากระดับปลัดกระทรวง เป็นระดับรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี และจัดให้มีการประชุมโดยเร็ว ๓. มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาในการยกระดับความร่วมมือในการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายให้เป็นความร่วมมือของสามประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ไทย และญี่ปุ่น ๔. มอบหมายกระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดพิจารณามาตรการห้ามนำเข้าสินค้าอาหารจากเมืองที่เหลืออีก ๓ เมืองของญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่กระจายของกัมมันตภาพรังสีหลังเหตุการณ์สึนามิ แล้วแจ้งให้ญี่ปุ่นทราบโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||
171 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น รวม 4 ฉบับ | คค | 18/11/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางและสะพานรถยนต์ข้ามทางรถไฟ ตามโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับไปพิจารณาด้วยว่าจะตราเป็นพระราชกฤษฎีกาฉบับเดียวกัน แต่ให้มีแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาหลายฉบับได้หรือไม่ เนื่องจากเป็นการดำเนินการตามโครงการเดียวกัน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลพลสงคราม อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบัวใหญ่ อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... ๓. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโนนสมบูรณ์ อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... ๔. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าพระ อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... |
||||||||||||||||||||||||
172 | แผนการดำเนินโครงการรถไฟทางคู่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | คค | 21/10/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนการดำเนินโครงการรถไฟทางคู่ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่พร้อมดำเนินการก่อสร้าง ๑ โครงการ คือ โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง ๑๐๖ กิโลเมตร วงเงิน ๑๑,๒๗๒.๓๔ ล้านบาท ๑.๒ โครงการที่อยู่ระหว่างนำเสนอขออนุมัติโครงการ จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง ๑๘๕ กิโลเมตร วงเงิน ๒๖,๐๐๗ ล้านบาท และโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง ๑๖๗ กิโลเมตร วงเงิน ๑๗,๒๙๒ ล้านบาท ๑.๓ โครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง ๑๔๘ กิโลเมตร วงเงิน ๒๔,๘๔๒ ล้านบาท โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง ๑๓๒ กิโลเมตร วงเงิน ๒๙,๘๕๕ ล้านบาท และโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง ๑๖๕ กิโลเมตร วงเงิน ๒๐,๐๓๘ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ในเรื่องการนำโครงการต่าง ๆ ในแผนไปประมวลในแผนปฏิบัติการที่จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการพิจารณาจ้างหรือเพิ่มสัดส่วนการจ้างที่ปรึกษาที่เป็นนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญชาวไทยในโครงการที่มีการจัดซื้อจัดจ้างหรือจ้างที่ปรึกษาโครงการด้วย ๓. ในการดำเนินโครงการตามแผนดังกล่าว ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบราชการ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ รวมทั้งหากโครงการใดเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
173 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย (จำนวน 37 ราย 1. นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ฯลฯ) | มท | 16/09/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓๗ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ทดแทนผู้ที่โอนไปรับราชการสังกัดส่วนราชการอื่น และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดนครศรีธรรมราช ๓. นายศิริพงษ์ ห่านตระกูล ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมที่ดิน ๔. นายกฤษฎา บุญราช ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมการปกครอง ๕. นายธำรงค์ เจริญกุล ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสงขลา ๖. นายคณิต เอี่ยมระหงษ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๗. นายพินิจ หาญพาณิชย์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสมุทรปราการ ๘. นายวันชัย สุทธิวรชัย ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๙. นายเสริม ชัยณรงค์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดอุบลราชธานี ๑๐. นายวิชิต ชาตไพสิฐ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๑๑. นายธานี สามารถกิจ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดระยอง ๑๒. นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๑๓. นายกำธร ถาวรสถิตย์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดขอนแก่น ๑๔. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดชัยนาท ๑๕. นายวิเชียร พุฒิวิญญู ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสระบุรี ๑๖. นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดเชียงใหม่ ๑๗. นายสมชัยฐ์ หทยะตันย์ติ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดตาก ๑๘. นายสมศักดิ์ ขำทวีพรหม ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๑๙. นายสมศักดิ์ จังตระกุล ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดร้อยเอ็ด ๒๐. นายสุวิทย์ สุบงกฎ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๒๑. นายภุชงค์ โพธิกุฎสัย ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดกาฬสินธุ์ ๒๒. นายธงชัย ลืออดุลย์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดนครราชสีมา ๒๓. นายเสรี ศรีหะไตร ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดบุรีรัมย์ ๒๔. นายวินัย บัวประดิษฐ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดพัทลุง ๒๕. นายสามารถ ลอยฟ้า ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดจันทบุรี ๒๖. นายไมตรี อินทุสุต ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๒๗. นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดภูเก็ต ๒๘. นายสุรพล แสวงศักดิ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดราชบุรี ๒๙. นายชโลธร ผาโคตร ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสิงห์บุรี ๓๐. นายวันชัย โอสุคนธ์ทิพย์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดกาญจนบุรี ๓๑. นายวิเชียร จันทรโณทัย ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดชัยภูมิ ๓๒. นายระพี ผ่องบุพกิจ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดนครสวรรค์ ๓๓. นายจักริน เปลี่ยนวงษ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดพิษณุโลก ๓๔. นายชนม์ชื่น บุญญานุสาสน์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดนนทบุรี ๓๕. นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๓๖. นายเดชรัฐ สิมศิริ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสตูล ๓๗. นายนพวัชร สิงห์ศักดา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดอุดรธานี
|
||||||||||||||||||||||||
174 | ขอความเห็นชอบเปลี่ยนแปลงรายการเครื่องเรดาร์ตรวจอากาศแบบ Doppler พร้อมอุปกรณ์และหอเรดาร์ 2 เครื่อง ที่ดอนเมือง และศูนย์อุตุนิยมวิทยา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จังหวัดขอนแก่น | ทก | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบให้กรมอุตุนิยมวิทยาเปลี่ยนแปลงรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณจาก เดิม รายการเครื่องเรดาร์ตรวจอากาศแบบ Doppler พร้อมอุปกรณ์และหอเรดาร์ ๒ เครื่อง ที่ดอนเมือง และศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จังหวัดขอนแก่น เป็น รายการเครื่องเรดาร์ตรวจอากาศแบบ Doppler พร้อมอุปกรณ์และหอเรดาร์ ๒ เครื่อง ที่สถานีอุตุนิยมวิทยาสมุทรสงคราม และศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จังหวัดขอนแก่น ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ภายในวงเงินตามสัญญาจำนวน ๓๐๙,๓๓๗,๐๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๔๖,๘๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้ว ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๒๖๒,๕๓๗,๐๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
175 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู | นร04 | 11/02/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายโอยันตา อุมาลา ตัสโซ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู ระหว่างวันที่ ๔-๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องสำหรับการลงนามความตกลงการค้าเสรีไทย-เปรู ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผลักดันให้มีการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กับสถาบันพลังงานนิวเคลียร์แห่งสาธารณรัฐเปรู อย่างเป็นรูปธรรม และพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับฝ่ายเปรู ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขผลักดันให้มีการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐเปรู อย่างเป็นรูปธรรม และพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับฝ่ายเปรูเรื่องโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมผลักดันให้มีการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานส่งเสริมการลงทุนเอกชนแห่งสาธารณรัฐเปรูเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการส่งเสริมการลงทุนในระดับทวิภาคี อย่างเป็นรูปธรรม และศึกษาแผนการลงทุนของฝ่ายเปรูโดยเฉพาะในสาขาการก่อสร้างและพลังงาน ๕. ให้กระทรวงศึกษาธิการติดตามให้มีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตจำนงที่จะมีความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างเอกอัครราชทูตเปรูประจำประเทศไทยกับผู้บริหารระดับสูงของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อย่างเป็นรูปธรรม และพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือกับฝ่ายเปรูเรื่องทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทย และการส่งอาจารย์ชาวเปรูมาสอนภาษาสเปนที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย ๖. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดให้มีเที่ยวบินตรงระหว่างไทยกับเปรู ๗. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับฝ่ายเปรูโดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงสุขภาพ ๘. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือด้านสวัสดิการสังคมกับฝ่ายเปรูโดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ๙. ให้กระทรวงการต่างประเทศผลักดันให้มีการดำเนินการตามสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเปรูว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาคดีอาญา อย่างเป็นรูปธรรม |
||||||||||||||||||||||||
176 | สรุปผลสำมะโนการเกษตร พ.ศ. 2556 | ทก | 21/01/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลสำมะโนการเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ถือครองและเนื้อที่ถือครองทำการเกษตร ๑.๑ ประเทศไทยมีผู้ถือครองทำการเกษตรทั้งสิ้น ณ วันสำมะโน (๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖) จำนวน ๕.๙ ล้านคน (ร้อยละ ๒๕.๙ ของครัวเรือนทั้งประเทศ) มีเนื้อที่ถือครองทำการเกษตรทั้งสิ้น ๑๑๔.๖ ล้านไร่ (เฉลี่ย ๑๙.๔ ไร่ต่อราย) ผู้ถือครองและเนื้อที่ถือครองทำการเกษตรมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๔๖ ร้อยละ ๑.๗ ๑.๒ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนผู้ถือครองและเนื้อที่ถือครองทำการเกษตรมากที่สุด คือ ๒.๘ ล้านราย (ร้อยละ ๔๖.๕) และ ๕๓.๕ ล้านไร่ (ร้อยละ ๔๖.๗) ตามลำดับ และภาคกลางมีผู้ถือครองทำการเกษตรน้อยที่สุด ๐.๘ ล้านราย (ร้อยละ ๑๔.๓) มีเนื้อที่ถือครอง ๑๙.๒ ล้านไร่ (ร้อยละ ๑๖.๘) ๒. จังหวัดที่มีจำนวนผู้ถือครองทำการเกษตรสูงสุด ๑๐ อันดับแรก คือ นครราชสีมา อุบลราชธานี และศรีสะเกษ โดย ๓ จังหวัดแรกมีผู้ถือครองทำการเกษตรเกิน ๒ แสนราย (ร้อยละ ๒.๖๐ ๒.๒๙ ๒.๐๓ แสนราย ตามลำดับ) รองลงมาคือ ขอนแก่น (๑.๙๘ แสนราย) นครศรีธรรมราช (๑.๙๒ แสนราย) สุรินทร์ (๑.๘๗ แสนราย) ร้อยเอ็ด (๑.๘๑ แสนราย) สกลนคร (๑.๗๘ แสนราย) บุรีรัมย์ (๑.๗๖ แสนราย) และอุดรธานี (๑.๕๗ แสนราย) ตามลำดับ ๓. ลักษณะการทำการเกษตร ผู้ถือครองทำการเกษตรส่วนใหญ่ทำการเพาะปลูกพืช (ร้อยละ ๙๖.๔) ในจำนวนนี้ (ร้อยละ ๑๙.๙) มีการทำการเกษตรประเภทอื่นด้วย เช่น เลี้ยงปศุสัตว์ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด หรือทำนาเกลือสมุทร ๔. เนื้อที่ถือครองทำการเกษตร จำแนกตามการใช้ประโยชน์ที่ดิน คือ ที่ปลูกข้าว (ร้อยละ ๕๑.) รองลงมาคือ ที่ปลูกพืชไร่ (ร้อยละ ๒๒.๓) ที่ปลูกยางพารา (ร้อยละ ๑๔.๖) ที่ปลูกพืชยืนต้น/ไม้ผล/สวนป่า (ร้อยละ ๘.๕) และที่ปลูกพืชผัก สมุนไพร และไม้ดอกไม้ประดับ (ร้อยละ ๐.๘) ๕. ผู้ถือครองที่ปลูกข้าวและเนื้อที่เพาะปลูกข้าว ในปี ๒๕๔๖-๒๕๕๖ มีจำนวนผู้ถือครองทำการเกษตรที่ปลูกข้าวลดลงจาก ๔.๐ เหลือ ๓.๘ ล้านราย ในขณะที่เนื้อที่เพาะปลูกข้าวเพิ่มขึ้นจาก ๖๘.๔ เป็น ๗๒.๘ ล้านไร่ โดยเพิ่มขึ้นมากที่ข้าวนาปรัง (จากร้อยละ ๑๐.๙ เป็นร้อยละ ๑๖.๒) ๖. ผู้ถือครองที่ปลูกยางพาราและเนื้อที่เพาะปลูกยางพารา ในปี ๒๕๔๖-๒๕๕๖ จำนวนผู้ถือครองที่เพาะปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นจาก ๖.๑ เป็น ๑๑.๖ แสนราย เนื้อที่เพาะปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นจาก ๙.๖ เป็น ๑๖.๒ ล้านไร่ โดยครึ่งหนึ่งอยู่ในภาคใต้ (๙.๕ ล้านไร่) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเนื้อที่เพาะปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นเกือบ ๗ เท่า (จาก ๐.๒ เป็น ๔.๓ ล้านไร่) ๗. การศึกษาของผู้ถือครองทำการเกษตร ในปี ๒๕๔๖-๒๕๕๖ ผู้ถือครองทำการเกษตรส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาสูงขึ้น คือ ผู้ถือครองฯ ที่สำเร็จระดับมัธยมศึกษามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๙.๓ เป็นร้อยละ ๑๖.๕ ระดับปริญญาตรีเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๑.๒ เป็นร้อยละ ๒.๗ และ ปวช./ปวส.ฯ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๑.๖ เป็นร้อยละ ๒.๘ ตามลำดับ ๘. รายได้จากผลผลิตทางการเกษตร ผู้ถือครองทำการเกษตรมีรายได้จากผลผลิตทางการเกษตรตั้งแต่ ๑๐๐,๐๐๑ บาทขึ้นไปมากที่สุด (ร้อยละ ๒๘.๖) โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๔๖ ถึงร้อยละ ๑๘.๙ ๙. หนี้สินของครัวเรือนผู้ถือครองทำการเกษตร โดยผู้ถือครองทำการเกษตรเกือบครึ่งหนึ่งเป็นครัวเรือนที่มีหนี้สิน (ร้อยละ ๔๒.๙) ซึ่งในจำนวนนี้มีหนี้สินเพื่อการเกษตรร้อยละ ๓๖.๙ (เฉลี่ย ๑๒๔,๖๐๔ บาทต่อครัวเรือนที่เป็นหนี้) ส่วนใหญ่ร้อยละ ๗๐.๙ กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
|
||||||||||||||||||||||||
177 | ขออนุมัติลงนามในสัญญาก่อนได้รับอนุมัติเงินประจำงวด | นร04 | 07/01/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีลงนามในสัญญาก่อนได้รับอนุมัติเงินประจำงวดในการดำเนินโครงการ Roadshow สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 ทุกภาคทั่วประเทศ ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ จำนวน ๑๐ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดอุบลราชธานี ขอนแก่น พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี นครสวรรค์ เชียงใหม่ ชลบุรี นครศรีธรรมราช และสงขลา ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
178 | การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ จังหวัดขอนแก่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) | นร01 | 19/11/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ ๑๒ (จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ ๑๒ รายงานสรุปผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ จังหวัดขอนแก่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสถานการณ์อุทกภัย ตรวจเยี่ยมและมอบถุงยังชีพแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๕๐๐ คน รวมทั้งได้ให้ข้อเสนอแนะในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัด สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อค้นพบจากการลงพื้นที่เพื่อตรวจสถานการณ์อุทกภัยพบว่า ภูมิประเทศของพื้นที่ทั้ง ๓ แห่ง ได้แก่ พื้นที่บ้านป่าม่วง หมู่ที่ ๙ พื้นที่บ้านแจ้งกระหนวน หมู่ที่ ๑๓ ตำบลโคกสำราญ อำเภอบ้านแฮด และพื้นที่บ้านชีกกค้อ หมู่ที่ ๗ หมู่ที่ ๑๓ ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ ตั้งติดกับแม่น้ำชีและอ่างเก็บน้ำแก่งละว้า ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลางมีพื้นที่ประมาณ ๑๓,๐๐๐ ไร่ และมีลักษณะเป็นที่ราบน้ำท่วมถึง เมื่อเกิดฝนตกหนักหรือน้ำป่าไหลหลากพื้นที่บริเวณนี้จะได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากเป็นเส้นทางของมวลน้ำจากจังหวัดชัยภูมิไหลตามแม่น้ำชีลงสู่แก่งละว้า ซึ่งที่ผ่านมาพื้นที่บริเวณดังกล่าวประสบปัญหาอุทกภัยต่อเนื่องมาเป็นเวลา ๗ ปีแล้ว โดยในส่วนของพื้นที่บ้านชีกกค้อ หมู่ที่ ๗ หมู่ที่ ๑๓ ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ ผู้แทนโครงการชลประทานขอนแก่นรายงานว่า มีการก่อสร้างทำนบดินเพื่อใช้กั้นแม่น้ำชีและใช้เป็นเส้นทางสัญจรของหมู่บ้าน ปัจจุบันประตูระบายน้ำของแก่งละว้า ๒ จุด เสียหาย จึงมีความต้องการจะขอรับการสนับสนุนงบประมาณปรับปรุงทำนบดินในบริเวณที่เป็นประตูระบายน้ำ มาเป็นการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก ความยาว ๑๐๐ เมตร และสร้างฝายสันกว้างด้านล่าง ระดับหลังฝายเท่ากับระดับเก็บกัก เพื่อช่วยให้การระบายน้ำลงสู่อ่างเก็บน้ำแก่งละว้าเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว โดยโครงการปรับปรุงทางระบายน้ำอ่างเก็บน้ำแก่งละว้าดังกล่าวเป็นโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบของโครงการชลประทานจังหวัดขอนแก่น ซึ่งได้เตรียมขออนุมัติงบประมาณดำเนินการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในวงเงิน ๒๓,๙๕๐,๐๐๐ บาท ๒. จากการลงพื้นที่เพื่อตรวจสถานการณ์อุทกภัยในบริเวณดังกล่าว เห็นสมควรดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ ได้แก่ ๒.๑ ให้จังหวัดสำรวจพื้นที่ที่เกิดปัญหาอุทกภัยแต่ละจุด ว่ามีจุดใดที่มีสิ่งก่อสร้าง ถนน หรือจุดระบายน้ำที่ควรปรับปรุง/แก้ไข และให้จัดทำโครงการเพื่อเสนอขอรับงบประมาณต่อไป สามารถแบ่งช่วงเวลาการแก้ไขปัญหาออกเป็น ๒ ระยะ คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ให้จังหวัดเร่งบริหารจัดการให้สามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว และการแก้ไขปัญหาระยะยาว ให้มีการขุดลอกแก้มลิงในพื้นที่ที่มีความเหมาะสมเพื่อรองรับน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก และเก็บกักน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งจะสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยได้อย่างถาวร ๒.๒ ประตูระบายน้ำในพื้นที่บ้านชีกกค้อ ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ เกิดความเสียหาย จำเป็นต้องได้รับซ่อมแซมและปรับปรุงโดยเร่งด่วน จึงเห็นควรพิจารณาให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงทางระบายน้ำอ่างเก็บน้ำแก่งละว้า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และประสานแจ้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือกรมชลประทาน เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๓ ให้เขตตรวจราชการที่ ๑๒ ที่มีโครงการขุดลอกแหล่งน้ำในพื้นที่นำแนวทางการขุดลอกของกระทรวงมหาดไทยมาใช้ โดยให้เอกชนผู้ขุดลอกสามารถที่จะนำดินหรือทรายที่ได้จากการขุดลอกไปใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง ซึ่งมีผลทำให้ต้นทุนก่อสร้างต่ำหรือเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ ประชาชนได้รับประโยชน์จากการมีแหล่งน้ำไว้ใช้และทำให้ทางน้ำไหลสะดวก ลดปัญหาอุทกภัยหรือภัยแล้ง มาทดลองปฏิบัติสำหรับโครงการตามแผนพัฒนาจังหวัด (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) ที่จังหวัดรอของบประมาณ รวมทั้งโครงการ Y2 ที่รอการจัดสรรงบประมาณอยู่ โดยในบริเวณที่เป็นที่สาธารณประโยชน์ ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยวิธีการเกี่ยวกับการขุดลอกแหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ที่ตื้นเขิน พ.ศ. ๒๕๔๗ และในบริเวณที่เป็นที่ราชพัสดุ ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา และการใช้ที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๖
|
||||||||||||||||||||||||
179 | รายงานผลการจัดนิทรรศการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศ | นร11 | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดนิทรรศการ “สร้างอนาคตไทย ๒๐๒๐” ระหว่างวันที่ ๔ ตุลาคม-๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดหนองคาย นครราชสีมา ชลบุรี อุบลราชธานี ขอนแก่น นครสวรรค์ และฉะเชิงเทรา ตามที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการบูรณาการการประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนผู้เข้าร่วมนิทรรศการฯ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๕๖๔,๓๗๙ คน หรือเฉลี่ย ๒๖,๘๗๕ คน/วัน โดยมีผู้เข้าร่วมงานมากที่สุดที่จังหวัดขอนแก่น จำนวน ๑๓๙,๑๘๓ คน หรือเฉลี่ย ๔๖,๓๙๔ คน/วัน และน้อยที่สุดที่จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๔๖,๒๘๔ คน หรือเฉลี่ย ๑๕,๔๒๘ คน/วัน ๒. ความเห็นของผู้ร่วมชมนิทรรศการฯ ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจการจัดนิทรรศการฯ ซึ่งผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่ได้รับทราบข่าวการจัดนิทรรศการ “สร้างอนาคตไทย ๒๐๒๐” จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น/ผู้นำชุมชน รองลงมาคือ สื่อโทรทัศน์ ป้ายประชาสัมพันธ์/แผ่นพับ และเพื่อน/ครอบครัว ตามลำดับ โดยมีความประทับใจนิทรรศการรถไฟความเร็วสูงมากที่สุด รองลงมาคือ การจำหน่ายสินค้า OTOP และกิจกรรมการประกวด “จานด่วนไทย ไปครัวโลก” ตามลำดับ ๓. การดำเนินงานในระยะต่อไป คณะกรรมการการประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศเห็นควรให้มีการจัดนิทรรศการเพื่อสรุปภาพรวมทั้งประเทศอีกครั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยให้มีการเตรียมข้อมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟความเร็วสูงให้มีความชัดเจนเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สามารถชี้แจงและสื่อสารต่อประชาชนและผู้ที่สนใจได้อย่างชัดเจน และครบถ้วน ในเบื้องต้นคณะกรรมการฯ เห็นควรกำหนดช่วงเวลาการจัดนิทรรศการฯ ระหว่างวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์-๒ มีนาคม ๒๕๕๗ สำหรับสถานที่จัดนิทรรศการฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมทั้งในด้านขนาดของพื้นที่ และความสะดวกในการเดินทางเข้าถึงสถานที่จัดนิทรรศการฯ นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมเสนอให้มีพื้นที่ในการจัดแสดงผลงานที่ได้รับรางวัลการประกวดแนวคิดการออกแบบสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-หัวหิน ภายใต้ชื่อ “Design Station Define Identity” และกระทรวงศึกษาธิการได้จัดให้มีกิจกรรมการประกวดภาพและเรียงความในหัวข้อ “จังหวัดของฉันในปี ๒๐๒๐” ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนและนักศึกษาเกิดความสนใจในการรับทราบข้อมูลของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมากขึ้น และแสดงให้เห็นถึงการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นอีกทางหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
180 | รายงานการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี 2556 ของกระทรวงการคลัง | กค | 12/11/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. การให้ความช่วยเหลือด้านอุปโภคบริโภคผ่านส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง จำนวน ๒๓ พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี พังงา ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ พิษณุโลก ตาก พิจิตร ลพบุรี ตราด ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และนครนายก ๑.๑ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย จำนวน ๔ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดพังงา ปราจีนบุรี นนทบุรี และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง เสื้อชูชีพ จำนวน ๒๖๕ ถุง น้ำดื่ม จำนวน ๑๐,๓๐๐ ขวด ข้าวสาร ๕ กิโลกรัม จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง และอื่น ๆ ได้แก่ เครื่องกรองน้ำ ๑๙๐ เครื่อง ปลากระป๋อง ๑๑ ลัง ปลาหมึกแห้ง ๑ ถุงใหญ่ และให้ยืมเครื่องสูบน้ำ ๒ เครื่อง ๑.๒ กรมธนารักษ์ได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของกรมธนารักษ์ที่ประสบภัย จำนวน ๒ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดตราด และปราจีนบุรี โดยจ่ายเงินสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่รายละ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ บาท ๑.๓ กรมบัญชีกลางได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของกรมบัญชีกลางที่ประสบภัย จำนวน ๑ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี โดยจ่ายเงินสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่รายละ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ บาท ๑.๔ กรมศุลกากรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย จำนวน ๕ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ตาก ปราจีนบุรี สระแก้ว และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๒,๓๐๐ ถุง และข้าวสาร จำนวน ๗๕๐ กิโลกรัม ๑.๕ กรมสรรพากรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๒ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา โดยการบริจาคเงิน จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท และบริจาคเรือ จำนวน ๒๐ ลำ ๑.๖ กรมสรรพสามิตได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพสามิตที่ประสบภัย จำนวน ๑ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๑๑๒ ถุง และเรือ จำนวน ๗ ลำ ๑.๗ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ของธนาคารใน ๔ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ ปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย บริจาคเงิน จำนวน ๔๗,๐๐๐ บาท ถุงยังชีพ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ถุง เรือ จำนวน ๔ ลำ และอื่น ๆ ได้แก่ อาหารกล่อง จำนวน ๕,๐๐๐ ชุด ๑.๘ ธนาคารออมสินได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๑๓ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก ตาก ขอนแก่น ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และนครราชสีมา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๖,๖๒๐ ถุง น้ำดื่ม จำนวน ๗,๗๐๐ ขวด และอื่น ๆ ได้แก่ เสื้อชูชีพ ๑๐ ตัว และยารักษาโรค ๒,๐๐๐ ชุด ๑.๙ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๑๓ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ นครสวรรค์ พิจิตร สระแก้ว ฉะเชิงเทรา เพชรบูรณ์ และนครนายก รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๓,๒๕๓,๕๕๔ บาท แบ่งเป็น ถุงยังชีพ จัดเลี้ยงอาหารและน้ำดื่ม ณ จุดรวมพล จำนวน ๒๖,๖๒๙ ราย เป็นเงิน ๑๓,๓๑๔,๖๑๖ บาท มอบเงินบำรุงขวัญแก่ลูกค้าผู้กู้ที่เสียชีวิต จำนวน ๒ ราย (รายละ ๒๐,๐๐๐ บาท) เป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท และมอบเงินเพื่อโครงการป้องกันและบริหารความเสี่ยงภัย จำนวน ๑๙,๘๙๘,๙๓๘ บาท ๑.๑๐ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๓ พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (เขตหนองจอก) จังหวัดฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา โดยมอบถุงยังชีพ จำนวน ๒,๒๐๐ ถุง ๒. การให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประสบอุทกภัยผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมาตรการต่าง ๆ คือ การผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระคืนหนี้เดิม การให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย การผ่อนปรนเวลาชำระหนี้เงินกู้ การลดดอกเบี้ย กรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพ การให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มาตรการพักหนี้ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย การเพิ่มวงเงินฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการ การให้ความช่วยเหลือลูกค้า โดยจะพิจารณาเป็นราย ๆ มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน และการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้เดิม ซึ่งประชาชนสามารถขอความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เป็นลูกค้าอยู่ได้
|
.....