ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 10 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 194 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และขั้นตอนการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับนักท่องเที่ยว | นร. | 21/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยอันจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข
และขั้นตอนต่าง ๆ ในการดำเนินการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund) ของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางออกจากประเทศไทยให้มีความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
22 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 | นร.01 | 21/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาในการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ. ๒๕๔๒ ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ตามที่คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
23 | (ร่าง) แผนปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาด พ.ศ. 2566 - 2570 ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 | สธ. | 14/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง)
แผนปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาด พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐
ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นแผนต่อเนื่องฉบับที่ ๓
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบการดำเนินงาน ป้องกัน
และควบคุมโรคติดต่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งในระดับประเทศและในระดับพื้นที่
โดย (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วย (๑) การพัฒนานโยบาย มาตรการกฎหมาย
และกลไกการบริหารจัดการการป้องกันควบคุมโรคติดต่อ (๒) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
และยกระดับการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคติดต่อ (๓) การยกระดับการจัดการภาวะฉุกเฉินจากโรคติดต่อ
(๔) การพัฒนากำลังคนและเครือข่ายความร่วมมือระดับชาติและนานาชาติ และ (๕)
การพัฒนาการสื่อสารความเสี่ยงและระบบสนับสนุนการป้องกันควบคุมโรคติดต่อ ตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเสนอ
และให้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงศึกษาธิการ เช่น ขอให้พิจารณาแก้ไขข้อมูลหน้า
๓๕ หัวข้อนโยบายการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อ ข้อ ๓. และหน้า ๑๐๕
ข้อ ๓๑. โดยแก้ไขจากคำว่า “โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน” เป็น “โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน”
เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่กล่าวถึงโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคนในส่วนอื่น ๆ ของ
(ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามภารกิจความจำเป็นและเหมาะสม
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
และ/หรือพิจารณาเงินนอกงบประมาณ รวมถึงรายได้ หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานมีอยู่
หรือสามารถนำมาใช้จ่ายสมทบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ในการจัดทำแผนปฏิบัติการฯ ระยะต่อไป ควรพิจารณาผนวกรวมกับแผนปฏิบัติการด้านเตรียมความพร้อม
ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ และแผนต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน
และควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาดไว้เป็นแผนเดียวกัน
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือ ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาดให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพและลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน
รวมทั้งอาจพิจารณาเพิ่มเติมในส่วนของระบบการเฝ้าระวังโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน
(vaccine preventable diseases) ในประเทศไทย
รวมถึงการเคลื่อนย้ายของแรงงานจากประเทศใกล้เคียงปกติ และในสถานการณ์การระบาด
เนื่องจากการติดตามประวัติการฉีดวัคซีน และสถานะสุขภาพอาจจะต้องมีระบบเพื่อรองรับ
และควรให้ความสำคัญในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy)
เกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อหรือโรคระบาดในภาคประชาชนและในภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน
โดยเฉพาะภาคการศึกษา เน้นพัฒนาเครื่องมือและสารสนเทศที่ใช้ในการสื่อสารที่มีความหลากหลายและเหมาะสมกับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย
เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในการป้องกันควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาด
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
24 | ข้อเสนอแนะกรณีสายการบินปฏิบัติต่อคนพิการไม่เหมาะสม | สม. | 14/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะกรณีสายการบินปฏิบัติต่อคนพิการไม่เหมาะสม
โดยพิจารณาข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใด ๆ
เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน
เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๔๗ (๓)
และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐
มาตรา ๒๖ (๓) (ตามข้อ ๒.๓) ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ
๒.
มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย บริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว
โดยให้กระทรวงคมนาคมสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
25 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในกฎหมายที่กระทรวงกลาโหมรับผิดชอบ | กห. | 07/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในกฎหมายที่กระทรวงกลาโหมรับผิดชอบ
ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
26 | การยกระดับหน่วยงานในการส่งเสริมและกำกับดูแลอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลไทย | นร. | 07/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ปัจจุบันการผลิตอาหารฮาลาลเพื่อส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศมีมูลค่ามากกว่า
๖ พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของไทยที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น เพื่อเป็นการยกระดับการส่งเสริมและผลักดันอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของไทยให้เติบโตต่อไป
สมควรจะมีหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจในการส่งเสริมและกำกับดูแลการประกอบการอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยอย่างเป็นระบบครบวงจรเป็นการเฉพาะ
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับเรื่องนี้ไปประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม
และเป็นไปได้ในการยกระดับหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลและจัดตั้งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจในเรื่องนี้อย่างครบวงจรเป็นการเฉพาะ
เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลในภูมิภาคนี้ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
27 | รายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี พ.ศ. 2566 | พณ. | 07/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐอเมริกาว่าด้วยว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ
ดำเนินการส่งเสริมการคุ้มครองและป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาให้มีประสิทธิภาพ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย ได้แก่
กระทรวงกลาโหม (กองทัพบกและกองทัพเรือ) กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร)
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม (กรมสอบสวนคดีพิเศษ)
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการพอกเงิน
และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติกวดขันปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจังและเต็มประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในท้องตลาดและช่องทางออนไลน์และเร่งดำเนินคดีกับผู้ผลิตสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาต้นน้ำ
การละเมิดลิซสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในภาคเอกชนและการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ผ่านอุปกรณ์หรือแอปพลิเคชันสำหรับการสตรีมและดาวน์โหลด ๒. หน่วยงานภาครัฐปฏิบัติตาม “แนวทางการจัดซื้อจัดจ้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์
(Software : ซอฟต์แวร์)
และการใช้งานซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ”
อย่างเคร่งครัดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๔ ๓.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาเร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสิทธิบัตร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
เพื่อนำไปสู่การออกกฎหมายให้เท่าทันกับสถานการณ์และรองรับการเข้าเป็นภาคีความตกลงกรุงเฮกว่าด้วยการจดทะเบียนการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระหว่างประเทศต่อไป ๔.
กรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเร่งรัดการพิจารณากำหนดให้ตำแหน่งผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรเป็นตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษให้ได้รับเงินเพิ่ม ๕. กรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับกรมบัญชีกลาง
กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางการขอหักเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาที่ต้องส่งเข้าเงินคงคลังไว้เป็นค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการของผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรเพื่อช่วยสะสางงานค้างสะสม โดยให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงยุติธรรม และสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นว่ากรณีการขอหักเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาที่ต้องส่งเข้าเงินคงคลังไว้เป็นค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการของผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรเพื่อช่วยสะสางงานค้างสะสม
นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ.
๒๔๙๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๔ วรรคสอง กำหนดข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการหักเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา
พ.ศ. ๒๕๔๙ และที่แก้ไขเพิ่มเดิม อนุญาตให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาหักเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาก่อนนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการส่งเสริมและคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาได้ตามหลักเกณฑ์
เงื่อนไข และวงเงินที่กระทรวงการคลังกำหนด ควรให้มีการบูรณาการและประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง
และการมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ
ส่งเสริมการคุ้มครองและป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาให้มีประสิทธิภาพ นั้น
ในขั้นตอนการปฏิบัติ หน่วยงานต่าง ๆ จะต้องพิจารณาดำเนินการ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับกฎหมาย
ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28 | ร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 07/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจ่ายเงินเดือน
เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ
และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า
“เงินเดือน” และปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินเดือนของข้าราชการโดยสามารถแบ่งจ่ายเป็น ๒
รอบ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗ เป็นต้นไป
เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้แก่ข้าราชการ
รวมทั้งเป็นการเพิ่มอัตราเงินหมุนเวียนซึ่งจะช่วยเศรษฐกิจของประเทศ
อีกทั้งเพื่อให้เป็นการเบิกจ่ายเงินเดือนของข้าราชการมีความคล่องตัว รวดเร็ว
และสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงแรงงาน
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานศาลปกครอง ที่เห็นว่าข้อสังเกตตามร่างมาตรา
๓ ที่แก้ไขเพิ่มเติมนิยามคำว่า “เงินเดือน” หมายความว่า
เงินเดือนและเงินอื่นที่มีกำหนดจ่ายเป็นรายเดือน
หรือที่มีกำหนดจ่ายเป็นอย่างอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ... คำว่า “หรือที่มีกำหนดจ่ายเป็นอย่างอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด”
อาจทำให้เกิดการตีความได้ว่าให้สามารถจ่ายเป็นอย่างอื่นที่มิใช่ตัวเงินได้
เพื่อให้เกิดความชัดเจนอาจปรับปรุงถ้อยคำดังกล่าวเป็น “หรือที่กำหนดจ่ายตามรอบระยะเวลาอื่นภายในแต่ละเดือนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด”
การใช้ถ้อยคำในมาตรา ๒๐ ที่บัญญัติให้ “การจ่ายเงินเดือนข้าราชการประจำเดือน... ทั้งนี้
กรมบัญชีกลางจะกำหนดวันจ่ายหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นก็ได้” ควรมีการ
การปรับถ้อยคำเป็น “การจ่ายเงินเดือนข้าราชการประจำเดือน... ทั้งนี้
กรมบัญชีกลางจะกำหนดวันจ่ายและหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นก็ได้” เพื่อให้ครอบคลุมทั้งกรณีที่จะมีการปรับเปลี่ยนกำหนดวันจ่ายและวิธีการจ่ายอย่างอื่นในอนาคตด้วย
และการแก้ไขมาตรา ๒๐ ควรจะเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับระยะเวลาการจ่ายเงินเดือนก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน
ซึ่งอาจกำหนดให้มากหรือน้อยกว่าสามวันทำการก็ได้
และเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการและเหตุผลในการแก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน
เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ .... และนิยามในมาตรา ๔ การกำหนดวันจ่ายหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นโดยกรมบัญชีกลางจึงควรได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
และสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เช่น การแบ่งจ่ายเงินเดือนของข้าราชการเป็น ๒ รอบ
ควรเป็นไปด้วยความสมัครใจของข้าราชการแต่ละราย
เนื่องจากภาระหนี้สินของข้าราชการแต่ละรายมีบริบทที่แตกต่างกัน ควรพิจารณาวิธีการดำเนินการจ่ายเงินเดือนที่เหมาะสมและรอบคอบ
และมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับข้าราชการ
รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องด้วย ในกรณีคณะรัฐมนตรีจะกำหนดจ่ายเงินเดือนเป็นอย่างอื่นที่มิใช่กำหนดจ่ายเป็นรายเดือน
หรือในกรณีกรมบัญชีกลางจะกำหนดวันจ่ายหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นที่มิใช่กำหนดจ่ายเป็นรายเดือนในวันทำการก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือนสามวันทำการ
เห็นควรขอให้คณะรัฐมนตรีหรือกรมบัญชีกลางพิจารณาในประเด็นว่า
ข้าราชการจะขอแจ้งความประสงค์ต่อหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อให้มีการจ่ายเงินเดือน ๑
รอบ หรือ ๒ รอบ ให้แก่ตน ได้หรือไม่ อย่างไร ควรกำหนดให้ชัดเจนว่าการแบ่งจ่ายเงินเดือน
๒ รอบนั้น ควรเป็นภาคสมัครใจ
และวิธีการจะต้องไม่เป็นการสร้างภาระเกินควรให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการหักชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ของข้าราชการ
เป็นต้นไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
29 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายโกเมนทร์ ทีฆธนานนท์) | ทส. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายโกเมนทร์
ทีฆธนานนท์ เป็นข้าราชการการเมือง
ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖) เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
30 | การต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี 2566 | กต. | 24/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติ
ปี ๒๕๖๐ ที่แก้ไขเพิ่มเติม ปี ๒๕๖๕ ในรูปแบบหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ
(United Nations Regional
Course in International Law) ประจำปี ๒๕๖๖ ระหว่างวันที่ ๑๓
พฤศจิกายน-๖ ธันวาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออบรมกฎหมายระหว่างประเทศให้แก่ผู้ที่มีภูมิหลังด้านกฎหมายหรือประสบการณ์ในการทำงานด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
และอนุมัติให้เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ของฝ่ายไทยสำหรับการฝึกอบรมฯ
ประจำปี ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อการต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาติสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ
(United Nations Regional Course in International Law)
ประจำปี ๒๕๖๖
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดการฝึกอบรมฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
และควรวิเคราะห์และติดตามประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
31 | รายงานประจำปีผลการดำเนินงานคณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทำที่บ้าน ชุดที่ 4 ปีที่ 1 | รง. | 16/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีผลการดำเนินงานคณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทำที่บ้าน
ชุดที่ ๔ ปี่ที่ ๑ (๔ ตุลาคม ๒๕๖๔-๓ ตุลาคม ๒๕๖๕) โดยมีสาระสำคัญได้แก่ (๑)
การประชุมคณะกรรมการฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ เช่น การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการฯ
ชุดที่ ๔ และความคืบหน้า (ร่าง)
พระราชบัญญัติการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ. ....
(๒) การพัฒนากลไกในการพัฒนาคุ้มครองงานที่รับไปทำที่บ้าน เช่น
การตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน
และคณะอนุกรรมการด้านยุทธศาสตร์และขับเคลื่อนนโยบายการการรับงานไปทำที่บ้าน และ
(๓) การส่งเสริมและพัฒนาผู้รับงานไปทำที่บ้าน โดยดำเนินกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ เช่น
โครงการสร้างเครืองข่ายการคุ้มครองแรงงานนอกระบบในสังคมสูงวัย (๖๐ ปีขึ้นไป)
และกิจกรรมตรวจแรงงานนอกระบบ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
32 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 16/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิธรรม
เวชยชัย) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์
เพื่อเข้าร่วมและกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน (CAEXPO) ครั้งที่ ๒๐ ณ
นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๘ กันยายน ๒๕๖๖
ซึ่งมีสาระสำคัญ เช่น (๑) รองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิธรรม
เวชยชัย) ได้เข้าพบหารือกับประธานเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง
กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดงาน CAEXPO ครั้งที่
๒๐ และได้เยี่ยมชมคูหานิทรรศการเมืองพี่เมืองน้อง (Sister City) ศูนย์รวบรวมสินค้าดีเด่นจีน-อาเซียน CAMEX รวมทั้งได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวของจีน
และ (๒) กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอแนวทางการดำเนินงานต่อไป
โดยเห็นควรสนับสนุนการเข้าร่วมจัดงาน CAEXPO อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งประชาสัมพันธ์และผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จากศูนย์ CAMEX
และได้ตั้งข้อสังเกตว่า
จีนอยู่ระหว่างผลักดันการเปิดกว้างของระบบเศรษฐกิจ
ซึ่งคาดว่าเป็นกลยุทธหนึ่งที่จีนใช้ในการรับมือสถานการณ์ความตึงเครียดจากกรณีสงครามการค้า/เทคโนโลยีกับสหรัฐอเมริกา
ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เห็นควรแจ้งประเด็นดังกล่าวเพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบและเตรียมการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
33 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ | กต. | 16/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ
(Summit between ASEAN and the Gulf
Cooperation Council : ASEAN-GCC Summit) จำนวนสองฉบับ ได้แก่ (๑)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำทั้งสองฝ่ายในการกระชับความสัมพันธ์อาเซียน-GCC
ในความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ที่สองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน และ (๒)
ร่างกรอบความร่วมมืออาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ ค.ศ. ๒๐๒๔-๒๐๒๘ เป็นเอกสารแผนงานระหว่างอาเซียนกับ
GCC ระยะ ๕ ปี ระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๒๔-๒๐๒๘ ซึ่งระบุโครงการ
กิจกรรม และแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ระหว่างกัน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ได้ระบุถึงการแสวงหาความร่วมมือในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม
การปรับตัวและมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการขนส่ง ซึ่งไม่มีการระบุไว้ในร่างกรอบความร่วมมือฯ
จึงอาจพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อนำไปเป็นแนวทางการขยายการดำเนินความร่วมมือร่วมกันต่อไปในอนาคต
รวมทั้งควรวิเคราะห์และประเมินผลจากการร่วมรับรองร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารทั้งสองฉบับในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
34 | การให้ความเห็นชอบและร่วมรับรองเอกสารข้อริเริ่มว่าด้วยกรอบความร่วมมือด้านการค้าระหว่างประเทศและความร่วมมือทางเศรษฐกิจสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนาสีเขียว | พณ. | 16/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างเอกสารข้อริเริ่มว่าด้วยกรอบความร่วมมือด้านการค้าระหว่างประเทศและความร่วมมือทางเศรษฐกิจสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนาสีเขียว
(Initiative on International Trade and
Economic Cooperation Framework for Digital Economy and Green Development) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสารข้อริเริ่มฯ
หรือโดยมีหนังสือแจ้งฝ่ายจีนเพื่อร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว
โดยร่างเอกสารข้อริเริ่มฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์ที่จะมีการให้ความเห็นชอบและรับรองในระหว่างการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง
(Belt and Road Forum for International Cooperation : BRF) ครั้งที่
๓ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงปักกิ่ง
สาธารณรัฐประชาชนจีน มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของผู้เข้าร่วมในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าดิจิทัลและเศรษฐกิจ
การพัฒนาสีเขียว การสร้างขีดความสามารถ
ตลอดจนกำหนดแนวทางการปรับปรุงและพัฒนาความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารข้อริเริ่มฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ร่างเอกสารข้อริเริ่มฯ จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศในอนาคต
ควรมอบหมายให้คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒๗๒/๒๕๖๖ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๖
รับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้
กระทรวงพาณิชย์อาจเสนอให้มีการหารือเพื่อพิจารณาเพิ่มเติมประเด็นภายใต้ร่างเอกสารฯ
ได้แก่ การเสริมสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
และการส่งเสริมให้มีการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการกำจัดกากของเสีย
รวมถึงการลงทุนอุตสาหกรรมการกำจัดซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
35 | มาตรการในการกำกับดูแลควบคุมการใช้อาวุธปืนเพื่อความปลอดภัยของประชาชน | มท. | 10/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลตามมาตรการในการกำกับดูแลควบคุมการใช้อาวุธปืนเพื่อความปลอดภัยของประชาชน
ซึ่งได้ดำเนินการในการควบคุมกำกับดูแลการออกใบอนุญาตของนายทะเบียนท้องที่ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน
เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
36 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (1. นายธานินทร์ ริรัตนพงษ์ ฯลฯ จำนวน 6 ราย) | คค. | 10/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๖ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑. นายธานินทร์ ริรัตนพงษ์ ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา
(ด้านวางแผนและวาง โครงการก่อสร้าง)
(วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวง ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์
๒๕๖๖ ๒. นายสมบูรณ์ แก้วลมัย ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา
(ด้านบำรุงรักษา)
(วิศวกร โยธา ทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวง ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๖ ๓. นายชวเลิศ เลิศชวนะกุล ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา
(ด้านควบคุมการก่อสร้าง) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ)
กรมทางหลวง ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๖ ๔. นายเริงศักดิ์ ทองสม ดำรงตำแหน่งนักวิชาการขนส่งทรงคุณวุฒิ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๖ ๕. นายสำราญ สวัสดิ์พูน ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา
(ด้านบำรุงรักษาทางและ สะพาน)
(วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวงชนบท ตั้งแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๖
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
37 | รายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ที่จะเสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ | ตช. | 03/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
นำรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐
ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๒ รายการ เพื่อเป็นค่าเช่ารถยนต์พร้อมอุปกรณ์ จำนวน ๑ รายการ
และจัดหารถจักรยานยนต์ พร้อมอุปกรณ์ ๑ รายการ จำนวน ๑๕,๓๓๒
คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๘๕๖,๔๔๒,๘๐๐ บาท เพื่อเสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
จำนวน ๔๔๖,๘๘๘,๐๐๐ บาท
และส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๒,๔๐๙,๕๕๔,๘๐๐ บาท ผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘-พ.ศ. ๒๕๗๑ ตามนัยมาตรา ๒๖
ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดทำแผนการจัดหาครุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับแผนแม่บทด้านความมั่นคง
แผนการปฏิบัติงาน แผนการซ่อมบำรุง และยืนยันความพร้อมของรายการดังกล่าว
โดยกำหนดวัตถุประสงค์และสาระสำคัญของรายการ รายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ
ประมาณการราคาหรือผลการสอบราคา สถานที่/พื้นที่พร้อมที่จะดำเนินการให้ชัดเจนเพื่อประกอบการพิจารณา
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้พิจารณาถึงความเหมะสม จำเป็น
เพื่อให้การใช้งบประมาณเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
38 | การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ) | ศร. | 03/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน ๔๕๓,๙๙๗,๘๐๐ บาท ทั้งนี้ การจัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
โดยแสดงวัตถุประสงค์ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และรายงานเกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณ ตามนัยมาตรา ๒๘
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้จัดทำงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญรับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
39 | การแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet | กค. | 03/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการในการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน
๑๐,๐๐๐ บาท
ผ่าน Digital Wallet โดยมีองค์ประกอบ
และหน้าที่และอำนาจตามนัยข้อ ๓.๒
ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะลงนามในร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา
๑๑ (๖) และ (๙) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
สำหรับคณะอนุกรรมการฯ คณะทำงานด้านตรวจสอบฯ และคณะทำงานด้านบริหารข้อมูลฯ
ให้เป็นการแต่งตั้งตามลำดับต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
40 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายธงชัย กีรติหัตถยากร ฯลฯ จำนวน 11 ราย) | สธ. | 03/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๑๑ ราย
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๑. นายธงชัย กีรติหัตถยากร ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมควบคุมโรค ๒. นางอัมพร เบญจพลพิทักษ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการแพทย์ ๓. นายพงศ์เกษม ไข่มุกด์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสุขภาพจิต ๔. นายยงยศ ธรรมวุฒิ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ๕. นายทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ๖. นายณรงค์ อภิกุลวณิช ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา
สำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา ๗. นางอัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอนามัย ๘. นายภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๙. นายกิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๑๐. นายสุรโชค ต่างวิวัฒน์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๑๑. นายพงศธร พอกเพิ่มดี ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|