คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเสนอกรณีประธานรัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ
พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 266 เกี่ยวกับกระบวนการตราร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราช
ภัฏ พ.ศ. .... ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 266 บัญญัติว่าในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจ
หน้าที่ขององค์กรต่าง  ๆ  ตามรัฐธรรมนูญ  ให้องค์กรนั้นหรือประธานรัฐสภา  เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อ
ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญตรวจคำร้องแล้วมีคำสั่งให้รับคำร้องไว้ดำเนินการ
ตามข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2546 ข้อ 12 และรับไว้พิจารณา
วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 266  ต่อไป  โดยให้จัดทำคำชี้แจงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติพร้อมตัว
อย่างกรณีเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งให้รัฐสภารับร่างพระราชบัญญัติกลับไปพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง
โดยเฉพาะกรณีร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ  พ.ศ. ....   ไปยังศาลรัฐธรรมนูญภายในเจ็ดวันนับแต่
วันที่ได้รับ หรือถือว่าได้รับหนังสือแจ้ง    และมอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมและจัดทำคำชี้แจง
เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติพร้อมตัวอย่าง     และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำความเห็น
ทางกฎหมาย   ตลอดจนแนวทางปฏิบัติของกฎหมายต่างประเทศว่ามีวิธีการปฏิบัติอย่างไรในส่วนที่เกี่ยวข้อง
สำหรับประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานสรุปผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไข
ปัญหายาเสพติด กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 30 เมษายน 2546 ซึ่งได้กำหนดมาตรการและ
แนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาทุกรูปแบบอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อให้ยาเสพ
ติดหมดสิ้นไปจากสถานศึกษา ภายในวันที่  2  ธันวาคม  2546   ซึ่งมีผลการดำเนินงานในภาพรวม  สรุปได้ดังนี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดนโยบายเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านการป้องกันและแก้
ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการ ให้ผู้ตรวจราชการกระทรวง จังหวัด  และสถานศึกษา
เป็นแนวปฏิบัติ และจัดตั้งศูนย์ประสานงานป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาประจำจังหวัดทุกจังหวัด
เพื่อดำเนินการจัดทำแผนงานตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยา
เสพติด  กระทรวงศึกษาธิการ  โดยจัดทีมกิจการนักเรียนมาปฏิบัติงานในการรับแจ้งข้อมูลที่มีนักเรียน  นักศึกษา
บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและข้อมูลผู้เสพ ผู้ค้า  รวมทั้งได้จัดทำแผนงานโครงการส่งให้กระทรวงมหาดไทย
ซึ่งรับผิดชอบในการจัดทำยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาในกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปใช้ยาเสพติด (POTENTIAL DEMAND)
และจัดกิจกรรมในสถานศึกษาระหว่างปิดภาคเรียนเพื่อไม่ให้เด็กนักเรียน  นักศึกษา  ใช้เวลาว่างไปมั่วสุมในสถาน
บริการที่เป็นปัจจัยเสี่ยง   และการนำนักเรียนกลุ่มเสพ/ติดไปเข้าค่ายบำบัดรักษา  และฟื้นฟูสมรรถภาพ  โดยขอ
ความร่วมมือกระทรวงสาธารณสุข กองทัพบก  พระวิทยากรจากกองทัพธรรม  จัดเข้ารับการอบรมในช่วงของการ
ปิดภาคเรียน  สำหรับการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จากการตรวจสอบ มีเจ้าหน้าที่
ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวมทั้งสิ้น 222 คน นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจ
กรรมหลักรองรับแผนปฏิบัติการนับถอยหลัง 60 วัน  กับการต่อสู้เอาชนะยาเสพติด (60 วันเพื่อในหลวง) ของ
กระทรวงศึกษาธิการ

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเรื่อง การถ่ายทอดสดการประชุมคณะรัฐมนตรี
ในวันอังคารที่  13  มกราคม  2547 เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสรับรู้แนวทางการบริหารราชการแผ่นดิน
ของรัฐบาล  ตลอดจนการพิจารณาตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ  ของคณะรัฐมนตรี  ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงแนวปฏิบัติของ
คณะรัฐมนตรีที่ยึดถือความถูกต้อง โปร่งใส และผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญโดย
จะจัดให้มีการถ่ายทอดการประชุม ฯ ผ่านเครือข่ายสถานีวิทยุและโทรทัศน์ของกรมประชาสัมพันธ์  ทั้งนี้  ขอให้
รัฐมนตรีทุกท่านเข้าร่วมการประชุมให้ตรงเวลาโดยพร้อมเพรียงกันด้วย    และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ไปประสานและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการนโยบายกระจาย
ความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นเสนอ ดังนี้ เห็นชอบเกณฑ์พื้นฐานในการดำรงชีวิตของคนไทย 10 ประการ  เพื่อ
นำไปสู่การเพิ่มรายได้ให้ทุกครัวเรือนพ้นจากเกณฑ์ความยากจน ตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระจาย
ความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น  (กนภ.)  ดังนี้ "ความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ" (1)  ทุกคนได้รับการศึกษาใน
ระบบโรงเรียนไม่น้อยกว่า 12 ปี และมีโอกาสเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะฝีมือ  และวิชาชีพที่จำเป็นใน
การดำรงชีวิต (2) ทุกคนได้รับการประกันสุขภาพที่ได้มาตรฐาน (3) ผู้ที่มีอายุเกิน  60  ปี  และไม่มีรายได้เพียงพอ
ในการยังชีพได้รับหลักประกันความมั่นคงในการดำรงชีวิต "ความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต" (4)  ทุกคนได้รับ
อาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (5)  ทุกคนมีความมั่นคงในที่พักพิง  (6)  ทุกคนมีน้ำสะอาดเพื่อดื่ม
อย่างน้อย 5 ลิตร/คน/วัน  และมีน้ำใช้อย่างน้อย 45 ลิตร/คน/วัน (7) ทุกครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้ (8) ทุกคนมีโอกาส
รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ และ "ความมั่นคงในชีวิต" (9) ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและ
แหล่งทุนในการประกอบอาชีพ  (10)  ทุกครัวเรือนมีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต และปลอดจากยาเสพติด และเห็น
ชอบการปรับมติที่ประชุม กนภ.  เรื่องการลดปัญหาจนเฉียบพลันจากภัยธรรมชาติ โดยได้ปรับมติที่ประชุมให้มีการ
นำความเห็นของที่ประชุมเป็นกรอบในการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมโดยโยงไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งระบบ และ
เรื่องการแปลงหนี้สินนอกระบบเป็นสินเชื่อเอื้ออาทร โดยได้ปรับมติที่ประชุมให้ศึกษาเพิ่มเติมในการเข้าถึงแหล่งสิน
เชื่อระยะยาว โดยโยงถึงการปรับสินเชื่อทั้งระบบ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในกรอบนโยบายและแนวปฏิบัติ

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี  คณะที่ 7  ที่มีมติอนุมัติ
และเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประธานกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่ง
ของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยอนุมัติแต่งตั้งอธิบดีอัยการฝ่ายคดีอัยการสูงสุด และอัยการพิเศษฝ่าย
การยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  เป็นผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการ  ฯ  และ
เห็นชอบผลการพิจารณาตัดสินชี้ขาดของคณะกรรมการ ฯ ที่ได้พิจารณาเสร็จแล้ว  รวมทั้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
และส่วนราชการอื่น ๆ รับข้อสังเกตของคณะกรรมการ ฯ ไปดำเนินการดังนี้ ในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
(4  พฤศจิกายน  2540) ที่มีมติแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ฯ  กรณีที่ส่วนราชการมีความเห็นแย้งกับพนัก
งานอัยการในการดำเนินคดีแพ่ง เมื่ออัยการสูงสุดวินิจฉัยชี้ขาดตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนิน
คดีแพ่งของพนักงานอัยการสูงสุด พ.ศ. 2538  ข้อ  24  ให้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการ  ฯ  เป็นผู้พิจารณาชี้ขาดแล้ว
เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป พบว่า  กรณีพิพาทจำนวนมาก หน่วยงานเจ้าของเรื่องส่งมายังสำนักงานอัยการสูงสุดหลัง
จากคดีขาดอายุความแล้ว   ทำให้ไม่สามารถฟ้องคดีต่อศาลได้   ซึ่งถ้าหากได้มีการแจ้งเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ของหน่วย
งานเจ้าของเรื่องรีบส่งเรื่องไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดแต่เนิ่น ๆ  ก่อนที่คดีจะขาดอายุความ   ก็จะสามารถป้องกัน
ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทางราชการได้   และในกรณีที่กระทรวงการคลังได้วางแนวปฏิบัติในการพิจารณาคดีว่า
คดีขาดอายุความ หรือไม่ขอให้ศาลเป็นผู้พิจารณาชี้ขาด  อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นว่า   บางคดีแม้คดีจะขาดอายุความ
แล้ว หน่วยงานของรัฐก็ยังยืนยันให้พนักงานอัยการดำเนินคดีให้ทั้งที่เห็นได้ล่วงหน้าว่า  หากดำเนินคดีต่อไปก็มีแต่
จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ กล่าวคือ เสียค่าใช้จ่าย  เสียเวลา  และเสียกำลังคนในการปฏิบัติงานโดย
เปล่าประโยชน์  อีกทั้งการดำเนินคดีของรัฐไม่ควรดำเนินการในลักษณะที่เอารัดเอาเปรียบเอกชนด้วยการคาดหวัง
ว่า  เอกชนอาจไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้คดีเพราะความไม่รู้กฎหมายหรือความหลงลืม  หรืออาจขาดนัดยื่นคำให้การ
หรือขาดนัดพิจารณา   อาจมีผลให้การอำนวยความยุติธรรมของรัฐขาดความน่าเชื่อถือได้   และการวางแนวปฏิบัติ
ที่ว่า     นอกจากคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา
224  และมาตรา 248  ถ้าศาลมีคำพิพากษาให้ส่วนราชการเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือพิพากษาให้ส่วนราชการชนะคดีไม่
เต็มตามฟ้อง   ให้ส่วนราชการเจ้าของคดีอุทธรณ์หรือฎีกาไปก่อนทุกเรื่อง  แล้วรายงานให้กระทรวงการคลังทราบ
โดยด่วน  หากกระทรวงการคลังเห็นสมควรยุติได้จะแจ้งให้ถอนอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไป ระเบียบปฏิบัติดังกล่าวอาจ
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ เพราะบางคดีแม้จะอุทธรณ์ฎีกาต่อไปก็ยากที่จะชนะคดีได้

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีทำ
หน้าที่แทนประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี  กรณีประธานกรรมการคณะใดคณะหนึ่งไม่อยู่หรือ
ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รองนายกรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการแทนกันเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการกลั่น
กรอง ฯ ตามลำดับ โดยยึดลำดับตามนัยคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 43/2546 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2546 และ
กรณีที่มีการนัดประชุมแล้วประธานกรรมการ  ฯ   ไม่อยู่ในที่ประชุม   มอบหมายให้บุคคลดังต่อไปนี้ที่อยู่ในที่ประชุม
คณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม  ยกเว้นกรณีประธานกรรมการกลั่นกรอง ฯ  แต่ละคณะจะ
มีคำสั่งพิเศษเป็นอย่างอื่น  และให้ถือเป็นแนวปฏิบัติประกอบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 44/2546  เรื่อง  แต่งตั้ง
คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม 7 คณะ ต่อไป ดังนี้
             (1) รองนายกรัฐมนตรีตามลำดับในการเป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่นายกรัฐมนตรี
ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามนัยคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 43/2546 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2546
             (2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่มีความอาวุโสที่เป็นกรรมการกลั่นกรอง ฯ
             (3) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมอบหมายให้เข้าร่วมประชุมแทน

           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (คกก.4) ที่
มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอโครงการทุนการศึกษาเฉลิมราชกุมารี ปีการศึกษา 2546-2561
ปีละ 480 คน ต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปี ส่วนงบประมาณ 525,600,000 บาท ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนัก
งบประมาณ และให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการต่อไปได้  โดยให้รับความเห็นของ  คกก.4  ไปดำเนินการใน
ส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย  ดังนี้  ในส่วนของเยาวชนซึ่งได้รับการช่วยเหลือตามโครงการมีเพียงปีละ  480 คน ต่อ
เนื่องเป็นเวลา  10 ปี  รวมทั้งสิ้น  4,800  คน  ซึ่งเป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับคนยากจนทั้งระบบ  จึงเห็นควร
ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาว่าจะมีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยเหลือคนยากจนทั้งระบบและผู้ด้อยโอกาส
อื่นๆ ด้วย และให้พิจารณาด้วยว่าการให้ความช่วยเหลือในลักษณะนี้จะสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการให้ความช่วยเหลือ
ในลักษณะอื่น ๆ เช่น การให้การศึกษาโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย 12 ปี กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาได้อย่างไร  รวม
ทั้งให้ประสานงานกับหน่วยงานที่ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางด้านการศึกษาแก่นักเรียนยากจนและในท้อง
ที่ห่างไกลในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี  เพื่อสืบสานแนวพระราชดำริที่ได้ส่งเสริมให้เด็ก
นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลได้มีโอกาสเรียนต่อในระดับสูงขึ้น  เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างประสานสอดคล้อง
และต่อเนื่องกันเป็นระบบ และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการที่จะให้ทุนแก่เด็กนักเรียนและเยาวชนผู้ยาก
ไร้อย่างแท้จริง  ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ  และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา
การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการ  และให้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกสรรหา
ผู้รับทุนที่มีความชัดเจนและเป็นธรรมเพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติในการคัดเลือกผู้รับทุนตามโครงการ       นอกจากนี้ 
ควรกำหนดมาตรการส่งเสริมให้ผู้รับทุนการศึกษา   กลับไปปฏิบัติงานในพื้นที่ภูมิลำเนาของตนภายหลังสำเร็จ
การศึกษาด้วย

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ  โดยกรมสามัญศึกษา  รายงานการเรียกเก็บเงิน
ค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็นของโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษา สรุปได้ว่า จากกรณีที่โรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษา
ได้มีการเรียกเก็บเงินไม่ถูกต้องตามระเบียบ โดยจัดเก็บเงินในลักษณะซ้ำซ้อนกับเงินที่ระบุไว้ในระเบียบ ว่าด้วยการ
เก็บเงินบำรุงการศึกษาในสถานศึกษา  สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ  พ.ศ. 2520  และค่าวัสดุ  ครุภัณฑ์  ที่ใช้ในการ
จัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา  การเก็บเงินเกินสภาพความเป็นจริง  เกินค่าใช้จ่ายจริง  การเก็บเงินกินเปล่า
(แป๊ะเจี๊ยะ) และการเก็บเงินเครื่องส่วนตัวของนักเรียน เช่น ค่าเสื้อผ้า  กระเป๋า  ชุดกีฬา  หนังสือและสมุด  เป็นต้น 
กรมสามัญศึกษาได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยมีหนังสือซักซ้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ และแนว
ปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินของสถานศึกษา จัดประชุมชี้แจงทบทวนสร้างความเข้าใจ จัดทำแนวปฏิบัติ
ในการจัดเก็บเงินของสถานศึกษา รวมทั้งได้มีหนังสือกำชับให้สถานศึกษาปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ และแนวปฏิบัติใน
การบริจาคและระดมทรัพยากร  เพื่อให้สถานศึกษาปฏิบัติโดยเคร่งครัด  และจัดทำคู่มือการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
และแนวปฏิบัติการเก็บเงินของสถานศึกษาให้โรงเรียนปฏิบัติ ทั้งนี้ เมื่อมีการร้องเรียนกรณีเรียกเก็บเงิน ให้สำนัก
งานสามัญศึกษาจังหวัดตั้งกรรมการสืบหาข้อเท็จจริง  หรือในบางกรณีกรมสามัญศึกษาจะตั้งกรรมการเองหรือส่ง
เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ  สำหรับแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาในปีต่อไป  กรมสามัญศึกษาได้กำหนดแนว
ทางการปฏิบัติเรื่องการเก็บเงิน  ดังนี้  (1)  จะประกาศไม่ให้โรงเรียนจัดเก็บเงินทุกประเภทในช่วงรับนักเรียนใหม่
จนถึงวันที่  1  มิถุนายน  หลังจากวันที่  1  มิถุนายน  โรงเรียนจึงจะพิจารณาจัดเก็บเงินตามระเบียบและกฎหมาย
กำหนด (2) กำหนดเพดานอัตราการจัดเก็บในการระดมทรัพยากรแต่ละประเภท (3) ให้โรงเรียนเสนอโครงการ
ต่อคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานพิจารณาให้ความเห็นชอบ แล้วให้สำนักงานสามัญศึกษาจังหวัดพิจารณา
กลั่นกรองอีกชั้นหนึ่งว่าโครงการนั้นสมควรหรือเหมาะสมหรือไม่ แล้วรายงานให้กรมสามัญศึกษาทราบ  และ (4)
ให้โรงเรียนปฏิบัติตามคู่มือการปฏิบัติ ตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติการเก็บเงินของสถานศึกษาสังกัดกรมสามัญ
ศึกษา พ.ศ. 2546 โดยเคร่งครัด

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้กระทรวงการคลังพิจารณาขยายเวลาการ
เบิกจ่ายเงินงบประมาณ ปี พ.ศ. 2543 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน  2  รายการ  คือ  รายการระบบควบ
คุมสั่งการจราจรสายหลัก  กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 1 ระบบ  วงเงิน 99,870,000 บาท  และรายการโครง
การที่พักอาศัยของบริษัท  ไทฟาพร๊อพเพอร์ตี้  จำกัด  วงเงิน 11,914,100 บาท  วงเงินรวม 111,784,100 บาท 
ออกไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2546  โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2541
เรื่อง  หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการกันเงินงบประมาณไว้เบิกเหลื่อมปีเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย     และให้
สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดมาตรการเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว    ทั้งนี้    คณะรัฐมนตรีเห็นว่า 
การนำระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจรอัตโนมัติ  (Area Traffic  Control-ATC)  มาใช้ในการจัดระบบการจราจรใน
เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดคับคั่งในสายทางต่าง ๆ  ได้อย่างเป็นระบบ
แต่โดยที่การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวยังมีความล่าช้า และเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ หลายหน่วยงาน  รวมทั้ง
ระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจรอัตโนมัติควรจะมีความเชื่อมโยง สอดคล้อง  และสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์   จึงมอบ
ให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) รับเรื่องนี้ไปเร่งรัด ติดตาม  และประสาน
การดำเนินงาน แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วน

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอคำตอบกระทู้ถามที่  373  เรื่อง โรงเรียน
หนองบัวพิทยาคม ตำบลหนองบัว อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา ไม่มีอาคารเรียน ของนายสมชัย  ฉัตรพัฒนศิริ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา และกระทู้ถามที่ 375 เรื่อง การพัฒนาค่ายลูกเสือ เนตรนารี และ
ยุวกาชาด ของนายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ  และมอบให้รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงศึกษาธิการตอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร  โดยสาระสำคัญของคำตอบกระทู้ถามที่  373  สรุปได้
ว่า โรงเรียนหนองบัวพิทยาคม จังหวัดนครราชสีมา ได้ประกาศจัดตั้งเมื่อปี 2542 โดยยกฐานะจากสาขาของโรง
เรียนปรางค์ทองวิทยา ปัจจุบันมีนักเรียน 313 คน กรมสามัญศึกษาได้เสนอขอตั้งงบประมาณในปี  พ.ศ. 2547
เป็นค่าก่อสร้างอาคารเรียน แบบ 216 ล. ปรับปรุง 46  จำนวน 1 หลัง  (16 ห้องเรียน)  วงเงิน 11,500,000  
บาท  สำหรับอาคารหอประชุม - โรงอาหารและอาคารฝึกงานจะเสนอตั้งงบประะมาณในปี  พ.ศ. 2548   และ
กระทู้ถามที่  375  สรุปได้ว่า  รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาการเข้าค่ายของลูกเสือ  เนตรนารี  ยุวกาชาด  ด้วยการ
ใช้กิจกรรมเป็นยุทธศาสตร์หลักในการพัฒนาเยาวชน  และการใช้กิจกรรมค่ายพักแรมเป็นกิจกรรมหลักของลูก
เสือ  ฯ   และการปรับปรุงกิจกรรมค่ายพักแรมให้ทันสมัยสอดคล้องกับความสนใจของเยาวชนรุ่นใหม่   รวมทั้ง
ให้มีการบริหารจัดการค่ายลูกเสือให้เป็นศูนย์ศึกษาธรรมชาติสิ่งแวดล้อม  โดยเน้นให้มีการบริหารจัดการค่าย
ตามสภาพและลักษณะของค่าย สำหรับมาตรการดูแลป้องกันอุบัติเหตุและรักษาความปลอดภัยในระหว่างการ
ดำเนินกิจกรรมค่ายพักแรม มีดังนี้  (1)  แจ้งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ  ว่าด้วยการพานักเรียน  นิสิต  และ
นักศึกษาไปนอกสถานที่  พ.ศ. 2504    ซักซ้อมความเข้าใจและแนวปฏิบัติให้สถานศึกษาทุกแห่งถือปฏิบัติโดย
เคร่งครัด  (2)  ต้องได้รับการอนุญาตให้นำลูกเสือ ฯ ไปเดินทางไกลและอยู่ค่ายพักแรมจากผู้มีอำนาจอนุญาต
แล้วแต่กรณีเป็นการล่วงหน้าไม่น้อยกว่า  15  วัน   และ  (3)  สมาชิกยุวกาชาดที่ไปอยู่ค่ายพักแรมจะต้องได้รับ
ความยินยอมจากผู้ปกครองและได้รับอนุญาตจากต้นสังกัดก่อน รวมทั้งผู้บังคับบัญชาต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อ
ป้องกันมิให้เกิดอันตรายและควรให้มีการประกันชีวิตด้วย

           คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์เฉพาะกิจเพื่อ
ช่วยเหลือแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามในตะวันออกกลาง ระหว่างวันที่  17  มีนาคม - 17 เมษายน 
2546  สรุปดังนี้  (1)  ศูนย์เฉพาะกิจเพื่อช่วยเหลือแรงงานไทย ฯ  ได้ประสานการอำนวยความสะดวกแก่แรงงาน
ไทยที่เดินทางกลับประเทศไทย และตอบข้อซักถามของญาติพี่น้องแรงงานไทย  รวม 1,128 ราย  (2)  ผู้บริหาร
ระดับสูงของกระทรวงแรงงานได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนให้คำแนะนำชี้แจงแก่หัวหน้ากลุ่มคนไทยและแรงงานไทยใน
ตะวันออกกลาง      รวมทั้งได้หารือเงื่อนไขมาตรการและแนวปฏิบัติในการอพยพแรงงานไทยและได้ประสานการ
อำนวยความสะดวกแก่แรงงานไทย รวม 12 ครั้ง จำนวน 341 คน จำแนกเป็นแรงงานไทย 316 คน นักศึกษา 22
คน คนไทยที่ติดตามญาติกลับประเทศไทย 3 คน (3) แรงงานไทยที่อพยพกลับจากตะวันออกกลาง ระหว่างวันที่
20 มีนาคม - 12 เมษายน 2546  จำนวน  316  คน  ได้แจ้งขอรับความช่วยเหลือจากกระทรวงแรงงาน  จำนวน
249 คน  และ  (4)  สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางยุติลงสภาพการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติแล้ว กระทรวง
แรงงานได้สั่งปิดศูนย์เฉพาะกิจ ฯ และได้เร่งรัดให้กรมการจัดหางานและกรมพัฒนาฝีมือแรงงานติดตามช่วยเหลือ
แรงงานไทยในด้านการกลับไปทำงานในต่างประเทศ  การประกอบอาชีพและการฝึกอาชีพเพิ่มเติม   ทั้งนี้   จาก
สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางครั้งนี้ไม่มีแรงงานไทยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในปัจจุบันการบริหารจัดการผลประโยชน์
ของศาสนสมบัติกลาง ตลอดจนศาสนสมบัติของวัด อันได้แก่ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวน
มาก  ยังขาดระเบียบ  หลักเกณฑ์  และแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและเหมาะสม  การดำเนินงานจึงขาดความโปร่งใส
เป็นช่องทางให้ผู้ที่ต้องการเข้ามาแสวงประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ฉวยโอกาสกระทำการ ซึ่งทำให้รัฐและวัดที่
เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์สูญเสียประโยชน์ที่ควรได้รับ  รวมทั้งทำให้ภาพพจน์ของสถาบันศาสนาเสียหายด้วย   จึง
มอบให้รองนายกรัฐมนตรี  (นายวิษณุ   เครืองาม)  รับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนา
แห่งชาติ  และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง  เพื่อปรับปรุงแก้ไขระเบียบ  หลักเกณฑ์   และแนวปฏิบัติให้รัดกุมเพื่อ
ดำเนินการต่อไป

           คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4
(คกก.4) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกร ทัพพะรังสี) ประธาน  คกก.4  เสนอ  เกี่ยวกับการพิจารณาผลการ
หารือแนวทางปฏิบัติและประสานการเตรียมข้อมูลสำหรับการเยือนพม่าของรองนายกรัฐมนตรี  (พลเอก ชวลิต
ยงใจยุทธ)  และที่รองนายกรัฐมนตรี  (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ)  เสนอเพิ่มเติมว่า  ได้ประสานกับฝ่ายพม่าแล้ว
โดยฝ่ายพม่ายินดีที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเยือนพม่าในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ และได้เตรียมการต้อนรับ
อย่างสมเกียรติ ส่วนการเดินทางเยือนพม่าของรองนายกรัฐมนตรี  (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ)  จะเลื่อนการเดิน
ทางจากกำหนดเดิมในวันที่ 27 มกราคม 2546  ไปเป็นหลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปพม่าแล้ว  โดยจะ
กำหนดวันที่แน่นอนอีกครั้งหนึ่งเพื่อประสานและติดตามการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ  ให้เป็นไปตามผลการหา
รือของผู้นำทั้งสองประเทศต่อไป  สำหรับผลการหารือแนวปฏิบัติ ฯ  ตามมติ คกก.4  ที่เสนอในครั้งนี้  เห็นควร
ใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดประเด็นหารือกับฝ่ายพม่าของนายกรัฐมนตรีต่อไป  ซึ่งผลการหารือ
แนวปฏิบัติ ฯ ของคกก. 4 เห็นควรให้มีการหยิบยกประเด็นในการเจรจากับพม่าเรื่องแรงงานข้ามชายแดน ดังนี้
(1)  ขอให้พม่าพิจารณาจัดตั้งศูนย์รับกลับในพื้นที่อื่น ๆ  เพิ่มขึ้นตลอดแนวชายแดนไทย-พม่า  นอกเหนือจาก
ศูนย์เมียวดี  (2)  พิจารณาหาทางเร่งรัดให้กระบวนการส่งกลับแรงงานผิดกฎหมายมีความรวดเร็วและคล่องตัว
มากขึ้น  (3)  เร่งรัดการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาล
ไทยกับพม่า   (4)  แต่งตั้งที่ปรึกษาด้านแรงงานมาประจำสถานเอกอัครราชทูตพม่า   และ  (5)  ให้มีการแลก
เปลี่ยนการเยือนระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของไทยและพม่า     นอกจากนี้   ยังได้อนุมัติตามมติ
คกก.4   ที่เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาในเรื่อง การนำเงินค่าใช้จ่ายเพื่อการส่งกลับ
แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์  ขอบเขต  และวิธีการใน
การกำกับการปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และที่เสนอเพิ่ม
เติม โดยให้ปรับปรุงข้อความในข้อ 1.6  เป็น  รองนายกรัฐมนตรีจะให้มีคณะกรรมการหรือคณะทำงานกำกับ
การปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาคในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบด้วยก็ได้     โดยให้มีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่
ตามที่รองนายกรัฐมนตรีเห็นสมควร กรณีการแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงาน ให้ผู้ตรวจราชการสำนัก
นายกรัฐมนตรี ประจำเขตตรวจราชการทำหน้าที่เป็นเลขานุการร่วม   ให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
และสำนักตรวจราชการ   สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี   อำนวยความสะดวกและสนับสนุนการปฏิบัติ
งานของคณะกรรมการหรือคณะทำงานที่แต่งตั้ง  แล้วให้ดำเนินการ เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติต่อไปได้

           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างไทย-รัสเซีย ว่าด้วยการยกเลิกการตรวจลงตรา
สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต และหนังสือเดินทางราชการ  โดยให้ยืนยันหลักการตามแนวปฏิบัติของฝ่ายไทย
ที่เสนอให้ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางราชการที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นบุคคลในคณะผู้แทนทางการ
ทูต หรือทางกงสุล หรือเป็นผู้แทนประจำองค์การระหว่างประเทศ ตลอดจนสมาชิกในครอบครัวของบุคคลเหล่า
นั้น ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าและพำนักอยู่ในดินแดนของคู่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน โดย
ไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานสรุปผลการดำเนินงานโครงการ
เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง  ประจำเดือนกุมภาพันธ์  2545  โดย
ผลการดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาได้รับงบประมาณล่าช้า  ระเบียบและแนวปฏิบัติ  มีการ
ประสานงานและสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน   เว็บไซต์    และที่ศูนย์ปฏิบัติการ
พัฒนาเว็บไซต์และบรรจุข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน  ประสานการจัดประชุม   ประสานและติดตามผลการดำเนิน
งาน ขณะนี้มีบัณฑิตกองทุนหมู่บ้านมารายงานตัวทั้งหมด 71,246 คน คิดเป็นร้อยละ  95.1  ของจำนวน
เป้าหมาย

                       อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี  คณะที่ 5  ที่มีมติ
เห็นควรอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศ  พ.ศ. .... (ให้มีกฎหมายว่าด้วยการรับขนทาง
อากาศที่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติและกฎหมายระหว่างประเทศและคุ้มครองผู้ใช้บริการขนส่งทางอากาศ) ตาม
ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ  และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา  โดยให้รับข้อสังเกตของ  
สำนักงานศาลยุติธรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย   แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร 
พิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 3)
เรื่อง การอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษาของการท่าเรือแห่งประเทศไทย กรณีการท่าเรือ ฯ ถูกฟ้องคดี และถูก
พิพากษาให้เป็นฝ่ายแพ้คดี ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ มีสาระสำคัญคือ หนังสือกระทรวง 
การคลัง ที่ กค 0502/ว 177  ลงวันที่  9  พฤศจิกายน  2535  ได้วางแนวปฏิบัติในการอุทธรณ์หรือฎีกาคำ 
พิพากษาของศาลไว้ว่า  ถ้าศาลมีคำพิพากษาให้ส่วนราชการเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือพิพากษาให้ส่วนราชการชนะ 
คดีไม่เต็มตามฟ้อง ให้ส่วนราชการเจ้าของคดีอุทธรณ์หรือฎีกาไปก่อนทุกเรื่อง  แล้วรายงานให้กระทรวงการ
คลังทราบโดยด่วน หากกระทรวงการคลังเห็นสมควรยุติได้จะแจ้งให้ถอนอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไป  คณะกรรม 
การ ฯ  มีความเห็นว่า  การท่าเรือ ฯ  เป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศ  
ไทย  พ.ศ. 2494  และมีฐานะเป็นนิติบุคคล   จึงไม่ใช่ส่วนราชการซึ่งจะต้องปฏิบัติตามหนังสือกระทรวงการ 
คลัง ฯ เนื่องจากได้กำหนดแนวปฏิบัติสำหรับส่วนราชการเท่านั้น  และโดยที่การอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพาก  
ษาของศาลเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของการท่าเรือ ฯ  ในฐานะที่เป็นนิติบุคคล  คณะกรรมการ  ฯ 
การท่าเรือ ฯ ในฐานะที่เป็นผู้แทนนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการ
ของการท่าเรือ ฯ อาจใช้ดุลพินิจที่จะพิจารณาว่าจะยุติคดีโดยไม่อุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ต่อไปหรือไม่  ทั้งนี้  เป็นไปตามแนวทางที่คณะกรรมการกฤษฎีกา  (คณะกรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 1)
ได้เคยวินิจฉัยไว้