ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 73 จากทั้งหมด 336 หน้า แสดงรายการที่ 1441 - 1460 จากข้อมูลทั้งหมด 6703 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1441 | ผลการประชุมหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับ World Economic Forum | พณ | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับ World Economic Forum (WEF) เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ณ สมาพันธรัฐสวิส โดยมี Professor Klaus Schwab ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของ WEF รวมทั้งหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ ของ WEF ซึ่งเข้าร่วมประชุมหารือในด้านความสามารถทางการแข่งขันโดยรวม และการยกระดับมูลค่าและตลาดสินค้าเกษตรและอาหาร ประกอบด้วย ๓ หัวข้อ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. จุดอ่อนในการประเมินและจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันของ WEF และแนวทางการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของไทย โดยไทยให้ข้อสังเกตว่าข้อมูล Hard Data ที่ WEF ใช้ในการประเมินอันดับสามารถพัฒนาให้มีคุณภาพมากขึ้นได้ และไทยจะดำเนินการ อาทิ ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อติดตามและตรวจสอบข้อมูลที่หน่วยงานภาครัฐไทยส่งไปยังองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งเน้นย้ำกับภาคเอกชนถึงประโยชน์ต่อธุรกิจเองที่จะได้จากการตอบแบบสอบถามและอันดับความสามารถทางการแข่งขันที่ดีขึ้น ๒. ความร่วมมือเพื่อยกระดับมูลค่าและตลาดสินค้าเกษตรและอาหาร ไทยให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตรและยกระดับรายได้อย่างทั่วถึง ซึ่งสอดรับกับโครงการ Grow Asia ภายใต้แนวคิด New Vision for Agriculture ของ WEF และจากความสนใจของไทย WEF จะประสานหน่วยงานที่ดำเนินโครงการ Grow Asia และสถาบันในเครือข่าย (Knowledge Partners) ด้านการเกษตรและอาหาร เพื่อหาทางสนับสนุนไทยในการพัฒนานวัตกรรมและตลาดสินค้าเกษตรมูลค่าเพิ่มสูง โดยเริ่มจากข้าวและมันสำปะหลัง และไทยได้เสนอให้ทำโครงการติดตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก เพื่อสนับสนุนนโยบายการใช้ข้อมูลตลาดนำการผลิตของรัฐบาล ๓. การเพิ่มบทบาทของไทยในเวที WEF ภาครัฐของไทยยังไม่มีการติดต่อกับ WEF อย่างเป็นทางการ ทำให้บทบาทของไทยใน WEF ที่ผ่านมาค่อนข้างน้อยและจำกัดโอกาสของไทยในการกำหนดทิศทางและการเชื่อมโยงการค้าและการผลิตในภูมิภาค รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายภาคเอกชนและผู้เชี่ยวชาญของ WEF โดย WEF เสนอให้ไทยระบุประเด็นที่ไทยสนใจ และจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกัน เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ให้เป็นทางการและใกล้ชิดมากขึ้น และเชิญชวนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมเป็น Trustee ในกลุ่ม Shaping the Future of Production ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 1442 | มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมสินค้าท้องถิ่นไทย (OTOP Extravaganza) | กค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมสินค้าท้องถิ่นไทย โดยการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการซื้อสินค้า OTOP ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท ๑.๒ อนุมัติร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้า OTOP จากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในระหว่างวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ๑.๓ มอบหมายการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประชาสัมพันธ์แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ๑.๔ มอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดงานแสดงสินค้า OTOP ในช่วงเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ ๑.๕ มอบหมายกรมสรรพากรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ OTOP เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายสินค้าให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวมีสิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund for Tourists : VRT) ๒. ให้ส่งร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการพัฒนาชุมชน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ภาคประชาชนและผู้ประกอบการทราบเพื่อให้เข้าใจและสามารถใช้ประโยชน์จากมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมสินค้าท้องถิ่นไทยโดยเร็ว และให้กระทรวงการคลังติดตามประเมินผลการดำเนินมาตรการดังกล่าวเพื่อตรวจสอบความคุ้มค่าของมาตรการฯ ทั้งในมิติทางเศรษฐกิจและสังคม โดยให้รายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ รวมทั้งเห็นควรให้กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมให้ท้องถิ่นและชุมชนต่าง ๆ จดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในส่วนของภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาสินค้า การปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1443 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ กรณีศึกษาการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ | สว | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ กรณีศึกษาการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ของคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พร้อมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้ศึกษาถึงความเป็นมาและมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ตลอดจนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เช่น ปัญหาการกำหนดคำนิยาม ปัญหาเกี่ยวกับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน และโบราณวัตถุ หรือศิลปวัตถุ เป็นต้น โดยมีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเพื่อให้การใช้บังคับพระราชบัญญัติฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการเตรียมความพร้อมในด้านกฎหมายที่เกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของโลก สถานการณ์ของบ้านเมือง อนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นภาคี ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าวและสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1444 | ผลการเยือนประเทศญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | อื่นๆ | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนประเทศญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และคณะ ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙-๒ มิถุนายน ๒๕๕๙ ณ กรุงโตเกียว โดยได้เข้าเยี่ยมคารวะและพบปะหารือกับเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น (นายโยชิฮิเดะ ซูกะ) และที่ปรึกษาพิเศษนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น (นายฮิโรโตะ อิซุมิ) และได้กล่าวปาฐกถาเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยในงาน Nikkei Forum 22nd International Conference on the Future of Asia (2016) ซึ่งมีนักธุรกิจและนักลงทุนญี่ปุ่นเข้าร่วมงานกว่า ๖๒๐ คน หรือมากกว่า ๓๐๐ บริษัท เชื่อมั่นในนโยบายเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลไทย และได้หารือกับนักลงทุนรายใหญ่ด้านการลงทุน ถือเป็นการชักจูงและส่งเสริมการลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้งนี้ ผลการเยือนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมระหว่างไทยกับญี่ปุ่น จึงมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ได้แก่ การจดสิทธิบัตร อุปสรรคจากข้อกำหนดในการใช้ประโยชน์ที่ดินในผังเมืองรวมจังหวัดปราจีนบุรี นโยบายและมาตรการการส่งเสริมการลงทุน สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกิจการที่เข้าข่าย Super Cluster ตามมาตรการของกระทรวงการคลัง การพัฒนาแรงงานให้ตรงความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมในอุตสาหกรรมอาหาร และการส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพของไทย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นหรือมาตรการใดที่หน่วยงานอยู่ระหว่างดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรชี้แจงและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการสามารถรับทราบข้อมูลและการดำเนินงานของหน่วยงานโดยทั่วถึง สำหรับประเด็นอุปสรรคจากข้อกำหนดในการใช้ประโยชน์ที่ดินในผังเมืองรวมจังหวัดปราจีนบุรี กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย และกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ควรร่วมกันหารือเพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการผ่อนปรนข้อกำหนดดังกล่าว ซึ่งควรคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมประกอบกันด้วย เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการอำนวยความสะดวกต่อการขออนุญาตขยายกิจการโรงงานต่อไป นอกจากนี้ ในส่วนนโยบายส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ โครงการ Food Innopolis และมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนควรประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมในเรื่องแผนระยะเวลาการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ในปัจจุบันและระยะต่อไปที่ชัดเจน รวมถึงระบุกิจการเป้าหมายที่ไทยมีความต้องการให้มีการลงทุนมากขึ้น เพื่อส่งเสริมการลงทุนในกิจการที่สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1445 | รายงานผลการพิจารณาตามรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การตั้งโรงคัดบรรจุผลไม้ (ล้ง) ของผู้ประกอบการชาวต่างชาติในจังหวัดจันทบุรี | พณ | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การตั้งโรงคัดบรรจุผลไม้ (ล้ง) ของผู้ประกอบการชาวต่างชาติในจังหวัดจันทบุรี ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ในประเด็นต่าง ๆ เช่น เรื่องปัญหาการเข้ามาทำงานของคนต่างด้าวในประเทศไทยโดยไม่ได้รับใบอนุญาตทำงาน (Work permit) ซึ่งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้บังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติตรวจคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ อย่างเคร่งครัดกับทุกสัญชาติด้วยแล้ว สำหรับประเด็นการส่งเสริมการตลาด กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีแผนการจัดงานส่งเสริมการขยายตลาดสินค้าเกษตรและอาหารไปยังต่างประเทศใหม่ ๆ นอกจากตลาดจีน รวมถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มและทำการซื้อขายแบบ On-line และกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการสนับสนุนการสร้างห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ โดยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมแปรรูปผลไม้ในประเทศ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 1446 | ร่างกฎกระทรวงซึ่งจะต้องออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 2 ฉบับ | พณ | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเครื่องหมายการค้า พ.ศ. .... จำนวน ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า การดำเนินการเกี่ยวกับทะเบียนเครื่องหมายการค้าในขั้นตอนต่าง ๆ และการปรับปรุงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการพิจารณาปรับข้อความในข้อ ๒ ของร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็น “ในกรณีที่มีการตั้งตัวแทนหรือตั้งผู้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือได้กระทำในต่างประเทศ จะต้องมีการรับรองลายมือชื่อโดยหัวหน้าสำนักงานสังกัดกระทรวงพาณิชย์ซึ่งประจำอยู่ ณ ประเทศที่ผู้ตั้งตัวแทนหรือตั้งผู้รับมอบอำนาจมีถิ่นที่อยู่ หรือโดยพนักงานกงสุลของสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ที่ประจำอยู่ ณ ประเทศที่ผู้ตั้งตัวแทนหรือผู้รับมอบอำนาจมีถิ่นที่อยู่” เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินงานและไม่ขัดต่ออำนาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาเร่งรัดปรับปรุงกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อยกระดับสถานะของประเทศไทยจากประเทศคู่ค้าให้สูงขึ้น |
|||||||||||||||||||||
| 1447 | ขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมและขอความเห็นชอบจ่ายเงินกู้และขยายระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้ตามโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2558/59 | กค | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนค่าเช่าและค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกในยุ้งฉางผู้กู้ และสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการระบายข้าวเปลือกจากยุ้งฉางผู้กู้ถึงจุดส่งมอบเพื่อเป็นค่าขนย้ายข้าวเปลือกของเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร ให้แก่เกษตรกรและสหกรณ์การเกษตรที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๘/๕๙ กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๗๐๘.๗๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบการจ่ายเงินกู้เพิ่มเติมให้กับเกษตรกร จำนวน ๕๙ ราย ซึ่งได้จัดทำสัญญาเงินกู้ไว้ก่อนวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และขยายระยะเวลาในการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๘/๕๙ ออกไปครั้งละ ๑ เดือน ไม่เกิน ๓ ครั้ง ๒. ให้ ธ.ก.ส. พิจารณาการขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ให้แก่เกษตรกรเป็นราย ๆ ไป เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและลดภาระการขาดทุนของโครงการ โดยให้อยู่ภายในกรอบระยะเวลาและข้อกำหนดตามที่ ธ.ก.ส. เสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนเวลาดำเนินการที่ชัดเจน การประชาสัมพันธ์และเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ การจัดหากลไกการบริหารจัดการเพื่อให้สามารถมีช่องทางระบายข้าวในสต็อกของสหกรณ์การเกษตรและเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการเชื่อมโยงการจัดหาตลาดภายในและต่างประเทศควบคู่ไปกับการให้สินเชื่อเพื่อการชะลอขายข้าวเปลือก และนำประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นไปวางแผนป้องกันในการดำเนินโครงการปีต่อไป การศึกษาแนวทางการเชื่อมโยงการใช้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวและโครงการอื่น ๆ ที่ช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการผลักดันการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (โซนนิ่งเกษตร) โดยเฉพาะการส่งเสริมการปลูกข้าวในพื้นที่ที่เหมาะสม ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมเป็นสินค้าเกษตรอื่นให้สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น และนำไปสู่การปรับโครงสร้างการผลิตการเกษตรได้อย่างแท้จริง รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูลเกษตรกรและพื้นที่การเพาะปลูกจะต้องมีการจัดทำบัญชีและทะเบียนคุมอย่างถูกต้อง ไม่รั่วไหล โดยการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ในกรณีการจ่ายเงินกู้เพิ่มเติมให้กับเกษตรกร จำนวน ๕๙ ราย ให้ ธ.ก.ส. ชี้แจงและประสานงานกับผู้ปฏิบัติงานถึงขั้นตอนในการดำเนินโครงการให้ชัดเจนเพื่อป้องกันมิให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการปฏิบัติงานที่อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรอีกในอนาคต ๕. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ชี้แจงเหตุผลในการปรับเพิ่มอัตราค่าเช่าและค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกในยุ้งฉางผู้กู้ จากอัตรา ๑,๐๐๐ บาท/ตัน ในปีการผลิต ๒๕๕๘/๒๕๕๙ เป็น ๑,๕๐๐ บาท/ตัน ในปีการผลิต ๒๕๕๙/๒๕๖๐ ให้คณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อให้การสื่อสารต่อสาธารณชนและเกษตรกรของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างมีเอกภาพ |
|||||||||||||||||||||
| 1448 | แผนการใช้จ่ายเงินต้นของกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศปีงบประมาณ 2559 | พณ | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนการใช้จ่ายเงินต้นของกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ปีงบประมาณ ๒๕๕๙ เพื่อใช้ดำเนินงานตามนโยบายเร่งรัดผลักดันการค้าระหว่างประเทศในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณ ๒๕๕๙ จำนวน ๑๙๑ โครงการ วงเงินรวม ๗๘๘,๐๔๑,๒๒๗.๓๐ บาท ประกอบด้วยโครงการส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs Pro-active) แผนงานเร่งรัดขยายตลาดเชิงรุก แผนงานเจรจาเชิงรุกเพื่อเปิดและขยายตลาด แผนงานปฏิรูปโครงสร้างการส่งออก และแผนงานตามนโยบายและมาตรการเร่งด่วน (งบฉุกเฉิน) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการนำเงินต้นของกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมาใช้จ่ายอาจส่งผลกระทบให้กองทุนมีเงินต้นทุนลดน้อยลง จึงควรมีการวางแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ การใช้จ่ายเงินภายใต้กองทุนฯ จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดที่ทางราชการจะได้รับ และบริหารจัดการเงินกองทุนฯ ให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน เพื่อให้กองทุนฯ มีรายได้ที่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายและไม่เป็นภาระต่องบประมาณรายจ่าย โดยการบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานและโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี รวมทั้งควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงการใช้เงินของกองทุนฯ ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1449 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนเมษายน ปี 2559 | พณ | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนเมษายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การส่งออกของไทยเดือนเมษายน ๒๕๕๙ กลับมาหดตัวตามกระแสการค้าโลกที่ยังมีความเปราะบาง เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกยังไม่มีความชัดเจน ประกอบกับปัจจัยด้านราคาสินค้าเกษตรและน้ำมันที่หดตัวสูงที่เป็นแรงกดดันให้มูลค่าขยายตัวต่ำกว่าปริมาณส่งออกที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การส่งออกของไทยมีสถานการณ์ที่ดีกว่าประเทศอื่น ๆ มาก แสดงว่าไทยยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาด (Market Share) ในตลาดและสินค้าส่งออกสำคัญไว้ได้ ๒. มูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกเดือนเมษายน ๒๕๕๙ มีมูลค่า ๑๕,๕๔๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๘.๐๐ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY) แต่หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ มูลค่าการส่งออกเดือนเมษายน ๒๕๕๙ จะหดตัวที่ร้อยละ ๖.๒ (YoY) ในขณะที่การนำเข้าเดือนเมษายน ๒๕๕๙ มีมูลค่า ๑๔,๘๒๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑๔.๙๒ (YoY) โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๒.๘ (YoY) ตามทิศทางของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยข้าวหดตัวถึงร้อยละ ๑๑.๕ (YoY) เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (๑๘.๕) ทูน่ากระป๋อง (๑๓.๗) น้ำตาลทราย (๑๕.๘) หดตัวสูง ซึ่งเป็นผลจากการหดตัวด้านราคาเป็นสำคัญ ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวที่ร้อยละ ๗.๘ จากการส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกล และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ที่หดตัวร้อยละ ๙.๗ (YoY) เท่ากัน รวมทั้งมูลค่าส่งออกสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันยังคงหดตัวสูงต่อเนื่องถึงร้อยละ ๒๔.๘ ๓. แนวทางการขับเคลื่อนการส่งออกของไทย ปี ๒๕๕๙ ได้แก่ การขยายการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะตลาดอินโดจีนหรือ CLMV การเร่งรัดขยายตลาดส่งออกเชิงรุก โดยใช้ความต้องการตลาดเป็นตัวนำการผลิต (Demand Driven) การส่งเสริมการค้าบริการ (Trade in Services) การส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมทั้งการผลักดันและแก้ปัญหาทางการค้าร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
|
|||||||||||||||||||||
| 1450 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง มาตรการส่งเสริมพาณิชยนาวีของประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณามาตรการส่งเสริมพาณิชยนาวีของประเทศไทย สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง มาตรการส่งเสริมพาณิชยนาวีของประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณามาตรการส่งเสริมพาณิชยนาวีของประเทศไทย สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาในเชิงนโยบายเกี่ยวกับกิจการต่าง ๆ ได้แก่ กิจการกองเรือพาณิชย์ไทย กิจการท่าเรือ กิจการอู่เรือ บุคลากรพาณิชยนาวี กิจการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการพาณิชยนาวี และการแก้ไขปัญหาในทางกฎหมาย (พระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวี พ.ศ. ๒๕๒๑) ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาศึกษาแนวทางในการแก้ไขปัญหา อุปสรรค รวมถึงการกำหนดมาตรการส่งเสริม สนับสนุนการพาณิชยนาวีของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการรักษาผลประโยชน์และรายได้ของประเทศ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1451 | มาตรการกำกับดูแลสินค้าสำคัญ 205 รายการ และบริการ 20 รายการ เดือนมิถุนายน 2559 | พณ | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานมาตรการกำกับดูแลสินค้าสำคัญ ๒๐๕ รายการ และบริการ ๒๐ รายการ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ ซึ่งได้มีการประเมินและคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ด้านราคาและปริมาณของสินค้าและบริการ โดยได้ปรับเปลี่ยนการจัดระดับความสำคัญของสินค้า ๓ กลุ่ม เป็นดังนี้
๑. กลุ่ม Sensitive List (SL) หรือสินค้าและบริการมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ ติดตามราคาและภาวะเป็นประจำทุกวัน จากเดิม ๓๐ รายการ เป็น ๒๘ รายการ โดยปรับเพิ่มขึ้นจาก Priority Watch List (PWL) ๑ รายการ ได้แก่ น้ำตาลทราย และปรับลดลงเป็น Priority Watch List (PWL) ๓ รายการ ได้แก่ สบู่ แชมพู และผงซักฟอก ๒. กลุ่ม Priority Watch List (PWL) หรือสินค้าและบริการที่ติดตามราคาและภาวะอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง จากเดิม ๕ รายการ เป็น ๘ รายการ โดยปรับเพิ่มขึ้นเป็น Sensitive List (SL) ๑ รายการ ได้แก่ น้ำตาลทราย และปรับเพิ่มขึ้นจาก Watch List (WL) ๑ รายการ ได้แก่ ท่อพีวีซี และปรับลดลงจาก Sensitive List (SL) ๓ รายการ ได้แก่ สบู่ แชมพู และผงซักฟอก ๓. กลุ่ม Watch List (WL) หรือสินค้าและบริการที่ติดตามราคาและภาวะอย่างใกล้ชิดเป็นประจำทุกปักษ์ จากเดิม ๑๗๐ รายการ เป็น ๑๖๙ รายการ โดยปรับเพิ่มขึ้นเป็น Priority Watch List (PWL) ๑ รายการ ได้แก่ ท่อพีวีซี
|
|||||||||||||||||||||
| 1452 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ 22 | พณ | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ ๒๒ ผลการหารือทวิภาคี และการดำเนินการต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ปี ๒๐๑๖ และมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ ๒๒ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ เมืองอาเรกีปา สาธารณรัฐเปรู มีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ได้แก่ การจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก การเปิดเสรีการค้าและการลงทุนภายใต้เป้าหมายโบกอร์ในปี ๒๐๒๐ และแผนการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าบริการ และ การส่งเสริม SMEs เข้าสู่ตลาดโลก ๑.๒ การหารือทวิภาคี ได้มีการหารือทวิภาคีกับผู้แทน ๖ เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ สาธารณรัฐเปรู ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สาธารณรัฐเกาหลี และญี่ปุ่น เกี่ยวกับความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการเตรียมการของไทย และกับสหพันธรัฐรัสเซียในประเด็นความร่วมมือทางการค้า ๑.๓ การดำเนินการต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ปี ๒๐๑๖ มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยไปสู่ตลาดโลก การพัฒนาทุนมนุษย์ และการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการให้แข็งแกร่ง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการให้ไทยเข้าร่วมการเจรจาลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมในกรอบองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ก็ต่อเมื่อเป็นการเจรจาที่ให้ประเทศสมาชิกทั้งหมดของ WTO เข้าร่วมเท่านั้น และไทยควรสงวนสิทธิ์ในการจัดเก็บภาษีศุลกากรถาวรสำหรับการค้าผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากยังมีความไม่ชัดเจนทั้งคำจำกัดความและแนวทางการดำเนินการในการส่งเสริมการค้าดิจิทัลและการค้าผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว อีกทั้งประเด็นดังกล่าวยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ รวมทั้งการปรับปรุงข้อมูลตามตารางสรุปประเด็นสำคัญและหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1453 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายที่ 2253 (ค.ศ. 2015) และ 2255 (ค.ศ. 2015) | กต | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบและรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย ที่ ๒๒๕๓ (ค.ศ. ๒๐๑๕) เป็นการขยายความครอบคลุมในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายให้รวมถึงกลุ่ม ISIL (Da’ esh) และข้อมติ UNSC ที่ ๒๒๕๕ (ค.ศ. ๒๐๑๕) เป็นการกำหนดให้รัฐสมาชิกปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดในข้อมติ UNSC ที่ ๑๙๘๘ (ค.ศ. ๒๐๑๑) กับกลุ่ม Taliban ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการผู้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานอัยการสูงสุดถือปฏิบัติ และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติ (United Nations : UN) ต่อไป นอกจากนี้ หากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว ให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศทราบต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1454 | ผลการประชุม CLMVT Forum 2016 : Towards a Shared Prosperity | พณ | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม CLMVT Forum 2016 : Towards a Shared Prosperity ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร โดยเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานเปิดการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การส่งเสริมความเชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่าของภูมิภาคและของโลก ประเทศในภูมิภาคควรร่วมมือกันส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์ของแต่ละประเทศเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการต่อรองในตลาดโลก และเพิ่มความร่วมมือผ่านการแบ่งปันประสบการณ์เรื่องสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication:GI) สินค้า OTOP และหัตถกรรม เป็นต้น ๒. การเพิ่มความเชื่อมโยง (connectivity) ส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะในระดับจังหวัด/ภูมิภาค โดยตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหาทางการค้าร่วมกัน ๓. การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน การร่วมมือกันในการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันร่วมกัน เช่น ส่งเสริม startups และ SME ให้เข้าสู่แหล่งเงินทุน นักลงทุน และสร้าง eco-system และการเชื่อมโยงมาตรฐานและระบบการรับรองคุณภาพให้สอดคล้องกัน ๔. การแบ่งปันกัน และการทำงานร่วมกัน (Sharing and Collaboration) ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจการค้ารอบด้าน และส่งเสริมความร่วมมือในทุกระดับ ระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาล ระหว่างภาคเอกชนและความร่วมมือระดับท้องถิ่น และความเชื่อมโยงระหว่างผู้คน และสนับสนุนการท่องเที่ยวด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 1455 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. ในช่วงที่ผ่านมาเกิดฝนตกในพื้นที่ต่าง ๆ ในหลายจังหวัด และคาดว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ลานีญาในระยะต่อไปนั้น เพื่อเป็นการเตรียมการป้องกันและแก้ไขเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น จึงให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยร่วมกันพิจารณาดำเนินการกักเก็บน้ำเพื่อสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง รวมทั้งจัดทำแผนการระบายน้ำ เช่น จัดทำแก้มลิงเพิ่มเติม โดยหากมีความจำเป็นต้องผันน้ำเข้าไปในพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร ให้ประสานเกษตรกรล่วงหน้าและพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินการชดเชยค่าเสียหายให้แก่เกษตรกรด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) จัดทำแผนการระบายน้ำเมื่อเกิดฝนตกหนักในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยไม่ให้เกิดกรณีมีน้ำท่วมขังรอการระบายเป็นระยะเวลานาน โดยให้เน้นพื้นที่ที่ประสบปัญหาในฤดูฝนที่ผ่านมาเป็นสำคัญ ๑.๓ ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทยร่วมกันอำนวยความสะดวกและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่สัญจรทางถนนกรณีเกิดเหตุน้ำท่วม เช่น การนำหน่วยทหารและนักศึกษาอาชีวะเพื่ออำนวยความสะดวกในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสีย ๒. ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับการปฏิบัติงานที่มุ่งให้เกิดผลลัพธ์ที่มีคุณภาพมากกว่าปริมาณงาน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและคำนึงถึงความพึงพอใจของประชาชนเป็นหลัก ทั้งนี้ หากภารกิจใดมีความจำเป็นต้องใช้บุคลากรเพิ่มเติมให้พิจารณาใช้วิธีการจ้างพนักงานจากภายนอกองค์กร (outsource) เพื่อช่วยปฏิบัติงานตามความเหมาะสม โดยให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้ทุกส่วนราชการนำข้อเสนอประเด็นตามแผนการปฏิรูปที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศได้ส่งให้รัฐบาลแล้ว จำนวน ๖๗ เรื่อง ในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาและเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่มีความสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปประเทศและกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล โดยให้มอบหมายเจ้าหน้าที่รับผิดชอบติดตามการดำเนินการในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศที่ผ่านมาและเรื่องที่จะดำเนินการเพื่อให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๆ ๑๕ วัน ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรมการประกวดเมืองสิ่งแวดล้อมที่มีการพัฒนาอย่างสมดุล โดยให้จังหวัด อำเภอ ตำบล หรือท้องถิ่นที่สนใจนำเสนอการดำเนินการบริหารจัดการในชุมชนของตนเองให้เป็นเมืองที่มีการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมที่มีความสมดุลในมิติต่าง ๆ เช่น น้ำ ป่า อุตสาหกรรม การกำจัดขยะ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน ๕. ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายให้เพิ่มการสัญจรทางน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรทางบก รวมทั้งเพื่อเป็นการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมโดยเฉพาะในพื้นที่ชั้นในกรุงเทพมหานคร นั้น ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีการเดินเรือในเส้นทางคลองผดุงกรุงเกษม โดยในระยะแรกให้นำเรือที่มีอยู่แล้วมาให้บริการแก่ประชาชน และร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีการค้าขายทางเรือในเส้นทางคลองผดุงกรุงเกษมด้วย ๖. ให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีการติดตามตรวจสอบสินค้าประเภทยา เครื่องสำอาง อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มีการโฆษณาขายสินค้าตามรายการโทรทัศน์หรือสื่อออนไลน์ หากพบว่ามีการดำเนินการที่ผิดกฎหมายให้พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ๗. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุหรือสังคมสูงวัยของประเทศไทยให้ครอบคลุมในทุกมิติ โดยให้มีหน่วยงานรับผิดชอบและมีความชัดเจนในเรื่องแหล่งที่มาของงบประมาณที่ใช้ด้วย ๘. ตามที่กระทรวงยุติธรรมได้เสนอผลการพิจารณาเกี่ยวกับกรณีการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่อคณะรัฐมนตรี นั้น ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการสร้างความเข้าใจในประเด็นข้อกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ให้รวมถึงกรณีประเทศอื่น ๆ เช่น ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 1456 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การระหว่างประเทศและการประชุมระหว่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. .... | กต | 14/06/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การระหว่างประเทศและการประชุมระหว่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้มีกฎหมายคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การระหว่างประเทศและการประชุมระหว่างประเทศในประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นว่าบทบัญญัติบางประการอาจไม่สอดคล้องกับข้อบทที่ทำความตกลงไว้ เห็นควรให้ตัดร่างมาตรา ๗ ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหารือกระทรวงการต่างประเทศเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การฯ เนื่องจากปัจจุบันได้ปฏิบัติตามแนวทางนี้อยู่แล้ว เห็นควรให้ตัดมาตราที่เกี่ยวข้องกับการยกเว้นภาษีออก เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๙ ได้วางแนวทางว่าเรื่องใดไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรไม่ให้มีบทบัญญัติกำหนดยกเว้นภาษีอากรตามกฎหมายว่าด้วยภาษีอากร รวมทั้งควรมีการกำหนดขอบเขตและนิยามในเรื่องข้อกำกัดด้านการเงินและการแลกเปลี่ยนเงินตราให้ชัดเจน และเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีความซับซ้อนควรพิจารณาในรายละเอียดอย่างรอบคอบ โดยต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศและพันธกรณีระหว่างประเทศของไทยด้วย สำหรับในส่วนของการใช้ถ้อยคำเกี่ยวกับการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันในเรื่องการยกเว้นจากการควบคุมหรือกำกัดด้านการเงินตามร่างพระราชบัญญัติฯ มีขอบเขตกว้างกว่าเอกสิทธิ์การยกเว้นจากการควบคุมหรือกำกัดเงินตรา (Currency) ที่รัฐบาลไทยเคยให้แก่องค์การระหว่างประเทศ ที่ผ่านมา ทำให้อาจยังไม่มีความชัดเจนว่ามีขอบเขตกว้างเพียงใด และอาจเกี่ยวข้องกับการยกเว้นการดำเนินการภายใต้หน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐ และนอกจากจะกำหนดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยหรือหน่วยงานของรัฐ กับรัฐบาลต่างประเทศ หน่วยงานของรัฐต่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศหรือองค์การอื่นที่จัดตั้งตามหนังสือสัญญา ต้องหารือกับกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ควรกำหนดให้หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบดังกล่าวหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๓. ให้เชิญกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมชี้แจงในขั้นตอนการตรวจพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1457 | ผลการดำเนินโครงการสร้างเครือข่ายระดับผู้นำภาครัฐและเอกชนไทย - กัมพูชา | พณ | 14/06/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินโครงการสร้างเครือข่ายระดับผู้นำภาครัฐและเอกชนไทย-กัมพูชา โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินโครงการสร้างเครือข่ายระดับผู้นำภาครัฐและเอกชนไทย-กัมพูชา และได้เชิญผู้บริหารระดับสูงภาครัฐและนักธุรกิจชั้นนำของกัมพูชาเดินทางเยือนไทย ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และจัดกิจกรรมให้ได้พบกับนักธุรกิจชั้นนำของไทยเพื่อการสร้างเครือข่ายที่เมืองพัทยาและกรุงเทพมหานคร โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธานเปิดงานและกล่าวสุนทรพจน์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา กล่าวสุนทรพจน์ ซึ่งโครงการนี้ เปิดโอกาสให้กลุ่มชนชั้นนำของไทยและกัมพูชาได้พบปะสร้างสัมพันธ์ผ่านกิจกรรมเสริมสร้างเครือข่ายธุรกิจในบรรยากาศแบบเป็นกันเองและมิตรภาพที่เกิดขึ้นจากการทำกิจกรรมร่วมกัน รวมทั้งได้พูดคุยในเรื่องที่ชมชอบเหมือนกัน ส่งผลเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจ ความไว้วางใจ (trust) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะต่อยอดสู่การขยายผลทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ไทย-กัมพูชาได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังช่วยปรับทัศนคติของผู้ประกอบการไทยต่อนักธุรกิจกัมพูชา และรับรู้เกี่ยวกับศักยภาพของกลุ่มมหาเศรษฐีกัมพูชา เพื่อการจับคู่ทางการค้าและการลงทุนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 1458 | มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2559/60 ด้านการตลาด | พณ | 14/06/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ด้านการตลาด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๓ โครงการ วงเงิน ๕,๘๒๔.๔๗ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ โครงการสินเชื่อเกษตรกรเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ และโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้ ธ.ก.ส. กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๒ โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ดำเนินการโดยกระทรวงพาณิชย์ วงเงิน ๙๔๐ ล้านบาท มีกำหนดระยะเวลารับสมัครและกลั่นกรองวงเงินสินเชื่อของธนาคารตั้งแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม-๑๕ กันยายน ๒๕๕๙ จึงยังไม่มีภาระงบประมาณเพื่อชดเชยดอกเบี้ยแก่ผู้ประกอบการของโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ กรณีมีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่าย เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณคงเหลือจากโครงการชดเชยดอกเบี้ย ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ ที่มีงบประมาณคงเหลืออยู่อีก จำนวน ๒๗๖,๗๙๘,๓๘๐.๒๔ บาท ในโอกาสแรกก่อน และหากไม่เพียงพอหรือมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณเพิ่มเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้กระทรวงพาณิชย์ขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการติดตามประเมินผลและรายงานผลการดำเนินมาตรการดังกล่าวให้ทันต่อสถานการณ์ การประชาสัมพันธ์โครงการในหลายช่องทางอย่างทั่วถึงและการติดตามประเมินผลสำเร็จการดำเนินงานและปัญหาอุปสรรคของโครงการฯ การให้ความสำคัญกับการพิจารณาศักยภาพของสถาบันเกษตรกรในการให้สินเชื่ออย่างรอบคอบ การพิจารณาความเป็นไปได้ในการสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรแปรรูปข้าวสารเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร การพิจารณาความพร้อมของเกษตรกรที่จะได้รับสินเชื่อ การคัดกรองเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ รวมทั้งการกำหนดมาตรการเพื่อสนับสนุนนโยบายด้านการตลาดด้วยการปรับรูปแบบการผลิตให้มีการเปลี่ยนรูปแบบจากการขายข้าวในลักษณะเป็นวัตถุดิบขั้นต้น เช่น ข้าวเปลือก หรือข้าวสาร เป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบอื่นเพื่อเพิ่มมูลค่าและลดค่าใช้จ่ายการสต็อกข้าวในคลัง เช่น การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสุรา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรสามารถนำไปผลิตเป็นสุราที่มีลักษณะเฉพาะตามภูมิศาสตร์แบบเดียวกับสาเกของประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง และ ธ.ก.ส. พิจารณาแนวทางการบริหารจัดการข้าวในสต็อกตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๘/๕๙ เพื่อไม่ให้กระทบกับการดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับติดตามการดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ อย่างต่อเนื่อง และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1459 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 14/06/2559 | ||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานภาครัฐให้การช่วยเหลือเกษตรกรในด้านปัจจัยการผลิต โดยการสนับสนุนเครื่องมือ เครื่องจักรทางการเกษตรที่ผลิตได้ภายในประเทศ เช่น รถไถ รถเกี่ยวข้าว เครื่องสูบน้ำที่ใช้พลังงานทดแทน รวมทั้งนำผลผลิตทางการเกษตรภายในประเทศมาแปรรูปเพื่อใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การนำยางพารามาใช้เป็นส่วนประกอบในการก่อสร้างสนามกีฬา สนามเด็กเล่น นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งรัดดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และรายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบภายใน ๓ เดือน ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๒.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ และ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการตรวจพิจารณาและปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้ภาครัฐสามารถนำที่ดินที่เหลือจากการใช้ตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืน เช่น พื้นที่สองข้างทางรถไฟไปใช้ประโยชน์อื่นนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ของการเวนคืนได้ เพื่อแก้ไขปัญหาทางสังคมหรือเพื่อประโยชน์อื่นของรัฐ นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๒.๒ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดทำกฎหมายเพื่อปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกำกับดูแลกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๓ เดือน ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และสถาบันการบินพลเรือนร่วมกันปรับปรุงแผนการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนของไทย โดยจัดลำดับความสำคัญของการแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับข้อเสนอแนะขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Organization : ICAO) ทั้งนี้ การดำเนินการต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับขององค์กรตรวจสอบด้านการบินระหว่างประเทศด้วย ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการเกี่ยวกับการก่อสร้างสถานที่จอดรถใต้ดินและพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุน นั้น ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) เร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว และรายงานความคืบหน้าให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยด่วน ๓.๓ ตามที่รัฐบาลได้กำหนดให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติแล้ว นั้น ให้ทุกส่วนราชการร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง โดยในการดำเนินภารกิจหรือโครงการต่าง ๆ ให้ส่วนราชการดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ยึดหลักความโปร่งใสและตรวจสอบได้เป็นสำคัญ หากมีการร้องเรียนว่าภารกิจหรือโครงการใดมีการทุจริตให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||
| 1460 | ผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียในส่วนของภาคเอกชนที่ร่วมเดินทางกับกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 14/06/2559 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการร่วมเดินทางไปเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พร้อมกับคณะรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-รัสเซีย สมัยพิเศษ และนำภาคเอกชนไทยรายใหญ่รวม ๒๗ ราย ร่วมเดินทาง มีผลการเยือนสรุปได้ ดังนี้
๑. กิจกรรมเจรจาธุรกิจและสร้างเครือข่ายกับหอการค้าและอุตสาหกรรม นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นักธุรกิจสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภาพรวมเศรษฐกิจ โอกาสทางการค้า การลงทุน การทำธุรกิจ ระหว่างไทยและรัสเซีย พร้อมทั้งได้มีกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจ Business Networking ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ทราบถึงโอกาสและลู่ทางการลงทุนในรัสเซียและไทย รวมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักธุรกิจ ๒. การเยี่ยมชมกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทยในห้างสรรพสินค้า LENTA โดยห้างฯ สนใจนำเข้าสินค้า ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อหมู ปลาทูน่า และน้ำตาล จากไทย และผู้บริหารห้างฯ กำหนดเดินทางเยือนงานแสดงสินค้า THAIFEX 2016 ที่ประเทศไทย เพื่อคัดสรรสินค้าเพิ่มเติมสำหรับนำไปจำหน่ายระหว่างการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าในห้างฯ กว่า ๑๔๐ สาขาทั่วประเทศ ประมาณระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ๓. การเจรจาธุรกิจกับตัวแทนบริษัท Sistema ซึ่งเป็นบริษัททำธุรกิจครอบคลุม ๑๒ สาขา เช่น โทรคมนาคม บริการสุขภาพ ธุรกิจท่องเที่ยว อุตสาหกรรมเกษตรและการแปรรูปอาหาร การผลิตกระดาษและเยื่อกระดาษ อากาศยาน เป็นต้น โดยบริษัทประสงค์จะเชิญชวนนักธุรกิจไทยร่วมลงทุนกับบริษัทในสาขาเหล่านี้ มีผลสำเร็จของการเจรจา คือ ตัวแทนเอกชนไทยหลายฝ่ายเข้าร่วมหารือกับบริษัท โดยสาขาที่มีโอกาสมาก ได้แก่ สาขาธุรกิจสปา และโรงพยาบาล ๔. การเข้าร่วมกิจกรรม Thai Russia Business Dialogue นักธุรกิจฝ่ายไทยและรัสเซียได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนเวที Panel Discussion ทำให้นักธุรกิจสองฝ่ายได้เข้าใจ เรียนรู้ โอกาสด้านการค้า การลงทุน การธนาคาร เกษตรแปรรูป ซอฟท์แวร์ สุขภาพและเภสัชภัณฑ์ ระหว่างกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความร่วมมือด้านการลงทุนร่วมระหว่างกันต่อไป ๕. การเข้าร่วมกิจกรรม ASEAN-RUSSIA Business Forum ณ เมืองโซชิ มีการนำเสนอแนวทางในการขยายความร่วมมือระหว่างภูมิภาคอาเซียนและรัสเซียไปสู่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งความร่วมมือระหว่างอาเซียน สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย (EAEU) และองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ซึ่งเป็นแนวทางแห่งความร่วมมือที่รัสเซียคาดหวังให้ไทยและอาเซียนบรรลุข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวให้เป็นเขตการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ ๖. กิจกรรมคณะเอกชนไทยพบนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ณ เมืองโซชิ ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เพื่อรายงานผลการเข้าร่วมเดินทางเยือนสหพันธรัฐรัสเซียกับคณะนายกรัฐมนตรี ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะและการจัดทำ Roadmap ที่จะขยายการค้า การลงทุนสู่สหพันธรัฐรัสเซีย |
|||||||||||||||||||||
.....
