ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 215 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 4281 - 4300 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
4281 | รายงานผลการขับเคลื่อนแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2559 - 2565) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | วธ. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการขับเคลื่อนแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๕) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ประกอบด้วย (๑)
ภาพรวมการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ของแผนแม่บทฯ ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑
วางระบบรากฐานการเสริมสร้างคุณธรรมในสังคมไทย ยุทธศาสตร์ที่ ๒ สร้างความเข้มแข็งในระบบการบริหารจัดการด้านการส่งเสริมคุณธรรมให้เป็นเอกภาพ
ยุทธศาสตร์ที่ ๓ สร้างเครือข่ายความร่วมมือในการส่งเสริมคุณธรรม และยุทธศาสตร์ที่
๔ ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นแบบอย่างด้านคุณธรรมในประชาคมอาเซียนและประชาคมโลก (๒)
ผลสำเร็จจากการดำเนินงานแผนแม่บทฯ จากการประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ของหน่วยงานต่าง
ๆ ประกอบด้วย ระดับประชาชน ระดับสังคม และระดับชาติ และ (๓)
แนวทาง/แผนการดำเนินการต่อไป มีการกำหนดแนวทางในการดำเนินงาน ประกอบด้วย
จัดการประชุมสร้างการรับรู้ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริม ระยะที่ ๒ (พ.ศ.
๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั้ง ๔ ภาค
ทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ
และจังหวัดคุณธรรม ส่งเสริมและยกย่องบุคคลที่ทำความดี มีคุณธรรม
สร้างประโยชน์ให้กับสังคม กำกับ ติดตาม และส่งเสริมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรม
ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ของหน่วยงานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามตัวชี้วัดที่กำหนด
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4282 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2566 | นร.11 สศช | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๖ สรุปได้ ดังนี้
(๑) ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๖๖
มีการจ้างงาน จำนวน ๓๙.๖ ล้านคน ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๒.๔
และอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ ๑.๐๕ ปรับตัวดีขึ้นเข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนหนี้สินครัวเรือนในไตรมาสสี่
ปี ๒๕๖๕ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๕ แต่ชะลอตัวจากไตรมาสที่ผ่านมา
ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนทรงตัว
นอกจากนี้ จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒๔.๕
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ
๒๐๓.๔ จากไตรมาสที่ผ่านมา (๒) สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ
เช่น มูเตลู : โอกาสในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงความเชื่อ
โดยการท่องเที่ยวมูเตลู สามารถเป็น soft power เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวได้
ซึ่งภาครัฐควรกำหนดนโยบายและแนวทางพัฒนาที่ชัดเจน
และวิสาหกิจเพื่อสังคมกับการรองรับสังคมสูงวัย องค์กรภาคประชาสังคมต่าง ๆ
ได้เข้ามาช่วยดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ โดยเฉพาะวิสาหกิจเพื่อสังคม
ซึ่งเป็นกลไกที่มีความยั่งยืนเนื่องจากสามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเองและเกิดความร่วมมือของคนในพื้นที่
และ (๓) บทความ “ คุณธรรมในสังคมไทย”
คนไทยส่วนใหญ่มีคุณธรรมอยู่ในระดับพอใช้และระดับคุณธรรมวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลง
ควรมีการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดระบบนิเวศคุณธรรมในสังคมไทยและส่งเสริมให้คนไทยมีการดำเนินชีวิตสู่วิถีชีวิตแห่งคุณธรรม
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4283 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน พ.ศ. 2565 - 2570 ประจำปี 2565 | กค. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน
พ.ศ. ๒๕๖๕ - ๒๕๗๐ ประจำปี ๒๕๖๕
และโครงการตามแผนปฏิบัติการ ปี ๒๕๖๖ สรุปได้ ดังนี้ (๑)
ผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ประจำปี ๒๕๖๕
เป็นการวางรากฐานและเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยมีกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะทางการเงินอย่างบูรณาการเพื่อสร้างระบบนิเวศด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินที่ยั่งยืน
ประกอบด้วย ๓ เป้าหมาย ได้แก่
คนไทยตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการบริหารจัดการเงินและเข้าถึงข้อมูลการเงิน
คนไทยมีความรู้และทักษะทางการเงินเพียงพอที่จะนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม และประเทศไทยมีกลไกขับเคลื่อนการดำเนินการพัฒนาทักษะทางการเงินอย่างบูรณาการและยั่งยืน
ซึ่งมีแผนงานที่ดำเนินการแล้วเสร็จ ๗ แผนงาน เช่น การรณรงค์ระดับชาติ
เพื่อสร้างความตระหนักรู้ทางการเงินให้แก่ประชาชน แผนงานที่เป็นไปตามแผน ๑๑ แผนงาน
เช่น การผลักดันการพัฒนาทักษะทางการเงินในหลักสูตรการเรียนในระดับการศึกษาชั้นต่าง
ๆ รวมถึงบุคลากรภาครัฐ และแผนงานที่เป็นไปตามแผน ๑ แผนงาน คือ
กำหนดให้การพัฒนาทักษะทางการเงินเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ
เนื่องจากอยู่ระหว่างการฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด - ๑๙
จึงต้องเร่งแก้ไขหนี้สินครัวเรือนก่อน (๒)
คณะกรรมการการพัฒนาทักษะทางการเงินเพื่อขับเคลื่อน กำกับ ติดตาม
และประเมินผลการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ มีข้อเสนอแนะว่า
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญในการให้ความรู้การเงินดิจิทัล ภัย
และกลโกงทางการเงินเพิ่มขึ้น และ (๓) หน่วยงานต่าง ๆ
ได้เสนอโครงการตามแผนปฏิบัติการฯ ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม ๑๘ โครงการ โดยส่วนใหญ่เกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลและองค์ความรู้ด้านการเงินการผลักดันการพัฒนาทักษะทางการเงินในระบบการศึกษา
และการให้ความรู้ด้านการเงินแก่กลุ่มเป้าหมาย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4284 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 130 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร พ.ศ. .... | กค. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๓๐ ปี
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดของเหรียญกษาปณ์โลหะขาว
(ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคายี่สิบบาท
เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๓๐ ปี ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
ในวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4285 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | นร.01 | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชนในไตรมาสที่
๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ (เดือนมกราคม - มีนาคม ๒๕๖๖) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน
ในไตรมาสที่ ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น
รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ ผ่านช่องทางการร้องทุกข์
๑๑๑๑ รวมทั้งสิ้น ๑๔,๔๔๙ เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ ๑๑,๙๑๒ เรื่อง โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์ฯ
มากที่สุด (๑,๔๕๔ เรื่อง) สำหรับเรื่องร้องทุกข์ที่ประชาชนยื่นเรื่องมากที่สุด คือ
เสียงรบกวน/สั่นสะเทือน (๑,๖๕๘ เรื่อง) และปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์
เช่น (๑) ปัญหากรณีมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนทางโทรศัพท์ (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) (๒)
ปัญหาการลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ (๓) ปัญหาที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางเสียง ๒.
ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ/การปฏิบัติงาน เช่น (๑)
ควรกำหนดแนวทางพัฒนาการให้บริการประชาชน โดยมุ่งเน้นให้ผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความเข้าใจในองค์ความรู้ด้านต่าง
ๆ (๒) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งรัดการแก้ไขปัญหาที่กระทบกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ทันท่วงที
และ (๓) หน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ของประชาชน
ควรบูรณาการฐานข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ร่วมกันและปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4286 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ พ.ศ. .... | ตช. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดการได้รับเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมข้าราชการตำรวจ
ซึ่งรวมถึงสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาล หรือการประกันสุขภาพตามที่จ่ายจริงในอัตราเบี้ยประกันไม่เกินคนละ
๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี
และเงินบำเหน็จตอบแทนตามระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรพิจารณาหน้าที่และอำนาจ
ลักษณะงานและลักษณะของการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ จำนวนหน่วยงาน
และจำนวนข้าราชการ ที่ต้องดูแลรับผิดชอบ ตลอดจนสิทธิในการได้รับค่าตอบแทน
หรือการประกันสุขภาพ สิทธิในการได้รับบำเหน็จตอบแทนและการนับระยะเวลาและการคำนวณบำเหน็จตอบแทนในแต่ละมาตราเพื่อกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสมและจำเป็น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4287 | ร่างกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 จำนวน 3 ฉบับ | นร.09 | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบร่างกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย
พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๓ ฉบับ ที่ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑
ร่างกฎกระทรวงการแสวงหาข้อเท็จจริง การรวบรวมพยานหลักฐาน และการชี้แจงหรือแก้ข้อกล่าวหา
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแสวงหาข้อเท็จจริง
การรวบรวมพยานหลักฐาน
และการชี้แจงหรือแก้ข้อกล่าวหาในกระบวนการพิจารณาความผิดทางพินัยของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงการชำระค่าปรับเป็นพินัยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการชำระค่าปรับเป็นพินัยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ๑.๓ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยระเบียบปฏิบัติในการปรับเป็นพินัย
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการวางระเบียบปฏิบัติในการปรับเป็นพินัย
รวมทั้งระยะเวลาในการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย
พ.ศ. ๒๕๖๕ ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ ๒.
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรมที่เห็นว่า ร่างกฎกระทรวงการแสวงหาข้อเท็จจริง
การรวบรวมพยานหลักฐาน และการชี้แจงหรือแก้ข้อกล่าวหา พ.ศ. .... ข้อ ๖
กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดเท่าที่สามารถจะทำได้เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง
ๆ อันเกี่ยวกับการกระทำความผิดทางพินัย เพื่อให้รู้ว่ามีการกระทำความผิดทางพินัยหรือไม่
และใครเป็นผู้กระทำความผิด นั้น การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐควรคำนึงถึงหลักการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเกี่ยวกับการแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐาน
โดยต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ
หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายของผู้ถูกกล่าวหาและป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
และบรรดาเอกสารที่รวบรวมหรือจัดทำขึ้นในชั้นแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ควรจัดทำหรือแปลงให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4288 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีเงินอุดหนุนที่รัฐอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | ปช. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) กรณีเงินอุดหนุนที่รัฐอุดหนุนให้แก่ อปท.
โดยจากการศึกษาข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเงินอุดหนุนที่รัฐจัดสรรให้แก่ อปท.
เพื่อเป็นแหล่งรายได้เสริมทางการคลัง พบว่า การจัดสรรเงินอุดหนุนฯ
มีปัญหาอันอาจนำไปสู่การทุจริตหลายประการทั้งโครงสร้างรายได้ การจัดสรร การบริหาร
การกำกับดูแล การตรวจสอบ และติดตามประเมินผล ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.
เห็นควรมีข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนของ อปท.
กรณีเงินอุดหนุนที่รัฐอุดหนุนให้แก่ อปท. เช่น (๑)
ข้อเสนอด้านการจัดทำคำขอและการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุน
ควรมีนโยบายและแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน
ทั้งวิธีการและระยะเวลาในการส่งเสริมและพัฒนารายได้ให้กับ อปท.
และควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และตัวชี้วัดอย่างชัดเจนในการจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจให้แก่
อปท. เพื่อลดอำนาจการใช้ดุลยพินิจในการจัดสรรโดยมิชอบ (๒)
ข้อเสนอด้านการนำเงินอุดหนุนไปจัดทำข้อบัญญัติ/เทศบัญญัติ
และการบริหารจัดการงบประมาณเงินอุดหนุน
ควรกำหนดให้ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารงานของ อปท. อย่างเป็นรูปธรรมและเข้มข้นในทุกกระบวนการ
และควรส่งเสริมและพัฒนาระบบการตรวจสอบภายในของ อปท. ทั้งในด้านประสิทธิภาพ
ความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ และความก้าวหน้า และ (๓)
ข้อเสนอด้านการติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุน
ควรดำเนินการให้มีการจัดทำระบบฐานข้อมูลกลางขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อใช้ในการบริหารจัดการ
วิเคราะห์ ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่ อปท.
และควรสนับสนุนให้ อปท. ทุกแห่ง
ใช้ระบบการจ่ายเงินโดยให้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Paymemt) ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ
๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดดำเนินการศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
และคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรายงานผลการพิจารณาดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4289 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง กรณีการขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมาตรา 169 (3) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ของกระทรวงการต่างประเทศ | นร 05 | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
กรณีการขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามมาตรา ๑๖๙ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ของกระทรวงการต่างประเทศ กรณีการขออนุมัติวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๒๒,๙๕๒,๔๘๓.๗๘ บาท
เพื่อชำระเป็นเงินอุดหนุนองค์การระหว่างประเทศที่ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกตามมาตร ๑๖๙
(๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ของกระทรวงการต่างประเทศ [ชำระเป็นค่าบำรุงงบประมาณปกติ (Regular Budget)
ของสหประชาชาติ ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๓]
ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4290 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอุดหนุนไปยังหน่วยงานอื่น | ปช. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) กรณีที่ อปท. อุดหนุนไปยังหน่วยงานอื่น
โดยจากการศึกษาข้อมูลและข้อเท็จจริง
พบปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับงบประมาณเงินอุดหนุนของ อปท.
ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของ ปอท. ในการจัดทำบริการสาธารณะ
ทั้งในด้านกฎระเบียบข้อบังคับทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
วิธีการและแนวทางปฏิบัติของผู้ปฏิบัติงานและสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการรั่วไหลของงบประมาณเงินอุดหนุนที่เกิดจากการกระทำทุจริต
ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นควรมีข้อเสนอแนะฯ เช่น (๑) ควรแจ้งและกำกับให้ อปท. กำหนดมาตรการควบคุมภายในเพื่อตรวจสอบขั้นตอนที่มีความเสี่ยงต่อการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุน
(๒) กระทรวงมหาดไทยควรกำหนดระเบียบห้าม อปท.
ตั้งงบประมาณเพื่ออุดหนุนให้แก่หน่วยงานที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ หลักเกณฑ์
หรือวัตถุประสงค์ของโครงการที่ขอรับเงินอุดหนุนในปีงบประมาณถัดไป (๓)
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ควรให้ความสำคัญในการกำกับติดตาม ตรวจสอบ
การใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนให้เป็นไปตามระเบียบและวัตถุประสงค์ของโครงการ และ
(๔) กระทรวงมหาดไทย ควรแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินอุดหนุนของ อปท. พ.ศ.
๒๕๕๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ เช่น ห้าม อปท.
ตั้งบประมาณเงินอุดหนุนให้ที่ทำการปกครองอำเภอ และสำนักงานจังหวัด และห้าม อปท.
ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าและประปา เพื่อจำหน่าย ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบกรามการทุจริตเสนอ ๒.
รับทราบสรุปผลการพิตจารณาในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงาน
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4291 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน ครั้งที่ 12 และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน+3 ครั้งที่ 8 | พม. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน
ครั้งที่ ๑๒ (Draft Joint Ministerial Statement of the Twelfth
ASEAN Ministerial Meeting on Youth) และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน+๓
ครั้งที่ ๘ (Draft Joint Ministerial Statement of the Eighth ASEAN Plus
Three Ministerial Meeting on Youth) และให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นของมนุษย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน ครั้งที่ ๑๒ และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน+๓
ครั้งที่ ๘ ให้การรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน
ครั้งที่ ๑๒ และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน+๓ ครั้งที่
โดยร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน ครั้งที่ ๑๒ มีสาระสำคัญในการยืนยันเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนงานตามแผนงานอาเซียนเยาวชน
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘
การสนับสนุนข้อเสนอสำหรับแนวทางการศึกษาและการฝึกอบรมที่ครอบคลุมและการศึกษาแบบสหวิทยาการในความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการนำดิจิทัลมาใช้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
สนับสนุนการเปิดตัวรายงานดัชนีการพัฒนาเยาวชนอาเซียน ฉบับที่ ๒
ซึ่งจะมีตัวชี้วัดใหม่ในรายงานดังกล่าว ได้แก่ (๑) ความเสมอภาคและการอยู่ร่วมกัน
(๒) ความปลอดภัยและความมั่นคง และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน+๓
ครั้งที่ ๘
มีสาระสำคัญในการยืนยันเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนงานตามแผนงานอาเซียนเยาวชน
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘ และแผนงานอาเซียนเยาวชน+๓ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘ อาทิ
ความร่วมมือของเยาวชนอาเซียนเพื่อการมีส่วนร่วมที่มีความหมาย
การดำเนินโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนผ่านโครงการระหว่างอาเซียน-สาธารณรัฐประชาชนจีน
อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี และ อาเซียน-ญี่ปุ่น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน
ครั้งที่ ๑๒ และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน+๓
ครั้งที่ ๘
ในส่วนที่ไม่ใช้สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4292 | ผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 19 (CITES CoP19) | ทส. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์
ครั้งที่ ๑๙ (The 19th Meeting of the Conference
of the Parties to the Convention on International Trade in Endangered Species
of Wild Fauna and Flora : CITES CoP19) ๑๔-๒๕
พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ณ กรุง ปานามา ซิตี้ สาธารณรัฐปานามา
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอนุสัญญา CITES ของไทยตามมติที่ประชุมภาคีอนุสัญญา CITES ครั้งที่
๑๙ โดยให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับกรมประมง
พิจารณาจัดทำและเสนอร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดชนิดสัตว์ป่า ซากของสัตว์ป่า
และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากซากสัตว์ป่าที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออก
และกรมวิชาการเกษตรพิจารณาจัดทำและเสนอร่างประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง
พืชอนุรักษ์ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงบัญชีชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าในการประชุม
CITES ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมประมง
และกรมวิชาการเกษตร จัดทำรายงานเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ตามที่ถูกร้องขอ
ส่งสำนักเลขาธิการ CITES ตามกำหนดเวลา ให้กรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กำหนดมาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติม
เพื่อควบคุมประชากรเสือในกรงเลี้ยง
และควบคุมมิให้ตัวอย่างพันธุ์ของเสือในกรงเลี้ยงออกสู่การค้าที่ผิดกฎหมาย
ให้กรมประมงขอสงวนสิทธิ (Reservation)
ชนิดพันธุ์ที่พบว่ามีการค้ามากในประเทศไทยที่มีการบรรจุอยู่ในบัญชี CITES หรือปรับเปลี่ยนบัญชี ได้แก่ ปลาฉลามทุกชนิดในวงศ์ Carcharhinidae
เป็นต้น และให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ตั้งงบประมาณอุดหนุนการเป็นสมาชิกอนุสัญญา CITES
ที่ถูกปรับเพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงบประมาณ ที่ควรเร่งเตรียมความพร้อมเรื่องมาตรการ/กฎระเบียบภายใน
รวมไปถึงการศึกษาผลกระทบจากการค้าที่มีต่อปลาฉลามทุกชนิดในวงศ์ Carcharhinidae ให้เรียบร้อยก่อนสิ้นสุดระยะเวลาการขอสงวนสิทธิ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4293 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและกิจการโพ้นทะเลสาธารณรัฐคอซอวอ | กต. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและกิจการโพ้นทะเลสาธารณรัฐคอซอวอ
และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
และเพิ่มพูนความร่วมมือทวิภาคีในสาขาที่ตกลงร่วมกัน เช่น การเมือง เศรษฐกิจ กงสุล
วัฒนธรรม การท่องเที่ยว เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์
รวมถึงประเด็นระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและกิจการโพ้นทะเลสาธารณรัฐคอซอวอ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนงบประมาณรายจ่าย โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4294 | รายงานตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 | สม. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี ๒๕๖๕
และรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๕ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษารับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ปรากฎในรายงานผลการประเมินสถานการณ์ฯ
ไปพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งให้ความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด
เช่น ควรให้มีการเน้นย้ำการดำเนินการต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดควบคู่ไปกับการคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนสากล
รวมถึงการติดตามพลวัตของประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด
ควรดำเนินการเกี่ยวกับกรณีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมแก่ราษฎรซึ่งได้รับความเสียหายหรือผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของรัฐอย่างรอบคอบและอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้ส่งความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และสำนักงานอัยการสูงสุด
ซึ่งได้แจ้งเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อเสนอแนะในรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนที่สามารถดำเนินการได้
ไม่อาจดำเนินการได้ หรือต้องใช้เวลาในการดำเนินการ
ให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อทราบและประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ หากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนประสงค์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญต่อการดำเนินการตามข้อเสนอแนะในเรื่องใดเป็นการเร่งด่วนและให้หน่วยงานแจ้งผลการดำเนินการให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบในกรณีที่ไม่อาจดำเนินการได้หรือต้องใช้เวลาในการดำเนินการขอให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติส่งข้อเสนแนะดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงอีกทางหนึ่งด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4295 | รัฐบาลราชอาณาจักรสวีเดนเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทย (นางอันนา ฮัมมาร์เกรน) | กต. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางอันนา ฮันมาร์เกรน (Mrs. Anna Hammargren)
ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายยอน ออสเตริม เกรินดาห์ล (Jon
Astrom Grondahl) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4296 | การสิ้นสุดหน้าที่กงสุลกิตติมศักดิ์ประจำสาธารณรัฐแอลเบเนียของนายซามีร์ มาเน และการปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำสาธารณรัฐแอลเบเนียเป็นการชั่วคราว | กต. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. การสิ้นสุดหน้าที่ของ นายซามีร์ มาเน (Mr. Samir Mane) กงสุลกิตติมศักดิ์ประจำสาธารณรัฐแอลเบเนีย
เนื่องจากขอลาออก ๒. การปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำสาธารณรัฐแอลเบเนียเป็นการชั่วคราว
จนกว่าจะมีการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำสาธารณรัฐแอลเบเนียคนใหม่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4297 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร (1. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ ฯลฯ จำนวน 12 คน) | พณ. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร
จำนวน ๑๒ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๖) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ๑. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๒. นายธีรยศ เวียงทอง สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๓. นางสาวณัฐนันท์
สินชัยพานิช สาขาเภสัชศาสตร์ ๔. นายพีระ เจริญพร สาขาเศรษฐศาสตร์ ๕. นายเพชร
เจียรนัยศิลาวงศ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๖. นายวิชา ธิติประเสริฐ สาขาเกษตรศาสตร์ ๗. นายนำชัย
เอกพัฒนพานิชย์ สาขานิติศาสตร์ ๘. นายบุญสนอง
รัตนสุนทรากุล สาขาอุตสาหกรรม ๙. นายชลธิศ
เอี่ยมวรวุฒิกุล สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๑๐. นายเกรียงศักดิ์
ขาวเนียม สาขาวิทยาศาสตร์ ๑๑. นายพงศ์พันธ์
อนันต์วรณิชย์ สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ๑๒. นางสาวโอภา
วัชระคุปต์ สาขาเภสัชศาสตร์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4298 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายตติรัฐ รัตนเศรษฐ) | คค. | 13/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายตติรัฐ
รัตนเศรษฐ เป็นข้าราชการการเมือง ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ)
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๖) เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ)
รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๒) แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4299 | สรุปผลการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 15 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ช่วงที่ 2 | ทส. | 13/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ
สมัยที่ ๑๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ช่วงที่ ๒ และกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก
ระหว่างวันที่ ๗-๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๕ ณ นครมอนทรีออล ประเทศแคนาดา ซึ่งมีเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม
โดยผลการประชุมต่าง ๆ ประกอบด้วย (๑) การประชุมระดับสูง ซึ่งที่ประชุมฯ
แสดงถึงความกังวลต่อความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
(๒) การประชุมระดับเจ้าหน้าที่ ที่ประชุมฯ ให้การรับรอง (ร่าง)
กรอบงานความหลากหลายทางชีวภาพของโลก หลังปี ค.ศ. ๒๐๒๐ (แบบไม่มีการลงนาม)
โดยเปลี่ยนชื่อกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออล และที่ประชุมฯ
ขอให้ภาคีเตรียมจัดทำรายงานแห่งชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพและจัดส่งให้สำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ
ต่อไป และ (๓) กิจกรรมคู่ขนานและการดำเนินงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ในระหว่างการประชุมฯ เช่น
การหารือทวิภาคีระหว่างเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกับประเทศอื่น ๆ เช่น การหารือกับ State secretary แห่งเยอรมัน และผู้แทนกระทรวงสิ่งแวดล้อม
คุ้มครองธรรมชาติ ความปลอดภัยทางปรมาณูและคุ้มครองผู้บริโภคในโอกาสการขยายการสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนานโยบายด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4300 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การเพิ่มมูลค่าสมุนไพรด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง/เวชสำอาง ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา | สว. | 13/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
การเพิ่มมูลค่าสมุนไพรด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง/เวชสำอาง
ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา
ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ว่า
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์เป็นหน่วยงานบริหารจัดการทุนด้านการแพทย์และสุขภาพ
มีการจัดสรรทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมสารสกัดสมุนไพรและเวชสำอางสมุนไพร
เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็น Hub ของ Herbal
Extracts สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครื่องสำอาง/เวชสำอางแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
และมีโครงการที่ดำเนินการวิจัยการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครื่องสำอาง/เวชสำอางที่พร้อมถ่ายทอดในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
และกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้จัดตั้งศูนย์ส่งเสริมผู้ประกอบการสมุนไพร
และได้จัดทำทะเบียนข้อมูลผู้ผลิตสมุนไพร และผู้ผลิตผติตภัณฑ์สมุนไพร
และผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรไว้ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนดำเนินการให้คำปรึกษาและการส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรด้านต่าง
ๆ ทั้งในด้านคุณภาพการผลิตในการจัดการ และการตลาด ความร่วมมือกันของผู้ประกอบการ
กับภาคธุรกิจ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้แจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|