ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 213 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 4241 - 4260 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
4241 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการเลือกตั้งทั่วไป (เพิ่มเติม) | ลต. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและจัดการการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
เป็นการเลือกตั้งทั่วไป (เพิ่มเติม) สำหรับหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่ร่วมดำเนินการ
จำนวน ๒ หน่วยงาน ในกรอบวงเงินทั้งสิ้น ๑๙,๙๖๒,๐๙๒.๑๐ บาท ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ในกรอบวงเงิน ๑๐,๕๐๔,๓๓๐ บาท และบริษัท
โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ในกรอบวงเงิน ๙,๔๕๗,๗๖๒.๑๐ บาท ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประสานกับหน่วยงานดังกล่าวข้างต้น
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๓) แล้ว ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่จะต้องดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร
รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้เงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4242 | ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐของสำนักงาน กสม. | สม. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีอนุมัติหลักการการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๗,๓๘๑,๐๐๐ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรของสำนักงาน กสม. ตามนัยข้อ ๘ และข้อ ๙ (๒) ของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒
ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการแล้ว ทั้งนี้ ให้สำนักงาน กสม. ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๓) แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4243 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว | มท. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว
เนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๖ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ฉบับกฤษฎีกา เล่มที่ ๑๔๐ ตอนที่ ๒๒ ก วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๖
การขอให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกรุงเทพมหานคร
จึงไม่สามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการได้
เนื่องจากจะมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป
เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร
และจะนำเสนอรายงานความคืบหน้าของการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร)
และหน่วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรให้กรุงเทพมหานครหารือร่วมกับกระทรวงคมนาคมในประเด็นของระบบตั๋วร่วม การกำหนดอัตราค่าโดยสาร
และรายละเอียดอื่น ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
ให้กรุงเทพมหานครร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อมูลประมาณการวงเงินภาระหนี้สินที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทั้งหมดจนจบสัญญาสัมปทาน
(ปี ๒๖๗๒) เปรียบเทียบกับประมาณการรายได้/สถานะทางการเงินของกรุงเทพมหานคร
และจัดทำข้อเสนอแผนการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นรายปี
ตลอดจนประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในโอกาสแรกด้วย
เร่งพิจารณาแนวทางที่จะทำให้กรุงเทพมหานครสามารถจัดเก็บค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว
ส่วนต่อขยาย ระยะที่ ๒ ที่ได้เปิดให้บริการมาตั้งแต่เมื่อปี ๒๕๖๓
เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่กรุงเทพมหานครซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้สินที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของ
MOU
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
4244 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารสุดท้าย (Draft Final Document) และร่างปฏิญญากรุงบากูของการประชุมคณะกรรมการประสานงานในระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Ministerial Meeting of the Coordinating Bureau of the Non-Aligned Movement: CoB-NAM) | กต. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติร่างเอกสารสุดท้าย (Draft
Final Document) และร่างปฏิญญากรุงบากูของการประชุมคณะกรรมการประสานงานในระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
(Ministerial Meeting of the Coordinating Bureau of the Non-Aligned
Movement : CoB-NAM) จะมีขึ้นระหว่างวันที่
๕-๖ กรกฎาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน โดยร่างเอกสารสุดท้ายฯ
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับท่าที พัฒนาการ
และการดำเนินการของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในเรื่องต่าง ๆ ในระดับโลกและภูมิภาค
อาทิ ปัญหาการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชนและการพัฒนาที่ยั่งยืน
และการปฏิรูปสหประชาชาติ และร่างปฏิญญาบากูฯ มีสาระสำคัญย้ำหลักการต่าง ๆ ที่กลุ่ม
NAM ให้ความสำคัญ เช่น การเคารพในอำนาจอธิไตย
การระงับกรณีพิพาทโดยสันติ การงดเว้นจากการคุกคามและใช้กำลัง
การร่วมกันตอบสนองต่อข้อท้าทายของโลกปัจจุบัน และการธำรงไว้ซึ่งคุณค่าของระบอบพหุภาคีและความร่วมมือระหว่างประเทศ
โดยให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา ซึ่งได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
และผู้แทนพิเศษ (Special Envoy)
ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว หากถ้อยคำในเรื่องทะเลจีนใต้ในเอกสารสุดท้ายฯ
ไม่สอดคล้องกับท่าทีร่วมของอาเซียนในเรื่องนี้
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมลงนามหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation) หรือหนังสืออื่น ๆ
ที่เป็นการแจ้งท่าทีของอาเซียนต่อถ้อยคำในเอกสารสุดท้ายเช่นเดียวกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอื่น
ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของรัฐมนตรีอาเซียนต่อเอกสารสุดท้ายของการประชุม
CoB-NAM ที่ผ่านมา
และหากปรากฎว่าเนื้อหาหรือถ้อยคำของเอกสารสุดท้ายฯ
และร่างปฏิญญาบากูที่ได้รับรองในที่ประชุม CoB-NAM
ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์และท่าทีไทยในสาระสำคัญ แสดงท่าทีเชิงลบ
หรือมีถ้อยคำรุนแรงประณามประเทศอื่นใด อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งข้อสงวน
(reservation)
หรือแสดงท่าทีที่อธิบายอย่างระมัดระวังถึงเหตุผลของไทยซึ่งทำให้ไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือถ้อยคำดังกล่าวได้
ทั้งนี้ การแจ้งข้อสงวนเป็นแนวทางที่ไทยปฏิบัติมาโดยตลอด ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารสุดท้ายและร่างปฏิญญากรุงบากูของการประชุมคณะกรรมการประสานงานในระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหุตผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4245 | ร่างกฎกระทรวงสำมะโนหรือสำรวจตัวอย่างการเกษตร พ.ศ. .... | ดศ. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงสำมะโนหรือสำรวจตัวอย่างการเกษตร
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สำนักงานสถิติแห่งชาติทำการสำรวจตัวอย่างการเกษตร
เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทำการเกษตรจากผู้ถือครองทำการเกษตรทั่วประเทศ
เพื่อให้มีชุดข้อมูลพื้นฐานด้านการเกษตรเพื่อใช้ประโยชน์อย่างเพียงพอ
สำหรับการวางแผน เฝ้าระวัง ติดตาม และประเมินผลการพัฒนาประเทศด้านการเกษตร
พัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรในภาคการเกษตร และใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการกำหนดนโยบาย
มาตรการในการช่วยเหลือเกษตรกร ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เห็นควรปรับปรุงนิยาม “การเกษตร” และปรับถ้อยคำในร่างกฎกระทรวงฯ
บางประการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติสถิติ
พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้เหมาะสม ทันสมัย และสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งเป็นไปตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ ด้วย เช่น การดำเนินการสำรวจข้อมูลต่าง ๆ
ควรนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้อง
ครบถ้วน รวดเร็ว
และสามารถประมวลผลข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในการประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายเรื่องต่าง ๆ
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติควรเชื่อมโยงกับข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน)
เพื่อให้มีข้อมูลที่ถูกต้อง ตรงกัน และเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ว่าควรประสานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สำหรับนำข้อมูลมาใช้ร่วมกับสำมะโนเกษตรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4246 | ขออนุมัติงบประมาณ งบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเบิกจ่ายโครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์ม เพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต๊อกน้ำมันปาล์ม งวดที่ 3 และงวดสุดท้าย | พณ. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณ งบกลาง
รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเบิกจ่ายงวดที่ ๓
ตามพื้นที่จำนวน ๑๓ พื้นที่ และงวดสุดท้าย โครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์ม
เพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต๊อกน้ำมันปาล์ม เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๑๐๗.๒๔
ล้านาท ก่อนสำนักงบประมาณเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนอนุมัติจัดสรรงบประมาณดังกล่าวต่อไป
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๓) แล้ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4247 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... | ทส. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการเป็นหน่วยงานขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ มกราคม ๒๕๔๗ เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งข้าราชการระดับ ๑๐
หรือระดับ ๑๑ กรณีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม |
||||||||||||||||||||||||||||||
4248 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเร่งรัดการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 2 | นร.11 สศช | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเร่งรัดการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงเทพมหานคร
โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย)
เข้าร่วมการประชุมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยและปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานร่วมในการประชุมฯ
กับรัฐมนตรีว่าการสำนักงานด้านการพัฒนาและเศรษฐกิจแห่งชาติ
แห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สรุปได้ ดังนี้ (๑)
รายงานของที่ประชุมอาเซียนว่าด้วยเรื่อง SDGs โดยหน่วยงานด้านการวางแผนพัฒนาระดับประเทศ ครั้งที่ ๓
ได้เน้นย้ำความเพียงพอของข้อมูลและการรายงานข้อมูลเพื่อใช้ตรวจสอบความก้าวหน้าในการขับเคลื่อน
SDGs
ส่งเสริมความสอดคล้องระหว่างนโยบาย/โครงการและความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับชาติ
ระดับภูมิภาค และระดับโลก เสนอให้มีความร่วมมือระดับภูมิภาคที่เข้มแข็งเพื่อส่งเสริมการตระหนักถึงความสำคัญของ
SDGs และ (๒) ร่างขอบเขตการดำเนินงานของการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเร่งรัดการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุ
SDGs ครั้งที่ ๒
โดยมีการปรับปรุงรายละเอียดเพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้นแต่ยังคงไว้ซึ่งสาระสำคัญตามที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบเมื่อวันที่
๔ เมษายน ๒๕๖๖ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4249 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย - ตุรกี ครั้งที่ 4 และกิจกรรมคู่ขนาน | กต. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย-ตุรกี
ครั้งที่ ๔ และกิจกรรมคู่ขนาน ณ กรุงอังการา ตุรกี
โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีตุรกี (นายมุสตาฟา วารังก์)
เป็นประธานร่วม
และพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในโอกาสแรก
โดยมีผลการประชุมฯ เช่น ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องขยายเป้าหมายทางการค้าให้ได้ ๒,๐๐๐
ล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านการเร่งสรุปความตกลงการค้าเสรี (Joint Trade Committee
: JTC) ไทย-ตุรกี ครั้งที่ ๑ และ (๒)
ฝ่ายไทยได้เชิญชวนฝ่ายตุรกีมาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
โดยเฉพาะสาขาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความของกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยในส่วนที่เป็นคำแปลภาษาไทยขอเสนอปรับแก้ถ้อยคำแปลภาษาไทยให้มีความถูกต้องเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ได้แก่ คำว่า “ด้านการกำหนดมาตรฐาน” เป็น “ด้านการมาตรฐาน” และคำว่า
“การประเมินความสอดคล้อง” เป็น “การตรวจสอบรับรอง” ดังนี้
“ทบทวนบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกับสถาบันมาตรฐานตุรกี
เพื่อขยายความร่วมมือด้านการมาตรฐาน การตรวจสอบรับรอง ตลอดจนกิจกรรมอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้อง” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4250 | ผลการประชุม The 1st Asia Zero Emission Community (AZEC) Ministerial Meeting | พน. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม
The 1st
Asia Zero Emission Community (AZEC) Ministerial Meeting
เมื่อวันที่ ๓-๕ มีนาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยมีรองนายกรัฐมนตรี
(นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ
โดยที่ประชุมได้ร่วมรับรองแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมฯ ซึ่งประเทศพันธมิตรจะร่วมผลักดันความร่วมมือให้บรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงผ่านทางพลังงานของภูมิภาค
เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานหมุนเวียน ก๊าซธรรมชาติเหลว และเทคโนโลยีการดักจับ
การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน
โดยญี่ปุ่นได้เน้นย้ำและให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยคาร์บอนควบคู่กับการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน
ไทย มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปพร้อมกับการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน
และพร้อมจะร่วมมือกับนานาประเทศในการขยายความเชื่อมโยงด้านพลังงานในภูมิภาคและสนับสนุนประเทศพันธมิตรในการบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานร่วมกัน
เป็นต้น และการหารือทวิภาคีระหว่างรองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์
พันธ์มีเชาว์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
กับผู้บริหารระดับสูงของประเทศ/องค์กรที่เข้าร่วมการประชุม เช่น ไทย-ญี่ปุ่น
เห็นพ้องที่จะร่วมสร้างสรรค์ โดยร่วมกันจัดงาน “ASEAN-Japan Fast Track
Pitch Event” ณ กรุงเทพมหานคร ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๖
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนานวัตกรรม Start-up ไทย-ออสเตรเลีย
ออสเตรเลียเสนอความร่วมมือในการถ่ายทอดองค์ความรู้
การเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้าในพื้นที่ห่างไกลและการสร้างตลาดซื้อขายพลังงานไทย-IEA
มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลแนวทาง/มาตรการการรับมือกับวิกฤติพลังงานโลก
และความร่วมมือด้านการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
พร้อมทั้งได้ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือเกี่ยวกับเทคโนโลยีดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน
และร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามเอกสารความร่วมมือของบริษัทด้านพลังงานของไทยด้วย ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4251 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation: BIMSTEC) หรือบิมสเทค ครั้งที่ 19 | กต. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ
(Bay of Bengal Initiative
for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation :
BIMSTEC) หรือบิมสเทค ครั้งที่ ๑๙ ผ่านระบบการประชุมทางไกล
โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย)
เป็นประธาน และพิจารณามอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ
ต่อไป โดยที่ประชุมฯ ให้ความสำคัญต่อ (๑) การเร่งสรุปผลการเจรจาต่อเขตการค้าเสรี
(๒) การยกระดับความเชื่อมโยงภายในภูมิภาค และ (๓)
การเร่งรัดการดำเนินงานในสาขาความร่วมมือต่าง ๆ รวมทั้งได้รับรองถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค
ครั้งที่ ๑๙ และเห็นชอบร่างวิสัยทัศน์กรุงเทพฯ ๒๐๓๐
ที่เสนอแนะต่อที่ประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ ๖ เพื่อให้การรับรองต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตติ
ที่เห็นควรให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยให้คำนึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ด้วย
พิจารณาประเด็นในแผนงาน/โครงการของสาขาหลักและสาขาย่อยของความร่วมมือบิมสเทคให้มีความครอบคลุม
รวมทั้งควรส่งเสริมให้มีการบูรณาการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศไทย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4252 | การพิจารณาทบทวนมาตรการการกักขังแทนค่าปรับ | นร. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
การกักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญาเป็นมาตรการลงโทษที่ไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรมและหลักสิทธิมนุษยชน
โดยการลงโทษปรับเป็นการบังคับเอาแก่ตัวทรัพย์สินของผู้ต้องโทษ
แต่การกักขังเป็นการบังคับเอาแก่เสรีภาพของผู้ต้องโทษ จึงไม่อาจทดแทนกันได้
และหากมีการลงโทษปรับ ก็มีมาตรการรองรับเพื่อบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ต้องโทษ
รวมทั้งการทำงานบริการสังคมอยู่แล้ว สมควรพิจารณายกเลิกการกักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญาเพื่อให้สอดคล้องกับหลักนิติธรรมและหลักสิทธิมนุษยชน
และตามแนวทางการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม
จึงลงมติมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
โดยถือเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4253 | การนำที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะมาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกบริเวณหนองตาเหี่ยม ตำบลอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก | มท. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการนำที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะบริเวณที่ราชพัสดุ
แปลงหมายเลขที่ พล ๓๘๕ พื้นที่จำนวน ๑๐๔-๓-๖๔ ไร่ เพื่อนำมาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกบริเวณหนองตาเหี่ยม
ตำบลอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย
(สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดพิษณุโลกและเทศบาลเมืองอรัญญิก)
รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมพิษณุโลก พ.ศ. ๒๕๕๓
และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4254 | รัฐบาลมาเลเซียเสนอขอแต่งตั้งกงสุลใหญ่มาเลเซีย ณ จังหวัดสงขลา (นายอะฮ์มัด ฟะฮ์มี บิน อะฮ์มัด ซาร์กาวี) | กต. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอะฮ์มัด ฟะฮ์มี
บิน อะฮ์มัด ซาร์กาวี (Mr. Ahmad Fahmi bin Ahmad Sarkawi) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่มาเลเซีย
ณ จังหวัดสงขลา โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดสงขลา ชุมพร กระบี่ นครศรีธรรมราช นราธิวาส
ปัตตานี พังงา พัทลุง ภูเก็ต ระนอง สตูล สุราษฎร์ธานี ตรัง และยะลา สืบแทน นายมูฮัมมัด ซิดซวน บิน อาบู ยาชิด (Mr. Muhammad Ridzuan bin
Abu Yazid) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4255 | รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเสนอขอแต่งตั้งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดขอนแก่น (นางหลิว หงเหมย์) | กต. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางหลิว หงเหมย์ (Mrs. Liu Hongmei) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดขอนแก่น
โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดขอนแก่น อำนาจเจริญ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ
กาฬสินธุ์ เลย มหาสารคาม มุกดาหาร นครพนม นครราชสีมา หนองบัวลำภู หนองคาย ร้อยเอ็ด
สกลนคร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี อุดรธานี และยโสธร สืบแทน นายเลี่ยว
จวิ้นยหวิน (Mr. Liao Junyun) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4256 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายกิติพงษ์ มหารัตนวงศ์) | นร.10 | 27/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายกิติพงษ์ มหารัตนวงศ์
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.
ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ก.พ. สำนักงาน ก.พ. สำนักนายกรัฐมนตรี
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักงาน
ก.พ. เสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
มาตรา ๑๖๙ (๒) แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4257 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายธวัชชัย จันทร์ไพศาลสิน) | นร 05 | 27/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นายธวัชชัย จันทร์ไพศาลสิน ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการกอง
(ผู้อำนวยการระดับสูง) กองอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
(นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๒) แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4258 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (1. นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ ฯลฯ จำนวน 3 ราย) | กค. | 27/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ราย
ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๒) แล้ว ดังนี้ ๑.
นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร
(นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร ตั้งแต่วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ๒.
นายสมศักดิ์ อนันทวัฒน์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี
(กลุ่มธุรกิจพลังงาน) (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร
ตั้งแต่วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4259 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายอภิชัย ธรรมเสริมสุข) | นร.11 สศช | 27/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอภิชัย ธรรมเสริมสุข
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการกอง (ผู้อำนวยการระดับสูง)
กองบัญชีประชาชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๑
ธันวาคม ๒๕๖๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๒) แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
4260 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ครั้งที่ 1/2566 | กค. | 27/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๖
สรุปได้ ดังนี้ (๑) ภาพรวมการเบิกจ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖ มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวน ๑,๙๕๕,๖๖๗ ล้านบาท และ (๒) ปัญหาและอุปสรรค เช่น
หน่วยงานเบิกจ่ายเงินรายการผูกพันเดิมจากเงินกันไว้เหลื่อมปีก่อน แล้วจึงเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณปีปัจจุบัน
และบางโครงการมีการแก้ไขรายละเอียดเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ/พื้นที่จริง
โดยมีข้อเสนอแนะว่า หน่วยงานควรจัดทำแผนการดำเนินงานแต่ละงาน/โครงการ
โดยระบุวันที่ดำเนินการให้ชัดเจนและให้ความสำคัญในการกำกับดูแลการเตรียมความพร้อมของโครงการก่อนเริ่มดำเนินการ
ตามที่คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐเสนอ
|