ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 177 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 3521 - 3540 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3521 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาวนันทินี ทรัพย์ศิริ) | รง. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวนันทินี ทรัพย์ศิริ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งประกันสังคมจังหวัด (ผู้อำนวยการสูง) สำนักงานประกันสังคมจังหวัดกาญจนบุรี
สำนักงานประกันสังคม ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ (นักวิชาการแรงงานทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
3522 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (1. นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ฯลฯ จำนวน 22 คน) | อว. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
จำนวน ๒๒ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.
ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ๑.๑ นายชัยวัฒน์
ชื่นโกสุม ๑.๒ ศาสตราจารย์บัณฑิต
เอื้ออาภรณ์ ๑.๓
ศาสตราจารย์ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช ๑.๔ นางภัทรพร วรทรัพย์ ๑.๕ นายยุทธนา สาโยชนกร ๑.๖ รองศาสตราจารย์สาโรช รุจิรวรรธน์ ๑.๗ นายสุทธิเกตติ์ ทัดพิทักษ์กุล ๑.๘
รองศาสตราจารย์คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ ๑.๙ นางรวีวรรณ ภูริเดช ๑.๑๐ นายวันชัย พนมชัย ๑.๑๑ ศาสตราจารย์อภิชาติ
อัศวมงคลกุล ๒.
ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมิใช่ข้าราชการ ๒.๑ นายเกรียงไกร
เธียรนุกุล ๒.๒ นายธรรมศักดิ์
เศรษฐอุดม ๒.๓ ศาสตราจารย์ประสาท
สืบค้า ๒.๔ ศาสตราจารย์ปิยะมิตร
ศรีธรา ๒.๕
รองศาสตราจารย์วีระพงษ์ แพสุวรรณ ๒.๖ ศาสตราจารย์สิริฤกษ์
ทรงศิวิไล ๒.๗ รองศาสตราจารย์สุธรรม
อยู่ในธรรม ๒.๘ นายสุเมธ
ตั้งประเสริฐ ๒.๙ นายสุวิทย์
วิบุลผลประเสริฐ ๒.๑๐ นายอรรถพล
ฤกษ์พิบูลย์ ๒.๑๑ นายอาทิตย์
นันทวิทยา
|
||||||||||||||||||||||||
3523 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ (นางกัมเลช มันจันดา) | ศธ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบกรณี นายชัชวัสส์ เศรษฐี
พ้นจากตำแหน่งกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นในคณะกรรมการสภาการศึกษา
ตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
|
||||||||||||||||||||||||
3524 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (นายพีรพันธ์ คอทอง) | กค. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพีรพันธ์ คอทอง ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
แทนกรรมการอื่นเดิมที่ขอลาออก ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗
พฤศจิกายน ๒๕๖๖) เป็นต้นไป
โดยผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งตามวาระของผู้ซึ่งตนแทน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
3525 | รายงานการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 16 การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 20 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | นร.02 | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๖ การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๒๐ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
และรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ (นางสุดฤทัย เลิศเกษม)
เป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสสารนิเทศอาเซียน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๙-๒๓ กันยายน ๒๕๖๖ ณ นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สรุปได้
ดังนี้ (๑) การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๖
โดยที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับหัวข้อ “สื่อ : จากข้อมูลสู่ความรู้เพื่ออาเซียนที่ยืดหยุ่นและพร้อมตอบสนอง”
โดยได้เน้นย้ำการยกระดับการดำเนินงานของสื่อ
ในการปรับตัวใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างสังคมแห่งความรู้ ซึ่งไทยได้เสนอแนวคิด
3I (Informative Intelligent และ Inclusive) เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาประชาคมอาเซียน นอกจากนี้
ที่ประชุมได้ให้การรับรองเอกสารผลลัพธ์อย่างเป็นทางการ จำนวน ๕ ฉบับ ได้แก่ ๑)
แถลงการณ์วิสัยทัศน์ของรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน อาเซียน ๒๕๗๘ : มุ่งสู่นิเทศอาเซียนที่พร้อมเปลี่ยนแปลง พร้อมตอบสนอง และยืดหยุ่น ๒)
ปฏิญญาดานังว่าด้วย “สื่อ : จากข้อมูลสู่ความรู้เพื่ออาเซียนที่ยืดหยุ่นและพร้อมตอบสนอง”
๓) แนวทางการจัดการข้อมูลภาครัฐเพื่อต่อต้านข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือนในสื่อ ๔)
แผนปฏิบัติการคณะทำงานเฉพาะกิจอาเซียนด้านการรับมือข่าวลวง และ ๕)
แถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๖
และการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา+๓ ครั้งที่ ๗ (๒)
การประชุมทวิภาคีระหว่างไทย-สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด) ได้หารือร่วมกับนายเหวียน แม็ง ห่ม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสารสนเทศและการสื่อสารเวียดนาม
ในประเด็นความร่วมมือด้านการต่อต้านข่าวปลอม
โดยเสนอให้แลกเปลี่ยนการข่าวอาเซียนให้มากยิ่งขึ้น
เพื่อให้ได้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องครบถ้วนและน่าเชื่อถือทั้งในห้วงปกติและภาวะวิกฤติ
และ (๓) การประชุมทวิภาคีระหว่างไทย-ราชอาณาจักรกัมพูชา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด)
ได้หารือร่วมกับนายเนตร พักตรา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารกัมพูชา
ในประเด็นความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาแก็งคอลเซ็นเตอร์
ซึ่งไทยได้เสนอให้ใช้กลไกความร่วมมือด้านสื่อ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทั้งสองประเทศมีความรู้เท่าทันสื่อและมีแนวทางในการรับมือจากภัยหลอกลวงทางออนไลน์
ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
3526 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ยุทธศาสตร์ "Indo - Pacific" ของสหรัฐฯ และ "Belt and Road Initiative: BRI" ของจีน : ผลกระทบต่อภูมิภาคและประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา | สว. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ยุทธศาสตร์
“Indo-Pacific” ของสหรัฐฯ
และ “Belt and Road Initiative : BRI” ของจีน
: ผลกระทบต่อภูมิภาคและประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา
โดยมีข้อเสนอแนะ แบ่งเป็น ๓ แนวทาง ได้แก่
ท่าทีและข้อเสนอแนะสำหรับไทยที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ เช่น
มิติทางด้านการทหารและความมั่นคง ไทยควรสนับสนุนให้สหรัฐฯ
หลีกเลี่ยงการใช้สรรพกำลัง อาวุธ และความรุนแรง หรือในการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้น และควรสนับสนุนให้สหรัฐฯ ดำเนินยุทธศาสตร์ให้เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ แก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีในลักษณะการทูตเชิงป้องกัน
เพื่อป้องกันปัญหาความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ท่าทีและข้อเสนอแนะสำหรับไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจีน
เช่น ไทยควรหารือกับจีนในเรื่องการเสริมสร้างความร่วมมือกับอาเซียน
โดยเข้าร่วมเจรจาและสนับสนุนการจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of
Conduct in the South China Sea : COC) ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และควรสนับสนุนให้จีนใช้เวทีอาเซียนในการเจรจาหารือหรือดำเนินกิจกรรมต่าง
ๆ เกี่ยวกับการปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติในเชิงสร้างสรรค์ร่วมกันในพื้นที่ทะเลจีนใต้
เพื่อเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือ ความเชื่อมั่น
และความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างจีนกับอาเซียน และข้อเสนอแนะอื่น ๆ สำหรับไทย เช่น
สหรัฐฯ และจีน มองว่าไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น
ไทยควรพิจารณาดำเนินนโยบายทางการทูตแบบสมดุลและสนับสนุนเสริมสร้างความสามัคคีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียน
ซึ่งจะเป็นการช่วยสร้างอำนาจในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ และจีนได้ดียิ่งขึ้น และควรนำกรอบความร่วมมือที่ทำร่วมกับสหรัฐฯ
และจีน มาพิจารณาแสวงหาประโยชน์ผ่านเวทีระดับพหุภาคี
ซึ่งไทยมีบทบาทสำคัญทั้งต่อระบบเศรษฐกิจและที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้น ไทยควรพิจารณาถึงการแสดงบทบาทนำและผลักดันในประเด็นข้อตกลงที่ไทยจะได้รับประโยชน์มากที่สุด
ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ ๒.
มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
3527 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน | รง. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ ของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้วเห็นว่า
ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
3528 | ขอปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) | พณ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีวว่าด้วยการกำหนดนโยบาย
เศรษฐกิจระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศให้มีความเหมาะสม
เพื่อให้การดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
3529 | ขอขยายระยะเวลาการออกกฎหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 22 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 (พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) | กษ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาในการออกกฎหมายลำดับรองซึ่งออกตามความในพระราชกำหนดการประมง
พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
3530 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 108 ปี สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. .... | กค. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก
๑๐๘ ปี สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ....
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล)
ชนิดราคายี่สิบบาทเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสครบ ๑๐๘ ปี
สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ในวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
3531 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 | สธ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
พ.ศ. ๒๕๕๑ ออกไปอีก ๑ ปี นับแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ จำนวน ๔ ฉบับ
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.
ร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติว่าด้วยการเลือกและการแต่งตั้งที่ปรึกษา
พ.ศ. .... ๒. ร่างระเบียบคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่าด้วยหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับการสนับสนุนเพื่อการบำบัดรักษาหรือฟื้นฟูสภาพผู้ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
พ.ศ. .... ๓. ร่างประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
พ.ศ. ....
|
||||||||||||||||||||||||
3532 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 | สธ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ
พ.ศ. ๒๕๖๐ ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
3533 | รายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เรื่อง มาตรการด้านความปลอดภัยของรถรับ-ส่งนักเรียน | สผผ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน
ตามหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐
เรื่อง มาตรการด้านความปลอดภัยของรถรับ-ส่งนักเรียน ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
3534 | รายงานสถานะของหนี้สาธารณะตามมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | กค. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะตามมาตรา ๓๕ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ณ วันที่
๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ โดยมีหนี้สาธารณะคงค้างจำนวน ๑๑,๐๒๗,๙๘๐.๐๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ
๖๑.๗๘ ของ GDP
ซึ่งยังอยู่ในกรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่กำหนดให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP
ไม่เกินร้อยละ ๗๐ ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
3535 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในกฎหมายที่กระทรวงกลาโหมรับผิดชอบ | กห. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในกฎหมายที่กระทรวงกลาโหมรับผิดชอบ
ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
3536 | ร่างพิธีสารการเจรจาทวิภาคีไทยและติมอร์ - เลสเต เพื่อการภาคยานุวัติเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของติมอร์ - เลสเต | พณ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในสารัตถะของร่างพิธีสารการเจรจาทวิภาคีไทยและติมอร์-เลสเต
เพื่อการภาคยานุวัติเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ของติมอร์-เลสเต
ซึ่งเป็นตราสารที่จัดทำขึ้นเพื่อแสดงถึงผลการเจรจาทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและติมอร์-เลสเต
เพื่อนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางการค้าที่ติมอร์-เลสเต
จะให้ในกรอบ WTO ตามกระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิก WTO
โดยผลการเจรจาระหว่างประเทศไทยกับติมอร์-เลสเต
ในการลดภาษีสินค้านำเข้าและข้อผูกพันเฉพาะรายสาขาการค้าบริการของติมอร์-เลสเต
ต่อไทยที่บรรจุในร่างพิธีสารฯ จะนำไปรวมกับผลการเจรจาระหว่างติมอร์-เลสเตกับประเทศสมาชิกอื่น
ๆ และจะกลายเป็นส่วนต่อท้าย (addendum)
ของพิธีสารภาคยานุวัติ (Protocol of Accession) เข้าเป็นสมาชิก
WTO ของติมอร์-เลสเต และมอบหมายให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำ WTO
และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารการเจรจาทวิภาคีไทยและติมอร์-เลสเต
เพื่อการภาคยานุวัติเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของติมอร์-เลสเต
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
3537 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-คงคา ครั้งที่ 12 | กต. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-คงคา
ครั้งที่ ๑๒ (12th Mekong-Ganga Cooperation
Foreign Ministers’ Meeting: 12th MGC FMM) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๖ ที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล
กรุงเทพฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐอินเดีย
และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เป็นประธานร่วมในรูปแบบการประชุมผสมผสาน (hybrid) และมีนายดอน
ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และที่ปรึกษาอาวุโสของรัฐบาลในฐานะผู้แทนรองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศราชอาณาจักรกัมพูชา (เทียบเท่ารัฐมนตรี)
เข้าร่วมด้วยตนเองและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเข้าร่วมผ่านระบบการประชุมทางไกล
โดยผลการประชุมฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือฯ
ในการติดตามความคืบหน้าความร่วมมือ
และกำหนดแนวทางการดำเนินความร่วมมือร่วมกันในอนาคตอย่างเป็นรูปธรรม
ซึ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และมอบหมายส่วนราชการดำเนินการและติดตามความคืบหน้าในส่วนของภารกิจที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าประเด็นการเร่งรัดขยายเส้นทางต่อไปยังกัมพูชา สปป.ลาว และเวียดนาม
ภายใต้โครงการพัฒนาถนนสามฝ่าย อินเดีย-เมียนมา-ไทย นั้น
กระทรวงคมนาคมขอเรียนว่าที่ประชุมคณะทำงานย่อยด้านทางหลวงอาเซียน (ASEAN
Highways Sub-Working Group : AHSWG) มีมติให้รอความชัดเจนอย่างเป็นทางการจากอินเดีย
ก่อนนำประเด็นดังกล่าวหารือแนวทางการดำเนินการต่อไป และควรวิเคราะห์และติดตามประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
3538 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 29 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน
ครั้งที่ ๒๙ และการประชุมอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ เมืองหลวงพระบาง
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ต่อคณะรัฐมนตรี รวม ๑๘ ฉบับ
โดยแบ่งเป็นเอกสารที่รัฐมนตรีขนส่งอาเซียนจะร่วมกันรับรอง (adopt) จำนวน ๑๗ ฉบับ
และเอกสารที่รัฐมนตรีขนส่งอาเซียนจะลงนาม จำนวน ๑ ฉบับ และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมอบหมาย
สำหรับการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงอาเซียน โดยร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศในภูมิภาครวมถึงประเทศคู่เจรจาที่สำคัญ
และเป็นการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์และแผนงานฉบับต่าง ๆ ของอาเซียน รวมทั้งสอดคล้องกับแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน
(ASEAN Connectivity) เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน
และการเชื่อมโยงระหว่างประชาชน
ให้มีประสิทธิภาพอย่างครอบคลุมและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
อันจะนำไปสู่การสร้างประชาคมอาเซียนให้มีความเข้มแข็ง
และเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน
ครั้งที่ ๒๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๘ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
3539 | เอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีเอเปค และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี ค.ศ. 2023 | กต. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๓o (Joint Ministerial
Statement of the 30th APEC Finance
Ministers’ Meeting) จะจัดขึ้นในวันที่
๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเงินการคลังระหว่างกัน
เพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของภูมิภาคเอเปคอย่างครอบคลุมและยั่งยืน โดยมีประเด็นสำคัญที่ต้องการผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจเอเปคอย่างเป็นรูปธรรม
เช่น (๑) การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของการเติบโตของเศรษฐกิจโลก (๒)
เศรษฐศาสตร์อุปทานสมัยใหม่ (๓) การพัฒนานวัตกรรมและสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความรับผิดชอบ
และ (๔) การเงินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวมทั้งข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย
เช่น ย่อหน้า ๒
น่าจะสามารถเพิ่มถ้อยคำเพื่อย้ำความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายกรุงเทพมหานคร
ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy) เพื่อสะท้อนการสานต่อผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปี
๒๕๖๕ และย่อหน้า ๓
ถ้อยคำเรื่องสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเขตเศรษฐกิจเอเปค
ซึ่งคาดว่าน่าจะหมายถึงสถานการณ์รัสเชีย-ยูเครน กระทรวงการต่างประเทศไม่มีข้อขัดข้องหากจะมีการใช้ถ้อยคำเดิม
(Agreed Language) ในประเด็นดังกล่าวตามที่ปรากฏในร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีเอเปค
และปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๒ และร่างเอกสารดังกล่าวปรากฏการใช้คำว่า
“Commit” ที่มีลักษณะผูกมัดการดำเนินนโยบายของประเทศ
ซึ่งอาจเกินกว่าแนวทางความร่วมมือภายใต้กรอบ APEC ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล
และการเงินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงอาจพิจารณาปรับถ้อยคำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อรองรับการพัฒนาของเรื่องดังกล่าวในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๓๐ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
3540 | รายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี พ.ศ. 2566 | พณ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐอเมริกาว่าด้วยว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ
ดำเนินการส่งเสริมการคุ้มครองและป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาให้มีประสิทธิภาพ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย ได้แก่
กระทรวงกลาโหม (กองทัพบกและกองทัพเรือ) กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร)
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม (กรมสอบสวนคดีพิเศษ)
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการพอกเงิน
และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติกวดขันปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจังและเต็มประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในท้องตลาดและช่องทางออนไลน์และเร่งดำเนินคดีกับผู้ผลิตสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาต้นน้ำ
การละเมิดลิซสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในภาคเอกชนและการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ผ่านอุปกรณ์หรือแอปพลิเคชันสำหรับการสตรีมและดาวน์โหลด ๒. หน่วยงานภาครัฐปฏิบัติตาม “แนวทางการจัดซื้อจัดจ้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์
(Software : ซอฟต์แวร์)
และการใช้งานซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ”
อย่างเคร่งครัดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๔ ๓.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาเร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสิทธิบัตร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
เพื่อนำไปสู่การออกกฎหมายให้เท่าทันกับสถานการณ์และรองรับการเข้าเป็นภาคีความตกลงกรุงเฮกว่าด้วยการจดทะเบียนการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระหว่างประเทศต่อไป ๔.
กรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเร่งรัดการพิจารณากำหนดให้ตำแหน่งผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรเป็นตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษให้ได้รับเงินเพิ่ม ๕. กรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับกรมบัญชีกลาง
กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางการขอหักเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาที่ต้องส่งเข้าเงินคงคลังไว้เป็นค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการของผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรเพื่อช่วยสะสางงานค้างสะสม โดยให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงยุติธรรม และสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นว่ากรณีการขอหักเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาที่ต้องส่งเข้าเงินคงคลังไว้เป็นค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการของผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรเพื่อช่วยสะสางงานค้างสะสม
นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ.
๒๔๙๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๔ วรรคสอง กำหนดข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการหักเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา
พ.ศ. ๒๕๔๙ และที่แก้ไขเพิ่มเดิม อนุญาตให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาหักเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาก่อนนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการส่งเสริมและคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาได้ตามหลักเกณฑ์
เงื่อนไข และวงเงินที่กระทรวงการคลังกำหนด ควรให้มีการบูรณาการและประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง
และการมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ
ส่งเสริมการคุ้มครองและป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาให้มีประสิทธิภาพ นั้น
ในขั้นตอนการปฏิบัติ หน่วยงานต่าง ๆ จะต้องพิจารณาดำเนินการ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับกฎหมาย
ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |