ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 4 จากทั้งหมด 5 หน้า แสดงรายการที่ 61 - 80 จากข้อมูลทั้งหมด 87 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
61 | การขอใช้งบประมาณคงเหลือจากการจ่ายค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย สำหรับงานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร 5 หมู่บ้าน (เพิ่มเติม) | พน. | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร ๕
หมู่บ้าน (เพิ่มเติม) จำนวน ๗ รายการ โดยใช้งบประมาณจำนวน ๘๒,๕๘๔,๐๐๐ บาท
จากวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติในหลักการไว้แล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๗๐,๕๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งแบ่งออกเป็นค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย อพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน จำนวน
๒,๑๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท
และค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร จำนวน ๘๓๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท
โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยคาดว่าจะมีค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย เกิดขึ้นจริง
จำนวน ๑,๗๑๙,๐๓๙,๐๐๐
บาท คงเหลือจำนวน ๔๑๘,๙๖๑,๐๐๐ บาท
ซึ่งงบประมาณคงเหลือดังกล่าวครอบคลุมและเพียงพอกับการจ่ายค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย
ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว และกรณีในอนาคตหากงบประมาณการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร
๕ หมู่บ้าน ไม่เพียงพอ เห็นควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาอนุมัติการใช้งบประมาณคงเหลือจากงบประมาณค่ารื้อย้าย/ค่าชขดเชย
ดังกล่าว เพื่อใช้สำหรับงานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร ๕
หมู่บ้าน (เพิ่มเติม) เป็นรายกรณีตามความจำเป็น โดยไม่กระทบต่องบประมาณที่ได้รับอนุมัติในหลักการไว้แล้ว
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้กระทรวงพลังงาน
(การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการต่อไปอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด โดยในระยะต่อไป
กรณีมีความจำเป็นต้องก่อสร้างสาธารณูปโภคเพิ่มเติมนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ตามที่ได้รับอนุมัติไว้
เห็นควรให้เป็นหน้าที่หน่วยงานรับผิดชอบพิจารณาขอรับจัดสรรจากแหล่งเงินงบประมาณ
กองทุนพัฒนาไฟฟ้า หรือแหล่งเงินอื่นตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
62 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เกี่ยวกับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ EEC Visa แนวทางการให้สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ และการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) | สกพอ. | 14/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(กพอ.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ เกี่ยวกับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ
EEC Visa และแนวทางการให้สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ
(EEC) และการปรับแนวทางดำเนินการโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล
(โครงการ EECd) โดยนำออกจากการดำเนินการภายใต้ประกาศ กพอ. เรื่อง
หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน
พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามมติ กพอ. ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น
ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพลังงาน
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการต่างประเทศ เห็นควรบูรณาการการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
ให้แล้วเสร็จ อันจะเป็นการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาตรวจลงตราแก่ชาวต่างชาติได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นตามนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุกของรัฐบาล กระทรวงพลังงาน เห็นว่าในประเด็นการจัดหาพลังงานให้เพียงพอและตรงตามความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่
กระทรวงพลังงานซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานจัดหาพลังงาน
ขอให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกคำนึงถึงเรื่องการจัดหาพลังงานให้มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ
เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานในการส่งเสริมการพัฒนาพิเศษของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กระทรวงแรงงาน เห็นควรกำหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
มีอำนาจเพิกถอนหนังสืออนุญาตทำงานที่กำหนดตามร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ในกรณีที่คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร ตามร่างประกาศคณะกรรมการฯ ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเกี่ยวกับสิทธิทำงานตำแหน่งหน้าที่การทำงานที่เลขาธิการฯ
ได้ออกหนังสืออนุญาตทำงานให้เช่นเดียวกับการเพิกถอนการอนุญาตให้เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรที่กำหนดตามร่างประกาศคณะกรรมการฯ
เพื่อให้การบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ในด้านการอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเป็นไปอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
63 | การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.07 | 07/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
64 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) | กษ. | 07/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๙ คณะ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิฝนหลวง ๒. คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ๓. คณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ๔. คณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนตามแนวทางในการป้องกัน
แก้ไขและฟื้นฟูผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล ๕. คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ๖. คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ๗. คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร ๘. คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
65 | ร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมสำหรับการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชาธิบดีฮาจี ฮัซซานัล บลเกียะฮ์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละฮ์ แห่งบรูไนดารุสซาลาม | กต. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายจักรพงษ์
แสงมณี) เสนอเพิ่มเติมว่า โดยที่เอกสาร ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑)
ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งบรูไนดารุสซาลามเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน
และ ๒) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาธิการแห่งบรูไนดารุสซาลามยังอยู่ระหว่างดำเนินการ
ดังนั้น ในชั้นนี้กระทรวงการต่างประเทศจึงขอตัดถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับเอกสารทั้ง ๒
ฉบับ ในร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมดังกล่าวออกไปก่อน ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วลงมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายจักรพงษ์ แสงมณี เสนอเพิ่มเติม
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมสำหรับการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชาธิบดีฮาจี
ฮัซซานัล บลเกียะฮ์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละฮ์ แห่งบรูไนดารุสซาลาม
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
66 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาพลังงาน (น้ำมันเชื้อเพลิง เชื้อเพลิงชีวภาพ และก๊าซปิโตรเลียมเหลว) ของคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา | พน. | 18/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาพลังงาน (น้ำมันเชื้อเพลิง เชื้อเพลิงชีวภาพ
และก๊าซปิโตรเลียมเหลว) ของคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปผลได้ดังนี้ ๑) ข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซ LPG สำหรับการคำนวณราคาจำหน่ายก๊าซ LPG เป็นไปตามกลไกการกำกับดูแลของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ควรปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อให้โรงบรรจุก๊าซสามารถบรรจุก๊าซในถังบรรจุก๊าซ LPG
ที่มีเครื่องหมายการค้าของผู้ค้าน้ำมันอื่นได้เพื่อความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
ปัจจุบันผู้ประกอบการสามารถดำเนินการได้และต้องคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยของถังบรรจุก๊าซ
LPG และ ๒) ข้อเสนอแนะภาพรวมในเชิงบริหารของน้ำมันเชื้อเพลิง
เชื้อเพลิงชีวภาพ และก๊าซ LPG ได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติเพื่อเป็นศูนย์กลางสารสนเทศด้านพลังงาน
มาตรการช่วยเหลือในกลุ่มที่มีความเปราะบางแทนการช่วยเหลือในภาพรวม
ได้มีการช่วยเหลือราคาเชื้อเพลิงแบบมุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในส่วนของก๊าซปิโตรเลียมเหลว
และกลุ่มผู้ประกอบอาชีพรถจักรยานยนต์รับจ้างในส่วนของน้ำมันเบนซินและการส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา
วิจัยพลังงาน และเชื้อเพลิงทางเลือกในอนาคตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น
พลังงานไฮโดรเจนจากน้ำเพื่อลดปริมาณการใช้พลังงานและค่าใช้จ่ายของประชาชน
ได้มีการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและเชื้อเพลิงทางเลือกในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายใต้นโยบายสังคมคาร์บอนต่ำ
และส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิงทางเลือกอื่นและมีมาตรการสนับสนุนการศึกษาวิจัยพลังงานและเชื้อเพลิงทางเลือกในอนาคตรูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
67 | ร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 5 | กต. | 09/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๕ และให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
(นายปานปรีย์ พหิทธานุกร) ร่วมรับรองร่างบันทึกการประชุมฯ ครั้งที่ ๕ ซึ่งร่างบันทึกการประชุมฯ
เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมของรัฐบาลไทยและเวียดนามที่จะส่งเสริมความร่วมมืออย่างรอบด้าน
การทบทวนการพัฒนาการความสัมพันธ์ในด้านต่าง ๆ และกำหนดทิศทางความร่วมมือในระยะต่อไปของทั้ง
๒ ประเทศ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) ความเป็นหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพที่ยั่งยืน (๒)
ความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน และ (๓) ความเป็นหุ้นส่วนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ตามที่ทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-เวียดนาม
ครั้งที่ ๕ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงผลประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
68 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ (1. นายเชิดชัย พรหมแก้ว ฯลฯ จำนวน 8 คน) | กษ. | 02/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
จำนวน ๘ คน ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ คน และผู้แทนเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร
จำนวน ๔ คน เนื่องจากกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ทั้งนี้
ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ เมษายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑. ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๑ นายเชิดชัย พรหมแก้ว ๑.๒. นายวิศิษฐ์
ลิ้มสมบุญชัย ๑.๓. นางสาวจูอะดี
พงศ์มณีรัตน์ ๑.๔. นายนำชัย พรหมมีชัย ๒. ผู้แทนเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร ๒.๑ นายศตวรรษ จันทร์ทอง ๒.๒ นางเคียงเดือน
สงวนชื่อ ๒.๓ นายบรรจง นิสภวาณิชย์ ๒.๔ นายสำราย นิลกิ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
69 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน | อว. | 02/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ
ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน
และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเพื่อมุ่งส่งเสริมความร่วมมือที่ให้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน (China National Space Administration - CNSA) ในการพัฒนาสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ
โดยครอบคลุมทั้งด้านการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และการทำวิจัยในสาขาที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
เห็นว่าร่างบันทึกความเข้าใจฯ ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
70 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการสำรวจและการใช้อวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ | อว. | 02/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการสำรวจและการใช้อวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ (Memorandum of Understanding between the Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation of the Kingdom of Thailand and China National Space Administration on Cooperation in the Exploration and Use of Outer Space for Peaceful Purposes) และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อวางรากฐานสำหรับการพัฒนาและดำเนินความร่วมมือที่ก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในการสำรวจและการใช้อวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ โดยมีสาระสำคัญในการพัฒนาอย่างสันติในสาขาวิทยาศาสตร์อวกาศ เทคโนโลยีอวกาศ และการประยุกต์ใช้อวกาศเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ รวมถึงเพื่อกระชับความร่วมมือไทย-จีนในด้านอวกาศอย่างยั่งยืน ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรพิจารณาปรับแก้ถ้อยคำบางประการในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
71 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... | ทส. | 02/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม
ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย
อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน
จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง
ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้
ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม
ที่เห็นควรกำหนดข้อยกเว้นไม่นำหลักเกณฑ์ในร่างประกาศดังกล่าวมาบังคับแก่การใช้พื้นที่เพื่อประโยชน์ในราชการของกองทัพเรือเช่นเดียวกับที่ได้มีกำหนดไว้ในกฎกระทรวงกำหนดให้บริเวณเกาะโลซิน
ตำบลบ้านน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี
เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๖๕ ในข้อ ๕ วรรคท้าย ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
72 | ร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ด้านความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์และบริษัทไชน่า ปิโตรเคมิคอล คอร์ปอเรชั่น | พณ. | 26/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ด้านความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์และบริษัทไชน่า
ปิโตรเคมิคอล คอร์ปอเรชั่น และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านโอกาสทางการค้าและการลงทุนในประเทศไทยและจีนรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าสู่ตลาดของผลิตภัณฑ์หรือการขยายธุรกิจของบริษัทไชน่า
ปิโตรเคมิคอล คอร์ปอเรชั่น ในประเทศไทย การส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าไทยในสถานีบริการน้ำมันบริษัทไชน่า
ปิโตรเคมิคอล คอร์ปอเรชั่น การสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมธุรกิจต่าง ๆ เช่น
การสัมมนาการประชุม การจับคู่ธุรกิจ งานแสดงสินค้า การจัดคณะผู้แทนการค้า ฯลฯ
รวมทั้งแสวงหา ส่งเสริม และพัฒนาโอกาสในการสร้างความร่วมมือระหว่างกัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด
(หนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ด่วนที่สุด ที่ อส ๐๐๐๖/๔๓๒๖ ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม
๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรเร่งให้ข้อมูล/ความรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบ
หลักเกณฑ์เงื่อนไข ขั้นตอนที่เกี่ยวกับการส่งออก และการจดทะเบียน เครื่องหมายการค้า/สิทธิบัตรซึ่งรวมถึงการบังคับใช้สิทธิและความคุ้มครอง
ตลอดจนให้คำปรึกษาแนะนำและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้าร่วมโครงการฯ
ให้สามารถจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า/สิทธิบัตรในประเทศจีน ก่อนการเข้าไปทำการตลาด
เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะถูกละเมิดสิทธิ และควรดำเนินการติดตามความก้าวหน้าและประเมินผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจากการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ
ดังกล่าวเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
73 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับจ้างเหมาบริการนักการภารโรง | ศธ. | 26/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการจ้างนักการภารโรงให้ครบทุกโรงเรียนในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ และให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน)
จัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามภารกิจ ความจำเป็นและเหมาะสม
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป สำหรับการดำเนินงานในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ และปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน)
พิจารณาทางเลือกอื่นที่เป็นเทคโนโลยีทันสมัย เช่น
ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดมาใช้ในการรักษาความปลอดภัยของโรงเรียน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมด้านทรัพยากรและงบประมาณที่สามารถนำครุภัณฑ์และเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในการดูแลความปลอดภัยของอาคารสถานที่และทรัพย์สินของโรงเรียนได้
ทั้งนี้ ให้นำผลการติดตามและประเมินผลการจ้างนักการภารโรงในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
มาประกอบการพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม คุ้มค่า
และเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการในการกำหนดทางเลือกดังกล่าวด้วย
และให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. เช่น ควรจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามภารกิจความจำเป็นและเหมาะสม
รวมถึงกำหนดมาตรการและแนวทางการบริหารจัดการงบประมาณอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ควรพิจารณาแนวทางอื่น ๆ
ควบคู่กันไป โดยเฉพาะในกลุ่มโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมด้านทรัพยากรและงบประมาณ
ซึ่งสามารถนำครุภัณฑ์และ/หรือเทคโนโลยี เช่น กล้องวงจรปิด
มาช่วยดูแลความปลอดภัยของอาคาร สถานที่ และทรัพย์สินของโรงเรียน ซึ่งจะช่วยลดค่าเสียโอกาสต่อการใช้งบประมาณของภาครัฐในระยะยาว
การใช้อัตรากำลังควรพิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับปริมาณงานโดยนำข้อมูลในส่วนของจำนวนนักเรียน
ขนาดโรงเรียน แผนการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก และข้อมูลอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบ รวมทั้งควรพิจารณาปรับปรุงรูปแบบและวิธีการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกำลังคนสำหรับรองรับการแก้ไขปัญหาในระยะยาวต่อไป
ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
74 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2566 | นร.11 สศช | 12/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ เห็นชอบ
และรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ดังนี้ (๑) อนุมัติให้กรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ
กรณีโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙)
สำหรับบริการประชากรในประเทศไทยจำนวน ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ โดส (AstraZeneca) ปี พ.ศ. ๒๕๖๕
โดยเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการวัคซีน AstraZeneca ที่ยังไม่ได้รับการส่งมอบจำนวน
๑๙.๐๗๔๔ ล้านโดส เป็นการจัดซื้อภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปหรือแอนติบอดี้ออกฤทธิ์ยาว (Long-acting
antibody : LAAB) รุ่นใหม่ จำนวน ๓๖,๐๐๐ โดส
ส่งผลให้กรอบวงเงินโครงการฯ ลดลงจาก๑๘,๓๘๒.๕๖๔๓ ล้านบาท เป็น
๑๓,๖๓๔.๘๗๑๒ ล้านบาท หรือลดลงจำนวน ๔,๗๔๗.๕๙๓๑
ล้านบาท (๒) มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขกำกับให้กรมควบคุมโรค เร่งประสานกับบริษัท AstraZenecaฯ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียน
เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไว้ภายในเดือนมีนาคม
๒๕๖๗ และให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ LAAB ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
(๓) อนุมัติให้จังหวัดกระบี่
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕ โดยขยายระยะเวลาดำเนินโครงการปรับภูมิทัศน์แหล่งท่องเที่ยวหาดอ่าวนางและหาดนพรัตน์ธารา
ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ วงเงิน ๕.๔๐๐๐ ล้านบาท จากเดิมสิ้นสุดเดือนธันวาคม
๒๕๖๕ เป็นเดือนธันวาคม ๒๕๖๖ โดยขอแก้ไขข้อเสนอเกี่ยวกับระยะเวลาสิ้นสุดของโครงการดังกล่าว
จากเดิม “สิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๖” เป็น “สิ้นสุดเดือนเมษายน ๒๕๖๗” (๔) มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
เร่งแก้ไขข้อมูลโครงการในระบบ eMENSCR ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโดยเร็ว
และ (๕) รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๙ (๑ สิงหาคม-๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖)
พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ
ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และที่เสนอเพิ่มเติม ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิดและกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ.
๒๕๖๔ ข้อ ๒๑ และ ๒๒ สำหรับโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังภายใน
๓ เดือน นับจากวันที่สิ้นสุดการดำเนินโครงการตามมติ ครม. เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม
๒๕๖๖ เพื่อให้การบริหารจัดการ เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรกำกับติดตามหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
และกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
75 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... | สธ. | 03/03/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.
๒๕๕๑ โดยปรับปรุงบทนิยาม องค์ประกอบ หน้าที่และอำนาจของรัฐมนตรีผู้รักษาการ คณะกรรมการต่าง
ๆ สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และพนักงานเจ้าหน้าที่ บทบัญญัติเกี่ยวกับการโฆษณา
และการส่งเสริมและสนับสนุนการบำบัดรักษาหรือฟื้นฟูสภาพผู้ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ตลอดจนกำหนดเวลาห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณสถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสถานที่หรือบริเวณสถานที่จัดบริการเพื่อให้การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อประโยชน์ทางการค้า
รวมทั้งบทกำหนดโทษ เพื่อให้การบังคับกฎหมายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
76 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายสุทธิเกตติ์ ทัดพิทักษ์กุล) | นร.13 | 27/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสุทธิเกตติ์
ทัดพิทักษ์กุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
77 | การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2567-2569 | กษ. | 27/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก
(WTO) ปี
๒๕๖๗-๒๕๖๙ สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผงและไม่เป็นผง)
หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ ดังนี้ (๑)
เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ปริมาณในโควตา ปีละ ๓.๑๕ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ
๒๑๘ (๒) หอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผงและไม่เป็นผง) ปริมาณในโควตาปีละ ๑,๒๕๖.๕๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๔๒ (๓)
หัวพันธุ์มันฝรั่ง ปริมาณในโควตา ไม่จำกัดจำนวน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐
และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ (๔) หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ปริมาณในโควตาปี
๒๕๖๗ จำนวน ๗๕,๕๐๐ ตัน ปี ๒๕๖๘ จำนวน ๗๘,๐๐๐ ตัน และปี ๒๕๖๙ จำนวน ๘๐,๐๐๐ ตัน
อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ ตามที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ
โดยให้ใช้ดำเนินการได้เฉพาะปี ๒๕๖๗ เท่านั้น
และให้คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดช่วงเวลาการนำเข้าสินค้าเกษตรดังกล่าวให้เหมาะสมและไม่กระทบต่อผลผลิตหอมหัวใหญ่และมันฝรั่งในประเทศ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรระมัดระวังไม่ให้เงื่อนไขที่กำหนดให้ผู้นำเข้าหรือผู้แทนผู้นำเข้าต้องรับซื้อผลผลิตหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปจากเกษตรกรของไทยถูกใช้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่สินค้าหัวมันฝรั่งฯ
ของไทยและทำให้สินค้าหัวมันฝรั่งฯ จากต่างประเทศเสียเปรียบในด้านการแข่งขัน
ควรระมัดระวังไม่ให้มาตรการเกี่ยวกับการบริหารช่วงเวลาการนำเข้า
โดยให้นำเข้าเฉพาะช่วงเดือนที่กำหนดไว้ ถูกใช้เพื่อจำกัดโอกาสและปริมาณของการนำเข้า
ควรให้ความสำคัญกับสถานการณ์การผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปภายในประเทศ การตรวจรับรอง
และการรับฟังความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน
เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งเกษตรกรและผู้ประกอบการแปรรูปอุตสาหกรรมการเกษตรของไทย
และให้ความสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตรให้สอดคล้องและเพียงพอกับความต้องการของอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมต่อเนื่องเพื่อการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
78 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2566 | กษ. | 20/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม
เวชยชัย) เป็นประธาน มีสาระสำคัญ เช่น (๑)
เห็นชอบการกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน โดยกำหนด “ห้ามมิให้ผู้ประกอบการจุดรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน
(ลานเท) กระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อให้ผลปาล์มน้ำมันร่วงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะโดยใช้ตะแกรง
รางเทสำหรับลำเลียงทะลายปาล์มน้ำมันที่เป็นตะแกรง อุปกรณ์ หรือสิ่งอื่นใดสำหรับแยกผลปาล์มน้ำมันร่วง”
โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒)
เห็นควรชะลอการพิจารณาการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสภามนตรีประเทศผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม (CPOPC) ของไทย
เนื่องจากอยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ (๓) มอบหมายสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินโครงการวิจัย
“สมการโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม”
ให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาดำเนินโครงการ (เดือนตุลาคม ๒๕๖๖-มีนาคม ๒๕๖๗)
และนำมาเสนอคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป เป็นต้น ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
79 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567) | ปสส. | 20/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์
๒๕๖๗ ซึ่งพิจารณาเรื่องที่คณะรัฐมนตรีส่งมาให้วิปรัฐบาลพิจารณา
ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง
พ.ศ. ๒๕๕๘ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
พ.ศ. .... พิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ชุดที่ ๒๖ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๑๙ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพุธที่ ๒๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ และพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ชุดที่ ๒๖ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๒๐ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง)
วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
80 | มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2566/2567 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2567 | นร.14 | 06/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและเห็นชอบรับทราบมาตรการรองรับฤดูแล้ง
ปี ๒๕๖๖/๒๕๖๗ (๙ มาตรการ)
และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง
ปี ๒๕๖๗ มอบหมายหน่วยงานดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยรายงานให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบ
พร้อมทั้งสรุปผลการดำเนินงานรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
และให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
และสำนักงบประมาณ โดยขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัดด้วย ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมยินดีให้การสนับสนุนและเร่งรัดดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง และควรให้ความสำคัญ
พร้อมทั้งเน้นย้ำหน่วยงานที่รับผิดชอบแผนงาน/โครงการให้ตรวจสอบแผนงาน/โครงการที่เสนอกับแผนงาน/โครงการตามแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน และสอดรับกับความต้องการของประชาชนกลุ่มผู้ใช้น้ำ
รวมทั้ง ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่และโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน
เพื่อให้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ตรงตามความต้องการและทันต่อสถานการณ์
รวมทั้งนำผลการดำเนินการ และปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการต่าง ๆ ตามมาตรการรองรับฤดูแล้งในปีที่ผ่านมา
มาใช้ประกอบการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |