ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 178 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 3541 - 3560 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3541 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายจำนงค์ ไชยมงคล) | นร.04 | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายจำนงค์ ไชยมงคล
เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3542 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางสาวขนิษฐา สหเมธาพัฒน์ ) | กค. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวขนิษฐา สหเมธาพัฒน์
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
(นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3543 | การแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 (ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานอย่างอื่นหรือในระดับต่ำลงไปในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ....) | ตช. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแบ่งส่วนราชการในระดับกองบัญชาการหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากองบัญชาการ
โดยตัดส่วนราชการสำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ ซึ่งโอนไปเป็นส่วนราชการในพระองค์
ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการในพระองค์และพระราชกฤษฎีกาจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์
พ.ศ. ๒๕๖๐ ออก จึงคงเหลือส่วนราชการ จาก ๓๑ หน่วย เป็น ๓๐ หน่วย
และเพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจของหน่วยงาน และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานอย่างอื่นหรือในระดับต่ำลงไปในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานอย่างอื่น
หรือในระดับต่ำลงไป และกำหนดหน้าที่และอำนาจ โดยคงจำนวนส่วนราชการดังกล่าวไว้เท่าเดิม
และกำหนดเพิ่มเติมหน่วยงานที่มีระดับต่ำกว่ากองบังคับการ
ที่มิได้ปรากฏอยู่ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเดิมแต่อยู่ในประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติลงไป
รวมทั้งปรับเปลี่ยนชื่อหน่วยงานสายการบังคับบัญชา ทั้งนี้
เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๔ รวม ๒ ฉบับ
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
โดยให้ตัดบทของร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับการแบ่งส่วนราชการของกองบังคับการตำรวจรถไฟ
(ร่างข้อ ๒ (๑๒) (ง) ร่างข้อ ๓ ๒.กองบังคับการ (๑๑) (ง) และบทเฉพาะกาล ร่างข้อ ๗)
ออก เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๑๖๓ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๕ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3544 | มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2566/67 | กษ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก
ปีการผลิต ๒๕๖๖/๖๗ และโครงการภายใต้มาตรการดังกล่าวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และให้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑
โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๖/๖๗ วงเงิน ๑๐,๑๒๐.๗๑ ล้านบาท และ ๑.๒ โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
ปี ๒๕๖๖/๖๗ วงเงิน ๔๘๑.๒๕ ล้านบาท ทั้งนี้
การชดเชยต้นทุนเงินและดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
รวมทั้งให้คงหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการชดเชยอัตราต้นทุนทางการเงินที่ต้องขอรับชดเชยจากภาครัฐในอัตราต้นทุนทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรประจำไตรมาส
บวก ๑ เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา หากจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราการชดเชย
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก
ปีการผลิต ๒๕๖๖/๖๗ จำนวน ๒ โครงการดังกล่าว
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง ๒. ให้กำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการของทั้ง ๒
โครงการดังกล่าวข้างต้น เป็นตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖) เป็นต้นไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
ควรมีการสนับสนุนให้เกษตรกรได้ขายข้าวในช่วงที่ราคาข้าวอยู่ในระดับสูงแทนการให้สินเชื่อเพื่อยืดเวลาการขายข้าวเปลือก
เพื่อให้เกิดการใช้กลไกตลาดในการบริหารจัดการให้เป็นประโยชน์สูงสุด
จะต้องบริหารจัดการระบายข้าวให้เหมาะสมตามช่วงเวลา สอดคล้องกับสถานการณ์
รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการการบริหารจัดการการผลิต การระบายและการค้าข้าว
เพื่อกำจัดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ตลอดจนจัดทำระบบการติดตามและการประเมินผลสัมฤทธิ์
และประโยชน์ที่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวจะได้รับจากการดำเนินโครงการ
ให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรไทยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
และการยกระดับให้สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจในการแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้วัตถุดิบจากข้าวเป็นหลัก
ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันควบคู่ไปกับการเพิ่มศักยภาพในการแปรรูปเพิ่มมูลค่าตลอดห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมข้าวของประเทศได้อย่างเหมาะสม
และควรดำเนินการเพื่อป้องกันความเสี่ยง อาทิ
กำหนดเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันให้สอดคล้องกับความเสี่ยงด้านราคาและคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตร
และกำหนดวิธีการควบคุมการเก็บและตรวจสอบความมีอยู่จริงของผลผลิตทางการเกษตรที่นำมาเป็นหลักประกันการชำระหนี้
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3545 | ร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจ่ายเงินเดือน
เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ
และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า
“เงินเดือน” และปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินเดือนของข้าราชการโดยสามารถแบ่งจ่ายเป็น ๒
รอบ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗ เป็นต้นไป
เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้แก่ข้าราชการ
รวมทั้งเป็นการเพิ่มอัตราเงินหมุนเวียนซึ่งจะช่วยเศรษฐกิจของประเทศ
อีกทั้งเพื่อให้เป็นการเบิกจ่ายเงินเดือนของข้าราชการมีความคล่องตัว รวดเร็ว
และสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงแรงงาน
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานศาลปกครอง ที่เห็นว่าข้อสังเกตตามร่างมาตรา
๓ ที่แก้ไขเพิ่มเติมนิยามคำว่า “เงินเดือน” หมายความว่า
เงินเดือนและเงินอื่นที่มีกำหนดจ่ายเป็นรายเดือน
หรือที่มีกำหนดจ่ายเป็นอย่างอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ... คำว่า “หรือที่มีกำหนดจ่ายเป็นอย่างอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด”
อาจทำให้เกิดการตีความได้ว่าให้สามารถจ่ายเป็นอย่างอื่นที่มิใช่ตัวเงินได้
เพื่อให้เกิดความชัดเจนอาจปรับปรุงถ้อยคำดังกล่าวเป็น “หรือที่กำหนดจ่ายตามรอบระยะเวลาอื่นภายในแต่ละเดือนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด”
การใช้ถ้อยคำในมาตรา ๒๐ ที่บัญญัติให้ “การจ่ายเงินเดือนข้าราชการประจำเดือน... ทั้งนี้
กรมบัญชีกลางจะกำหนดวันจ่ายหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นก็ได้” ควรมีการ
การปรับถ้อยคำเป็น “การจ่ายเงินเดือนข้าราชการประจำเดือน... ทั้งนี้
กรมบัญชีกลางจะกำหนดวันจ่ายและหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นก็ได้” เพื่อให้ครอบคลุมทั้งกรณีที่จะมีการปรับเปลี่ยนกำหนดวันจ่ายและวิธีการจ่ายอย่างอื่นในอนาคตด้วย
และการแก้ไขมาตรา ๒๐ ควรจะเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับระยะเวลาการจ่ายเงินเดือนก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน
ซึ่งอาจกำหนดให้มากหรือน้อยกว่าสามวันทำการก็ได้
และเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการและเหตุผลในการแก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน
เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ .... และนิยามในมาตรา ๔ การกำหนดวันจ่ายหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นโดยกรมบัญชีกลางจึงควรได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
และสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เช่น การแบ่งจ่ายเงินเดือนของข้าราชการเป็น ๒ รอบ
ควรเป็นไปด้วยความสมัครใจของข้าราชการแต่ละราย
เนื่องจากภาระหนี้สินของข้าราชการแต่ละรายมีบริบทที่แตกต่างกัน ควรพิจารณาวิธีการดำเนินการจ่ายเงินเดือนที่เหมาะสมและรอบคอบ
และมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับข้าราชการ
รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องด้วย ในกรณีคณะรัฐมนตรีจะกำหนดจ่ายเงินเดือนเป็นอย่างอื่นที่มิใช่กำหนดจ่ายเป็นรายเดือน
หรือในกรณีกรมบัญชีกลางจะกำหนดวันจ่ายหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นที่มิใช่กำหนดจ่ายเป็นรายเดือนในวันทำการก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือนสามวันทำการ
เห็นควรขอให้คณะรัฐมนตรีหรือกรมบัญชีกลางพิจารณาในประเด็นว่า
ข้าราชการจะขอแจ้งความประสงค์ต่อหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อให้มีการจ่ายเงินเดือน ๑
รอบ หรือ ๒ รอบ ให้แก่ตน ได้หรือไม่ อย่างไร ควรกำหนดให้ชัดเจนว่าการแบ่งจ่ายเงินเดือน
๒ รอบนั้น ควรเป็นภาคสมัครใจ
และวิธีการจะต้องไม่เป็นการสร้างภาระเกินควรให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการหักชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ของข้าราชการ
เป็นต้นไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3546 | มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2566/67 | พณ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.รับทราบสถานการณ์การผลิตและการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ปี ๒๕๖๖/๖๗ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการ นบมส.
และช่วยเหลือสภาพคล่องของสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรโดยไม่เร่งระบายผลผลิต
เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก
ซึ่งจะส่งผลให้ราคาที่เกษตรกรขายได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
อนุมัติในหลักการมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๖/๖๗ และโครงการภายใต้มาตรการดังกล่าวของกระทรวงพาณิชย์
และให้ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑
โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๖/๖๗ วงเงิน
๒๖,๖๗๐,๐๐๐ บาท
ให้กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายในใช้จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ในโอกาสแรกก่อน
หากไม่เพียงพอให้กระทรวงพาณิชย์เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๒
โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
ปี ๒๕๖๖/๖๗ วงเงิน ๓๘,๕๐๐,๐๐๐ บาท
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
โครงการในส่วนที่ใช้เงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและรัฐบาลได้มีการชดเชยให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในการดำเนินโครงการดังกล่าว
ให้กระทรวงพาณิชย์และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรร่วมกันพิจารณาอัตราการชดเชยให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าวข้างต้นอย่างแท้จริง
โดยอยู่ในอัตราที่เท่ากันกับอัตราการชดเขยของมาตรการที่มีการดำเนินการในลักษณะเดียวกันในสินค้าเกษตรอื่นและไม่ควรมากกว่าอัตราการชดเชยในอดีตที่ผ่านมาของโครงการในลักษณะเดียวกันเพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๓. ให้กำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินโครงการของทั้ง ๒
โครงการดังกล่าวข้างต้น เป็นตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖)
เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3547 | มาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ปี 2566/67 | พณ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.รับทราบสถานการณ์การผลิตและการตลาดมันสำปะหลัง ปี
๒๕๖๖/๖๗ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการ นบมส.
และช่วยเหลือสภาพคล่องของสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการรับซื้อมันสำปะหลังโดยไม่เร่งระบายผลผลิตรวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกและสร้างศักยภาพการแปรรูปของเกษตรกร
ในการเพื่อรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังโดยเฉพาะในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก
ซึ่งจะส่งผลให้ราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
อนุมัติในหลักการมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำะหลัง ปี ๒๕๖๖/๖๗
และโครงการภายใต้มาตรการดังกล่าวของกรมการค้าภายในและของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและให้ดำเนินการ
ดังนี้ ๒.๑ โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกมันสำปะหลังปี
๒๕๖๖/๖๗ วงเงิน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงพาณิชย์
โดยกรมการค้าภายในใช้จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้กระทรวงพาณิชย์เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๒
โครงการยกระดับศักยภาพการแปรรูปมันสำปะหลัง
ให้กรมการค้าภายในพิจารณาถึงหน้าที่และอำนาจและภารกิจของหน่วยดำเนินการ และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจและภารกิจหลักให้เป็นผู้ดำเนินการ
เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรด้านปัจจัยการผลิต
ดำเนินการอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
ลดภาระค่าใช้จ่ายและความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๓
โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี
๒๕๖๖/๖๗ วงเงิน ๑๙,๒๕๐,๐๐๐ บาท
และ ๒.๔ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังปี
๒๕๖๖/๖๗ วงเงิน ๔๑,๔๐๐,๐๐๐ บาท ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณร่ายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริง
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
โครงการในส่วนที่ใช้เงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและรัฐบาลได้มีการชดเชยให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงพาณิชย์และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรร่วมกันพิจารณาอัตราการชดเชยให้สอดคล้องกับภาระต้นทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างแท้จริง
โดยอยู่ในอัตราที่เท่ากันกับอัตราการชดเชยของมาตรการที่มีการดำเนินการในลักษณะเดียวกันในสินค้าเกษตรอื่นและไม่ควรมากกว่าอัตราการชดเชยในอดีตที่ผ่านมาของโครงการในลักษณะเดียวกันเพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๓.
ให้กำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินโครงการของโครงการต่าง ๆ
ดังกล่าวข้างต้นเป็นตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3548 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 17 และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 10 | กห. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน
ครั้งที่ ๑๗ และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา
ครั้งที่ ๑๐ มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๕
ถึงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งจะมีการพิจารณาร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ
โดยแบ่งเป็นร่างเอกสารที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะร่วมรับรอง (Adopt) จำนวน ๕ ฉบับ อนุมัติ (Approve) จำนวน ๒ ฉบับ และรับทราบ (Note) จำนวน ๑ ฉบับ รวม ๘
ฉบับ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน
ครั้งที่ ๑๗ และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา
ครั้งที่ ๑๐ จำนวน ๘ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรวิเคราะห์ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้ง พิจารณาใช้ช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสม
เพื่อให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3549 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 เรื่อง ขออนุมัติปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนม | กษ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติมว่า
เนื่องจากสถานการณ์ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลกรวมถึงค่าบริหารและขนส่งมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้เกษตรกรโคนมรายย่อย (ฟาร์มขนาดเล็ก) ต้องรับภาระต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
จึงเห็นว่าการให้ความช่วยเหลือเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรโคนมกลุ่มดังกล่าว
แทนการปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบจะเป็นผลดีกับกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า
รวมทั้งจะช่วยผลกระทบกับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม โครงการอาหารเสริม (นม)
โรงเรียนด้วย และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม)
พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3550 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านราชอาณาจักรไปยังบุคคลหรือองค์กรที่กำหนด กรณีสาธารณรัฐเฮติ พ.ศ. .... | พณ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
ให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านราชอาณาจักรไปยังบุคคลหรือองค์กรที่กำหนด
กรณีสาธารณรัฐเฮติ พ.ศ. ....
ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔
ตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านราชอาณาจักรไปยังนาย Jimmy Cherizier หรือ Barbeque
และบุคคลหรือองค์กร ตามที่คณะกรรมการของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
(UNSC) กำหนด
เพื่อให้เป็นไปตามข้อมมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๖๕๓ (ค.ศ.๒๐๒๒)
กรณีสาธารณรัฐเฮติ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3551 | ร่างความตกลงประเทศเจ้าบ้านระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุที่มีศักยภาพและนวัตกรรม พ.ศ. .... | สธ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างความตกลงประเทศเจ้าบ้านระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม
มีสาระสำคัญเป็นการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ ACAI
รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของ ACAI โดยมีถ้อยคำและบริบทที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับข้อกฎหมายระหว่างประเทศ
ดังนั้น ร่างความตกลงประเทศเจ้าบ้านฯ จึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ซึ่งจะต้องขอความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนามและดำเนินการให้มีผลผูกพัน
แต่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าส่วนของการสนับสนุนพื้นที่สำนักงานในประเทศไทยและการบริจาคเงินสนับสนุนควรพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสมกับภารกิจที่เป็นการสร้างความรู้
การวิจัย และพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามในร่างความตกลงประเทศเจ้าบ้านระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงประเทศเจ้าบ้านระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามในร่างความตกลงประเทศเจ้าบ้านระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม ๔. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุที่มีศักยภาพและนวัตกรรม
พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3552 | การป้องกันและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล | นร. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ปัจจุบันปัญหาการโจรกรรมข้อมูลและการนำข้อมูลส่วนบุคคลมาเปิดเผยมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
อันเป็นการกระทำผิดกฎหมายและสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลและผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก
ดังนั้น จึงขอมอบหมาย ดังนี้ ๑.
ให้รัฐมนตรีทุกท่านกำชับหน่วยงานในความรับผิดชอบให้ระมัดระวังการเก็บรักษา และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่มีอยู่อย่างรัดกุมและมีความปลอดภัย
โดยให้จัดทำระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลให้สามารถป้องกันการโจรกรรมข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งห้ามไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลแก่สาธารณชนหรือนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่และอำนาจของหน่วยงานอย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้
ให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3553 | การกำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินโครงการของภาครัฐ | นร. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การดำเนินโครงการของภาครัฐเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
มีประสิทธิภาพ มีการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า เหมาะสม และไม่เกิดความล่าช้าในการดำเนินงานต่าง
ๆ อันอาจเกิดผลกระทบเสียหายแก่ทางราชการได้ จึงขอให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีการจัดซื้อจัดจ้างเอกชนในการดำเนินโครงการต่าง
ๆ ต้องกำกับ ติดตาม และเร่งรัดเอกชนคู่สัญญาให้ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ
เป็นไปตามกรอบระยะเวลาและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในสัญญาอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการดำเนินการและมีวงเงินงบประมาณสูง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3554 | ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 23 | พณ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(AEC Council) ครั้งที่ ๒๓ เมื่อวันที่
๓ กันยายน ๒๕๖๖ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์)
เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในการประชุมฯ
ได้มีการพิจารณารับรองและเห็นชอบเอกสาร จำนวน ๘ ฉบับ
ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๖ และวันที่ ๒๓
สิงหาคม ๒๕๖๖ เช่น (๑) ยุทธศาสตร์อาเซียนเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน (๒)
ปฏิญญารัฐมนตรีว่าด้วยกรอบการดำเนินงานสำหรับโครงการพื้นฐานด้านอุตสาหกรรม และ (๓)
ปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการในการตอบสนองต่อภาวะวิกฤต
รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ปัจจุบันอาเซียนให้ความสำคัญกับประเด็นเศรษฐกิจดิจิทัล
โดยได้เริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน
ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการค้าภายในอาเซียนให้เอื้อกับการค้ายุคใหม่ที่ปรับเปลี่ยนไปสู่รูปแบบดิจิทัลมากยิ่งขึ้น
เช่น การอำนวยความสะดวกในการค้าข้ามพรมแดนทางดิจิทัล พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การชำระเงิน
และความปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3555 | การดำเนินการเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรืองว่าด้วยความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน | กต. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรืองว่าด้วยความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน
และการเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงฯ และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในร่างความตกลงฯ
ในช่วงการประชุมระดับรัฐมนตรี IPEF ที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้
ในกรณีมอบหมายผู้แทนให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ให้ผู้แทนดังกล่าวลงนามในร่างความตกลงฯ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลใช้บังคับ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำสัตยาบันสารของความตกลงฯ
เมื่อกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีหนังสือแจ้งยืนยันมายังกระทรวงการต่างประเทศแล้วว่า
ได้ดำเนินกระบวนการภายในประเทศที่จำเป็นสำหรับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
เสร็จสิ้นแล้ว และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารของความตกลงฯ
ให้กับผู้เก็บรักษา (Depositary) ความตกลงฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรืองว่าด้วยความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลใช้บังคับ โดยเฉพาะในการดำเนินการตาม Article 8 : IPEF
Labor Rights Advisory Board กระทรวงการต่างประเทศควรหารือกับกระทรวงแรงงานเพื่อสร้างความเข้าใจกับภาคเอกชนที่มีความกังวลในประเด็นดังกล่าว
และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการเสนอรายชื่อผู้แทนของประเทศไทยใน IPEF
Labor Rights Advisory Board เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยสามารถปรับตัว
และได้รับประโยชน์จากความตกลงฯ อย่างเต็มที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3556 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister: AEM) ครั้งที่ 55 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๕๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖
ณ เมืองเซอมารัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สรุปได้ ดังนี้ (๑) ผลการประชุม AEM ครั้งที่ ๕๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง โดยผลการประชุม AEM ครั้งที่ ๕๕ มีประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจที่อินโดนีเซียผลักดันให้บรรลุผลสำเร็จในปี
๒๕๖๖ แล้ว ๕ ประเด็น เช่น การจัดทำกรอบอำนวยความสะดวกด้านการบริการของอาเซียน จัดทำความตกลงกรอบเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียนและเสนอต่อผู้นำอาเซียนใน
ASEAN Summit โดยตั้งเป้าหมายการเจรจาให้แล้วเสร็จในปี
๒๕๖๘ จัดทำยุทธศาสตร์อาเซียนเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของภูมิภาคและการพัฒนาทักษะแรงงานใน
๕ อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ภาคพลังงานและการขนส่ง ภาคการเกษตร
และภาคการจัดการของเสีย และ (๒) เอกสารผลลัพธ์การประชุม โดยที่ประชุม AEM ครั้งที่ ๕๕ ได้รับรองและเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจ จำนวน ๑๓
ฉบับ โดยมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมปฏิญญารัฐมนตรีว่าด้วยกรอบการดำเนินงานสำหรับโครงการพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมซึ่งไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๖
เช่น ปรับเพิ่มเนื้อหาในส่วนของเป้าหมายเชิงกลยุทธ์โดยให้เพิ่มเติมถ้อยคำในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคงและยืดหยุ่น
เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3557 | ทบทวนการพิจารณาการออกสลากการกุศล | กค. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.เห็นชอบการพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕ (เรื่อง โครงการสลากการกุศล) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
โดยให้ปรับเปลี่ยนข้อเสนอเฉพาะในข้อ ๗.๓.๓ ของหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด
ที่ กค ๑๘๑๗.๒/๙๑๘๘ ลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เป็น ดังนี้ เดิม “ในกรณีมีวงเงินโครงการสลากการกุศลตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ คงเหลือจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการออกสลากการกุศล ตามข้อ
๗.๑ ให้คณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศลพิจารณากลั่นกรองจากโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเงินจากโครงการสลากการกุศลที่ได้จัดส่งข้อเสนอมาแล้ว...” เป็น “มอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณโครงการสลากการกุศลดำเนินการพิจารณาการออกสลากการกุศลสำหรับโครงการสลากการกุศลตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง การปรับปรุงหลักการและแนวทางการพิจารณาการออกสลากการกุศล)
ที่มีวงเงินคงเหลือ จำนวน ๘๓๘.๖๒ ล้านบาท ตามหลักการและแนวทางการออกสลากการกุศลของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
โดยให้มีการเปิดรับข้อเสนอโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเงินจากโครงการสลากการกุศลเพิ่มเติมได้
ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศลมีอำนาจกำหนดวงเงินที่จะให้การสนับสนุนแต่ละโครงการ
รวมทั้งความจำเป็นและความพร้อมของการดำเนินโครงการ
เพื่อให้เกิดการกระจายตัวของเงินสนับสนุนจากโครงการสลากการกุศลและสามารถเบิกจ่ายเงินได้อย่างรวดเร็ว” |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3558 | รายงานสรุปข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | นร.05 | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรม
(สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย) ดำเนินการประกาศราคาน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรตามอำนาจและหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตามข้อเสนอแนวทางการบริหารความสมดุลในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย
ข้อ ๓.๕ โดยด่วน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ให้กระทรวงพาณิชย์
(กรมการค้าภายใน ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ)
นำเสนอคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณาทบทวนมาตรการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าน้ำตาลทราย
โดยกำหนดมาตรการให้สอดคล้องกับข้อเสนอของคณะทำงานบริหารความสมดุลในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และให้กระทรวงอุตสาหกรรม
(สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย) และกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน)
พิจารณามาตรการกำกับดูแลให้มีน้ำตาลทรายในปริมาณที่เพียงพอ สำหรับการบริโภคในประเทศ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมีการหารือร่วมกันโดยคำนึงถึงความเป็นธรรมต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการ
และผู้บริโภค รวมทั้งต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเร่งส่งเสริมให้เกษตรกรตัดอ้อยสดแทนการเผาเพื่อลดมลพิษทางอากาศจากการเผาอ้อย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3559 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณและขยายระยะเวลาผูกพันปีงบประมาณ รายการค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงาน โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กต. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการต่างประเทศรับเรื่องนี้คืนไปพิจารณาทบทวนในรายละเอียดร่วมกับสำนักงบประมาณเพื่อปรับลดวงเงินงบประมาณของโครงการให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3560 | การติดตามความคืบหน้าในการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) | นร. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การจัดทำความตกลงการค้าเสรี
(Free Trade Agreement : FTA) กับประเทศคู่ค้าของไทยให้ได้มากที่สุด จะเป็นกลไกสำคัญในการขยายโอกาสทางการค้า
การลงทุน และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยให้มากยิ่งขึ้น ดังนั้น
จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปานปรีย์ พหิทธานุกร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรับเรื่องนี้ไปประสานกับกระทรวงพณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อจัดทำแผนงาน กรอบระยะเวลาการเจรจาและการลงนาม
และกำหนดเวลามีผลใช้บังคับของความตกลงกับประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ
ให้ชัดเจนตามลำดับความสำคัญเร่งด่วน และขับเคลื่อนตามขั้นตอนให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมตามกรอบระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ต่อไป
ทั้งนี้
ให้เผยแพร่ข้อมูลและผลการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้สาธารณชนทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึงตามความจำเป็นและเหมาะสมด้วย
|