ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 10 จากทั้งหมด 83 หน้า แสดงรายการที่ 181 - 200 จากข้อมูลทั้งหมด 1651 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
181 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... | มท | 05/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่บางส่วนของตำบลบ้านไผ่ บางส่วนของตำบลในเมือง บางส่วนของตำบลหัวหนอง บางส่วนของตำบลหินตั้ง บางส่วนของตำบลหนองน้ำใส บางส่วนของตำบลบ้านลาน อำเภอบ้านไผ่ และบางส่วนของตำบลโนนแดง อำเภอโนนศิลา จังหวัดขอนแก่น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการผังเมือง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
182 | สรุปสาระสำคัญการเข้าร่วมงาน "China - ASEAN Vocational Education Exhibition and Forum" ประจำปี 2556 | ศธ | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสาระสำคัญการเข้าร่วมงาน “China-ASEAN Vocational Education Exhibition and Forum” ประจำปี ๒๕๕๖ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่ ๒-๔ กันยายน ๒๕๕๖ ณ นครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง สาธารณรัฐประชาชนจีน สรุปได้ ดังนี้
๑. การกล่าวเปิดงาน “China-ASEAN Vocational Education Exhibition and Forum” ประจำปี ๒๕๕๖ ในนามของประเทศสมาชิกอาเซียน เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๖ โดยกล่าวเชื่อมั่นว่าหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ จีน-อาเซียน โดยเฉพาะด้านการศึกษาและฝึกอบรมทางเทคนิคและสายอาชีพ (Technical and Vocational Education and Training : TVET) จะไม่เป็นเพียงแค่การเสริมสร้างประชาคมอาเซียนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมของพลเมืองในทุกภาคส่วนเพื่อการพัฒนาทางสายอาชีพในยุคโลกาภิวัฒน์ และเน้นย้ำถึงความร่วมมือที่กำลังดำเนินอยู่ซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายซึ่งกันและกันด้านการศึกษาและฝึกอบรมทางเทคนิคและสายอาชีพ รวมทั้งเชื่อมั่นว่าการพัฒนาของประเทศอาเซียนจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ๒. การร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา/วิทยาลัยอาชีวศึกษาของสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศอาเซียน โดยในส่วนของประเทศไทยมีสถาบันการศึกษาที่ร่วมงานและลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และ Guangxi Teachers Education University, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพาณิชยการอยุธยา และ Guangxi University of Science and Technology, มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย และ Yulin Normal University, วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกอุดรธานี และมหาวิทยาลัยภาษานานาชาติกว่างซี รวมทั้งสถาบันการศึกษาด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา ๙ แห่ง คือ วิทยาลัยการอาชีพชุมแพ จังหวัดขอนแก่น วิทยาลัยการอาชีพด่านซ้าย จังหวัดเลย วิทยาลัยการอาชีพบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี วิทยาลัยการอาชีพเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี วิทยาลัยเทคนิคสุพรรณบุรี วิทยาลัยการอาชีพแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ วิทยาลัยเทคนิคน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น วิทยาลัยเทคนิคคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ และวิทยาลัยการต่อเรือหนองคาย โดยได้ลงนามข้อตกลงการแลกเปลี่ยนครู นักศึกษา การใช้สื่อร่วมกัน ร่วมกับมหาวิทยาลัยหนานหนิง ๓. การกล่าวปาฐกถา หัวข้อ “Construction of Modern Vocational Education System” เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๖ โดยกล่าวถึงบทบาทผู้นำของกระทรวงศึกษาธิการสำคัญต่อการจัดเตรียมความพร้อมของประชากรในประเทศเพื่อก้าวไปสู่การเป็นพลเมืองโลก โดยการปลูกฝังทักษะการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ ทักษะด้าน ICT และทักษะชีวิตเพื่อส่งเสริมการมีงานทำ การสร้างระบบการศึกษาสายอาชีพสมัยใหม่จะเป็นศูนย์กลางต่อการจัดทำยุทธศาสตร์แห่งชาติของประเทศไทยเพื่อการปฏิรูปและพัฒนาการศึกษาและฝึกอบรมด้านเทคนิคและสายอาชีพ การเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสถานศึกษากับอุตสาหกรรมและการทำงานที่ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นกับภาคเอกชนมีส่วนสำคัญในการช่วยให้บัณฑิตและแรงงานในสายอาชีพมีทักษะในหลากหลายระดับ และสิ่งสำคัญประการหนึ่ง คือ พื้นฐานที่เข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และทักษะภาษาต่างประเทศ เพื่อขยายการขับเคลื่อนของนักเรียนและโอกาสการมีงานทำในต่างประเทศ รวมถึงกลุ่มวัยทำงานและประชากรสูงวัยควรได้รับการฝึกอบรมเพื่อยกระดับทักษะอาชีพของตนเอง และเชื่อว่าข้อพันธกิจของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อไปจากนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของการศึกษาและฝึกอบรมด้านเทคนิคและสายอาชีพในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างเป็นรูปธรรม ๔. การเยี่ยมชมนิทรรศการด้านการศึกษาสายอาชีพจีน-อาเซียน ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษา วิทยาลัยการอาชีพ มากกว่า ๑๐๐ แห่ง ในหลายสาขาวิชาชีพ และเยี่ยมชม “ศูนย์ไทยศึกษา” ของมหาวิทยาลัยครูกว่างซี (Guangxi Teachers Education University) พร้อมทั้งหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับอธิการบดีและนักศึกษาไทย
|
|||||||||||||||||||||
183 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 4/2556 ณ วันที่ 30 กันยายน 2556) | นร | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภูมิอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า พายุไต้ฝุ่น "หวู่ติ๊บ" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีศูนย์กลางทางตะวันออกของจังหวัดนครพนม กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ขึ้นฝั่งเหนือเมืองเว้ ประเทศเวียดนาม และจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน และพายุดีเปรสชั่นตามลำดับโดยจะเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณจังหวัดนครพนม และคาดว่าจะอ่อนกำลังลงอีกเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ด้านตะวันออกและตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งภาคเหนือด้านตะวันออกมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งกับมีลมแรง อนึ่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้ภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนหนาแน่นเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ๒. สถานการณ์น้ำและน้ำท่วม กรมชลประทานรายงานว่า ๒.๑ ปริมาณน้ำท่าในบริเวณจุดสำคัญ ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา สถานี C.2 เขื่อนเจ้าพระยา สถานี C.13 และ อ.บางไทร สถานี C.29 ปริมาณน้ำไหลผ่าน ๑,๖๘๑, ๒,๑๙๕ และ ๒,๐๒๗ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ตามลำดับ ๒.๒ ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ แม่น้ำปิง ที่สถานี P.1 จังหวัดเชียงใหม่ +๑.๙๔ เมตร ต่ำกว่าตลิ่ง ๑.๗๖ เมตร แม่น้ำวัง ที่สถานี W.4A จังหวัดตาก +๔.๗๗ เมตร ต่ำกว่าตลิ่ง ๑.๓๓ เมตร ตามลำดับ แม่น้ำยม ที่สถานี Y.16 จังหวัดพิษณุโลก +๗.๕๙ เมตร สูงกว่าตลิ่ง ๐.๕๙ เมตร แม่น้ำน่าน ที่สถานี N.1 จังหวัดน่าน +๑.๒๕ เมตร ต่ำกว่าตลิ่ง ๕.๗๕ เมตร แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ +๒๒.๘๙ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๓๑ เมตร และแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.13 จังหวัดชัยนาท ระดับน้ำเหนือเหนือเขื่อน +๑๖.๒๕ ม.รทก. ระดับน้ำท้ายเขื่อน +๑๔.๘๖ ม.รทก. ๒.๓ น้ำในเขื่อน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ๕,๘๙๘, ๕,๕๙๐ และ ๘๓๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ๓. สถานการณ์อุทกภัย ดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก ๓.๑ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยรายงานว่า จากอิทธิพลพายุดีเปรสชั่น บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง อ่อนกำลังเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ เคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลางของประเทศไทย ทำให้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากส่งผลให้เกิดอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขังระบายไม่ทัน และน้ำล้นตลิ่ง มีพื้นที่ประสบภัยรวมทั้งสิ้น ๓๒ จังหวัด มีผู้เสียชีวิตรวม ๒๓ ราย ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ ๒๕ จังหวัด คลี่คลายแล้ว ๗ จังหวัด ๓.๒ กรมทรัพยากรธรณีแจ้งเตือนภัยในพื้นที่จังหวัดหนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย ขอนแก่น ชัยภูมิ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ เฝ้าระวังภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก ในระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน-๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ เนื่องจากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น "หวู่ติ๊บ" จะส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและต่อเนื่องในบางพื้นที่ อาจทำให้เกิดดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากได้
|
|||||||||||||||||||||
184 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... | มท | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอได้ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
185 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำจังหวัดขอนแก่น [นายบุนสี วงบัวสี (Mr. Bounsy Vongbouasy)] | กต | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายบุนสี วงบัวสี (Mr. Bounsy Vongbouasy) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำจังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดต่าง ๆ ทั้งหมดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย สืบแทนนายสิงคำ แก้ววิไลวัน ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
186 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโนนสะอาด อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... | กษ | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโนนสะอาด อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโนนสะอาด อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ในการก่อสร้างโครงการพัฒนากุดจับ-กุดหมากเห็บ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
187 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. .... | ศธ | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. .... ที่แก้ไขปรับปรุงจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีฐานะเป็นนิติบุคคล เป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น ๑.๒ กำหนดวัตถุประสงค์ ภาระหน้าที่ การแบ่งส่วนงาน หลักเกณฑ์ การจัดตั้ง การรวม และการยุบเลิกส่วนงาน การรับสถานศึกษาอื่นเข้าสมทบ และอำนาจหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ๑.๓ กำหนดให้มหาวิทยาลัยมีรายได้ส่วนหนึ่งจากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ และเงินกองทุนที่รัฐบาลหรือมหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้นและรายได้หรือผลประโยชน์จากกองทุน รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และให้อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมีผู้อุทิศให้หรือได้จากการซื้อหรือแลกเปลี่ยนไม่ถือเป็นที่ราชพัสดุและให้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัย ๑.๔ กำหนดให้มีสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วยนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการซึ่งเลือกจากผู้ดำรงตำแหน่งและคณาจารย์ประจำตามที่กำหนด กำหนดคุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่ง และให้สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๕ กำหนดให้มีสภาวิชาการ สภาคณาจารย์ สภาพนักงาน คณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย คณะกรรมการบริหารงานบุคคลมหาวิทยาลัย คณะกรรมการการเงินและทรัพย์สินมหาวิทยาลัย คณะกรรมการอุทธรณ์ ร้องทุกข์และพิทักษ์ระบบคุณธรรมประจำมหาวิทยาลัย และคณะกรรมการอื่นที่สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง โดยให้องค์ประกอบ ที่มาของกรรมการ อำนาจหน้าที่เป็นไปตามที่กำหนด และให้จำนวน คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง ตลอดจนการประชุมเป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย ๑.๖ กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย ประกอบด้วยอธิการบดีเป็นประธาน กรรมการโดยตำแหน่ง และให้คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๗ กำหนดให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด และรับผิดชอบการบริหารงานของมหาวิทยาลัย กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๘ กำหนดให้มหาวิทยาลัยอาจจัดตั้งวิทยาเขตซึ่งทำหน้าที่จัดการเรียนการสอนได้ ๑.๙ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา และการประเมินการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย ๑.๑๐ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการการบัญชีและการตรวจสอบทางบัญชีและการเงินของมหาวิทยาลัย ให้อธิการบดีเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และให้รัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่กำกับและดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของมหาวิทยาลัย ๑.๑๑ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณฯ การดำรงตำแหน่ง และคณะกรรมการต่าง ๆ ส่วนราชการ การโอนบรรดาข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ พนักงานของมหาวิทยาลัย ตำแหน่งทางวิชาการ ตลอดจนระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้มหาวิทยาลัยมีอำนาจในการกู้ยืมเงิน การให้กู้ยืมเงิน การลงทุน หรือการร่วมลงทุน เห็นควรกำหนดกรอบเพดานการกู้เงินให้ชัดเจน โดยอาจใช้เกณฑ์การกู้เงินต่องบประมาณประจำปี หรือใช้เกณฑ์ยอดหนี้คงค้างต่อปีในการกำหนดกรอบเพดานการกู้เงินตามที่เห็นสมควร ส่วนการกำหนดให้มหาวิทยาลัยนำเงินรายได้ที่ได้รับฝากกระทรวงการคลัง หากจะนำรายได้ไปฝากธนาคารพาณิชย์ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อน รวมทั้งควรกำหนดให้รัฐบาลจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเพิ่มเติมให้แก่มหาวิทยาลัยในกรณีรายได้ของมหาวิทยาลัยมีจำนวนไม่เพียงพอตามความจำเป็น เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานะการเงินการคลังของประเทศ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับพันธกิจในการพัฒนาศักยภาพมหาวิทยาลัยขอนแก่นสู่การเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำในระดับนานาชาติ การพัฒนาและวางระบบการบริหารการเงินการคลังที่เอื้อประโยชน์สูงสุดต่อการวางแผนการพัฒนาการศึกษาในระดับอุดมศึกษาให้สามารถรองรับการพัฒนาประเทศ และการติดตามประเมินผลเพื่อหาจุดที่คุ้มทุนในการจัดการศึกษาของแต่ละสาขาวิชา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
188 | การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ จังหวัดกาฬสินธุ์และขอนแก่น | นร01 | 07/05/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ จังหวัดกาฬสินธุ์ และขอนแก่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) และคณะ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๖ เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์/สภาพปัญหาของจังหวัด พร้อมทั้งติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ซึ่งจากการรับฟังบรรยายสรุปและติดตามผลการดำเนินโครงการในพื้นที่ทั้ง ๒ จังหวัด ด้านภัยแล้งพบว่า จังหวัดกาฬสินธุ์ และขอนแก่น ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาน้ำอุปโภค-บริโภค ตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการ ประชาชนไม่ประสบปัญหาการขาดแคลนแต่อย่างใด และได้มอบนโยบายเพื่อให้จังหวัดดำเนินการในเรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติม ดังนี้
๑. ให้จังหวัดให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะการเฝ้าระวังในสถานศึกษาอย่าให้เป็นแหล่งซื้อ-ขายโดยเด็ดขาด ๒. ให้จังหวัดดูแลประชาชนอย่าให้ขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค ๓. ให้จังหวัดพิจารณาและประเมินสินค้า OTOP ที่มีศักยภาพ เพื่อส่งเสริมให้ก้าวสู่การแข่งขันในระดับสากลต่อไป และให้พิจารณาด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ สร้างมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ยอมรับ มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพิ่มข้อมูลสินค้าและสถานที่ติดต่อให้ชัดเจนขึ้น รวมทั้งพิจารณาช่องทางการตลาดด้วย ทั้งนี้ อาจขอความร่วมมือและคำแนะนำจากสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ๔. การประชาสัมพันธ์โครงการ “๑ ทุน ๑ อำเภอ” ซึ่งในปี ๒๕๕๖ ขยายเป็นโครงการ “๒ ทุน ๑ อำเภอ” ขอให้จังหวัดช่วยประชาสัมพันธ์ให้นักเรียนในจังหวัดได้รับทราบต่อไปด้วย ๕. สำหรับจังหวัดขอนแก่นซึ่งกำหนดทิศทางการพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการศึกษา และศูนย์กลางทางการแพทย์ ขอให้จังหวัดรวบรวมสถิติข้อมูลนักเรียนนักศึกษาต่างชาติ และข้อมูลผู้เข้ารับการรักษาต่างชาติว่าเป็นผู้มีกำลังซื้อหรือไม่ เพื่อวางแผนและเตรียมขยายการรองรับด้านต่าง ๆ ในอนาคตให้เหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
189 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
190 | ผลการสำรวจโครงการชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน ตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย (มกราคม พ.ศ. 2556) | ทก | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจโครงการชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน ตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย (มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประชาชนร้อยละ ๑๘.๕ ระบุว่าปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดมีความรุนแรง-รุนแรงมากที่สุด และค่อนข้างรุนแรง ร้อยละ ๒๒.๓ ส่วนผู้ที่ระบุว่าไม่ค่อยรุนแรง-ไม่รุนแรง ร้อยละ ๕๙.๒ โดยจังหวัดสงขลามีการแพร่ระบาดยาเสพติดรุนแรง-รุนแรงมากที่สุด ร้อยละ ๓๘.๓ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ร้อยละ ๓๑.๐ เชียงใหม่ ร้อยละ ๒๖.๐ และสุราษฎร์ธานี ร้อยละ ๒๔.๓ ขณะที่จังหวัดอื่นมีประมาณร้อยละ ๑๐-๑๒ ๒. ประชาชนร้อยละ ๕๖.๐ ระบุว่าปัญหาด้านผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติดลดลงเมื่อเทียบกับก่อนดำเนินโครงการชุมชนอุ่นใจฯ ส่วนผู้ที่เห็นว่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๕.๔ และร้อยละ ๑๔.๖ เห็นว่าปัญหายังเท่าเดิม โดยจังหวัดที่มีปัญหาเพิ่มขึ้นพบในจังหวัดพิษณุโลกมากที่สุด ร้อยละ ๑๗.๒ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดสงขลา ร้อยละ ๑๓.๕ และชลบุรี ร้อยละ ๘.๘ ขณะที่จังหวัดอื่นมีประมาณร้อยละ ๒-๕ ๓. ประชาชนร้อยละ ๕๕.๔ ระบุว่าปัญหาด้านผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดมีลดลงเมื่อเทียบกับก่อนดำเนินโครงการชุมชนอุ่นใจฯ ส่วนผู้ที่เห็นว่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๖.๘ และร้อยละ ๑๕.๙ เห็นว่าปัญหายังเท่าเดิม โดยจังหวัดที่มีปัญหาเพิ่มขึ้นพบในจังหวัดสงขลามากที่สุด ร้อยละ ๑๙.๕ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก ร้อยละ ๑๕.๖ และชลบุรี ร้อยละ ๑๕.๔ ขณะที่จังหวัดอื่นมีไม่เกินร้อยละ ๕ ๔. ชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมายฯ ที่มีโรงเรียน/สถานศึกษา ประชาชนร้อยละ ๔๗.๒ ระบุว่า ปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดลดลงเมื่อเทียบกับก่อนการดำเนินโครงการชุมชนอุ่นใจฯ ส่วนผู้ที่ระบุว่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๔.๖ และร้อยละ ๑๐.๙ ระบุว่า ปัญหายังอยู่เท่าเดิม โดยจังหวัดที่มีปัญหาเพิ่มขึ้นพบในจังหวัดพิษณุโลกมากกว่าจังหวัดอื่น ร้อยละ ๑๑.๒ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ร้อยละ ๘.๒ และสงขลา ร้อยละ ๗.๙ ขณะที่จังหวัดอื่นมีไม่เกินร้อยละ ๖ ๕. ประชาชนร้อยละ ๘๕.๔ ระบุว่า มีกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดซึ่งในจำนวนนี้ ได้แก่ ผู้เคยเสพยาเสพติด ร้อยละ ๘๓.๔ ผู้ที่เคยถูกจับกุม/ผู้ต้องหา ร้อยละ ๕๒.๓ และผู้ที่เคยค้ายาเสพติด ร้อยละ ๔๐.๐ ๖. ประชาชนร้อยละ ๔๕.๗ ระบุว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐสนับสนุน/เข้าไปกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งในจำนวนนี้เกิดขึ้นมาก-มากที่สุด ร้อยละ ๙.๒ ปานกลาง ร้อยละ ๑๔.๖ และน้อย-น้อยที่สุด ร้อยละ ๒๑.๙ โดยเจ้าหน้าที่รัฐที่ดำเนินการดังกล่าวพบในจังหวัดสุราษฎร์ธานีมากที่สุด ร้อยละ ๖๐.๙ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดสงขลา ร้อยละ ๕๕.๖ ชลบุรี ร้อยละ ๕๕.๕ และพิษณุโลก ร้อยละ ๕๔.๔ ขณะที่จังหวัดอื่นมีประมาณร้อยละ ๓๕-๔๔ ๗. ประชาชนสูงถึงร้อยละ ๙๙.๗ มีความพึงพอใจต่อโครงการชุมชนอุ่นใจฯ โดยมีความพึงพอใจมาก-มากที่สุด ร้อยละ ๘๓.๙ ปานกลาง ร้อยละ ๑๒.๓ และน้อย ร้อยละ ๓.๕ โดยจังหวัดขอนแก่นและพระนครศรีอยุธยามีความพึงพอใจมาก-มากที่สุดสูงกว่าจังหวัดอื่น คือ ร้อยละ ๙๖.๓ และ ๙๐.๓ ตามลำดับ ขณะที่จังหวัดอื่นมีประมาณร้อยละ ๗๖-๘๘ ๘. ประชาชนร้อยละ ๙๙.๓ มีความเชื่อมั่นต่อโครงการชุมชนอุ่นใจฯ ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดในอนาคตได้ ซึ่งในจำนวนนี้มีความเชื่อมั่นมาก-มากที่สุด ร้อยละ ๗๙.๖ ปานกลาง ร้อยละ ๑๕.๕ และน้อย ร้อยละ ๔.๒ โดยจังหวัดขอนแก่นมีความเชื่อมั่นมาก-มากที่สุดสูงกว่าจังหวัดอื่น ร้อยละ ๙๕.๙ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร้อยละ ๘๓.๒ ชลบุรี ร้อยละ ๘๒.๔ และพิษณุโลก ร้อยละ ๘๐.๐ ขณะที่จังหวัดอื่นมีประมาณร้อยละ ๗๑-๗๘
|
|||||||||||||||||||||
191 | การช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งของศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม และการจัดทำโครงการ "ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง" ประจำปี 2556 ของกองทัพบก | กห | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งของศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม และการจัดทำโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ประจำปี ๒๕๕๖ ของกองทัพบก ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงกลาโหม โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทย และศูนย์บรรเทาสาธารณภัยเหล่าทัพ ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยและสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่ โดย ๑.๑ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยโรงงานวัตถุระเบิด กรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร แจกจ่ายน้ำ ๕๒๘,๐๐๐ ลิตร ให้แก่ราษฎรในพื้นที่จังหวัดชัยนาท ๑.๒ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทย โดยสำนักงานทหารพัฒนา หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา แจกจ่ายน้ำ ๒๔,๐๐๐ ลิตร ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสกลนคร สำนักงานทหารพัฒนาภาค ๒ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา แจกจ่ายน้ำ ๑,๒๑๙,๐๐๐ ลิตร ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี สกลนคร นครพนม และหนองคาย สำนักงานทหารพัฒนาภาค ๕ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา แจกจ่ายน้ำ ๖๔๘,๐๐๐ ลิตร ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิและอำนาจเจริญ ๑.๓ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ ๒ แจกจ่ายน้ำ ๑,๗๑๕,๐๐๐ ลิตร ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ นครราชสีมา ขอนแก่น กาฬสินธุ์ และนครพนม กองทัพภาคที่ ๓ แจกจ่ายน้ำ ๘๑๔,๐๐๐ ลิตร ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดพิจิตร อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และนครสวรรค์ รวมทั้งแจกจ่ายน้ำดื่ม ๓๐๐ ขวด ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดพิจิตร ๑.๔ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เปิดศูนย์ช่วยเหลือภัยแล้ง โดยจัดกำลังพล พร้อมรถบรรทุก ให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราด ๑.๕ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ ได้จัดกิจกรรมปล่อยคาราวานรถบรรทุกน้ำ และรถผลิตน้ำดื่มแบบลากจูง ณ ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ กองทัพอากาศ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งในพื้นที่รับผิดชอบ ๒. การดำเนินโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ประจำปี ๒๕๕๖ ๒.๑ หน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การประปาส่วนภูมิภาค และกองทัพบก ๒.๒ พื้นที่เป้าหมายของโครงการฯ ได้แก่ พื้นที่ห่างไกล และทุรกันดาร ที่ประสบภัยแล้งทั่วประเทศ โดยจ่ายน้ำในพื้นที่ที่เป็นศูนย์รวมของหมู่บ้าน เช่น วัด โรงเรียน สถานีอนามัย และสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ๒.๓ วิธีการดำเนินงาน ได้แก่ การสำรวจหาหมู่บ้านเป้าหมายที่คาดว่าจะประสบภัยแล้ง ซึ่งจังหวัด/อำเภอในพื้นที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ เครื่องมือ และอุปกรณ์ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งเพียงพอและทั่วถึง รวมทั้งการสำรวจบ่อน้ำบาดาลของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และจุดจ่ายน้ำของการประปาส่วนภูมิภาค ที่อยู่ใกล้เคียงหมู่บ้านเป้าหมาย เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการโครงการฯ ๒.๔ ระยะเวลาของโครงการฯ เดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||
192 | ขออนุมัติการเปิดสถานกงสุลและการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐเปรูประจำจังหวัดขอนแก่น (นายณัฐพล ประคุณศึกษาพันธ์) | กต | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเปิดสถานกงสุลสาธารณรัฐเปรูประจำจังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดขอนแก่น และแต่งตั้งนายณัฐพล ประคุณศึกษาพันธ์ เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐเปรูประจำจังหวัดขอนแก่น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
193 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ | ศป | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้สำนักงานศาลปกครองดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองเพชรบุรี จากเดิมวงเงิน ๒๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒๙๓,๙๙๗,๐๐๐ บาท โดยมีค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น จำนวน ๔๘,๙๗๗,๐๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๔ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๘ ๑.๒ เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองขอนแก่น จากเดิมวงเงิน ๒๖๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๓๑๗,๖๗๒,๐๐๐ บาท โดยมีค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น จำนวน ๕๒,๖๗๒,๐๐๐ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๕-๒๕๕๘ ๑.๓ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ ในคราวเดียวกันกับการขยายระยะเวลาผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๔ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๘ ๒. ในครั้งต่อ ๆ ไป หากสำนักงานศาลปกครองมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายการ วงเงิน และระยะเวลาหรือรายละเอียดของรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้สำนักงานศาลปกครองประสานกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดและเหตุผลความจำเป็นก่อนเริ่มดำเนินการใด ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
194 | รายงานสถิติการสอบธรรมสนามหลวง ปีการศึกษา 2554 | นร | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๒๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๕ รายงานสถิติการสอบธรรมสนามหลวง ปีการศึกษา ๒๕๕๔ ของนักธรรม และธรรมศึกษาชั้นตรี ชั้นโท และชั้นเอก ของสำนักเรียนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ในปีการศึกษา ๒๕๕๔ สูงสุด ๑๐ อันดับแรกของสำนักเรียนที่มีผู้สอบได้ ทั้งนี้ สูงสุดอันดับที่ ๑ ได้แก่ สำนักเรียนในส่วนกลาง โดยสำนักเรียนวัดราชบพพพิธ สถิตมหาสีมาราม มีผู้สอบนักธรรมได้มากที่สุด ๓๐๐ รูป และสำนักเรียนวัดยานนาวา มีผู้สอบธรรมศึกษาได้มากที่สุด ๑๔,๓๘๖ คน ส่วนสำนักเรียนในส่วนภูมิภาค มีสำนักเรียนคณะจังหวัดนครราชสีมา มีผู้สอบนักธรรมได้มากที่สุด ๓,๗๑๓ รูป และสำนักเรียนคณะจังหวัดขอนแก่น มีผู้สอบธรรมศึกษาได้มากที่สุด ๓๓,๑๘๙ คน
|
|||||||||||||||||||||
195 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย ครั้งที่ 11 | วท | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) ครั้งที่ ๑๑ (เมษายน-กันยายน ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สนับสนุนนักเรียนห้องเรียนวิทยาศาสตร์ของโครงการ วมว. จำนวน ๓ รุ่น (ปีการศึกษา ๒๕๕๓-๒๕๕๕) รวม ๑๙ ห้องเรียน ใน ๗ โรงเรียน ประกอบด้วย ๑.๑ โรงเรียนนำร่อง ๔ แห่ง โรงเรียนละ ๓ ห้องเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โรงเรียนดรุณสิกขาลัย ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ๑.๒ โรงเรียนที่ขยายเพิ่ม ๓ แห่ง ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จำนวน ๓ ห้องเรียน โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน-มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จำนวน ๒ ห้องเรียน และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์)-มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน ๒ ห้องเรียน ๒. การจัดกิจกรรมร่วมระหว่างมหาวิทยาลัย-โรงเรียนในโครงการ วมว. ๒.๑ กิจกรรม “2th SCiUs Forum” ระหว่างวันที่ ๑-๓ เมษายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ (รุ่นที่ ๓) นำเสนอผลงานทางวิชาการ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักเรียนโครงการ วมว. เกี่ยวกับการทำโครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๒.๒ กิจกรรม “ค่ายวิทยาศาสตร์สานสัมพันธ์ฉันท์ วมว. ครั้งที่ ๔” ระหว่างวันที่ ๑-๔ เมษายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ (รุ่นที่ ๔) ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งทำกิจกรรมเสริมต่าง ๆ ร่วมกันกับเพื่อนนักเรียน วมว. ต่างโรงเรียน ๒.๓ การตรวจเยี่ยมมหาวิทยาลัย-โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ วมว. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑ แห่ง คือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น-โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (ศึกษาศาสตร์) เพื่อติดตามการดำเนินงานห้องเรียนวิทยาศาสตร์โครงการ วมว. ๒.๔ การจัดนิทรรศการโครงการ วมว. เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการแก่นักเรียนกลุ่มเป้าหมายและผู้ปกครอง รวมทั้งประชาชนทั่วไปให้รับทราบถึงความเป็นมา วัตถุประสงค์ และเป้าหมายการดำเนินโครงการ ๒.๕ การศึกษาดูงานการจัดการศึกษาพิเศษสำหรับห้องเรียนวิทยาศาสตร์ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศไทย และมหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๙-๑๙ กันยายน ๒๕๕๕ ณ สถาบันการศึกษาทั้งระดับมหาวิทยาลัย วิทยาลัย และโรงเรียนที่เกี่ยวข้อง ประเทศสหรัฐอเมริกา ๓. การดำเนินการตามข้อ ๑-๒ ได้ใช้งบประมาณโครงการ วมว. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๑๑๕,๐๕๔,๙๓๒.๑๙ บาท และใช้เงินกันเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑,๘๘๑,๐๖๕.๙๒ บาท
|
|||||||||||||||||||||
196 | โครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู และขอนแก่น เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการใน สปป.ลาว ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู และขอนแก่น เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของ กฟผ. วงเงินลงทุนรวม ๑๒,๐๖๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ เนื่องจากโครงการดังกล่าวได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วและมีความจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรีได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการลุ่มน้ำโขง (Mekong River Commission : MRC) ตามกระบวนการข้อตกลงของประเทศสมาชิกในลุ่มแม่น้ำโขงแล้ว ๒. สำหรับการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าในช่วงจากชายแดนไทย-ลาว ถึงสถานีไฟฟ้าเลย ๒ ซึ่งมีความจำเป็นต้องพาดผ่านพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (ป่า C) เป็นระยะทางรวมประมาณ ๑๗ กิโลเมตร ให้ กฟผ. ดำเนินการได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environmental Examination : IEE) ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ๓. เนื่องจากเวียดนามและกัมพูชายังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม และต้องการให้มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติม ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในลุ่มแม่น้ำโขง และในขณะเดียวกันเพื่อให้สามารถดำเนินโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าฯ ได้แล้วเสร็จทันตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา จึงเห็นควรให้ กฟผ. พิจารณาปรับแผนการดำเนินงานโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าฯ ให้มีความกระชับมากขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
197 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 11/2555 ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2555) | นร04 | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.)สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำของประเทศไทย ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕-ปัจจุบัน จำนวน ๑๒ จังหวัด ๙๔ อำเภอ ๖๗๕ ตำบล ๗,๐๖๙ หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร อุดรธานี บึงกาฬ มุกดาหาร หนองคาย หนองบัวลำภู มหาสารคาม ยโสธร อำนาจเจริญ นครพนม และร้อยเอ็ด จังหวัดที่ประกาศให้พื้นที่บางแห่งเป็นพื้นที่ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ฝนทิ้งช่วง) ๑๒ จังหวัด ๙๓ อำเภอ ๖๗๔ ตำบล ๗,๐๖๕ หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร อุดรธานี บึงกาฬ หนองคาย หนองบัวลำภู มุกดาหาร ยโสธร มหาสารคาม อำนาจเจริญ นครพนม และร้อยเอ็ด ๒. รายงานสรุปผลการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ขาดแคลนน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ในเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ และร้อยเอ็ด ในระหว่างวันที่ ๗-๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ซึ่งประธาน กอบ.ได้ลงตรวจติดตามสถานการณ์ฯ และมีข้อสั่งการ ดังนี้ ๒.๑ ให้จัดเก็บน้ำผิวดินจากลำน้ำโดยทำฝายดินในลักษณะทำนบชั่วคราว (Check dam) หรือขุดคูชักน้ำจากลำน้ำหรืออ่างเก็บน้ำเข้าระบบประปา เช่น ที่หนองใหญ่ เทศบาลตำบลท่าคันโท อำเภอหนองกุงศรี อ่างเก็บน้ำวังลิ้นฟ้า อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ และห้วยสายบาตร อำเภอเมืองขอนแก่น เป็นต้น ๒.๒ ให้เจาะบ่อน้ำบาดาลในพื้นที่สาธารณะ เช่น โรงเรียน วัด โดยให้จังหวัดและหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาและกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเป็นผู้ดำเนินการ โดยใช้ข้อมูลของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๒.๓ ให้ความสำคัญกับน้ำกินน้ำใช้ จากนั้นจึงให้ใช้เพื่อประคับประคองพืชที่ปลูกแล้วหรือสำหรับการปลูกพืชระยะสั้น ๒.๔ โครงการเร่งด่วนต้องทำทันทีและให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน การใช้งบประมาณควรใช้ก่อนภัยแล้งจะเกิดขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันโดยไม่จำเป็นต้องประกาศพื้นที่ภัยแล้ง ๒.๕ ให้จัดตั้งศูนย์เครื่องจักรเครื่องมือเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง (depot) โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนสั่งการในการกระจายและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นเจ้าภาพรวบรวมเครื่องมือต่าง ๆ
|
|||||||||||||||||||||
198 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 10/2555 ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2555) | อื่นๆ | 02/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.)สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำของประเทศไทย ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕-ปัจจุบัน จำนวน ๗ จังหวัด ๔๗ อำเภอ ๓๐๕ ตำบล ๓,๐๔๑ หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ อำนาจเจริญ เลย สกลนคร อุดรธานี บึงกาฬ และหนองคาย (ฝนทิ้งช่วง) ๕ จังหวัด ๒๑ อำเภอ ๑๔๒ ตำบล ๑,๔๑๖ หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร อุดรธานี บึงกาฬ และหนองคาย ๒. รายงานการทำฝนหลวง หน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน ๕ หน่วยในจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา ร้อยเอ็ด และอุบลราชธานี ได้ปฎิบัติการทำฝนเทียมทั้งสิ้น ๓๘ ครั้ง เกิดฝนตกเล็กน้อยถึงปานกลาง ๒๗ ครั้ง ใน ๑๗ จังหวัด ระหว่างวันที่ ๒๑ ตุลาคม-๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ปริมาณฝนที่ตกมากที่สุดอยู่ที่ระดับ ๒๔.๙ มิลลิเมตร ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา รองลงมาที่ระดับ ๖.๙ มิลลิเมตร ที่อำเภอเมือง หนองบัวลำภู พบปัญหาอุปสรรคใน ๒ กรณี ได้แก่ กรณีไม่ขึ้นปฏิบัติการ เนื่องจากมวลอากาศไม่ลอยตัว ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ และลมแรง และกรณีขึ้นปฏิบัติการแล้วไม่เกิดฝน เนื่องจากกลุ่มเมฆยุบ สลาย หรือไม่ก่อตัว
|
|||||||||||||||||||||
199 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลโคกสำราญ อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลโคกสำราญ อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลโคกสำราญ อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
200 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลป่ามะนาว อำเภอบ้านฝาง ตำบลคำแคน ตำบลท่าศาลา ตำบลโพนเพ็ก ตำบลนาข่า ตำบลนางาม ตำบลหนองแปน อำเภอมัญจาคีรี และตำบลพระยืน อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลป่ามะนาว อำเภอบ้านฝาง ตำบลคำแคน ตำบลท่าศาลา ตำบลโพนเพ็ก ตำบลนาข่า ตำบลนางาม ตำบลหนองแปน อำเภอมัญจาคีรี และตำบลพระยืน อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลป่ามะนาว อำเภอบ้านฝาง ตำบลคำแคน ตำบลท่าศาลา ตำบลโพนเพ็ก ตำบลนาข่า ตำบลนางาม ตำบลหนองแปน อำเภอมัญจาคีรี และตำบลพระยืน อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
.....