ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 112 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 2221 - 2240 จากข้อมูลทั้งหมด 6663 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2221 | ขออนุมัติแต่งตั้งผู้แทนรัฐบาล | พณ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้ง นายกฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์ เป็นผู้แทนรัฐบาลในฐานะประธานคณะกรรมาธิการว่าด้วยการค้าและสิ่งแวดล้อม และมีอำนาจในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทยในการเข้าร่วมประชุมประธานคณะกรรมาธิการว่าด้วยการค้าและสิ่งแวดล้อมของคณะกรรมการว่าด้วยการค้าและสิ่งแวดล้อมขององค์การการค้าโลก (Committtee on Trade and Environment : CTE) โดยให้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวภายหลังจากเกษียณอายุราชการในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือรับรองผู้แทนรัฐบาลสำหรับการเดินทางไปประชุมในฐานะประธานคณะกรรมาธิการว่าด้วยการค้าและสิ่งแวดล้อมขององค์การการค้าโลก ระหว่างวาระการดำรงตำแหน่ง ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์พิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการค่าใช้จ่ายในการเจรจาและประชุมนานาชาติ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2222 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการโชห่วยช่วยชาติ "ร้านถูกใจ" | พณ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” จากกรอบระยะเวลาเดิมซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ขยายต่อไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยใช้วงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม (จำนวน ๔๒๗.๕๒๐๑ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สำหรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป จะเสริมสร้างความเข้มแข็ง โดยยึดหลักการใช้งบประมาณอย่างประหยัด และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ดังนี้ ๑.๑ ตรวจสอบและประเมินผลโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง โดยยกเลิกร้านถูกใจที่ไม่มีศักยภาพ ไม่มีความพร้อมในการจำหน่าย หรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เช่น สั่งซื้อสินค้าน้อย จำหน่ายสินค้าได้น้อย เป็นต้น โดยจะคัดเลือกร้านถูกใจสำรองที่มีอยู่ประมาณ ๖,๐๐๐ ราย มาทดแทน ๑.๒ ปรับลดเงินอุดหนุนให้แก่ร้านถูกใจ โดยส่งเสริมและพัฒนาให้ร้านถูกใจเข้มแข็ง มีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถดำรงอยู่ได้ในระยะยาว ๑.๓ กำกับดูแลให้ร้านจำหน่ายสินค้าต่ำกว่าราคาตลาดเฉลี่ยร้อยละ ๒๐ ๑.๔ กำกับดูแลร้านถูกใจให้จำหน่ายสินค้าตามปริมาณและราคาที่กำหนด ๑.๕ พัฒนาระบบการสั่งซื้อสินค้า การจัดเตรียม และจัดส่งสินค้าให้รวดเร็วและเพียงพอต่อความต้องการ เพื่อลดรายจ่ายของประชาชนให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ๑.๖ อาจจะมีการเพิ่มจำนวนร้านถูกใจมากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๑๐,๐๐๐ ราย เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อสินค้าจากร้านถูกใจได้สะดวกมากขึ้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงการโชห่วยช่วยชาติฯ อย่างเหมาะสม คุ้มค่า ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อประหยัดงบประมาณของรัฐบาล ควรเร่งพัฒนาระบบการสั่งซื้อสินค้าให้รวดเร็วขึ้น โดยเพิ่มระยะเวลาหรือรอบการสั่งซื้อในแต่ละสัปดาห์ จัดระบบการกระจายสินค้า เพื่อลดระยะเวลาการจัดส่งสินค้า และจัดส่งสินค้าให้ตรงตามกำหนดเวลา โดยเฉพาะในพื้นที่ภูมิภาค เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาร้านค้าขาดสินค้าจำหน่าย รวมทั้งปรับรายการสินค้าและจำนวนการสั่งซื้อขั้นต่ำให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคตามสภาพตลาดและพื้นที่ ดูแลคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ และติดตามประเมินผลโครงการฯ เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดแนวทางการช่วยเหลือในการลดค่าครองชีพของประชาชนที่มีประสิทธิผลในอนาคต รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการโครงการให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับติดตามการดำเนินงานของ “ร้านถูกใจ” ให้มีการจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการครองชีพ สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนผู้บริโภค และเป็นไปตามระดับราคาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาแนวทางการดำเนินการสนับสนุนและส่งเสริมให้ “ร้านถูกใจ” สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างยั่งยืนภายหลังสิ้นสุดโครงการฯ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2223 | ขออนุมัติร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตาม มาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... (ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ....) | พณ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ที่ได้แก้ไขปรับปรุงเกี่ยวกับความถูกต้องของสถานที่ตั้งด่านศุลกากรและอำนาจในการกำหนดด่านศุลกากรในการนำเข้าหรือส่งออก ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และแนวทางปฏิบัติในการนำเข้ามันสำปะหลัง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ แล้วให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาโดยด่วน ๒. ให้รับประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดด่านศุลกากรการนำเข้ามันสำปะหลังต้องปฏิบัติตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยตัดข้อ ๖ (๕) เกี่ยวกับการกำหนดด่านศุลกากรนำเข้ามันสำปะหลัง ออกจากร่างประกาศฯ และให้กระทรวงการคลังออกประกาศกำหนดด่านศุลกากรในการนำเข้ามันสำปะหลังตามมาตรา ๑๕ ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2224 | ร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. .... | พณ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ขยายระยะเวลาการลดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจในเขตพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส) และ ๔ อำเภอในจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา) ลงกึ่งหนึ่งต่อไปอีก ๕ ปี คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2225 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์หารือร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการภาพรวมเกี่ยวกับการขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2226 | รายงานผลการดำเนินการ กรณีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามมาตรา 61 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามมาตรา 61 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550) | สสป | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตีรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่อง "องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามมาตรา ๖๑ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐" โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การเร่งรัดการตราพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค โดยนำร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. .... ที่ได้ผ่านวุฒิสภา และได้ส่งให้สภาผู้แทนราษฎรแล้ว เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาในรัฐสภา และมีกฎหมายออกบังคับใช้โดยเร็ว เพื่อให้เป็นไปตามบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตา ๖๑ ที่กำหนดให้มีการดำเนินการ ภายหลังรัฐบาลประกาศนโยบายไม่เกิน ๑ ปี ๒. การเป็นผู้นำระดับอาเซียนในการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเร่งรัดและสนับสนุนให้มีการพิจารณา เพื่อผ่านร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค อันเป็นหลักประกันแก่ผู้บริโภคไทย และเป็นแบบอย่างเชิงสัญลักษณ์ของความเป็นผู้นำในประเทศต่าง ๆ ในประชาคมอาเซียน และในระดับนานาชาติต่อไป ๓. การแสดงเจตจำนงในการสนับสนุนบทบาทของภาคประชาชนในการเสนอร่างกฎหมายสู่รัฐสภาอย่างจริงจัง การผ่านพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค จะทำให้เจตจำนงดังกล่าวได้รับการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายฉบับแรกที่มีการเสนอรายชื่อ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ราย โดยภาคประชาชน และรัฐบาลได้ให้การรับรองเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ๔. การเร่งสร้างความเข้าในเรื่ององค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคให้ประชาชน และผู้บริโภคทราบ โดยให้มีการดำเนินการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนากลไกรับฟังความคิดเห็นในการกำหนดนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค สนับสนุนให้เกิดการปฏิบัติการจำลองขององค์กรผู้บริโภค นำร่องการบริหารจัดการเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคในรูปแบบองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค และสนับสนุนให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสนับสนุนงบประมาณและดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมกับองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ ในฐานะเครือข่ายทำงานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในทุกระดับ ๕. การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาในปัจจุบันในประเด็นการขยายสิทธิผู้บริโภคในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้สอดคล้องกับแนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคของสหประชาชาติ และสภาพปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคในปัจจุบัน การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และคณะกรรมการเฉพาะเรื่องให้มีตัวแทนผู้บริโภคในสัดส่วนที่เหมาะสม ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นหน่วยงานกลางที่ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จในการจัดการ และประสานงาน ชี้แจงผลการดำเนินการให้ผู้บริโภครับทราบผล เพื่อลดภาระต้นทุนในการร้องเรียนของผู้บริโภค จากการที่ต้องเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เมื่อเรื่องที่ร้องเรียนไม่ตรงกับความรับผิดชอบของหน่วยงาน การกำหนดให้สมาคมและมูลนิธิได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม ในการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิผู้บริโภค การกำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่ไม่เป็นนิติบุคคลให้มีบทบาทในการคุ้มครองผู้บริโภค การปรับปรุงมาตรการจัดการสินค้าที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค การเพิ่มการคุ้มครองผู้บริโภคด้านบริการที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค การยกระดับการคุ้มคอรงผู้บริโภคด้านโฆษณา ให้มีกระบวนการระงับข้อพิพาท เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการชดเชยที่รวดเร็วและเป็นธรรม และการปรับปรุงบทกำหนดโทษ โดยเพิ่มเพดานโทษสูงสุดให้เหมาะสมกับระดับความเสียหายและสภาวการณ์ในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีผู้ประกอบธุรกิจที่ก่อปัญหาซ้ำซาก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2227 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และการเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ | พณ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการส่งออกก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ จำนวน ๒ แห่ง และค่าเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ จำนวน ๑๑ ราย ในวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๔๑,๐๑๙,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๒,๗๕๓,๘๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ จำนวน ๑๘,๒๖๕,๒๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นของแต่ละแห่งกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินที่เห็นว่า กระทรวงพาณิชย์ชอบที่จะเบิกจ่ายค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศได้ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับค่าเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศให้เบิกจ่ายตามระเบียบของทางราชการ ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2228 | การกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใช้เงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ วงเงิน ๑๐๕,๙๑๐ ล้านบาทเดิม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต ๒๕๕๕ เพิ่มเติม จากเดิมวงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๘ ล้านตัน เป็นวงเงิน ๑๖๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑๑.๑๑ ล้านตัน ๑.๒ ให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต ๒๕๕๕ เพิ่มเติม จากเดิมวงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๘ ล้านตัน เป็นวงเงิน ๑๖๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑๑.๑๑ ล้านตัน จากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อบริหารจัดการหนี้เงินกู้ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินกู้และดอกเบี้ย รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินโครงการทั้งหมด ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ของ ธ.ก.ส. ที่เกิดจากการกู้เงินและการบริหารจัดการหนี้ของ ธ.ก.ส. โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้งตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๖๑,๐๐๐ ล้านบาท ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น รวมทั้งการบริหารจัดการหนี้ร่วมกับ ธ.ก.ส. ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันจนกว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ๑.๔ การชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในส่วนที่ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่ได้อนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) และวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕) สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ๑.๕ ให้ ธ.ก.ส. กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการแยกบัญชีดำเนินงาน การนำส่งเงินที่ได้จากการชำระค่าสินค้า การดูแลสินค้า (Stock) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชี การกำกับ ติดตาม ควบคุม รวมทั้งการรายงานความก้าวหน้า ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวที่เกษตรกรนำมาจำนำ เพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าว การติดตามและตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวเก่าที่เก็บรักษาไว้ในคลังสินค้าอย่างเข้มงวด โดยรายงานให้กระทรวงการคลังลำนักงบประมาณทราบทุกรายไตรมาส การจัดทำแผนบริหารจัดการระบายข้าวในสต็อกและช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมให้ชัดเจน มีอัตราการขาดทุนที่ยอมรับได้ และร่วมมือกับเอกชนเพื่อสร้างทีมในการพัฒนาตลาดส่งออกข้าว การจัดให้มีการประมูลข้าวจากสต็อคของรัฐโดยกระบวนการที่โปร่งใส และมีแผนการบริหารเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการ โดยไม่ต้องขอรับสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม การสนับสนุนการพัฒนากลไกตลาดกลางสินค้าเกษตรในแหล่งผลิตสำคัญเพื่อใช้เป็นแหล่งอ้างอิงราคาสินค้า การจัดเกรดและมาตรฐาน และสร้างอำนาจต่อรองให้แก่เกษตรกร นอกจากนี้ ในระยะยาว ควรสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเกษตรและความสามารถในการแข่งขันสินค้าเกษตร เพื่อเตรียมรับการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยสร้างทางเลือกให้เกษตรกรและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลิตภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2229 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์) (นายฐนนท์ศรณ์ เลิศฤทธิ์ศิริกุล) | พณ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองเฉพาะราย คือ นายฐนนท์ศรณ์ เลิศฤทธิ์ศิริกุล ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์) แทนนายดิฐ อัศวพลังพรหม ที่ลาออก ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2230 | รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 | พณ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ตามรายงานของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติมว่า การดำเนินการระบายข้าวของรัฐบาลได้มีการระบายข้าวไปแล้ว จำนวน ๘.๓๘ ล้านตัน และมีเงินสดที่ได้รับแล้วประมาณ ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท คาดว่าจะได้รับเงินจากการขายข้าวสารก่อนสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อีกจำนวนประมาณ ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งจะได้รับเงินจากการจำหน่ายข้าวสารในช่วงเดือนมกราคมถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ อีกจำนวนประมาณ ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีกระแสเงินสดที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้งหมดจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ รวมเป็นเงินประมาณ ๑๒๕,๐๐๐ ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินที่ได้รับคืนจากการขายข้าวสารของโครงการดังกล่าวจนถึงสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ ๒๖๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ เฉพาะในส่วนของข้าวเปลือกนาปี จำนวน ๑๕ ล้านตัน โดยเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป และอนุมัติวงเงินเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นเงิน จำนวน ๒๔๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นส่วนของวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม จำนวนไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงบประมาณจัดทำบัญชีหมุนเวียนและกรอบวงเงินสินเชื่อที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยให้นำเงินที่ได้จากการระบายข้าวดังกล่าวไปประกอบการจัดทำบัญชีหมุนเวียนด้วย ทั้งนี้ วงเงินสินเชื่อเพื่อการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในครั้งนี้ จำนวน ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เมื่อรวมกับวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ที่อนุมัติไปแล้ว จำนวน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท จะต้องไม่เกินกรอบวงเงิน จำนวน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕) อนุมัติไว้ สำหรับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และให้กระทรวงพาณิชย์รายงานข้อมูลการเงินและการระบายข้าวให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาสด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณารายละเอียดของวงเงินงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการ ให้คำนึงถึงรายได้ที่จะได้รับจากการระบายข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวของฤดูกาลที่ผ่านมา เพื่อลดยอดวงเงินกู้ในการดำเนินโครงการ และคำนึงถึงกรอบวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในส่วนของวงเงินจ่ายขาดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อนุมัติให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ได้รับจัดสรรภายใต้โครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยให้ใช้ค่าใช้จ่ายต่อหน่วย (Unit Cost) ในอัตราเดิมเช่นเดียวกับการดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรที่ผ่านมา สำหรับค่าบริหารสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้คิดในอัตราต่ำกว่าร้อยละ ๒.๕ เนื่องจากเป็นการดำเนินการต่อเนื่องในลักษณะเดียวกับโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๔/๒๕๕๕ และโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรในอดีต และในกรณีที่ต้องใช้เงินทุน ธ.ก.ส. ดำเนินการก่อน ให้ชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา FDR+1 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกษตรกรและผู้สนใจโดยทั่วไปได้รับทราบข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึงและถูกต้องตรงกัน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2231 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำเหล็กและเหล็กกล้าที่มีโควตาเข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... (การแก้ไขเพิ่มเติมพิกัดศุลกากรเหล็กและเหล็กกล้าตามประกาศกระทรวงพาณิชย์) | พณ | 25/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำเหล็กและเหล็กกล้าที่มีโควตาเข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพิกัดอัตราศุลกากรเหล็กและเหล็กกล้าตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำเหล็กและเหล็กกล้าที่มีโควตาเข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งกำหนดตามพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ๒๐๐๗ ให้เป็นไปตามพิกัดอัตราศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ๒๐๑๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2232 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนสิงหาคม 2555 | พณ | 25/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๒๘ เทียบกับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๕.๘๒ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๐ (เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๕) เป็นการสูงขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นผลจากดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๑ โดยสินค้าประเภทอาหารที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำ ไข่ นมและผลิตภัณฑ์นม ผักสด เครื่องประกอบอาหาร ผลไม้สด เครื่องปรุงรส เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารสำเร็จรูป สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลงตามปริมาณผลผลิตและภาวะตลาด ได้แก่ ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว เนื้อสัตว์สด น้ำตาลทราย เป็นต้น สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๔ จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศมีการปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันตลาดโลก รวมทั้งสินค้าและบริการอื่น ๆ ที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ผ้าและเสื้อผ้า ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง ค่าน้ำประปา ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เป็นต้น ขณะที่สินค้าประเภทเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำอุ่นปรับลดราคาลงตามการส่งเสริมการจำหน่าย ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๖๙ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๔.๐๒ โดยดัชนีราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๒.๐๔ ปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๔.๒๖ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๗.๒๓ เครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้นร้อยละ ๔.๑๐ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๓.๑๑ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๓.๘๖ ดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๘๔ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๒.๗๐ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๑.๐๕ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๐๖ หมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสาร ร้อยละ ๑.๕๘ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๔๒ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๐ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๘ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับระยะเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๘๙ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๕.๗๐ และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๑๓ ตามการสูงขึ้นของหมวด ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๔๖ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๒.๐๒ ไข่ และผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ ๐.๘๖ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๒๒ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๗.๐๕ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๑ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๖.๖๔ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๕.๕๖ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๓.๕๒ หมวดยานพาหนะ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๐ และน้ำมันเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๕ เป็นต้น ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๕๒ เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๗ (เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๓) จากการเคลื่อนไหวสูงขึ้นและลดลงของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ผ้าและเสื้อผ้า ค่าน้ำประปา ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าของใช้และบริการส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์ยาสูบและผลิตภัณฑ์สุรา สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาดบางชนิด (น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผลิตภัณฑ์ซักผ้า น้ำยาซักแห้ง) เครื่องปรับอากาศ และเครื่องทำน้ำอุ่น เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2233 | พิธีสารฉบับที่ 3 เพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน และพิธีสารเพื่อผนวกข้อบทอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า และมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เพื่อเป็นส่วนหนึ่ง ของความตกลงการค้าสินค้า ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน | พณ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบพิธีสาร รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ พิธีสารฉบับที่ ๓ เพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน มีสาระสำคัญเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการร่วมกำกับการดำเนินงานภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน ได้แก่ (๑) การทบทวน ตรวจสอบ และดูแลการปฏิบัติตามและการดำเนินงานของความตกลง (๒) การพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะแก่รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีน เกี่ยวกับการแก้ไขความตกลง (๓) การเจรจาแก้ไขการดำเนินงาน หรือเรื่องอื่นใดอันเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามความตกลง (๔) การกำกับดูแลและประสานความร่วมมือกับองค์กรย่อยต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ความตกลง รวมทั้งให้ความเห็นชอบตามที่เห็นสมควรต่อการตัดสินใจหรือคำแนะนำขององค์กรย่อยที่ได้ถูกจัดตั้งขึ้น (๕) การพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานตามความตกลง หรือเรื่องที่ภาคีทั้งสองฝ่ายได้มอบหมายแก่คณะกรรมการร่วมกำกับการดำเนินงานภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และ (๖) การทำหน้าที่อื่น ๆ ตามที่ภาคีทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกัน ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมกำกับการดำเนินงานภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน จะต้องจัดประชุมอย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง หรือตามที่เห็นว่าจำเป็น ๑.๒ พิธีสารเพื่อผนวกข้อบทอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า และมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงการค้าสินค้า ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน มีสาระสำคัญประกอบด้วย ๑.๒.๑ ส่วนที่ ๑ อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) อำนวยความสะดวกและส่งเสริมการค้าสินค้าระหว่างประเทศสมาชิก โดยที่กฎระเบียบทางเทคนิค มาตรฐาน และกระบวนการตรวจสอบและรับรอง จะต้องไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่จำเป็น (๒) เสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับมาตรฐาน กฎระเบียบทางเทคนิค และกระบวนการตรวจสอบและรับรองของประเทศภาคี (๓) เสริมสร้างความร่วมมือต่าง ๆ รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวกับการเตรียมการ การจัดทำ และการใช้มาตรฐาน กฎระเบียบทางเทคนิค และกระบวนการตรวจสอบและรับรอง และ (๔) เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการค้าระหว่างประเทศภาคีอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒.๒ ส่วนที่ ๒ มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) อำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิก ในการที่จะคุ้มครองชีวิตหรือสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ในอาณาเขตของตน (๒) สร้างความโปร่งใสและความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้น ในการใช้บังคับระเบียบข้อบังคับและกระบวนการเกี่ยวกับมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชของประเทศภาคีแต่ละฝ่าย (๓) เสริมสร้างความแข็งแกร่งของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรับผิดชอบหลักของแต่ละประเทศสมาชิก และ (๔) เสริมสร้างการนำเอาหลักการและระเบียบที่ระบุไว้ไปปฏิบัติ ๑.๒.๓ ส่วนที่ ๓ บทญัตติสุดท้าย ระบุเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม การระงับข้อพิพาท การเก็บรักษา และการมีผลใช้บังคับ ๑.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาร่วมกันในพิธีสารเพื่อผนวกข้อบทอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้าฯ หากไม่จำเป็นต้องแก้ไขพิธีสาร ในส่วนที่ ๒ มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เกี่ยวกับสุขภาพของมนุษย์ โดยขอให้ดำเนินการภายใต้กรอบของกฎอนามัยระหว่างประเทศ ฉบับปี ๒๐๐๕ ขององค์การอนามัยโลก ซึ่งจะครอบคลุมประเด็นสินค้าเข้า-ออกระหว่างประเทศ ทั้งในเรื่อง Food safety ที่ต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารในระบบ INFOSAN ตามมติสมัชชาอนามัยโลก และ CODEX ตามความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข ก็ให้แจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อจะได้เสนอพิธีสารดังกล่าวต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโดยด่วนต่อไป ๒. อนุมัติการลงนามในพิธีสารทั้งสองฉบับ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่น เป็นผู้ลงนามในพิธีสาร และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในพิธีสารทั้งสองฉบับดังกล่าว ให้ผู้ลงนามใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนาม ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลใช้บังคับของพิธีสารทั้งสองฉบับเมื่อประเทศไทยลงนามและดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศเร่งดำเนินการตามกระบวนการให้แล้วเสร็จโดยด่วนเพื่อให้ทันการลงนามพิธีสารในการประชุมผู้นำอาเซียน-จีน ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2234 | สรุปผลการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.2012 (United Nations Conference on Sustainable Development: UNCSD) หรือ Rio+20 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | ทส | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดย ๑.๑ รับทราบสรุปผลการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ (United Nations Conference on Sustainable Development : UNCSD) หรือ Rio+20 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๓-๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ นครรีโอเดจาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ผู้นำของแต่ละประเทศได้กล่าวถ้อยแถลงโดยมีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืนและความท้าทายในการดำเนินงานเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งเน้นย้ำความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนภายใต้เอกสารผลลัพธ์ “The Future We Want” และส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกนำไปปฏิบัติอีกด้วย ๑.๑.๒ กระบวนการจัดทำเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) จะต้องมีการหารืออย่างต่อเนื่องและต้องบูรณาการเรื่องสุขภาพของมนุษย์เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยสหประชาชาติควรมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนระหว่างภูมิภาค ๑.๑.๓ เนื่องจากเอกสารผลลัพธ์ “The Future We Want” มีลักษณะเป็นกรอบการดำเนินงานของประชาคมโลก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และเอกสารดังกล่าวยังเป็นการริเริ่มการดำเนินงานหลายประการ อาทิ กระบวนการในการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) การจัดตั้งเวทีการหารือระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High-Level Political Forum on Sustainable Development) และกระบวนการในการเสริมสร้างสมรรถนะขององค์กรแห่งสหประชาชาติในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งการดำเนินงานตามผลลัพธ์ของการประชุม Rio+20 ครอบคลุมการดำเนินงานในสาขาต่าง ๆ ทั้งประเด็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน และจำเป็นต้องมีกลไกภายในประเทศเพื่อขับเคลื่อนการอนุวัตตามผลลัพธ์ดังกล่าวให้เกิดประสิทธิผล ๑.๑.๔ ที่ประชุมได้ให้การรับรองเอกสารผลลัพธ์ “The Future We Want” อย่างเป็นเอกฉันท์ โดยเอกสารประกอบด้วย ๒๘๓ ข้อบท แบ่งออกเป็น ๖ ส่วน ได้แก่ (๑) วิสัยทัศน์ร่วม (Our common vision) (๒) การยืนยันพันธกรณีทางการเมือง (Renewing political commitment) (๓) เศรษฐกิจสีเขียวในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืนและการขจัดปัญหาความยากจน (Green economy in the context of sustainable development and poverty eradication) (๔) กรอบสถาบันระหว่างประเทศด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (Institutional framework for sustainable development) (๕) กรอบแนวทางในการดำเนินงาน (Framework for Action and follow up) และ (๖) กลไกหรือเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน (Means of implementation) ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามผลลัพธ์จากการประชุม Rio+20 ในประเด็นต่าง ๆ ๑.๓ ให้จัดตั้งคณะกรรมการใหม่ หรือทบทวน “คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” เป็นคณะกรรมการระดับชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีกระทรวงที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ และมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนและจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศสู่ความสมดุลและยั่งยืน เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสามเสาหลักของการพัฒนาที่ยั่งยืนให้เป็นไปได้อย่างสอดคล้องกัน และเพื่อกำหนดนโยบายการพัฒนาอย่างบูรณาการ ตลอดจนกำกับและขับเคลื่อนการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการอนุวัตตามผลลัพธ์ของการประชุม Rio+20 อย่างเป็นระบบทั้งในส่วนของการดำเนินงานในระดับประเทศ และระดับโลก โดยเฉพาะในเรื่องของการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ซึ่งเป็นการต่อยอดจากเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDGs) ๒. การจัดตั้ง “คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ให้สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมเป็นกรรมการ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีหน่วยงานหรือองค์กรหลักในการประสานระหว่างกระทรวงต่าง ๆ และกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศเพื่อให้แต่ละสามเสาหลักให้สามารถพัฒนาไปได้อย่างสมดุล เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการกำหนดนโยบายสำหรับการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่จะมีขึ้นภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นปีครบกำหนดการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals) ส่วนการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามผลลัพธ์จากการประชุม Rio+20 ในประเด็นต่าง ๆ เห็นควรกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักในแต่ละประเด็นให้ครบถ้วนชัดเจน และเป็นที่ยอมรับร่วมกัน พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2235 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของรองประธานาธิบดีเวียดนาม (ระหว่างวันที่ 20 - 24 มิถุนายน 2555) | นร04 | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของรองประธานาธิบดีเวียดนาม (นางเหวียน ถิ ซวาน) ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ของกระทรวงการต่างประเทศตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์การเยือน เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทวิภาคีและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเวียดนาม รวมทั้งปูทางสำหรับการจัดการเยือนระดับสูงและกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ในอนาคตต่อไป ๒. ผลการหารือข้อราชการระหว่างรองประธานาธิบดีเวียดนาม (นางเหวียน ถิ ซวาน) กับนายกรัฐมนตรี ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันในทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ และแสดงความเชื่อมั่นว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat) ครั้งที่ ๒ ที่ประเทศไทยในปลายปีนี้ และการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - เวียดนาม ครั้งที่ ๑ ซึ่งเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ จะช่วยกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ มีประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายผลักดัน ดังนี้ ๒.๑ ประเด็นที่ฝ่ายเวียดนามผลักดัน ได้แก่ ๒.๑.๑ ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสองฝ่ายหาลู่ทางขยายการค้าไทย - เวียดนามและลดการขาดดุลการค้า และขอให้ไทยสนับสนุนภาคเอกชนเวียดนามที่มีความสนใจขยายการลงทุนในไทย ๒.๑.๒ ขอเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเยือนเวียดนาม เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน ๒.๑.๓ ขอให้ฝ่ายไทยสนับสนุนการเปิดศูนย์วัฒนธรรมเวียดนามในไทย เพื่อสอนภาษาเวียดนามและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกัน ๒.๑.๔ ขอรับการยืนยันจากฝ่ายไทยว่าจะไม่อนุญาตให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดใช้ดินแดนไทยเป็นฐานในการต่อต้านรัฐบาลเวียดนาม และขอขยายความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ พร้อมทั้งขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้สัญชาติแก่คนไทยเชื้อสายเวียดนาม ประมาณ ๑ แสนคน ที่มาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย และขอความอนุเคราะห์ในการพิจารณาให้สัญชาติไทยแก่ชาวเวียดนามอีกประมาณ ๑๐๐ คน ๒.๒ ประเด็นที่ฝ่ายไทยผลักดัน ได้แก่ ๒.๒.๑ ไทยและเวียดนามเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวที่สำคัญ จึงเห็นควรให้มีความร่วมมือเรื่องข้าวทั้งด้านวิชาการและการตลาด ซึ่งฝ่ายเวียดนามเห็นด้วย ๒.๒.๒ ไทยยินดีให้ความร่วมมือเรื่องการบริหารจัดการน้ำ โดยเสนอให้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำโขง ซึ่งฝ่ายเวียดนามเห็นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2236 | ผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกของไทย ครั้งที่ 1/2555 | พณ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกของไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้สรุปสถานการณ์ส่งออกของไทยในระยะ ๖ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (มกราคม - มิถุนายน) มีมูลค่า ๑๑๒,๒๖๔.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑.๙๗ โดยได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปและสภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ๒. ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับปัญหา กลยุทธ์ และข้อเสนอแนวทางการดำเนินงานเพื่อผลักดันการส่งออก ๒.๑ การผลักดันการส่งออกไปยังตลาดภูมิภาคยุโรปและตลาดศักยภาพอื่น ๆ ๒.๑.๑ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการส่งออก ได้แก่ ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในตลาดหลัก กฎระเบียบทางการค้า มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) การเจรจาเขตการค้าเสรีต่าง ๆ คุณภาพสินค้าและบริการของไทย และการประสานงานระหว่างองค์กรภายในประเทศ เป็นต้น ๒.๑.๒ กลยุทธ์ในการผลักดันการส่งออก ได้แก่ การแสวงหาโอกาสในตลาดเดิมหรือตลาดที่มีปัญหา และแสวงหาโอกาสในตลาดใหม่และตลาดที่มีศักยภาพอื่น ๆ ๒.๑.๓ แนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศและแก้ปัญหาการถูกโจมตีในประเด็นการใช้แรงงานและการทำลายสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการผลิตสินค้า Organic & Sustainable Farming ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม การปรับปรุงกระบวนการผลิต และการเร่งรัดการเจรจาการค้าเสรีกรอบ FTA ไทย - สหภาพยุโรป เป็นต้น ๒.๒ การส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน ๒.๒.๑ ปัญหาอุปสรรคทางการค้าและการลงทุน ได้แก่ ด่านชายแดนมีจำนวนจำกัด ความตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าข้ามแดน/ผ่านแดนในกรอบ GMS และ ASEAN ยังไม่มีผลบังคับใช้ กฎระเบียบทางการค้าของประเทศเพื่อนบ้าน การลักลอบนำเข้าส่งออก อาชญากรรม และความรุนแรง และขาดการศึกษาวิจัยตลาดประเทศเพื่อนบ้านเชิงลึก ๒.๒.๒ แนวทางการส่งเสริมการค้าชายแดน ได้แก่ การปรับปรุงกฎระเบียบและลดขั้นตอน การขอหนังสือรับรองการนำเข้าส่งออก พัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้ทันสมัยและเพียงพอ ยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการของไทยสู่ระดับมาตรฐานระดับอาเซียน และสร้างสิ่งจูงใจเพื่อส่งเสริมการไปลงทุนในต่างประเทศ ๒.๓ ปัญหาในการผลักดันการส่งออกรายสินค้า ๒.๓.๑ อาหาร ได้แก่ ไก่สดแช่เย็นและแช่แข็งและแปรรูป เช่น ปริมาณอาหารสัตว์ที่ผลิตได้ในประเทศมีไม่เพียงพอ คุณภาพต่ำ และยังต้องพึ่งพิงการนำเข้าจากต่างประเทศสูง ปัญหาด้านสุขอนามัยและปัญหาเทคนิคกับกลุ่มตลาดหลัก การเตรียมการเพื่อรองรับการเปิดตลาด AEC เป็นต้น กุ้งสดแช่เย็นและแช่แข็งและแปรรูป เช่น ขาดแคลนพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กุ้ง ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ราคาไม่มีเสถียรภาพและปริมาณผลผลิตไม่สม่ำเสมอ สินค้ามีแนวโน้มถูกตัดสิทธิ GSP ของสหภาพยุโรปในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ การถูกกล่าวหาจากประเทศคู่ค้าว่าทำลายสภาพแวดล้อมและกดขี่แรงงาน รวมทั้ง Lab ของเอกชนคิดค่าใช้จ่ายสูง เป็นต้น ผักและผลไม้ เช่น ปัญหาด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร การขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานทำให้พื้นที่เพาะปลูกพืชอาหารลดลง ๒.๓.๒ อัญมณีและเครื่องประดับ เช่น ขาดแคลนวัตถุดิบ ต้นทุนการผลิตสูง งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในประเทศไทยดึงดูดผู้ซื้อต่างประเทศได้น้อยลง แบรนด์สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาดโลก ขาดข้อมูลเชิงลึกในตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญ และปัญหาโลจิสติกส์ในการจัดส่งวัตถุดิบจากประเทศที่เป็น Free Port ๒.๓.๓ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เช่น มาตรการ Anti-Dumping และ Safeguard ของประเทศคู่ค้า (สินค้าผ้าผืนและเส้นด้าย) ขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์แฟชั่นในเชิงลึกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ต้องการข้อมูลเชิงลึกของประเทศเพื่อนบ้าน การสนับสนุนในการไปลงทุนตาม JETRO Model ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การขาดแคลนแรงงาน ขาดแคลนเงินทุนเพื่อนำมาขยายการผลิต เปลี่ยนเครื่องจักร และเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ๓. ที่ประชุมได้กำหนดให้คณะทำงานติดตามสถานการณ์และขับเคลื่อนการส่งออกไปตลาดภูมิภาคยุโรปและตลาดศักยภาพอื่น ๆ คณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน และคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกรายสินค้า จัดประชุมเพื่อติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน พร้อมทั้งให้จัดการประชุมคณะทำงานกลุ่มย่อยภาครัฐและเอกชนเพื่อศึกษาวิเคราะห์ สรุปประเด็นปัญหา และแนวทางการแก้ไขให้มีความชัดเจนทั้งในส่วนของรายตลาดและรายสินค้าต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2237 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 และการขอขยายปริมาณ และกรอบการใช้เงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 | พณ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่อนุโลมให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวข้าวในช่วงเดือนมิถุนายน - ตุลาคม ๒๕๕๕ เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ รอบ ๒ ได้อีก ๑ ครั้ง ๒. อนุมัติการขยายปริมาณและกรอบการใช้เงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ จากเดิมที่กำหนดเป้าหมายไว้ จำนวน ๑๑.๑๑ ล้านตัน เพิ่มเติมอีก จำนวน ๒.๒๐ ล้านตัน รวมเป็นปริมาณ ๑๓.๓๑ ล้านตัน และเห็นชอบให้ใช้วงเงินที่กระทรวงการคลังเห็นชอบวงเงินค้ำประกันให้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท นำมาใช้ในปริมาณที่เพิ่มเติมดังกล่าว รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ต้นทุนเงินและค่าบริหารโครงการ) ให้ใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ๓. ส่วนการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบปริมาณข้าวเปลือกนาปรังและข้าวเปลือกนาปีที่รับจำนำไว้เดิมและที่ระบายออกไปแล้ว ปริมาณเป้าหมายที่จะรับจำนำใหม่ในปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ รวมทั้งแนวทางการบริหารจัดการที่ครอบคลุมถึงการรับจำนำ การเก็บรักษา การระบาย ตลอดจนวงเงินสินเชื่อ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วให้นำเสนอ กขช. พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2238 | แนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพารา | กษ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในวงเงิน ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ เพื่อดำเนินการตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกัน และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้หาแหล่งเงินทุน หรือให้ ธ.ก.ส. เป็นผู้จัดหาแหล่งเงินทุน โดยให้จ่ายค่าชดเชยต้นทุนเงินของ ธ.ก.ส. ในอัตราดอกเบี้ย FDR + ร้อยละ ๑ เช่นเดียวกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การรักษาเสถียรภาพราคายาง) รวมทั้งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะบรรจุวงเงิน ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ด้วย และให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณชดเชยผลการขาดทุนในการดำเนินงานโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณชดเชยผลการขาดทุนการดำเนินงานโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง) โดยครั้งนี้ขออนุมัติเบิกจ่าย ๕,๐๐๐ ล้านบาท และต่อไปทุกครั้งจะขออนุมัติคณะรัฐมนตรีเบิกจ่ายงวดละ ๕,๐๐๐ ล้านบาท ๒. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และแนวทางการนำยางพาราไปใช้ประโยชน์ในการประกอบการต่าง ๆ ให้แพร่หลายขึ้นเพื่อเพิ่มอุปสงค์ของยางพารา โดยมีแนวทางการดำเนินงานต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ กรณีการขออนุมัติวงเงินสินเชื่อเพื่อเก็บสต๊อค (STOCK CREDIT) คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ส่งออกยางพารา ให้กระทรวงการคลัง กรมวิชาการเกษตร องค์การสวนยาง และผู้แทนผู้ประกอบการร่วมกันพิจารณาหาหลักเกณฑ์ แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย การเก็บยาง ระยะเวลา ภาระการจัดเก็บ ฯลฯ และนำเสนอคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป โดยให้ อ.ส.ย. เป็นฝ่ายเลขานุการ ๒.๒ กรณีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ เงื่อนไข การปฏิบัติงานของโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ทั้งนี้ เห็นควรปรับ “ปริมาณผลผลิต ๒ กิโลกรัม/ไร่/วัน เดือนละ ๓๐ วัน” เป็น “ปริมาณผลผลิต ๒ กิโลกรัม/ไร่/วัน เดือนละไม่เกิน ๑๗ วัน” และเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ กรณีการขายยางของสถาบันเกษตรกรคือ เมื่อนำยางมาขายให้ อ.ส.ย. ทุกครั้งต้องแสดงเอกสารบัญชีซื้อยางจากสมาชิก รวมทั้งกรณีที่สถาบันเกษตรกรที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการพัฒนาสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางไม่จัดทำรายงานการซื้อและการขายยางส่งให้เลขานุการคณะอนุกรรมการบริหารโครงการระดับจังหวัดกำหนดทุก ๑๕ วัน ให้ตัดสิทธิ์การซื้อขายไว้ก่อนจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ ๒.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น/ข้อเท็จจริงของที่ประชุมไปพิจารณา เพื่อหาแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป เกี่ยวกับข้อเสนอให้มีการหยุดกรีดยาง ปัญหากฎหมายที่กำหนดการลงโทษในเรื่องมาตรฐานถุงมือยาง และอัตราการจัดเก็บเงิน Cess |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2239 | การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 20 | นร04 | 11/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๐ เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๕ ณ นครวลาดิวอสต็อก สหพันธรัฐรัสเซีย โดยมีผู้นำจากเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ของโลก จำนวน ๒๑ เขตเศรษฐกิจเข้าร่วมการประชุม มีประเด็นสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การเปิดเขตการค้าเสรี ประเทศต่าง ๆ มีความเห็นสอดคล้องกันว่า ความผันผวนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจเอเปค เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทุกประเทศควรร่วมมือกันในการเปิดเสรีทางการค้า โดยประเทศไทยเสนอให้มีการเจรจาเพื่อเปิดเสรีการค้าในสินค้าหลายชนิด ๒. ความมั่นคงทางอาหาร ภัยพิบัติต่าง ๆ รวมถึงอุทกภัยได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตอาหารเป็นอย่างมาก ในขณะที่ประชากรของโลกเพิ่มขึ้นและมีความต้องการอาหารมากขึ้น แต่ผลผลิตอาหารของแต่ละภูมิภาคมีปริมาณแตกต่างกัน และในบางพื้นที่มีไม่เพียงพอ ทำให้เกิดความไม่สมดุล ประเทศไทยจึงได้เสนอตัวเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารของโลก ซึ่งได้รับความสนใจและตอบรับจากผู้นำเขตเศรษฐกิจต่างๆที่เข้าร่วมประชุมเป็นอย่างดี พร้อมนี้ประเทศไทยได้เสนอจะนำผลงานทางด้านการวิจัยและพัฒนา (R & D) ตลอดจนเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเพิ่มผลผลิต ถนอมอาหาร แปรรูปและเก็บรักษา รวมถึงกระบวนการโลจิสติกส์ (logistics) ในการขนส่งและกระจายสินค้าที่เป็นผลผลิตอาหารไปยังแหล่งขาดแคลนอย่างทั่วถึงให้มากยิ่งขึ้น จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและสอดคล้องกับทิศทางความต้องการของโลกต่อไป ๓. การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อถือได้ กระบวนการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ ในระดับนานาชาติ แต่ละประเทศล้วนเป็นห่วงโซ่อุปทานซึ่งกันและกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับสินค้าและบริการของประเทศใดจะมีคุณภาพและได้รับความเชื่อถือ ทั้งนี้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต่าง ๆ ถือเป็นห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญทั้งในระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ หากมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยในการปรับปรุงพัฒนา SMEs ต่าง ๆ ของไทยให้มากยิ่งขึ้น และมีการเชื่อมโยงถึงการส่งเสริมและพัฒนาบทบาทสตรี ก็จะช่วยให้ SMEs เหล่านี้มีศักยภาพ และสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น จึงให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการจัดทำ Part Value Chain เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการประกอบการของ SMEs ของไทยให้แข็งแกร่งเป็นที่น่าเชื่อถือและแข่งขันกับต่างประเทศได้ โดยพิจารณาดำเนินการให้ครอบคลุมถึงการดูแลสิทธิประโยชน์ด้านการค้าให้แก่ SMEs ด้วย ๔. ประเทศไทยเสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในอีก ๑๐ ปี ข้างหน้า คือ ปี ค.ศ. ๒๐๒๒ ต่อจากประเทศมาเลเซีย ๕. การหารือทวิภาคีกับ ๔ ผู้นำเขตเศรษฐกิจ ได้แก่ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกินี ประธานาธิบดีชิลี และประธานาธิบดีรัสเซีย มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๕.๑ ประเทศรัสเซีย ถือเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางพลังงาน ขณะที่ประเทศไทยมีความมั่นคงทางอาหาร จึงตกลงที่จะร่วมมือกันตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาการขยายความร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ระหว่างทั้งสองประเทศในรายละเอียดต่อไป ๕.๒ ประเทศมาเลเซีย ได้มีการเจรจาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาราคายางพารา โดยในเบื้องต้นได้ตกลงกันที่จะให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องของ ๓ ประเทศ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย มาร่วมประชุมในรายละเอียดเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางพาราที่กรุงเทพฯ จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมการเพื่อการประชุมดังกล่าว โดยให้กระทรวงการต่างประเทศประสานการดำเนินการที่เกี่ยวข้องโดยด่วน ๕.๓ ประเทศปาปัวนิวกินี เป็นประเทศที่มีแหล่งพลังงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้แสดงความพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศไทยในด้านการพลังงานเป็นอย่างดี ๕.๔ ประเทศชิลี การเจรจามีความคืบหน้าเกี่ยวกับการเปิดเขตเสรีทางการค้า ซึ่งในส่วนที่ได้ทำความตกลงร่วมกันไปแล้ว อยู่ในขั้นตอนที่จะต้องนำเสนอต่อรัฐสภาตามกระบวนการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2240 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการบรรเทาอุทกภัยในปี 2555 ในระยะเร่งด่วน" | สสป | 11/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ คณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการบรรเทาอุทกภัยในปี ๒๕๕๕ ในระยะเร่งด่วน” โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
๑.๑ รัฐควรแก้ไขปัญหากลไกการบริหารจัดการน้ำในภาวะวิกฤตอุทกภัยของแต่ละพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๑.๒ รัฐต้องให้ความสำคัญต่อการวางแผนการใช้ที่ดินและการออกกฎหมายการผังเมือง การพัฒนาและการใช้ที่ดินผิดประเภท การปลูกสิ่งก่อสร้างรุกล้ำลำน้ำและกีดขวางทางระบายน้ำ ๑.๓ รัฐต้องให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษาแม่น้ำลำคลอง พื้นที่รับน้ำเพื่อประโยชน์สำหรับการระบายน้ำ และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งดำเนินการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ รัฐต้องบริหารการปิดเปิดประตูระบายน้ำให้เป็นไปตามหลักวิชาการ ๑.๕ รัฐควรดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องการพยากรณ์ด้านอุตุนิยมวิทยาให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ๑.๖ รัฐควรดำเนินการให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำและวางแผน เกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการน้ำ และมีกลไกในการแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ได้อย่างถูกต้องและทันต่อเหตุการณ์ ๑.๗ รัฐต้องจัดทำศูนย์ข้อมูลกลางและข้อมูลที่มีมาตรฐานเดียวกันซึ่งจำเป็นสำหรับการบริหารจัดการน้ำ ที่จะนำไปใช้สำหรับแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เช่น ระดับความสูง-ต่ำ ของพื้นที่เสี่ยงภัยอุทกภัย ข้อมูลด้านกายภาพ และระบบสาธารณูปโภค เช่น ถนน คันคลอง คันกั้นน้ำ ท่อระบายน้ำ สะพาน ความลึก ความกว้าง พื้นที่หน้าตัด สิ่งรุกล้ำ ขยะและวัชพืช เป็นต้น รวมทั้งการจัดเตรียมข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน (Real time) เพื่อสามารถติดตามตรวจสอบพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยได้ทันท่วงที และการเตรียมตัวป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ในการดำเนินงานจะต้องให้อิสระกับนักวิชาการในการทำงานและเน้นหลักวิชาการและการบูรณาการในการแก้ไขปัญหา ๑.๘ รัฐต้องทำความเข้าใจ ให้ความรู้ และขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ที่จะถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำนอง เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติและการชดเชยความเสียหายให้ประชาชนได้รับความพึงพอใจ เป็นธรรม และรวดเร็ว ๑.๙ รัฐต้องบริหารองค์กรเพื่อบริหารจัดการน้ำแบบ Single Command Authority เพื่อบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแบบบูรณาการให้เป็นไปตามหลักวิชาการ และให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนอย่างจริงจัง เพื่อให้ประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด โดยปราศจากการแทรกแซงจากผู้ที่หวังประโยชน์จากวิกฤตอุทกภัย
|
.....