ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 117 จากทั้งหมด 336 หน้า แสดงรายการที่ 2321 - 2340 จากข้อมูลทั้งหมด 6703 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2321 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ เดือนพฤษภาคม 2555 | พณ | 26/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๕.๒๓ เทียบกับเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๔.๗๘ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๙ (เดือนเมษายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๒) จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๑.๔๑ ขณะที่ดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ ๐.๒๘ ๑.๑ ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๑.๔๑ ตามการสูงขึ้นของราคาข้าวสารเจ้า ร้อยละ ๐.๒๑ เนื้อสัตว์สด ร้อยละ ๔.๐๑ (เนื้อสุกร กระดูกซี่โครงหมู เนื้อโค) ไก่สด ร้อยละ ๑.๘๘ ปลาและสัตว์น้ำ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๙ (ปลาช่อน ปลาดุก และปลาน้ำทะเลสด) ไข่และผลิตภัณฑ์นม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๑๗ (ไข่ไก่ ไข่เป็ด) ผักสด สูงขึ้นร้อยละ ๑๘.๖๓ (ผักกาดขาว ผักคะน้า กะหล่ำปลี แตงกวา ผักบุ้ง ถั่วฝักยาว ต้นหอม ผักชี) ผลไม้สดบางชนิด (ส้มเขียวหวาน แตงโม องุ่น แอ๊ปเปิ้ล) เครื่องปรุงอาหาร สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๘ (น้ำมันพืช กะทิสำเร็จรูป) เครื่องปรุงรส สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๔ (น้ำปลา ซีอิ้ว ซอสหอยนางรม) และอาหารสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๖ (กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยว) สำหรับสินค้าอื่นที่มีราคาลดลง ได้แก่ ข้าวสารเหนียว ลดลงร้อยละ ๑.๗๗ และผลไม้สด ร้อยละ ๑.๑๐ ๑.๒ ดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ ๐.๒๘ สาเหตุจากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศโดยเฉลี่ย ลดลงร้อยละ ๓.๔๘ และตามการยกเลิกชั่วคราวการปรับโครงสร้างราคาพลังงานของรัฐบาล ๑.๒.๑ สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการเคลื่อนไหวของราคาโดยเฉลี่ยสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๙ (เครื่องแบบนักเรียน รองเท้านักเรียน รองเท้ากีฬาและผ้าใบเด็ก) วัสดุก่อสร้าง ร้อยละ ๐.๐๒ (แผ่นไม้อัด ปูนซีเมนต์ กระเบื้องซีเมนต์ใยหินมุงหลังคา) ค่าน้ำประปา ๐.๗๔ สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาดบางชนิด [น้ำยาล้างจาน น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยารีดผ้า ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น (น้ำยาถูพื้น)] ค่ายาและเวชภัณฑ์ ร้อยละ ๐.๒๓ (ยาแก้ปวดลดไข้ ยาวิตามินบีคอมเพล็กซ์ ถุงยางอนามัย) ค่าของใช้ส่วนบุคคล สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๕ (ยาสีฟัน แชมพูสระผม กระดาษชำระ ผ้าอนามัย แป้งทาผิวกาย) และค่าโดยสารสาธารณะ สูงขึ้นร้อยละ ๑.๕๒ [ค่ารถเมล์เล็ก รถสองแถว ค่าโดยสารรถสามล้อเครื่องและค่าโดยสารรถประจำทางปรับอากาศ (ชั้น ๑ ชั้น ๒)] เป็นต้น ๑.๒.๒ สินค้าที่มีราคาเคลื่อนไหวลดลงตามการแข่งขันด้านการตลาดและการส่งเสริมการจำหน่าย ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ลดลงร้อยละ ๐.๐๒ บริภัณฑ์อื่น ๆ ลดลงร้อยละ ๐.๐๔ ประเภทหม้อหุงข้าวไฟฟ้า เตารีด เครื่องซักผ้า สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด ลดลงร้อยละ ๐.๑๙ (ผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ สารกำจัดแมลง/ไล่แมลง) อุปกรณ์ยานพาหนะ ลดลงร้อยละ ๐.๑๔ (ยางรถยนต์ แบตเตอรี่รถยนต์) และเบียร์ ลดลงร้อยละ ๐.๐๓ ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๑๕ เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๙ (เดือนเมษายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๐) โดยมีผลกระทบมาจากการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า วัสดุก่อสร้าง ค่าน้ำประปา ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าของใช้ส่วนบุคคลและค่าโดยสารสาธารณะ สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เตารีด เครื่องซักผ้า สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาดบ้าน และอุปกรณ์ยานพาหนะ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
| 2322 | สรุปผลการประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2555 | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจในภาพรวม และวิกฤติเศรษฐกิจยูโร พร้อมทั้งได้มีมติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เสนอ ดังนี้
๑. ให้มีคณะทำงานสำหรับการติดตามผลกระทบจากวิกฤตการเงินในยุโรป จำนวน ๓ คณะ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน จัดประชุมทุกสัปดาห์ แล้วนำเสนอผลการพิจารณาต่อที่ประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในสัปดาห์ถัดไป ๑.๒ คณะทำงานติดตามภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน จัดประชุมทุกสัปดาห์ แล้วนำเสนอผลการพิจารณาต่อที่ประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในสัปดาห์ถัดไป ๑.๓ คณะทำงานร่วมระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจในประเด็นที่เกี่ยวข้องรายวัน รายสัปดาห์ โดยให้จัดทำ Template เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานสถานการณ์ในรูปแบบเดียวกัน รวมทั้งวิเคราะห์สถานการณ์และกำหนด Trigger point เพื่อช่วยในการติดตามสถานการณ์และดำเนินมาตรการในกรณีต่าง ๆ ที่จำเป็นได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งศึกษาผลกระทบของการส่งออกของไทยไปกลุ่มยูโรโซนทั้งทางตรงและทางอ้อมแยกรายสาขาที่สำคัญ ๒. ให้กระทรวงการคลังติดตามข้อมูลผู้ประกอบการที่ทำการค้ากับประเทศในกลุ่มยูโรโซนโดยใช้ฐานข้อมูลลูกค้าของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ๓. ให้กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคม เสนอแนะแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงพาณิชย์ เตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นใน ๔ อุตสาหกรรม ได้แก่ สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ อัญมณี และยานยนต์
|
||||||||||||||||||
| 2323 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ พ.ศ. .... | พณ | 26/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดคำนิยามคำว่า “ทรัพย์สินทางปัญญา” “คณะกรรมการ” และ “กรรมการ” ๑.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “คทป.” ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยภาคราชการ จำนวน ๑๘ คน ภาคเอกชน จำนวน ๕ คน โดยมีอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นกรรมการและเลขานุการ ๑.๓ ให้คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ เช่น ๑.๓.๑ กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริม คุ้มครอง และการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา และด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ รวมถึง สั่งการ ตรวจสอบ และติดตามการปฏิบัติงานของส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม ๑.๓.๒ ติดตามการดำเนินการของส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ ๑.๓.๓ กำหนดแนวทางและมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพบุคลากร งบประมาณ อำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๓.๔ รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ๑.๔ ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ โดยมีอำนาจหน้าที่ เช่น รับผิดชอบในงานวิชาการและงานเลขานุการของคณะกรรมการฯ ตลอดจนศึกษา วิเคราะห์ข้อมูล ประเมินผลการปฏิบัติงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานตามระเบียบนี้ต่อคณะกรรมการฯ ๑.๕ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือและสนับสนุนในการปฏิบัติตามนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ รวมทั้งแผนปฏิบัติการและมาตรการต่าง ๆ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (ลสวทน.) เป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ในการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา จาก “กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริม คุ้มครอง และการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา” เป็น “กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริม คุ้มครอง และการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมให้มีการสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญาและการนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์” นอกจากนี้ เห็นควรให้คณะกรรมการฯ มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและรูปแบบการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาประเภทใหม่ที่สมควรได้รับการคุ้มครองนอกเหนือจากสิ่งที่กฎหมายให้การคุ้มครองไว้แล้ว โดยกำหนดนโยบายเพื่อสร้างระบบกฎหมายเฉพาะ (Sui Generis) ที่เหมาะสมกับประเทศไทย รวมทั้งให้คณะกรรมการฯ พิจารณาประชุมในเรื่องเร่งด่วนเพื่อให้สังคมไทยผลิตทรัพย์สินทางปัญญาของตนเองให้มากขึ้น ตลอดจนกำหนดแนวทางพัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากรภายใต้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||
| 2324 | (ร่าง) แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2555 - 2559) | กก | 26/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) เพื่อใช้เป็นกรอบและทิศทางในการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาการกีฬาของประเทศให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนใช้เป็นแนวทางในการวางแผนปฏิบัติการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้เกิดความต่อเนื่องในการพัฒนาการกีฬาของประเทศ และให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนงานด้านการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับแผนฯ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปสาระสำคัญของแผนฯ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ ๑.๑.๑ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้รับโอกาสในการออกกำลังกายและเล่นกีฬาอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ สร้างค่านิยมวิถีชีวิตรักการเล่นกีฬาและออกกำลังกาย สู่การมีสุขภาพและสมรรถภาพที่ดี ๑.๑.๒ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสังคมทุกภาคส่วนในการใช้กิจกรรมการออกกำลังกายและการเล่นกีฬาเป็นสื่อสร้างสังคมที่มีน้ำใจนักกีฬา มีคุณธรรม จริยธรรม และสามัคคีสมานฉันท์ ๑.๑.๓ เพื่อจัดหาและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการกีฬาให้เพียงพอ โดยเฉพาะสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สนามกีฬา วัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัย รวมทั้งการจัดให้มีผู้ฝึกสอนและอาสาสมัครการกีฬาประจำศูนย์และสนามกีฬา ๑.๑.๔ เพื่อปรับบทบาทของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ให้สนับสนุนภารกิจในการพัฒนานักกีฬาตั้งแต่ระดับเด็กและเยาวชน โดยจัดให้มีทุนการศึกษาและทุนสนับสนุนแก่เด็กและเยาวชนที่มีความสามารถและมีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้มีความสามารถสูงด้านกีฬาในระดับนานาชาติ ให้สามารถพัฒนาเป็นนักกีฬาทีมชาติที่สร้างชื่อเสียงและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เยาวชนของประเทศ ๑.๑.๕ เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุนและการบริจาคเพื่อพัฒนาการกีฬาด้วยมาตรการจูงใจที่เหมาะสม เช่น มาตรการภาษี มาตรการส่งเสริมการลงทุน และมาตรการการเงินภายใต้ความโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล ๑.๑.๖ เพื่อพัฒนากีฬาเพื่อความเป็นเลิศด้วยการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬามาประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง เพื่อพัฒนากีฬาที่มีศักยภาพไปสู่กีฬาอาชีพ รวมทั้งพัฒนาผู้ฝึกสอนและผู้ตัดสินให้ได้มาตรฐานสากล ๑.๑.๗ เพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการองค์กรกีฬา เพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการบริหารจัดการกีฬาในทุกมิติอย่างเป็นระบบ ๑.๑.๘ เพื่อสนับสนุนให้ผู้พิการเข้าถึงการกีฬาและการแข่งขันกีฬาในทุกระดับ เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถในนามทีมชาติไทยในการแข่งขันกีฬาและมหกรรมกีฬาต่าง ๆ ๑.๑.๙ เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางกีฬาของภูมิภาคและของโลก จัดให้มีการแข่งขันกีฬาและกีฬาคนพิการระดับโลกที่สำคัญ ๆ ตลอดจนการประชุมเกี่ยวกับกีฬาระดับภูมิภาคและระดับโลก เพื่อเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว โดยความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายเป็น “ทีมไทยแลนด์” ๑.๒ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาการออกกำลังกายและการกีฬาขั้นพื้นฐาน ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาการออกกำลังกายและการกีฬาเพื่อมวลชน ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาการกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การพัฒนาการกีฬาเพื่อการอาชีพ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา และยุทธศาสตร์ที่ ๖ การพัฒนาการบริหารการกีฬาและการออกกำลังกาย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการระบุความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานที่ถูกระบุในแต่ละยุทธศาสตร์ เพื่อให้ทราบถึงหน้าที่ความรับผิดชอบและสามารถดำเนินการได้ตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และให้มีมาตรการรองรับการใช้ประโยชน์จากสถานกีฬา อุปกรณ์กีฬา และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้การลงทุนในสถานกีฬาเกิดการสูญเปล่า การพิจารณากำหนดกระบวนการในการบริหารจัดการ หลักเกณฑ์ การกำกับดูแล และตรวจสอบการใช้จ่ายเงินอย่างเป็นระบบ การกำหนดแนวทางในการให้การสนับสนุนอย่างชัดเจนทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ผู้ให้การสนับสนุนจะได้รับ รวมทั้งแนวทางในการกำกับดูแล และตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของผู้รับการสนับสนุนเพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น การส่งเสริมให้นักกีฬามีอุปกรณ์กีฬาที่มีมาตรฐานและราคาถูกไว้ใช้อย่างแพร่หลาย การกำหนดเป้าหมายหลักให้ชัดเจนและกระชับภายใต้ประเด็นยุทธศาสตร์แต่ละประเด็นตามวัตถุประสงค์และมาตรการที่ต้องดำเนินการ การรณรงค์ให้เยาวชนและชุมชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ให้มากขึ้นโดยใช้กิจกรรมกีฬาเป็นเครื่องมือ เพื่อลดอัตราเสี่ยงในการใช้ยาเสพติด การพิจารณาแนวทางการเชื่อมโยงการจัดการแข่งขันกีฬาอย่างบูรณาการระหว่างภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในทุกระดับโดยเชื่อมโยงกับกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม/ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ในพื้นที่จัดการแข่งขันกีฬา กิจกรรมการส่งเสริมสินค้า/ผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น OTOP เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทั้งในระดับชุมชน จังหวัด และประเทศอย่างครบวงจร การให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรที่มีอยู่โดยต่อยอดองค์ความรู้ เสริมทักษะ รวมทั้งการเชื่อมโยงความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬาสู่กลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ และมีแนวทางที่ชัดเจนในการสร้างความตื่นตัว ส่งเสริมความรู้ พัฒนาทักษะให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนทุกกลุ่มที่สอดคล้องกับความสนใจ และศักยภาพ ให้มีโอกาสในการพัฒนาตนเองด้านกีฬา การออกกำลังกาย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 2325 | การจัดการข้าวที่จะบริจาคให้สาธารณรัฐเฮติในส่วนที่เหลือ จำนวน 1,599.39 ตัน | กต | 19/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงพาณิชย์รับเรื่อง การจัดการข้าวที่จะบริจาคให้สาธารณรัฐเฮติในส่วนที่เหลือ จำนวน ๑,๕๙๙.๓๙ ตัน ไปหารือในรายละเอียดกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการจำหน่ายข้าวที่บริจาคให้สาธารณรัฐเฮติในส่วนที่เหลือในท้องตลาดให้ถูกต้องและเป็นไปตามกฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ หากมีเหตุขัดข้องประการใดทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||
| 2326 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (จำนวน 3 คน 1. นายประสิทธิ์ โฆวิไลกูล ฯลฯ) | พณ | 19/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า จำนวน ๓ คน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายประสิทธิ์ โฆวิไลกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๒. นายณัฐศิลป์ จงสงวน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ๓. นายประสิทธิ์ ดำรงชิตานนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเกษตร
|
||||||||||||||||||
| 2327 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีการดำเนินตามนโยบายของรัฐบาลในการรับจำนำข้าวเปลือก | ปช | 19/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรียืนยันว่า การดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในการยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตร รวมทั้งเป็นการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกรในชนบทตามแนวนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาทุกประการ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ยืนว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวมีมาตรการและกลไกในการควบคุมกำกับดูแลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีระบบการตรวจสอบให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้ แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดำเนินโครงการทั้งในระดับพื้นที่และในระดับปฏิบัติการมีประสิทธิภาพและป้องกันการทุจริต จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) สั่งการให้หน่วยงานในกำกับ ดำเนินการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในระดับปฏิบัติ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ให้ความร่วมมือ หากตรวจสอบพบกรณีทุจริตให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2328 | สรุปผลการประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4/2555 | นร | 19/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมหารือเพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยที่ประชุมได้รับทราบสรุปสถานการณ์ เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และวิกฤติเศรษฐกิจยูโรโซน พร้อมทั้งมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เสนอ และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้
๑. ปัญหาของกรีซเป็นปัญหาจากการที่ประเทศซึ่งมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างกันเข้ามาร่วมใช้เงินสกุลเดียวกัน ส่งผลให้ขาดนโยบายการเงินในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เช่น ไม่สามารถลดค่าเงินให้เหมาะสมได้ จำเป็นต้องพึ่งนโยบายการคลังเพียงอย่างเดียว ดังนั้น การช่วยเหลือกรีซโดยการให้เงินกู้เพิ่มเติมก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และอาจจะลุกลามไปถึงโปรตุเกส สเปน และอิตาลี และส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกในที่สุด จึงเป็นความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง ๒. อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสม เนื่องจากยังมีความเสี่ยงที่สถานการณ์เศรษฐกิจในยุโรปอาจส่งผลให้มีเงินไหลออกจากประเทศแถบเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ๓. ควรมีการวางแผนเตรียมการรองรับผลกระทบทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น โดยมีข้อมูลของสถาบันการเงินในประเทศแต่ละแห่งว่ามีเงินจากยุโรปที่มีความเสี่ยงที่จะไหลออกอยู่เท่าไร และเตรียมการบริหารสภาพคล่องให้เพียงพอในกรณีที่มีเงินไหลออกเพื่อมิให้กระทบต่อค่าเงินและเศรษฐกิจไทย และในกรณีที่เศรษฐกิจยุโรปกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และส่งผลให้ลูกหนี้ของธนาคารประสบปัญหา ควรเตรียมมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการจัดชั้นเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้พร้อม ๔. กระทรวงการคลังควรเตรียมการล่วงหน้าถึงกรณีที่วิกฤติเศรษฐกิจยุโรปกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าจะมีมาตรการใดเหมาะสมที่จะดำเนินการ เช่น การจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้น เป็นต้น ๕. กระทรวงพาณิชย์ควรวิเคราะห์ข้อมูลการส่งออกของไทยที่ส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ในยุโรป และความเชื่อมโยงถึงห่วงโซ่การผลิตในประเทศลงไปถึงระดับผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อเตรียมช่วยเหลือในกรณีที่วิกฤติเศรษฐกิจยุโรปส่งผลถึงการส่งออกและภาคการผลิตของไทย ๖. กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนพิเศษของไทยในยุโรป ที่คอยติดตามข้อมูลเชิงลึกของสถานการณ์ และประสานกับรัฐบาลของประเทศในยุโรปให้เห็นถึงความสำคัญของประเทศไทย เช่น โอกาสการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ของไทย ที่จะนำเข้าเครื่องมือเครื่องจักรจากยุโรป เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ประเทศในยุโรปใช้มาตรการกีดกันการค้าในช่วงเศรษฐกิจยุโรปประสบปัญหา ๗. กระทรวงแรงงานควรเตรียมมาตรการช่วยเหลือแรงงานหากประสบปัญหาการเลิกจ้างของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป ๘. ควรให้มีการประชุมหารือระหว่างรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ๙ กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพลังงาน กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อติดตามสถานการณ์และเตรียมมาตรการรองรับได้ทันท่วงที ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นเจ้าภาพ ๙. ควรมอบหมายกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งทีมงานติดตามสถานการณ์และรายงานข้อมูลอย่างใกล้ชิดต่อนายกรัฐมนตรี ๑๐. ควรแสวงหาโอกาสจากวิกฤติ เช่น เร่งรัดโครงการลงทุนที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศในช่วงที่เงินทุนในโลกต้องการหาแหล่งเงินลงทุนนอกยุโรป
|
||||||||||||||||||
| 2329 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2555 | กษ | 19/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการ กนป. เสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติรับทราบการแต่งตั้งคณะทำงานยกร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม และคณะทำงานยกร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มปี ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะทำงานทั้ง ๒ คณะ ตามมติ กนป. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ และประธานกรรมการ กนป. ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานฯ ทั้ง ๒ คณะ เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ๒. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำมันพืชปาล์ม กรณีให้มีการนำเข้าน้ำมันปาล์ม ๔๐,๐๐๐ ตัน โดยนำเข้าแล้ว ๑๐,๐๐๐ ตัน และส่งมอบแล้วเมื่อวันที่ ๘ - ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ รวมทั้งออกประกาศกระทรวงพาณิชย์เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการส่งออกน้ำมันปาล์มในอัตรา ๑๐ บาท/กิโลกรัม ดังนี้ ๒.๑ ไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศ ส่วนที่เหลืออีก ๓๐,๐๐๐ ตัน ๒.๒ ไม่เห็นด้วยกับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบในอัตรากิโลกรัมละ ๑๐ บาท การเก็บค่าธรรมเนียมควรมีการหารือผู้เกี่ยวข้อง ๒.๓ ไม่เห็นด้วยกับการควบคุมราคาขายปลีกน้ำมันพืชปาล์มบริสุทธิ์ที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตและควรพิจารณาหามาตรการดูแลฝ่ายต่าง ๆ ให้เหมาะสม ๒.๔ การพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบในระยะสั้นและระยะยาว ให้คณะทำงานยกร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม และคณะทำงานยกร่างแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มปี ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ เร่งรัดดำเนินการ ทั้งนี้ ประธานกรรมการ กนป. จะได้หารือร่วมกับฝ่ายบริหารเพื่อพิจารณาการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำมันพืชปาล์มอย่างเร่งด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2330 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าให้แก่มันสำปะหลังและสินค้าเกษตรอื่น | พณ | 12/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าให้แก่มันสำปะหลังและสินค้าเกษตรอื่น ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าให้แก่มันสำปะหลัง รวมทั้งพืชผลการเกษตรชนิดอื่นที่กำลังประสบปัญหาการตลาด เช่น หอมแดง กระเทียม โดยมีมาตรการดำเนินการในภาพรวม ดังนี้ ๑.๑ ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value added) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับสินค้ามันสำปะหลัง โดยส่งเสริมเกษตรกรและลานมัน แปรรูปสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาด การสร้างรายได้เสริมจากการขายผลิตผลพลอยได้จากมันสำปะหลัง (By product) และการส่งเสริมให้มีการแปรรูปและส่งออกในรูปของสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ๑.๒ ส่งเสริมวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยสนับสนุนเงินวิจัยและพัฒนาผ่านกองทุน FTA สำหรับสินค้าเกษตร เช่น ส้ม ลำไย กระเทียม ฯลฯ โดยสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโดยสนับสนุนเงินวิจัยผ่านกองทุน FTA ๑.๓ จัดหาตลาดให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะสินค้าที่ประสบปัญหา เช่น ส้ม หอมแดง/กระเทียม ลำไยและน้ำผึ้ง โดยให้เกษตรกรสามารถนำผลิตผลไปจำหน่ายให้กับผู้บริโภคได้โดยตรงในงานธงฟ้า หรืองานอื่น ๆ ของหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๑.๔ ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกด้านการส่งออก เช่น อำนวยความสะดวกด้านการออกหนังสือรับรองให้รวดเร็วและถูกต้อง (one stop service) ติดตามข้อมูลสถานการณ์ทางการค้าของประเทศคู่ค้า/คู่แข่ง และแจ้งให้กับผู้ส่งออกทราบเป็นระยะ ๆ จัดคณะผู้แทนร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องไปพบปะเจรจากับผู้นำเข้าและหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลนโยบายการนำเข้าสินค้าเกษตรสำคัญ เป็นต้น ๑.๕ จัดระเบียบและบริหารการนำเข้า - ส่งออก โดยเฉพาะสินค้าที่อาจมีผลกระทบกับสินค้าเกษตรที่ผลิตได้ในประเทศ เช่น มันสำปะหลัง หอมแดง กระเทียม เป็นต้น โดยให้มีมาตรการกำกับดูแลการนำเข้าสินค้าที่เข้มงวดยิ่งขึ้น เช่น ให้ขึ้นทะเบียนผู้นำเข้า และให้รายงานปริมาณการนำเข้า เป็นต้น ๒. จัดทำร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดมาตรการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... ครอบคลุม ๑๕ กลุ่มสินค้า โดยมีสินค้ามันสำปะหลังและสินค้าเกษตรที่สำคัญเกือบทุกประเภทรวมอยู่ด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา หากเรียบร้อยแล้วจะดำเนินการออกระเบียบและจัดระบบมาตรการส่งออกและนำเข้าสินค้าดังกล่าว |
||||||||||||||||||
| 2331 | ผลการจัดอันดับประเทศไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี 2555 | พณ | 12/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการจัดอันดับประเทศไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๕๕ โดยเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative - USTR) ได้ประกาศผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี ๒๕๕๕ โดยคงไทยเป็นประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List - PWL) เช่นเดิม โดยให้เหตุผลว่า ไทยยังไม่ประสบความสำเร็จในการดำเนินการเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ในปีที่ผ่านมา ได้แก่ เรื่องการปรับแก้ไขกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่ยังไม่คืบหน้า เช่น กฎหมายป้องกันการแอบถ่ายในโรงภาพยนตร์ กฎหมายเอาผิดเจ้าของพื้นที่ที่สนับสนุนการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายลิขสิทธิ์เพื่อพัฒนาระบบการคุ้มครองงานบนเครือข่ายดิจิทัล อินเทอร์เน็ต และเคเบิลทีวี กฎหมายป้องกันและปราบปรามการขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ต และกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจจับสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นสินค้าผ่านแดนและผ่านลำเรือ เป็นต้น ทั้งนี้ สหรัฐฯ เรียกร้องให้ไทยปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมาย แก้ไขปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ ละเมิดเครื่องหมายการค้า และปรับบทลงโทษผู้กระทำผิดให้สามารถป้องกันการกระทำความผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งขอให้ไทยปรับปรุงประสิทธิภาพการคุ้มครองข้อมูลการทดสอบยาและสารเคมีทางการเกษตร เพื่อป้องกันการใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างไม่เป็นธรรม และเรียกร้องให้ไทยให้ความสำคัญกับการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาในสินค้ายาโปร่งใส และแก้ไขปัญหาการสาธารณสุขควบคู่ไปกับการสนับสนุนระบบสิทธิบัตรที่ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา และการสร้างสรรค์นวัตกรรม
|
||||||||||||||||||
| 2332 | สรุปผลการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าในการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ความคืบหน้าการดำเนินการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ผ่านระบบการประชุมทางไกล (video conference) | นร | 12/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าในการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ความคืบหน้าการดำเนินการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งเรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการและมอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (video conference) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ และให้รัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี มีดังนี้ ๑.๑ ให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบแต่ละจังหวัดดูแลและเร่งรัดให้มีการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากบ้านเรือนเสียหายอันเนื่องมาจากน้ำท่วมโดยเร็ว รวมทั้งการเบิกจ่ายเงินงบประมาณโครงการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ๑.๒ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามดูแลในเรื่องของการเยียวยา ช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณโครงการที่ใช้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท และโครงการที่ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) โดยให้ดูแลในภาพรวมของทุกโครงการที่ดำเนินการอยู่ในจังหวัดด้วย ไม่ว่าจะเป็นโครงการของหน่วยงานใด หากพบว่าเรื่องใดมีปัญหาอุปสรรค หรือมีสิ่งใดที่จะต้องแก้ไขหรือดำเนินการเพิ่มเติมให้แจ้งส่วนกลางเพื่อร่วมกันแก้ไขต่อไป ๑.๓ ให้จังหวัดรายงานความก้าวหน้าการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยผ่านทางระบบ PMOC Flood Recovery โดยปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือนนับตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลพื้นที่สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการลงพื้นที่ตรวจติดตาม โดยหากมีระบบ GPS ให้รายงานข้อมูลพิกัดของพื้นที่ที่ดำเนินการ เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงแผนที่ GPS ของส่วนกลาง ทั้งนี้ ให้พิจารณาปรับแผนการขอใช้งบประมาณให้สอดคล้องกับความเร่งด่วนของโครงการที่จะต้องดำเนินการในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ๑.๔ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสำรวจความสมบูรณ์และความพร้อมของระบบเตือนภัยในท้องถิ่น โดยให้มีการเชื่อมโยงไปถึงชุมชน และให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการการติดตั้งระบบให้ครอบคลุมไปยังชุมชนให้ครบถ้วน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีฝนตกหนักและน้ำท่วมขังเป็นประจำ ๑.๕ ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำพื้นที่รับน้ำและทางระบายน้ำ และการป้องกันมิให้มีการรุกล้ำพื้นที่เพิ่มเติมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๖ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสำรวจพื้นที่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของทั้ง ๒๕ ลุ่มน้ำ ว่ามีพื้นที่ส่วนใดที่ยังไม่ได้ดำเนินการขุดลอกคูคลอง แล้วให้รายงานข้อมูลผ่านระบบ PMOC Flood Recovery และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม (กองทัพไทย) เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการบำรุงรักษาคูคลองที่ขุดลอกแล้วให้คงอยู่ในสภาพเดิมต่อไป ๑.๗ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดูแลเรื่องการรักษาแหล่งน้ำต่าง ๆ โดยให้คำนึงถึงพื้นที่เพื่อการเกษตรด้วย ซึ่งเรื่องนี้จะนำไปพิจารณาในการประชุมเชิงปฏิบัติการที่จะขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดให้มีขึ้น ซึ่งจะพิจารณาในภาพรวมของการเกษตรทั้งในเรื่องของ Zoning การใช้น้ำ รวมถึงปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง ในชั้นนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพในทางเศรษฐกิจและให้ผลผลิตที่ดี เนื่องจากต่อไปนี้จะไม่ส่งเสริมให้ปลูกพืชล้มลุกตามเชิงเขา และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณากำหนดให้ชัดเจนในเรื่องการใช้น้ำในระบบชลประทานเพื่อการเกษตรของแต่ละจังหวัดอย่างเต็มประสิทธิภาพตามแนวพระราชดำริ เนื่องจากต่อไปรัฐบาลจะจัดทำแผนการส่งเสริมสินค้าเกษตรของแต่ละจังหวัดให้สอดคล้องกับสินค้าที่มีศักยภาพในการที่จะสร้างรายได้ให้แก่จังหวัดอย่างแท้จริง ๑.๘ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและเป็นไปในลักษณะเชิงรุก โดยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยเพื่อให้การดูแลประชาชนในเรื่องต่าง ๆ เป็นไปอย่างทั่วถึง และให้กระทรวงมหาดไทยใช้กลไกท้องถิ่นเพื่อดูแลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่เพื่อมิให้มีเรื่องการเมืองเข้ามาแทรกแซงการดำเนินการ ในกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและมีการชุมนุมเรียกร้อง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว และเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้เรียกร้อง ตลอดจนหาทางช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเพื่อมิให้การชุมนุมลุกลาม หากผู้ชุมนุมเรียกร้องใช้วิธีการปิดถนน ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ๑.๙ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และกระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลด้านภัยพิบัติให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยใช้ศาลากลางจังหวัดเป็นศูนย์บัญชาการประจำจังหวัด (single command) ทำหน้าที่เป็นส่วนหน้าในการรวบรวมและประมวลข้อมูลทั้งหมดเพื่อส่งต่อให้ส่วนกลาง ๑.๑๐ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในเชิงรุก โดยให้ความสำคัญในการสร้างความตระหนักถึงภัยและอันตรายของยาเสพติด รณรงค์ให้มีการแจ้งเบาะแส การป้องกัน และให้ความสำคัญในการแยกแยะกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ในสถานศึกษาและชุมชน ๑.๑๑ รัฐบาลจะใช้เรื่องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การแก้ไขปัญหาอุทกภัยและการบริหารจัดการน้ำในจังหวัด การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และการป้องกันปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเครื่องชี้วัดประเมินผลการปฏิบัติงาน ดังนั้น ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้ใต้บังคับบัญชาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนให้ร่วมมือกันทำงานอย่างจริงจัง เพื่อที่จะสามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง ๒. ในกรณีเกิดสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของราษฎรในพื้นที่ เช่น น้ำหลาก ดินถล่ม เป็นต้น และมีความฉุกเฉินจำเป็นที่จะต้องดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เห็นชอบเป็นหลักการให้จังหวัดที่เกี่ยวข้องประสานงานโดยตรงกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานในพื้นที่เพื่อดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงทีต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2333 | ขยายระยะเวลารับจำนำมันสำปะหลัง และแผนการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง | พณ | 12/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ที่อนุมัติให้ขยายระยะเวลารับจำนำมันสำปะหลัง โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ออกไปอีก ๑ เดือน จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ราคารับจำนำหัวมันสดเชื้อแป้งร้อยละ ๒๕ กิโลกรัมละ ๒.๙๐ บาท ส่วนหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการดำเนินโครงการฯ อื่น ๆ ให้เป็นไปตามเดิม ๑.๒ เห็นชอบแผนการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (มันสำปะหลังเส้นและแป้งมันสำปะหลัง) ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ด้วยวิธีการเจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) การขายเป็นการทั่วไป การขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) และการขายเป็นกรณีพิเศษ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังต้องสอดคล้องกับสถานการณ์แนวโน้มราคาของตลาด และเป็นราคาที่เหมาะสม เพื่อเป็นประโยชน์แก่ภาครัฐมากที่สุด และรายงานผลการดำเนินการระบายและผลกำไรขาดทุนให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่องทุกเดือนจนสิ้นสุดโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 2334 | การประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ | นร | 12/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในขณะนี้มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรปอาจส่งผลกระทบรุนแรงไปยังประเทศในภูมิภาคอื่นที่เป็นลูกค้า รวมทั้งประเทศไทย จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงด้านเศรษฐกิจ เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น เพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจดังกล่าวอย่างใกล้ชิดทุก ๆ สัปดาห์ และกำหนดยุทธศาสตร์และมาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับและดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นให้ทันต่อสถานการณ์ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นฝ่ายเลขานุการ และให้นายนิรุตติ คุณวัฒน์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เข้าร่วมในการหารือด้วย และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๆ สัปดาห์
|
||||||||||||||||||
| 2335 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนเมษายน 2555 | พณ | 05/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๒ (เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๙) จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหาร และเครื่องดื่ม ร้อยละ ๐.๖๕ และหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๐.๒๖ เป็นผลมาจากการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงตามการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามนโยบายรัฐบาล ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิต โดยสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ สินค้าประเภท ข้าวสารเจ้า เนื้อสุกร ปลาน้ำจืด นมและผลิตภัณฑ์นม ผลไม้สด อาหารสำเร็จรูป เครื่องแบบนักเรียน ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าน้ำประปา สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด ค่าของใช้ส่วนบุคคล ยานพาหนะและน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น ขณะที่สินค้าประเภทผักสด ไก่สด ปลาน้ำทะเลสด ไข่ไก่ ไข่เป็ด และบริภัณฑ์อื่น ๆ (เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น) มีราคาลดลงตามภาวะตลาด ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๐ (เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๓) โดยมีผลกระทบมาจากการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ค่าของใช้ส่วนบุคคล วัสดุก่อสร้าง ค่าน้ำประปา สิ่งทอสำหรับใช้ในบ้าน สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด ค่ายาและเวชภัณฑ์ สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ ผ้าและเสื้อผ้า และเครื่องบริภัณฑ์อื่น ๆ (เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น) เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
| 2336 | การขออนุมัติค่าใช้จ่ายการระบายข้าวเปลือกในยุ้งฉางเกษตรกรตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 | กค | 05/06/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติค่าใช้จ่ายในการขนย้ายข้าวเปลือกจากยุ้งฉางเกษตรกรถึงจุดรับมอบข้าวเปลือกให้เกษตรกร จำนวน ๑๗๖,๙๑๐.๐๔ ตัน ในอัตราไม่เกินตันละ ๓๐๐ บาท เป็นเงินทั้งสิ้น ๕๓.๐๗ ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายในกรอบวงเงินและปริมาณตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ได้รับจัดสรรภายใต้โครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร รายการค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ซึ่งค่าใช้จ่ายรายการดังกล่าวได้ครอบคลุมถึงการดำเนินการตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ ธ.ก.ส. ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการรับมอบข้าวเปลือกที่หลุดจำนำยุ้งฉางเกษตรกร การจัดหาโรงสีเพื่อสีแปรสภาพเป็นข้าวสารส่งมอบเข้าโกดังกลางตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด และการตรวจสอบสภาพข้าวเปลือกที่ขนย้ายมายังจุดรวบรวม/รับมอบ รวมทั้งประชาสัมพันธ์และขอความร่วมมือให้เกษตรกรดำเนินการคัดแยกข้าวเปลือกที่ได้คุณภาพ และสีแปรสภาพเป็นข้าวสารเข้าคลังกลางตามหลักเกณฑ์ นอกจากนี้ เห็นควรตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องก่อนการเบิกจ่ายเงิน รวมถึงต้องเข้มงวดในการตรวจสอบความถูกต้องของชนิดและปริมาณข้าวเปลือกที่จะขนย้ายมายังจุดรวบรวม และเตรียมแผนในการเร่งระบายข้าวที่รับมอบโดยเร็ว เพื่อลดภาระด้านค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาและป้องกันไม่ให้ข้าวเสื่อมคุณภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 2337 | การกู้เงินเพื่อเป็นค่ารับซื้อสับปะรดโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรด ปี 2555 | กษ | 29/05/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อรับซื้อสับปะรดสดจากเกษตรกรตามโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดปี ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้ อ.ต.ก. กู้ยืมเงินจาก ธ.ก.ส. โดยใช้จากวงเงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ในกรอบวงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรับซื้อสับปะรดสดจากเกษตรกรตามปริมาณการรับซื้อจริง โดยมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (ต้นทุนเงิน) FDR + 1 ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ที่สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รองรับไว้แล้ว โดยรัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยจากการกู้เงินที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีการดำเนินงานให้ชัดเจน การตรวจสอบสินค้าที่ได้จากการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์กระป๋อง การบริหารจัดการสินค้าและการระบายสินค้าให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การเร่งรัดดำเนินการจำหน่ายสับปะรดกระป๋องที่ผลิตได้และนำรายได้จากการขายส่งคืนคลังเพื่อเป็นรายได้แผ่นดิน การรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกไตรมาส จนกว่าการระบายจำหน่ายสับปะรดกระป๋องจะเสร็จสิ้น การเตรียมความพร้อมตั้งแต่การกำหนดจุดรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร การขนส่ง และการจัดหาโรงงานผลิตแปรรูป การจัดทำแผนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สับปะรดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนการกำหนดเขตการผลิตที่เหมาะสมและมีศักยภาพของพื้นที่เพาะปลูก โรงงาน และตลาดรองรับในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) หารือร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดกลไกและกระบวนการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรชนิดต่าง ๆ มีราคาตกต่ำให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบและความเดือดร้อนแก่เกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2338 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2554 และเรื่อง มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2554 มติ 1 ความปลอดภัยทางอาหาร : การจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ | สช | 29/05/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔ รวม ๔ มติ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยให้อยู่ภายในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑.๑ มติ ๒ การจัดการปัญหาการฆ่าตัวตาย (สุขใจ...ไม่คิดสั้น) ๑.๒ มติ ๓ การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ๑.๓ มติ ๔ การบริหารจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำขนาดเล็กอย่างยั่งยืนโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของเครือข่ายและภาคีทุกภาคส่วน ๑.๕ มติ ๕ การจัดการปัญหาโฆษณาที่ผิดกฎหมายของยา อาหาร และผลิตภัณฑ์สุขภาพทางวิทยุกระจายเสียง สื่อโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต ๑.๖ มติ ๖ การเข้าถึงบริการอาชีวอนามัยเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของคนทำงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับมติ ๓ การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ที่เห็นว่า การจัดตั้งกองทุนระดับชาติเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ควรพิจารณาขยายอำนาจหน้าที่ของกองทุนการประกันภัยพิบัติซึ่งมีอยู่แล้วให้ครอบคลุมการบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างรอบด้านโดยไม่จำเป็นต้องให้มีการจัดตั้งกองทุนขึ้นใหม่ และเน้นการใช้กองทุนบริหารจัดการภัยพิบัติในระดับชาติแทนการจัดตั้งกองทุนในระดับท้องถิ่นเพื่อป้องกันปัญหาความไม่ยั่งยืนในเชิงการคลังของกองทุน โดยส่งเสริมให้ชุมชนมีบทบาทในการสนับสนุนการดำเนินงานของกองทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าร่วมประเมินและบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติในพื้นที่ และการลำเลียงความช่วยเหลือไปสู่ผู้ประสบภัย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔ มติ ๑ ความปลอดภัยทางอาหาร : การจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยให้อยู่ภายในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การจัดการน้ำมันทอดซ้ำที่เสื่อมสภาพ เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการอาหารทอดมีความรู้ ความเข้าใจ เกิดการเฝ้าระวังการใช้น้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพไปสู่การผลิตไบโอดีเซล เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายพลังงานทดแทน รวมทั้งการให้ความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักเกี่ยวกับความเป็นพิษของการใช้น้ำมันทอดซ้ำ โดยการเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ พร้อมทั้งพัฒนาวิธีวิเคราะห์สารประกอบโพลาร์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ ๒๘๓ พ.ศ. ๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดปริมาณสารโพลาร์ในน้ำมันที่ใช้ทอดหรือประกอบอาหารเพื่อจำหน่าย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 2339 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ | พณ | 29/05/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการส่งออกก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๐ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ในวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๘,๖๔๐,๐๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๒๗๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ ๓๒ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๘,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ ๕๗๖,๐๐๐ บาท สำหรับงบประมาณส่วนที่เหลือให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้แล้ว จำนวน ๑,๘๖๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการส่งออกรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังที่เห็นควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเช่าพื้นที่อาคาร โดยคำนึงถึงขนาดพื้นที่ที่เหมาะสมกับอัตรากำลังและประโยชน์ในการใช้สอย ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา รวมทั้งศึกษากฎหมายและ/หรือประเพณีของการเช่าอาคารในแต่ละประเทศเกี่ยวกับการจัดทำสัญญาเช่าและเงื่อนไขหรือข้อตกลงอื่น เพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ นอกจากนี้ เปรียบเทียบอัตราค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีขนาดและสภาพใกล้เคียงกับที่จะเช่ากับผู้ให้เช่ารายอื่น โดยอัตราค่าเช่าครั้งหลังสุดต้องไม่สูงกว่าอัตราตามท้องตลาดและบันทึกเหตุผลที่ต้องเบิกจ่ายในอัตรานั้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 2340 | การแก้ไขปัญหาพืชเกษตรมีราคาตกต่ำ | นร | 20/05/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการแก้ไขปัญหาพืชเกษตรมีราคาตกต่ำ ดังนี้
๑. แนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาพืชเกษตรมีราคาตกต่ำเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเกิดผลดีทั้งแก่เกษตรกรผู้เพาะปลูก และประชาชนผู้บริโภค คือ การส่งเสริมการปลูกพืชผลไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ มีคุณภาพดี ที่มีต้นกำเนิดและเพาะปลูกได้ดีในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งมีการกำหนดพื้นที่ (Zoning) สำหรับเพาะปลูกพืชดังกล่าวให้เหมาะสม เพื่อให้มีผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณสอดคล้องกับความต้องการของตลาด เช่น กรณีส้มโอซึ่งถือว่าเป็นพืชผลไม้ที่เป็นเอกลักษณ์และเพาะปลูกได้ดีในเขตพื้นที่ ๓ จังหวัด คือ จังหวัดนครปฐม สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม จึงควรมีการส่งเสริม พัฒนาสายพันธุ์ และสนับสนุนให้เพาะปลูกในพื้นที่ ๓ จังหวัดดังกล่าว โดยอาจจะกำหนดเป็นสินค้า ๑ จังหวัด ๑ ผลิตภัณฑ์ ชนิดหนึ่งเพื่อส่งเสริมการตลาดด้วย จึงมอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับแนวทางดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการและประยุกต์ใช้กับพืชเกษตรชนิดอื่น ๆ ต่อไป ๒. จากการลงพื้นที่สำรวจสินค้าในตลาดพบว่า ราคาสินค้าโดยเฉพาะพืชผักชนิดต่าง ๆ ที่กำหนดจากแหล่งผลิตไปถึงขั้นตอนการค้าส่ง ค้าปลีก ไปจนถึงผู้บริโภค นั้น ในแต่ละขั้นตอนมีราคาแต่ละช่วงสูงขึ้นมาก ทำให้ราคาจำหน่ายปลีกแก่ผู้บริโภคเป็นราคาที่สูงเกินสมควร จึงมอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปศึกษาแนวทางการคำนวณราคาต้นทุนและราคาจำหน่ายสินค้าพืชผักต่าง ๆ ให้เป็นระบบ เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้มีส่วนได้เสียในทุกขั้นตอน จากต้นทางถึงปลายทางสู่ผู้บริโภค แล้วรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยด่วน
|
||||||||||||||||||
.....
