ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 12 จากทั้งหมด 13 หน้า แสดงรายการที่ 221 - 240 จากข้อมูลทั้งหมด 252 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
221 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2566/2567 | อก. | 20/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น
ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๖/๒๕๖๗ ทั้ง ๙ เขตคำนวณราคาอ้อย เป็นราคาเดียวทั่วประเทศ ดังนี้ ๑)
ราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๖๔/๒๕๖๕ ในอัตรา ๑,๔๒๐ บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส.
หรือเท่ากับร้อยละ ๙๑.๔๓ ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ และกำหนดอัตราขึ้น/ลง
ของราคาอ้อยเท่ากับ ๖๔.๒๐ บาทต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. ๒) ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น
ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๖/๒๕๖๗ เท่ากับ ๖๐๘.๕๗ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาดำเนินการทบทวนระเบียบมาตรการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง และแนวทางการจัดเก็บรายได้เพื่อให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
ตลอดจนการเพิ่มโอกาสของอุตสาหกรรมอ้อยไปสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่อง ได้แก่
เอทานอลไบโอชีวภาพ เพื่อให้ชาวไร่อ้อยมีทางเลือกเพิ่มขึ้น
รวมทั้งพิจารณาถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน เป้าหมาย
ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ
รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้
โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ
ตลอดจนความสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศของไทยภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO)
ด้วย และควรเร่งศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ในการหาวิธีการทางเลือกเพื่อการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาลทรายขั้นต้นที่แตกต่างกันตามเขตการผลิต
เพื่อให้ราคาอ้อยและน้ำตาลที่ถูกกำหนด มีความเป็นธรรมและสามารถสะท้อนความสามารถในการผลิตที่แท้จริงของแต่ละพื้นที่
และพิจารณามาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น
โดยเฉพาะในเขตที่มีการประมาณการราคาอ้อยต่ำกว่าเขตอื่น
รวมทั้งติดตามประเมินผลมาตรการจูงใจให้เกษตรกรตัดอ้อยและเก็บเกี่ยวอ้อยสดเพื่อลดมลพิษจากการเผาอ้อยในระยะที่ผ่านมาเพื่อพัฒนามาตรการให้เกิดประสิทธิผลมากขึ้นในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๒.
ในการดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิต ปี ๒๕๖๖/๒๕๖๗ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
และการสนับสนุนการเพิ่มระดับผลิตภาพของเกษตรกรชาวไร่อ้อยแทนการให้เงินช่วยเหลือเพิ่มเติม
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ (เรื่อง การจัดทำมาตรการ/โครงการเพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือเกษตรกร)
ที่กำหนดให้ทุกหน่วยงานหลีกเลี่ยงการดำเนินการในลักษณะการให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ
ชดเชย
หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกรและให้พิจารณาดำเนินมาตรการ/โครงการในลักษณะที่เป็นการสนับสนุนการเพิ่มระดับผลิตภาพอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
222 | ขอความเห็นชอบในหลักการและเป็นโครงการต่อเนื่องสำหรับโครงการผลิตแพทย์และทีมนวัตกรรมสุขภาพเพื่อเวชศาสตร์ครอบครัวตอบสนองต่อระบบสุขภาพปฐมภูมิทั่วไทย | สธ. | 20/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการแก้ไขชื่อเรื่องนี้ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับข้อเท็จจริง
จากเดิม “ขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป
สำหรับโครงการผลิตแพทย์และทีมนวัตกรรมสุขภาพเพื่อเวชศาสตร์ครอบครัวตอบสนองต่อระบบสุขภาพปฐมภูมิทั่วไทย”
เป็น “ขอความเห็นชอบในหลักการและเป็นโครงการต่อเนื่องสำหรับโครงการผลิตแพทย์และทีมนวัตกรรมสุขภาพเพื่อเวชศาสตร์ครอบครัวตอบสนองต่อระบบสุขภาพปฐมภูมิทั่วไทย”
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. เห็นชอบมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการการผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขตามโครงการดังกล่าว
โดยคำนึงถึงความพร้อมของหัตถการทางการแพทย์ ความซ้ำซ้อนของภารกิจและภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นเท่าที่จำเป็นและเหมาะสม
สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ
รวมทั้งนำผลการดำเนินงานโครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๗๐
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒ และวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๕ ที่กำหนดเป้าหมายการผลิตแพทย์เพื่อรองรับความต้องการของกระทรวงสาธารณสุข
อัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรในภาพรวม ๑ : ๑,๒๐๐ คน ประกอบการพิจารณาเหตุผลความจำเป็นด้วย ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข
โดยสถาบันพระบรมราชชนกควรพิจารณาการผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้สอดคล้องกับความต้องการกำลังคนด้านสุขภาพของประเทศอย่างเป็นระบบ
รวมทั้งคำนึงถึงการคัดเลือกผู้ที่มีศักยภาพเข้ารับการศึกษา ความคุ้มค่า
และความพร้อมของสถานศึกษา ตลอดจนมีการติดตามประเมินผลโครงการเป็นรายปี
เพื่อให้สามารถปรับแผนการดำเนินโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว ให้กระทรวงสาธารณสุข
โดยสถาบันพระบรมราชชนกจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีและพิจารณาความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน หรือนำเงินนอกงบประมาณมาสมทบตามความพร้อม
ความจำเป็นและความเหมาะสมที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละปีงบประมาณ
รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ข้อสังเกต
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น (๑)
ควรวิเคราะห์ความต้องการกำลังคนด้านสาธารณสุข
รวมถึงความซ้ำซ้อนของโครงการในลักษณะเดียวกัน (๒)
ควรพิจารณาทบทวนเป้าหมายการผลิตให้สอดคล้องกับศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนของสถาบันพระบรมราชชนก
และ (๓) ควรมีการวางแผนรองรับการบรรจุและวางระบบบริหารจัดการอัตรากำลัง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมด้วย
ดังนี้ ๓.๑
บริหารจัดการโครงการผลิตแพทย์และทีมนวัตกรรมสุขภาพเพื่อเวชศาสตร์ครอบครัวตอบสนองต่อระบบสุขภาพปฐมภูมิทั่วไทย
(โครงการผลิตแพทย์ฯ) ให้สอดคล้องและต่อเนื่องกับแผนการผลิตแพทย์ตามโครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย
ปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๕ [(เรื่อง
โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๗๐ (ดำเนินการต่อเนื่องในระยะที่
๒ พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗o)] รวมถึงกำหนดเป้าหมายของการผลิตบุคลากรทางการแพทย์
การพยาบาล และการสาธารณสุขในภาพรวมในแต่ละช่วงเวลาให้ชัดเจนและมีสัดส่วนที่เหมาะสมกับโครงสร้างประชากรและความต้องการด้านการบริการสาธารณสุขในแต่ละพื้นที่ ๓.๒
กำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกบุคคลเข้าร่วมโครงการผลิตแพทย์ฯ และเงื่อนไขการชดใช้ทุนให้มีความเหมาะสม
ตลอดจนวางแผนทางก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career Path) ของบุคลากรทางการแพทย์ การพยาบาล
และการสาธารณสุขให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถธำรงรักษาบุคลากรที่เกี่ยวข้องไว้ในระบบราชการและในพื้นที่ชนบทได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ๓.๓
ร่วมกับสถาบันพระบรมราชชนกเร่งเตรียมความพร้อมของสถาบันการศึกษาที่รับผิดชอบการผลิตบุคลากรภายใต้โครงการผลิตแพทย์ฯ
เพื่อให้สามารถจัดเตรียมหลักสูตรและจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพตามมาตรฐานวิชาชีพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
223 | การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายประเสริฐ ศิรินภาพร) | ทส. | 20/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน นายประเสริฐ ศิรินภาพร
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
สำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
224 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเปิดทำการศาลจังหวัดพระประแดง พ.ศ .... ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงสมุทรปราการ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ (กำหนดวันเปิดทำการศาลจังหวัดพระประแดง วันที่ 1 เมษายน 2567 และกำหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงสมุทรปราการ รวมทั้งกำหนดให้ศาลจังหวัดพระประแดงสามารถนำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดสำหรับคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงซึ่งเกิดขึ้นในท้องที่อำเภอพระประแดงและอำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 เป็นต้นไป) | ศย. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเปิดทำการศาลจังหวัดพระประแดง
พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงสมุทรปราการ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา
๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด
พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๓
ฉบับ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดวันเปิดทำการของศาลจังหวัดพระประแดงโดยให้มีเขตตลอดท้องที่อำเภอพระประแดง
และอำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ และให้เปิดทำการตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน
๒๕๖๗ เป็นต้นไป รวมทั้งกำหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงสมุทรปราการ
โดยตัดท้องที่ที่ทับซ้อนกันออกจากเขตอำนาจศาลแขวงสมุทรปราการและให้ไปอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดพระประแดง
ตลอดจนกำหนดให้ศาลจังหวัดพระประแดงสามารถนำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดสำหรับคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงซึ่งเกิดขึ้นในท้องที่อำเภอพระประแดง
และอำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๗ เป็นต้นไป
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม ที่เห็นควรให้สำนักงานศาลยุติธรรมได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์
เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน
โดยใช้ช่องทางและวิธีการสื่อสารในหลากหลายรูปแบบที่เหมาะสม
เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสนในเรื่องเขตอำนาจศาลและได้รับความสะดวกในการพิจารณาพิพากษาคดี
ทั้งนี้
การดำเนินการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการส่งเสริมการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
225 | ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 30 และการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงกับหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 28 | นร.14 | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะรัฐมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
ครั้งที่ ๓๐ และการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงกับหุ้นส่วนการพัฒนา
ครั้งที่ ๒๘ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (นายสุรสีห์
กิตติมณฑล) ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม สรุปได้ ดังนี้ (๑) อนุมัติร่างขอบเขตการดำเนินงาน
(TOR) ของหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร
(CEO) ของสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงที่เสนอโดยไทย
เนื่องจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบันจะหมดวาระในวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๘ และผู้ที่ดำรงตำแหน่งคนต่อไปจะมาจากไทย
(๒) รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เช่น
๑) ความร่วมมือกับพันธมิตรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ๒)
การดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และ ๓)
การดำเนินการตามแผนระดับภูมิภาคเชิงรุก เป็นต้น และ (๒)
ประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงและหุ้นส่วนการพัฒนาร่วมกล่าวถ้อยแถลงในการประชุม เช่น
ไทยกล่าวชื่นชมการดำเนินงานที่ผ่านมาของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงที่ดำเนินการพัฒนาลุ่มน้ำตามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน
พ.ศ. ๒๕๓๘ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายในปัจจุบัน
กัมพูชากล่าวขอบคุณหุ้นส่วนการพัฒนาที่ให้การสนับสนุนทางด้านวิชาการและเงินทุน
และขอบคุณประเทศคู่เจรจาที่ทำงานร่วมกันกับประเทศสมาชิก และหุ้นส่วนการพัฒนากล่าวยินดีกับผลสำเร็จของกิจกรรมที่สร้างความมีส่วนร่วมของประเทศในลุ่มน้ำโขง
รวมถึงการมีส่วนร่วมของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในงานกิจกรรมสำคัญระดับโลก เป็นต้น
ตามที่คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
226 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์สำหรับการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอาคารชุดสำหรับการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | มท. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์สำหรับการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุน ในอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
ประเภทมีทุนทรัพย์อันเนื่องมาจากการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน
ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน
พ.ศ. ๒๔๙๗ และมาตรา ๑๐๓ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๑ และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอาคารชุดสำหรับการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอาคารชุด
ประเภทมีทุนทรัพย์ อันเนื่องมาจากการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยทสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน
ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๖๑
แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ รวม ๒ ฉบับ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
227 | การขอขยายเวลามาตรการสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ | กค. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการขยายระยะเวลามาตรการสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกไปอีก ๓ ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗
ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการ ๒.๑
ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๒ ฉบับ ๒.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๓ ฉบับ รวม
๕ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. อนุมัติในหลักการ ๓.๑
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน
กรณีการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ๓.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
กรณีการโอนและการจำนองห้องชุดตามมาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด รวม
๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. เห็นชอบกรอบวงเงินสำหรับมาตรการด้านประกันภัย
ได้แก่
โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภัยก่อการร้ายในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้และโครงการเมืองต้นแบบ
“สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” โครงการละ ๑๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
228 | ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ (ร่างพระราชบัญญัติสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย พ.ศ. ....) | นร.09 | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อสังเกตและผลการพิจารณาเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ
(ร่างพระราชบัญญัติสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ซึ่งนายศักดิ์ดา
แสนมี่ กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน ๑๒,๘๘๘ คน เป็นผู้เสนอ) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
229 | ผลการประชุมระดับสูงในห้วงสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี ค.ศ. 2023 | กต. | 06/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมระดับสูงในห้วงสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๓ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่
๑๑-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ภายใต้หัวข้อหลัก
คือ “การสร้างอนาคตที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนสำหรับทุกคน” (Creating a Resilient and Sustainable Future for
All) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าตามตารางติดตามผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคและการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค
ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๓ โดยผลการประชุมฯ มีสาระสำคัญในการส่งเสริมความเชื่อมโยง
ผ่านการสร้างสภาพแวดล้อมทางการค้าและการลงทุนที่เอื้ออำนวย การปรับใช้นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ภัยพิบัติและการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนการเสริมสร้างความครอบคลุม
โดยมุ่งเน้นการผลักดันความเท่าเทียมทางเพศ
ส่งเสริมบทบาทและการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของกลุ่มต่าง ๆ
ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินงานของไทยเพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ประเด็นการต่างประเทศ มุ่งเน้นการสนับสนุนให้ไทยสามารถเชื่อมโยงกับภูมิภาคอย่างไร้รอยต่อ
ส่งเสริมความร่วมมือกับมิตรประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสและลดอุปสรรคทางเศรษฐกิจของไทย ตลอดจนสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๓ ในหมุดหมายที่ ๕ ที่มุ่งเน้นให้ไทยเป็นประตูการค้า การลงทุน
และยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยกระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานตามที่มอบหมายดังกล่าว
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์และประโยชน์ที่มีต่อประเทศไทยให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบ
ทั้งนี้ สำนักงานฯ ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักในคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค
จะดำเนินการตามข้อเสนอแนะของรายการงานทบทวนระยะกลาง
การยกระดับวาระการปฏิรูปโครงสร้างเอเปค
โดยจะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามความก้าวหน้า
ตลอดจนสนับสนุนการดำเนินงานในประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
230 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายสุรชาติ เทียนทอง) | สธ. | 06/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายสุรชาติ เทียนทอง เป็นข้าราชการการเมือง
ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
231 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางสาวปรมาภรณ์ บริบูรณ์) | นร.04 | 06/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางสาวปรมาภรณ์
บริบูรณ์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
232 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาวพิยะดา สุดกังวาล) | ดศ. | 06/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวพิยะดา สุดกังวาล ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งผู้อำนวยการกอง (ผู้อำนวยการสูง) กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวง
ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ)
กลุ่มที่ปรึกษา สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ตั้งแต่วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
233 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายฐนัญพงษ์ สุขสมศักดิ์) | กค. | 06/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายฐนัญพงษ์ สุขสมศักดิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งผู้อำนวยการกอง (ผู้อำนวยการสูง) กองประเมินราคาทรัพย์สิน กรมธนารักษ์
ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ)
กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๖
ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
234 | ความก้าวหน้าในการดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายใต้กระบวนการประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 | ปช. | 06/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.รับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ภายใต้กระบวนการประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต
ค.ศ. ๒๐๐๓ (United Nations Convention against Corruption : UNCAC) รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะที่ประเทศไทยได้รับในการประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ
ทั้ง ๔ หมวด ได้แก่ หมวดที่ ๒ มาตรการป้องกันการทุจริต
หมวดที่ ๓ การกำหนดให้เป็นความผิดทางอาญา และการบังคับใช้กฎหมาย หมวดที่ ๔
ความร่วมมือระหว่างประเทศ และหมวดที่ ๕ การติดตามทรัพย์สินคืน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการยกระดับการอนุวัติการอนุสัญญาฯ
โดยจะส่งผลให้กฎหมายไทยมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมทั้งเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการต่อต้านการทุจริต
ซึ่งเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. รับทราบผลการพิจารณาต่อข้อสังเกตและข้อเสนอแนะที่ประเทศไทยได้รับในการประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
และสำนักงานอัยการสูงสุดรายงาน
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
235 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา | คค. | 30/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจ (Full
Powers) ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าวด้วย และมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแจ้งเป็นหนังสือผ่านช่องทางทางการทูตถึงการดำเนินการตามกระบวนการเสร็จสิ้นเพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลใช้บังคับ โดยร่างความตกลงฯ
จัดทำขึ้นระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
เพื่อใช้แทนที่และยกเลิกความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลศรีลังกา
ที่ลงนามเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓ โดยมีถ้อยคำและบริบทที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
ดังนั้น ร่างความตกลงฯ จึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
236 | ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 | ตช. | 30/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก
พ.ศ. ๒๕๒๒ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการในการทดสอบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่
เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ.๒๕๖๕
รวมทั้งกำหนดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่ถือว่าเป็นความผิดให้เหมาะสมกับผู้ขับขี่แต่ละประเภท
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมและสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เห็นควรกำหนดให้ชัดเจนว่าการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่โดยใช้วิธีการตรวจวัดจากเลือด
เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการขอความยินยอมจากผู้ขับขี่ยานพาหนะ
ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับกฎหมายของประเทศอังกฤษ และรัฐแคลิฟอร์เนีย
ประเทศสหรัฐอเมริกา
เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในทางปฏิบัติเมื่อกฎหมายมีการประกาศใช้บังคับ และร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ยังไม่ได้กำหนดค่าสัมประสิทธิ์ในการแปลงค่ากรณีตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจากของเสียอย่างอื่น
เพื่อรองรับกรณีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจากของเสียอย่างอื่นที่อาจจะมีขึ้นในภายหน้าได้ตามที่กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวง
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
237 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พ.ศ. .... | กษ. | 30/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและชาวประมงผู้ประกอบอาชีพโดยสุจริตให้ได้รับความเป็นธรรม
และส่งเสริมการทำการประมงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการประมงทะเล
เพื่อฟื้นฟูการประมงทะเลและอุตสาหกรรมการประมงเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงยุติธรรม ที่เห็นควรรักษาการสื่อสารกับสหภาพยุโรปเพื่อให้รับทราบข้อมูลและสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ
โดยตรงจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ซึ่งจะช่วยให้สหภาพยุโรปมีความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายและการดำเนินการของรัฐบาลด้านการทำประมงอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
และรักษาความเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยยังคงปฏิบัติตามกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยได้รับรองและเข้าเป็นภาคี
และการเสนอให้ยกเว้นเรือประมงที่ได้รับใบอนุญาตให้ทำงานประมงในน่านน้ำไทยซึ่งมีพื้นที่กว่าสามแสนตารางกิโลเมตรไม่ต้องแสดงจำนวนรายชื่อและหนังสือคนประจำเรือ
จึงอาจเป็นประเด็นที่ทำให้ทางการไม่สามารถตรวจสอบจำนวนรายชื่อและหนังสือคนประจำเรือได้
ซึ่งนำไปสู่ความกังวลว่าอาจเป็นช่องทางไปสู่ปัญหาการค้ามนุษย์ได้
และหากได้มีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวนี้ขึ้นอาจส่งผลต่อการจัดระดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ของประเทศไทย
(TIP REPORT) ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการประมงทะเล เพื่อฟื้นฟูการประมงทะเลและอุตสาหกรรมการประมงเสนอ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรกำหนดแนวทางการสร้างการรับรู้และแนวปฏิบัติให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง
เตรียมข้อมูล สำหรับการชี้แจงกับประเทศคู่ค้าถึงความจำเป็นของร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง
พ.ศ. ๒๕๕๘ พ.ศ. .... และจุดยืนของประเทศไทยต่อการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
พร้อมทั้งเร่งรัดการออกกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
238 | คำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของสำนักงานอัยการสูงสุด | อส. | 30/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ของสำนักงานอัยการสูงสุด จำนวน ๒๑,๑๘๐,๒๒๖,๑๐๐ บาท ทั้งนี้ การจัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
โดยแสดงวัตถุประสงค์ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
และรายงานเกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณ ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้จัดทำงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้สำนักงานอัยการสูงสุดรับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
239 | คำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของสถาบันพระปกเกล้า | พป. | 30/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ของสถาบันพระปกเกล้า
จำนวน ๘๘๘,๒๙๘,๕๐๐ บาท ทั้งนี้ การจัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
โดยแสดงวัตถุประสงค์ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
และรายงานเกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณ ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้จัดทำงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้สถาบันพระปกเกล้ารับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
240 | ขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม | อว. | 30/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป
ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โครงการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ภูเก็ต (พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗๑)
ในวงเงินงบประมาณ ๓,๑๔๐,๓๑๓,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗๑) และโครงการผลิตนักฉุกเฉินการแพทย์ด้วยการจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษา
ระยะที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗๒ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ในวงเงินงบประมาณ ๒,๙๘๐ ล้านบาท และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด พิจารณาถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงานของรัฐที่ขอรับจัดสรรงบประมาณ
ฐานะเงินนอกงบประมาณของหน่วยงานของรัฐที่สามารถใช้จ่ายได้
รวมตลอดถึงรายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้
และความสามารถในการใช้จ่าย และการก่อหนี้ผูกพันของหน่วยงานของรัฐภายในปีงบประมาณนั้น
รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน
ศักยภาพในการดำเนินการตลอดจนสถานะการเงินการคลังของประเทศ
และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|