ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 5 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 87 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | ท่าทีการเจรจาร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ครั้งที่ 15 และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน (JDS) ครั้งที่ 6 ระดับรัฐมนตรี ระหว่างไทยกับมาเลเซีย | กต. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อท่าทีการเจรจาร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ
ได้แก่ ๑)
ท่าทีการเจรจาร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ครั้งที่ ๑๕
มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความคืบหน้าของความร่วมมือระหว่างไทยกับมาเลเซียอย่างรอบด้านและแสดงเจตนารมณ์ร่วมของรัฐบาลทั้งสองประเทศที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกันในทุกระดับ
ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียมีความใกล้ชิดยิ่งขึ้นอันจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนของทั้งสองฝ่าย
๒) ท่าทีการเจรจาร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน
(JDS) ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ครั้งที่ ๖ มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานภายใต้กรอบ
JDS ทั้งในระดับเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงาน เจ้าหน้าที่ระดับสูง
และระดับคณะทำงานรวมถึงการแสดงเจตนารมณ์ร่วมของทั้งสองประเทศในการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนไทย
- มาเลเซีย เพื่อมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน
โดยผลักดันโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ
ให้มีความคืบหน้าและการอำนวยความสะดวกด้านการค้า และการลงทุนระหว่างกัน และ ๓) ร่างแผนยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน
(JDS Strategic Plan) ค.ศ. ๒๐๒๔ - ๒๐๒๗ เป็นการเอกสารผลลัพธ์การประชุมมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางและเป้าหมายในการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับชายแดนโดยร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ
ไม่มีรูปแบบหรือถ้อยคำที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
กอปรกับไม่มีการลงนามในร่างแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ดังนั้น ร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ
จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ
ทั้ง ๓ ฉบับ ได้ในวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีการเจรจาร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับมาเลเซีย
ครั้งที่ ๑๕
ท่าทีการเจรจาร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย
ครั้งที่ ๖
และร่างแผนยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน
ค.ศ. ๒๐๒๔ - ๒๐๒๗ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ไห้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
และให้รายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในภายหลังพร้อมเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ รวมทั้งให้สื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
42 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ | รง. | 23/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงแรงงานและการจ้างงานแห่งสาธารณรัฐเกาหลี
ด้านการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ และให้รัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงานเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเพื่อรักษากรอบความร่วมมือที่ชัดเจนระหว่างทั้งสองฝ่าย
และเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในกระบวนการจัดส่งและรับคนงานจากไทยไปสาธารณรัฐเกาหลี
โดยกำหนดบทบัญญัติสำหรับทั้งสองฝ่ายเพื่อปฏิบัติตามเกี่ยวกับการจัดส่งแรงงานภายใต้ระบบ
EPS ตามกฎหมายการจ้างงานแรงงานต่างชาติ
และอื่น ๆ ในสาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
43 | มองโกเลียขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์มองโกเลีย ณ จังหวัดชลบุรี และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์มองโกเลีย ณ จังหวัดชลบุรี (นายนิธิวัชร์ เรืองฉัตรศรีกุล) | กต. | 23/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. เปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์มองโกเลีย ณ
จังหวัดชลบุรี โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
44 | การดำเนินการเกี่ยวกับการเปิด การขยายเวลา และการปิดจุดผ่านแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน | นร.08 | 23/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบการดำเนินการเกี่ยวกับการเปิด
การขยายเวลา และการปิดจุดผ่านแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนี้ ๑)
รับทราบการเปิดจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย - กัมพูชา (หนองเอี่ยน - สตึงบท)
อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยใช้สำนักงานชั่วคราวไปพลางก่อน ๒)
รับทราบการปรับเวลาเปิดทำการจุดผ่านแดนถาวรภูดู่ อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์
จากเดิมเวลา ๐๖.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. ของทุกวัน เป็น ๘.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. ของทุกวัน ๓)
รับทราบการขยายเวลาเปิด - ปิด จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ
เป็นเวลา ๐๗.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. ๔) รับทราบการปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านปากห้วย ตำบลหนองผือ
อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย ๕) การดำเนินการใด ๆ บริเวณพื้นที่ชายแดน
จะต้องระมัดระวังมิให้เกิดความเสียหายและผลกระทบต่อความมั่นคง
โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม
๒๕๔๒ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘ อย่างเคร่งครัด และ ๖)
ให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงแจ้งให้จังหวัดและส่วนราชการในพื้นที่รับทราบและถือปฏิบัติโดยทั่วกัน ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก
รวมถึงการเตรียมอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ให้มีความเหมาะสม
เพื่อให้สามารถรองรับการปฏิบัติงาน ณ จุดผ่านแดนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรให้มีการจัดตั้งเป็นด่านอาหารและยาในพื้นที่ที่ไม่มีด่านอาหารและยาตั้งอยู่
และควรขอรับการจัดสรรบุคลากรเพิ่มเติมเพื่อประจำด่านฯ ดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
45 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานของกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ | กษ. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินงานของกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศออกไปเป็นเวลา
๒๐ ปี (ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗ - ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๘๗)
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ สกช. ๐๔๐๔/๑๐๒๒ ลงวันที่ ๒๔
พฤษภาคม ๒๕๖๗) และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดตั้งกองทุนโดยตราเป็นกฎหมายเฉพาะเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา
๖๓ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบกับมาตรา ๑๔
แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๒ ปี |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
46 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 | กษ. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี
(โครงการฯ) ปีการผลิต ๒๕๖๗ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.)
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๗ ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายรวมการรับประกันภัยพื้นฐาน
Tier 1)
และการรับประกันภัยเพิ่มเติมโดยสมัครใจ (Tier 2) จำนวน ๒๑
ล้านไร่ วงเงินงบประมาณโครงการฯ รวม ๒,๓๐๒.๑๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ยกเว้นในส่วนของการกำหนดผู้รับผลประโยชน์กรณีเกษตรกรเป็นลูกค้าสินเชื่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) ให้เกษตรกรที่ประสบภัยที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส.
เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน
ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณ ให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธ.ก.ส.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ
ควรได้รับค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน หากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน
อาจทำให้มีเงินทุนลดลงสำหรับการเพาะปลูกรอบใหม่และไม่สามารถพ้นจากภาวะหนี้สินได้
รวมทั้งเห็นควรขยายระยะเวลาการจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัย
เพื่อให้เกษตรกรในกลุ่มจังหวัดภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคเหนือ
และภาคตะวันตก รวม ๖๓ จังหวัด ซึ่งสิ้นสุดการจำหน่ายกรมธรรม์ในวันที่ ๗ กรกฎาคม
๒๕๖๗ มีโอกาสเข้าร่วมโครงการฯ ได้เพิ่มมากขึ้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ควรเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกรในวงกว้างให้ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นของการมีหลักประกันภัยเพื่อผลกระทบจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
ร่วมกับพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยทางการเกษตรให้แตกต่างหลากหลายสามารถตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรได้ตรงจุด
และเร่งรัดพัฒนาระบบการบริหารจัดการและเทคโนโลยีด้านการประกันภัยสินค้าเกษตรให้สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้อย่างถูกต้องและจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ทันต่อความต้องการใช้จ่ายของเกษตรกรเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตหรือการวางแผนเพาะปลูกในรอบการเพาะปลูกต่อไปได้อย่างทันต่อสถานการณ์ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
47 | ร่างกฎกระทรวงระบบความปลอดภัย สุขอนามัย และสวัสดิภาพในการทำงานของคนประจำเรือ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ. | 09/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงระบบความปลอดภัย สุขอนามัย และสวัสดิภาพในการทำงานของคนประจำเรือ
(ฉบับที่ ... ) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงระบบความปลอดภัย
สุขอนามัย และสวัสดิภาพในการทำงานของคนประจำเรือ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อกำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตสามารถใช้ผู้ควบคุมเรือที่ทำงานอยู่บนเรือประมงซึ่งผ่านการอบรมหลักสูตรการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากสถาบันหรือหน่วยงานที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐแทนการใช้คนประจำเรือได้
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
48 | ร่างกฎกระทรวงวัสดุนิวเคลียร์ที่ผู้ดำเนินการไม่ต้องขอรับใบอนุญาต พ.ศ. .... | อว. | 09/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงวัสดุนิวเคลียร์ที่ผู้ดำเนินการไม่ต้องขอรับใบอนุญาต พ.ศ.
.... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดวัสดุนิวเคลียร์
ที่ผู้ดำเนินการไม่ต้องขอรับใบอนุญาตมีไว้ในครอบครอง ใช้ นำเข้า ส่งออก หรือนำผ่าน
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณา
ดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงสาธารณสุข เห็นว่าหากร่างกฎกระทรวงฯ
มีผลใช้บังคับ ขอให้มีการกำกับดูแลอย่างเคร่งครัด
เพื่อความปลอดภัยต่อสาธารณะและประชาชนโดยรวม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติควรมีการเตรียมความพร้อมในการกำหนดแนวทางการตรวจสอบเชิงรุก
ณ สถานประกอบการที่ได้มีการแจ้งการครอบครองวัสดุนิวเคลียร์ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากความประมาทหรือการขาดความรู้เท่าทัน
อันจะนำไปสู่การเพิ่มระดับความปลอดภัยของผู้ใช้งาน
ประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรอบได้อย่างเหมาะสมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
49 | ผลการพิจารณา ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รวม 11 ญัตติ | กษ. | 09/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณา ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
รวม ๑๑ ญัตติ ซึ่งได้พิจารณารวมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑. สินค้าข้าว มีมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกปีการผลิต
๒๕๖๖/๖๗ เช่น โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี
และโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
(คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร) ๒. สินค้ามันสำปะหลัง
มีมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังปี ๒๕๖๖/๖๗ เช่น โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกมันสำปะหลัง
โดยสนับสนุนดอกเบี้ยแก่ผู้ประกอบการ ลานมัน โรงแป้ง
โรงงานเอทานอลที่กู้ยืมเงินจากธนาคาร เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการรับซื้อมันสำปะหลัง
โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกรใช้เป็นเงินทุนในการรับซื้อหัวมันสำปะหลังสด
มันเส้นจากเกษตรกร และ/หรือสถาบันเกษตรกรที่มีสมาชิกประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก ๓. สินค้าอ้อย มีกระทรวงอุตสาหกรรม
(สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย)
เป็นหน่วยงานกำกับดูแลมาตรการและการแก้ไขปัญหาสินค้าอ้อยทั้งระบบ ๔. สินค้ายางพารา ได้จัดทำมาตรการระยะสั้น เช่น
ช่วยเหลือค่าครองชีพให้เกษตรกรชาวสวนยางรายย่อย สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
ระยะปานกลาง เช่น
ส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการผลิตจากยางพาราขั้นต้นเป็นการแปรรูปขั้นกลาง
จัดหาช่องทางการจัดจำหน่ายให้เพิ่มมากขึ้น และระยะยาว เช่น
วิจัยและส่งเสริมการลงทุนแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา ๕.
สินค้าปาล์มน้ำมันได้กำหนดมาตรการเกี่ยวกับการรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน โดยกำหนด “ห้ามมิให้ผู้ประกอบการจุดรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน
(ลานเท) กระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อให้ผลปาล์มน้ำมันร่วงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะโดยใช้
ตะแกรง รางเทสำหรับลำเลียงทะลายปาล์มน้ำมันที่เป็นตะแกรง
อุปกรณ์หรือสิ่งอื่นใดสำหรับแยกผลปาล์มน้ำมันร่วง” อันเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิต
และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
และจัดทำโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม เพื่อให้ราคาซื้อขายจะไม่ผันผวน
ทำให้เกษตรกรได้รับรายได้ที่เป็นธรรม ๖. สินค้าผลไม้ ได้มีแนวทางการบริหารจัดการ
แบ่งเป็น ระยะสั้น เช่น จัดตั้งศูนย์รวบรวม/กระจาย
ระดับพื้นที่เพื่อเร่งกระจายผลผลิต พัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาด
ระยะปานกลาง เช่น จัดทำแผนบริหารจัดการ
เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตกระจุกตัว ส่งเสริมและสนับสนุนการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
ระยะยาว เช่น ส่งเสริมการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ส่งเสริมให้ไทยเป็นแหล่งผลิตตลาดผลไม้เมืองร้อนที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ๗. สินค้าปศุสัตว์ ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าปศุสัตว์
เช่น ใช้กลไกกำกับดูแลของคณะกรรมการรายชนิดสัตว์ เช่น สินค้าสุกร
ขับเคลื่อนโดยคณะกรรมการนโยบายสุกรและผลิตภัณฑ์ สินค้าโคกระบือ ขับเคลื่อนโดยคณะกรรมการนโยบายพัฒนาโคเนื้อ - กระบือ ประกาศชะลอการนำเข้าหรือนำผ่านราชอาณาจักรซึ่งโคกระบือหรือซากโคซากกระบือและผลักดันการเปิดตลาดส่งออกโคและกระบือมีชีวิต
รวมทั้งซากโคและซากกระบือ ไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ๘. สินค้ากุ้ง ได้มีมาตรการที่เกี่ยวข้อง เช่น
โครงการลดต้นทุนการผลิตกุ้งทะเลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมกุ้งทะเลอย่างยั่งยืนโครงการส่งเสริมการใช้ระบบ
Solar Cell เพื่อลดต้นทุนการผลิต
กรมประมงได้ดำเนินการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม.๑ (แบบผง) และ ปม.๒ (แบบน้ำ)
เพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกร เพื่อช่วยให้ต้นทุนการผลิตลดลง
และได้ดำเนินการควบคุมการนำเข้ากุ้งทะเลจากต่างประเทศก่อนอนุญาตให้นำเข้ามาในราชอาณาจักร
ภายใต้พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
50 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 | กษ. | 02/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๗ ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ยุบเลิกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
ที่ ๒/๒๕๖๓ เรื่อง
แต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงานขับเคลื่อนกลไกบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม
๕ จังหวัด ภาคใต้ และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนกลไกบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม
ชุดใหม่ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานอนุกรรมการ และมีอำนาจหน้าที่ตามเดิม
ยกเว้นการแต่งตั้งคณะทำงาน ให้ประธานอนุกรรมการ มีอำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงาน
และให้ขยายพื้นที่เพิ่มเติมเป็น ๗ จังหวัด จากเดิม ๕ จังหวัด [ชุมพร สุราษฎร์ธานี
กระบี่ พังงา นครศรีธรรมราช (จังหวัดเดิม) ตรัง ระนอง (จังหวัดเพิ่มเติม)] ๒. มอบหมายกระทรวงพลังงานพิจารณาขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ รับซื้อน้ำมันไบโอดีเซล (B100) ตามราคาประกาศจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
กระทรวงพลังงาน และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจเพื่อทราบต่อไป ๓. เห็นชอบการปรับเพิ่มความถี่ในการแจ้งข้อมูล
ได้แก่ ๑) ปริมาณการรับซื้อปริมาณการใช้ ปริมาณคงเหลือ ราคารับซื้อผลปาล์ม
และอัตราเปอร์เซ็นต์สกัดน้ำมันที่ผลิตได้ และ ๒) ปริมาณผลิต
ปริมาณการจำหน่ายและรายละเอียดการจำหน่าย ปริมาณคงเหลือ และสถานที่เก็บน้ำมันปาล์ม
โดยให้แจ้งข้อมูลเป็นประจำทุกวัน (เดิมแจ้งข้อมูล ณ วันสิ้นเดือนเ
เป็นประจำทุกเดือน) รวมทั้ง มอบหมายกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ นำเสนอคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการเพื่อกำหนดมาตรการทางกฎหมายให้สามารถมีผลบังคับใช้ต่อไป ๔. มอบหมายให้กระทรวงพลังงานพิจารณาคงมาตรการการใช้น้ำมันดีเซล
B7 ต่อไป โดยมอบหมายฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
ทำหนังสือแจ้งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
(กบง.) เพื่อทราบ และเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป ๕.
มอบหมายให้คณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มตามบทบาท
อำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ๖. มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
พิจารณาดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาสินค้าจากปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มที่มีมูลค่าสูง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
51 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พ.ศ. .... | กค. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘
กรกฎาคม ๒๕๖๗ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ รวม ๕ ชนิด
ได้แก่ ๑) เหรียญกษาปณ์ทองคำ ชนิดราคาสองหมื่นบาท ๒) เหรียญกษาปณ์เงิน
ชนิดราคาหนึ่งพันบาท ๓) เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคาห้าสิบบาท
๔) เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว
(ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคายี่สิบบาท ประเภทขัดเงา และ ๕) เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว
(ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคายี่สิบบาท ประเภทธรรมดา
เพื่อเป็นที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘
กรกฎาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
52 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Economic Ministers Retreat) ครั้งที่ 30 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ
(ASEAN Economic
Ministers Retreat) ครั้งที่ ๓๐ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๗ ณ แขวงหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายนภินทร ศรีสรรพางค์) เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
ซึ่งเป็นการประชุมเพื่อรายงานให้ทราบถึงภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน และประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจในปี
๒๕๖๗ รายงานความคืบหน้าการเจรจาต่าง ๆ เช่น
ความคืบหน้าการเจรจายกระดับความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ความคืบหน้าการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน
รวมทั้งมีการรับรองกรอบการอำนวยความสะดวกด้านบริการของอาเซียน การหารือกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียนและการหารือทวิภาคีของไทยอย่างไม่เป็นทางการ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
53 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอให้จดทะเบียนเลิกภาระในอสังหาริมทรัพย์และการเรียกคืนค่าทดแทนจากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน พ.ศ. 2540 พ.ศ. .... | คค. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการขอให้จดทะเบียนเลิกภาระในอสังหาริมทรัพย์และการเรียกคืนค่าทดแทนจากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน
พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการขอให้จดทะเบียนเลิกภาระในอสังหาริมทรัพย์และการเรียกคืนค่าทดแทนจากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ขอจดทะเบียนเลิกภาระในอสังหาริมทรัพย์
เพื่อให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย ที่เห็นว่าการกำหนดบทนิยามคำว่า
“ภาระในอสังหาริมทรัพย์” ในร่างกฎกระทรวงดังกล่าวที่มีความหมายแตกต่างบทนิยามในพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน
พ.ศ. ๒๕๔o ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทอาจก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติได้
และเห็นควรกำหนดหลักการให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ทุกคนเป็นผู้ขอจดทะเบียนเลิกภาระในอสังหาริมทรัพย์
มิใช่ผู้มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์คนใดคนหนึ่งมิสิทธิ์ขอให้จดทะเบียนเลิกภาระโดยอสังหาริมทรัพย์
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
54 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดสมุทรปราการและศาลแรงงานจังหวัดระยอง พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | ศย. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน (ฉบับที่
..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดสมุทรปราการและศาลแรงงานจังหวัดระยอง
พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดขึ้นในท้องที่ของศาลแรงงานภาค
(ภาค ๑ และภาค ๒) และจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดขึ้นในจังหวัดสมุทรปราการ
โดยให้มีเขตอำนาจตลอดท้องที่ในจังหวัดสมุทรปราการและจัดตั้งศาลแรงงานขึ้นในจังหวัดระยอง
โดยให้มีเขตอำนาจตลอดท้องที่ในจังหวัดระยอง ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสภาทนายความ
ในพระบรมราชูปถัมภ์ เห็นว่าในกรณีการจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดระยองจะสามารถขยายเขตอำนาจศาลให้ครอบคลุมถึงคดีที่เกิดพิพาทในเขตจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราดได้หรือไม่
เพื่อประชาชนจะได้สะดวกในการรับบริการด้านความยุติธรรมมากยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดสมุทรปราการและศาลแรงงานจังหวัดระยอง
พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ ๓.
ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม
สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงยุติธรรม
เห็นว่าการจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดขึ้นใหม่จะต้องมีอาคารสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำการ
อีกทั้งยังต้องมีการจัดสรรอัตรากำลังของบุคลากรเพื่อปฏิบัติงาน
จึงควรคำนึงถึงความจำเป็นและความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนที่จะได้รับประกอบด้วย สำนักงาน
ก.พ.ร. เห็นว่าศาลยุติธรรมควรพิจารณาเกลี่ยอัตรากำลังที่ปฏิบัติงานในศาลแรงงานภาค
ศาลแรงงานสาขาหรือศาลยุติธรรมอื่นก่อนเป็นลำดับแรก และควรพิจารณานำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดีและการบริหารจัดการคดีของศาลแรงงาน
พร้อมทั้งสื่อสารและประชาสัมพันธ์ช่องทางในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
55 | ร่างโครงการการดำเนินงานของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ปี พ.ศ. 2567-2572 | กก. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างโครงการการดำเนินงานของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ปี พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๒ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทน
เป็นผู้ลงนามในโครงการการดำเนินงานของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ปี พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๒ โดยร่างโครงการฯ
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างและพัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ
ผ่านการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ
การพัฒนาและการฝึกอบรมทรัพยากรบุคคล และการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการตลาด ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างโครงการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
56 | ร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงยุติธรรมแห่งสหพันธรัฐเซีย | ยธ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงยุติธรรมแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย
(Memorandum
of Cooperation between the Ministry of Justice of the Kingdom of
Thailand and the Ministry of Justice of the Russian
Federation) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ
โดยร่างบันทึกความร่วมมือฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมของทั้งสองฝ่ายในด้านต่าง
ๆ เช่น การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย การแลกเปลี่ยนบุคลากรของรัฐ
การจัดสัมมนาร่วมกัน
การให้ความช่วยเหลือระหว่างกันแก่สถาบันการศึกษาในด้านการจัดตั้งและพัฒนาโครงการและหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศ
ซึ่งความร่วมมือภายใต้ร่างบันทึกความร่วมมือฯ จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษาในการพัฒนาสมรรถนะกระบวนการยุติธรรมและขยายขอบเขตองค์ความรู้ด้านนิติศาสตร์ของไทยให้กว้างขวางมากขึ้น
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
57 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเตว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา | กต. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต
ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ
ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน
เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามที่ได้รับมอบหมาย
รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยและผู้ถือหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต
ในการเดินทางเข้า-ออก ดินแดนของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
สำหรับการพำนักแต่ละครั้งเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน สำหรับกรณีท่องเที่ยวเท่านั้น
โดยมีการกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ยังคงจำเป็นต้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การเข้า-ออกของผู้คนที่จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย
เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงจากกลุ่มผู้แสวงประโยชน์ในทางมิชอบ อาทิ
การพำนักเกินกำหนดระยะเวลา (Overstay) หรือการกรอกข้อมูลอันเป็นเท็จของบุคคลก่อนเข้าเมือง
ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคง
และการบริหารจัดการบุคคลที่ประสงค์เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงมาตรฐานด้านการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและบริการสาธารณะที่สะดวกต่อการเข้าถึงและมีความเพียงพอรองรับต่อการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว
เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจและมีประสบการณ์ที่ดีในการเดินทางมายังประเทศไทย
ในขณะเดียวกันควรมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวในวงกว้าง
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กลุ่มนักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
58 | โครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND | กค. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติโครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมตามวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอสำหรับการพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาล
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงการคลัง [ธนาคารออมสิน
และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)]
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรดำเนินการตามแผนและใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อกลุ่มเป้าหมายเป็นสำคัญ
รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการให้บรรจุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ตลอดจนขอให้ดำเนินการเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ
และควรมีแนวทางในการชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินโครงการอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อบริหารจัดการภาระทางการคลังของรัฐให้เป็นไปตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบฐานข้อมูล SMEs เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับการใช้กลไกการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงสำหรับสินเชื่อรายย่อย
(Risk-Based Pricing) เพื่อให้ต้นทุนทางการเงินสะท้อนตามความเสี่ยงของลูกหนี้แต่ละราย ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับเพิ่มกลุ่มเป้าหมายของโครงการสินเชื่อ
IGNITE THAILAND ให้ครอบคลุมถึงวิสาหกิจรายย่อย (Micro SMEs) สถาบันเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนด้วย
รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล) เสนอความเห็นเพิ่มเติมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
59 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการบินพลเรือน (1. นายชัยศักดิ์ อังค์สุวรรณ ฯลฯ จำนวน 7 คน) | คค. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการบินพลเรือน
จำนวน ๗ คนเนื่องจากกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑. นายชัยศักดิ์
อังค์สุวรรณ (มีความรู้และประสบการณ์ด้านการบินพลเรือน) ๒. นายชัยวัฒน์
ทองคำคูณ (มีความรู้และประสบการณ์ด้านการบินพลเรือน) ๓. นายโชติชัย เจริญงาม ๔. นางชาริตา ลีลายุทธ (มีความรู้และประสบการณ์ด้านการบินพลเรือน) ๕. นายศุภนิจ จัยวัฒน์ ๖. พลตำรวจตรี อุกฤษฏ์
ศรีเสือขาม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
60 | การขับเคลื่อนการดำเนินการสำคัญสืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 2/2566 | นร.11 สศช | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๖
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ ดังนี้ ๑.
การทบทวนความจำเป็นและความเหมาะสมของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ๒. โครงการเพื่อขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ๓.
การปรับเปลี่ยนหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ๔.
กลไกการดำเนินการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๕. แนวทางในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในห้วงที่ ๒
(พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ๖.
แนวทางการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ๗.
การประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ
พ.ศ. ๒๕๖๐ ทั้งนี้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงาน
ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดองไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น กระทรวงการคลัง
เห็นว่าในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ควรพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามกฎ
ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และให้คำนึงถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณด้วย กระทรวงมหาดไทย
เห็นว่าโครงการที่ผ่านการจัดลำดับความสำคัญฯ ควรเป็นโครงการที่ควรได้รับงบประมาณเพิ่มเติมจากกรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่ได้รับเพื่อให้ส่วนราชการมุ่งจัดทำโครงการที่สามารถขับเคลื่อนการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม |