คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
ความก้าวหน้าในการดำเนินงานเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พ.ศ. 2546-2547
โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงหรือผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ  (CIO : Chief Information Officer)  ระดับ
กระทรวงทุกกระทรวง ไปดำเนินการพิจารณาบูรณาการแผนปฏิบัติระดับกระทรวง  โดยอาศัยข้อมูลแผนงาน/
โครงการของหน่วยงานในสังกัด  และจัดส่งแผนบูรณาการนี้ ให้สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการเทคโนโลยี
สารสนเทศแห่งชาติภายในวันที่ 15 มกราคม 2546 พร้อมทั้งมอบหมายและส่งชื่อเจ้าหน้าที่ที่จะทำหน้าที่เป็น
ผู้ประสานงานในเรื่องดังกล่าวที่สำนักงานเลขานุการ  ฯ  สามารถติดต่อประสานงานได้ให้แก่สำนักงานเลขานุ
การ ฯ ด้วย และให้กระทรวง ฯ พิจารณาจัดตั้งหน่วยงานหรือทีมงานภายในสำนักงานปลัดกระทรวง ฯ ที่จะทำ
หน้าที่รับผิดชอบงานในส่วนที่เป็นภารกิจของ CIO ของกระทรวง  (หากยังไม่มี)  เนื่องจากภารกิจและความรับ
ผิดชอบของ CIO ระดับกระทรวงจะมีมากขึ้น  และมอบหมายสำนักงานเลขานุการ ฯ ดำเนินการเพื่อบูรณาการ
แผนปฏิบัติ  ฯ  ตามข้อมูลที่ได้รับมาอีกครั้งหนึ่ง  รวมทั้งจัดทำต้นแบบของระบบการติดตามความก้าวหน้าของ
โครงการที่ใช้ข้อมูลของแผนปฏิบัติ  ฯ  ดังกล่าว  นำเสนอรายงานในรูปแบบ  web-based application  ที่คณะ
รัฐมนตรีสามารถติดตามได้ และให้เสนอผลงานดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี ภายในวันที่  28  กุมภาพันธ์  2546
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า ทุกกระทรวงควรจัดให้มีหน่วยงานหรือบุคลากรที่จะรับผิดชอบสนับสนุนภาร
กิจของ CIO  ขึ้นในสำนักงานปลัดกระทรวงโดยให้มีลักษณะถาวร  ซึ่งอาจใช้วิธีเกลี่ยหรือตัดโอนอัตรากำลังที่มี
อยู่   และให้พิจารณาถึงโอกาสความก้าวหน้าในหน้าที่ราชการของบุคลากรกลุ่มนี้ด้วย   โดยมอบให้รองนายก
รัฐมนตรี  (นายสุวิทย์  คุณกิตติ)  รับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับโครงสร้างและความเชื่อมโยง
ระหว่างหน่วยงานต่าง  ๆ   และให้สำนักงาน ก.พ.  พิจารณาเกี่ยวกับการจัดองค์กรและระดับของบุคลากรด้วย
นอกจากนี้  รัฐมนตรีทุกคนควรให้ความสนใจกับเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นพิเศษ   เพื่อการพัฒนาไปสู่รัฐบาล
อิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) โดยจะต้องมีความรู้และความพร้อมที่จะรองรับเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่  ๆ

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการเดินทางไป
เยือนฮ่องกงและมาเก๊า ระหว่างวันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2545  เพื่อหารือเรื่องต่าง ๆ  กับผู้บริหารสูงสุดของ
ฮ่องกงและมาเก๊า  โดยในส่วนของการหารือกับผู้บริหารสูงสุดฮ่องกง ได้หารือเกี่ยวกับความคืบหน้าการดำเนิน
การเรื่อง Asia Bond และข้อเสนอของฮ่องกงที่จะเป็นประตูทางการค้า (gateway) ของไทยที่จะเข้าสู่จีน และไทย
เป็น gateway ของฮ่องกงเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   รวมทั้งร่วมกับไทยที่จะใช้ฮ่องกงเป็นฐานการส่ง
ออกไปยังจีน ส่วนการหารือกับผู้บริหารสูงสุดมาเก๊า ทั้ง  2  ฝ่ายได้มีการลงนามในข้อตกลงยกเว้นการตรวจลง
ตรา (visa) สำหรับคนไทยและคนมาเก๊า  และการประชุม  Boao Forum For Asia (BFA)-Tourism Conference
ที่เมืองกุ้ยหลิน ประเทศจีน ซึ่งที่ประชุมสนใจให้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคและสนใจที่จะให้เชื่อม
โยงกับเมืองกุ้ยหลิน โดยเชื่อมโยงกับเชียงใหม่ ภูเก็ต  กรุงเทพ ฯ  (พัทยา)  ด้วย   พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่าย
ไม่ต้องตื่นตระหนกและออกคำเตือนห้ามเดินทางท่องเที่ยวในภูมิภาค   ทั้งนี้   มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
พาณิชย์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ   และหน่วยงานอื่น  ๆ  ที่เกี่ยวข้องว่า  การที่จะให้ไทย
และฮ่องกง เป็น gateway ซึ่งกันและกัน ควรจะมีแนวทางอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกัน  และมอบให้
กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินการ  เพื่อขยายและเชื่อมต่อเส้นทางการบินเชียงใหม่-คุน
หมิง-กุ้ยหลิน   การดำเนินการปรับปรุงและขยายสนามบินเชียงใหม่  เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางการบินใน
ภูมิภาค  ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวและสินค้าที่จะเพิ่มมากขึ้น   โดยในระยะต้นอาจจะต้องขอความร่วมมือจากฝ่าย
ทหารเป็นการชั่วคราวด้วย    และการดำเนินการปรับปรุงและขยายสนามบินภูเก็ตให้สามารถรองรับการขึ้น-
ลง ของเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ได้  โดยการออกแบบเพื่อปรับปรุงและขยายสนามบินดังกล่าวควรยึดหลัก
การลงทุนที่ไม่สูงเกินจำเป็น

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับเรื่องการจัดทำวิสัยทัศน์  (Vision)  ของ
กระทรวง โดยในอนาคตอันใกล้นี้ นายกรัฐมนตรีจะเริ่มเดินทางไปตรวจเยี่ยมกระทรวงต่าง ๆ เป็นรายกระทรวง
โดยให้รองนายกรัฐมนตรีทุกท่านรับไปประสานและเร่งรัดให้แต่ละกระทรวงในกำกับการบริหารไปจัดทำวิสัย
ทัศน์ของกระทรวงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยเปิดโอกาสให้บุคลากรทุกฝ่าย ทุกระดับในกระทรวงเข้ามามีส่วนร่วม
ในการจัดทำด้วย  เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางไปเยี่ยมกระทรวง  ให้รองนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมหารือ
กับผู้บริหารของกระทรวงเพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจ และพิจารณาวิสัยทัศน์ของกระทรวงให้เหมาะสมสอดคล้อง
กับวิสัยทัศน์ของรัฐบาลและของประเทศต่อไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานสรุปผลการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบ
อุทกภัยด้านการแพทย์และการสาธารณสุข จนถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2545 ประกอบด้วย การเตรียมพร้อมรับสถาน
การณ์ การดำเนินการเมื่อเกิดอุทกภัย  และการดำเนินการภายหลังน้ำลด  โดยในส่วนของการเตรียมพร้อมสถาน
การณ์ ได้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์แจ้งเตือนจังหวัดเตรียมการป้องกันน้ำท่วมสถานบริการ การเคลื่อนย้ายวัสดุ
ครุภัณฑ์ ยาและเวชภัณฑ์ เตรียมวัสดุ อุปกรณ์ ครุภัณฑ์ ยานพาหนะ อุปกรณ์สื่อสาร ยาและเวชภัณฑ์ สารเคมี เพื่อ
สนับสนุนช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งให้สุขศึกษาประชาสัมพันธ์ป้องกันโรคติดต่อในภาวะอุทกภัย การดำเนินการ
เมื่อเกิดอุทกภัย ได้ติดตามสถานการณ์และรายงานความเสียหายที่เกิดขึ้น  ประสานงานให้ความช่วยเหลือในด้าน
ต่าง ๆ  ดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยในด้านการรักษาพยาบาล  ตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบภัย  สถาน
บริการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบเสียหายและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของผู้บริหาร ส่วนการดำเนินภายหลังน้ำ
ลด ได้ดำเนินการสูบล้างบ่อน้ำของประชาชน เติมสารเคมีต่าง ๆ คลอรีน สารส้ม รักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยทั้งร่าง
กายและจิตใจ  ตลอดจนเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคติดต่อต่าง  ๆ  ภายหลังน้ำลด  และฟื้นฟูบูรณะ  ซ่อมแซม 
วัสดุ ครุภัณฑ์ หน่วยงาน สถานบริการสาธารณสุขต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบเสียหาย

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณ
ปี พ.ศ. 2544 จำนวน 72,065,000 บาท ต่อไปถึงสิ้นเดือนมีนาคม  2546  และเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารศูนย์
ควบคุมและสั่งการจราจรจากเดิม  วงเงิน  253,500,000 บาท  เป็นวงเงิน  357,823,659  บาท  ได้  ตามที่รอง
นายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) เสนอ โดยรายละเอียดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็น
ของสำนักงบประมาณ    และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตกลงกับกระทรวงการคลังในการขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน
งบประมาณปี พ.ศ. 2544 ต่อไป ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า  การดำเนินการเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารดัง
กล่าว มีความล่าช้า  เป็นเหตุให้ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายและสิ้นเปลืองงบประมาณมาก  อาจเป็นเพราะผู้บริหารที่รับผิด
ชอบโครงการขาดการติดตามผล ไม่มีการกำหนดแผนขั้นตอนการติดตามงานเป็นระยะ ซึ่งหากได้ใช้เครื่องมือทาง
การบริหารต่าง ๆ   เช่น Program Evaluation and Review Technique (PERT) หรือ Critical Path Method (CPM)
หรือมีการกำหนดเป้าหมายความสำเร็จของโครงการเป็นระยะ (MILE STONE) เป็นเครื่องมือในการติดตามควบคุม
งาน ก็จะทำให้สามารถจัดการกับปัญหาได้ทันท่วงที  ดังนั้น  จึงให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับข้อสังเกตของคณะ
รัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการในโอกาสต่อไป และไม่ควรให้เกิดกรณีดังกล่าวอีก

          คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้ส่วนราชการต่าง ๆ  สนับสนุนให้ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ
ระดับสูง (Chief Information Officer - CIO) และข้าราชการไปร่วมงานสมัชชาเทคโนโลยีสารสนเทศระดับภาคพื้น
เอเชียโอเชียนเนีย และการประชุมประจำปี ASOCIO ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 28-30 พฤศจิกายน 2545 ณ จังหวัด
เชียงใหม่   โดยให้เบิกค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากต้นสังกัดได้และไม่ถือเป็นวันลา  ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสารเสนอ

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาด
ไทย (กรมพัฒนาชุมชน) กระทรวงพาณิชย์ (กรมส่งเสริมการส่งออก) และกระทรวงอุตสาหกรรม  (กรมส่งเสริม
อุตสาหกรรม)  ประสานกับผู้จัดทำเว็บไซต์ไทยตำบลดอทคอม (WWW.THAITAMBON.COM) ในการพิจารณาคัด
สรรสินค้าจากโครงการหนึ่งตำบล  หนึ่งผลิตภัณฑ์  เข้าไปเสนอขายในเว็บไซต์ดังกล่าวให้มากขึ้น  โดยพิจารณา
ถึงระบบการส่งสินค้าให้มีความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น   รวมทั้งเร่งรัดให้มีการเพิ่มเติมรายการสินค้าให้มากยิ่ง
ขึ้น    กับให้กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศและการสื่อสารปรับปรุงเว็บไซต์ดังกล่าว  ให้มีข้อมูลดึงดูดความ
สนใจของผู้เข้าชมมากยิ่งขึ้น เช่น  การจัดอันดับสินค้าขายดี 10  อันดับ  หรือแปลข้อมูลในเว็บไซต์ให้เป็นภาษา
อังกฤษให้สมบูรณ์   ส่วนห้องแสดงสินค้า  (Show Room)  ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาจัดให้มีห้อง
แสดงสินค้า OTOP โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ ๆ  ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว  โดยอาจพิจารณาให้เอก
ชนเป็นผู้บริหารจัดการก็ได้   และพิจารณาจัดตั้งศูนย์ขนาดใหญ่ที่แสดงสินค้าต่าง ๆ  ทั้งหมดซึ่งผลิตในประเทศ
ไทย (Made in Thailand) ด้วย สำหรับการจัดตั้งศูนย์แสดงและจำหน่ายสินค้าชุมชน หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
ของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ที่จะจัดตั้งศูนย์ในส่วนภูมิภาค 5 แห่ง   และส่วนกลาง 1 แห่ง นั้น
ให้กรมการพัฒนาชุมชนดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ประสานข้อมูลกับกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดการกระ
จายตัวและไม่เกิดความซ้ำซ้อนเกี่ยวกับทำเลที่ตั้ง ให้กระทรวงพลังงานสนับสนุนการเพิ่มจุดขายสินค้า (Outlet) 
เช่น สถานีจำหน่ายน้ำมัน โดยออกแบบและจัดทำชั้นวางสินค้า OTOP แบบ Knock Down  ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีและกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันตรวจสอบ พัฒนา ปรับปรุง  คุณภาพสินค้า  โดยเฉพาะสินค้า
ที่ใช้บริโภคเพื่อให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน     ตลอดจนความสวยงามของรูปแบบบรรจุภัณฑ์  (Packaging)  และ
ให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพสามิต) พิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้มาตรการทางภาษี  เพื่อส่งเสริมและ
สนับสนุนการผลิตและจำหน่ายของผู้ผลิตสินค้า ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีได้ช่วยดูแลและสนับสนุนการตลาดของสินค้า
OTOP  ในจังหวัดที่ตนมีภูมิลำเนา  โดยประสานกับกระทรวงมหาดไทย  กระทรวงอุตสาหกรรม  กระทรวงพลัง
งาน และกระทรวงพาณิชย์

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการเดินทางไปพบผู้บริหารระดับสูง
ของไต้หวัน เพื่อหารือเรื่องแรงงานไทย กรณีไต้หวันชะลอการอนุญาตนำเข้าแรงงานไทยไปทำงานที่ไต้หวัน
สรุปได้ว่า คณะผู้แทนไทยซึ่งมีนายอภัย จันทนจุลกะ ปลัดกระทรวงแรงงาน  เป็นหัวหน้าคณะ  ได้เข้าพบกับ
ผู้บริหารระดับสูงของคณะกรรมการการแรงงานไต้หวัน  เพื่อหารือในเรื่องดังกล่าว  โดยฝ่ายไทยยืนยันและ
ให้ความสำคัญต่อการลงนามข้อตกลงเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน   และพร้อมที่จะให้มีการลงนามภายในสิ้นปี
พ.ศ. 2545  เป็นอย่างช้า  ซึ่งทางฝ่ายไต้หวันยินดีที่จะเดินทางไปร่วมพิธีลงนามเมื่อฝ่ายไทยได้เตรียมความ
พร้อมแล้ว   ส่วนปัญหาที่ฝ่ายไต้หวันโต้ตอบไทยด้วยการขยายเวลาพิจารณานำเข้าแรงงานไทยจาก  7  วัน
เป็น 35 วัน และขยายต่อออกไปนั้น คาดว่าไต้หวันจะพิจารณายกเลิกมาตรการดังกล่าว

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ เกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ (OPERATION
CENTRE) ของรัฐบาล  ที่ตึกไทยคู่ฟ้า   โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีทุกท่านรับไปสั่งการและติดตามการดำเนินให้
กรมต่าง ๆ รวมทั้งหน่วยงานอื่นที่เทียบเท่ากรมที่ยังไม่มี  WEBSITE  ดำเนินการจัดทำ WEBSITE ของหน่วยงาน
ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในเดือนธันวาคม 2545 เป็นอย่างช้า  และให้ทุกหน่วยงานปรับปรุงข้อมูล  MIS  และข้อ
มูลต่าง ๆ  ใน   WEBSITE  ของหน่วยงานให้ทันสมัยอยู่เสมอ  เมื่อสามารถเชื่อมโยงกันได้ในลักษณะอินทราเนท
(INTRANET) ของรัฐบาลแล้ว  ศูนย์จะกำหนดรหัสผ่าน  (PASSWORD)  ให้แก่ผู้บริหารของทุกหน่วยงานเพื่อให้
สามารถเข้าถึงข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการ  ฯ  ได้ต่อไป  ผู้บริหารของทุกหน่วยงานต้องมีทักษะในการใช้อินเทอร์
เน็ต (INTERNET) และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นฝ่ายเลขานุการ รับไปประสานการ
ดำเนินการดังกล่าว  ตลอดจนการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนทักษะของผู้บริหารของหน่วยงานให้สามารถใช้อินเทอร์
เน็ตได้ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่

             รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการ
เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเห็นว่า การเดินทางไปใช้
สิทธิเลือกตั้งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในบางพื้นที่มีความยากลำบาก คณะกรรมการการเลือกตั้งควรประสานงาน
กับหน่วยงานของรัฐจัดยานพาหนะเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้อย่างทั่วถึง    ส่วนในกรณีที่
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเรียก  รับ  หรือยอมจะรับเงินทรัพย์สิน  หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อลง
คะแนนเลือกตั้งหรืองดเว้นไม่ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครใดซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการทุจริตในการ
เลือกตั้ง คณะกรรมการ ฯ ควรกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ได้ผลต่อไป  ตามที่สำนัก
งานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย   และสำนักงบประมาณรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการ    แล้วแจ้งให้สำนัก
เลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงาน ปี พ.ศ. 2545 งบทำการปี พ.ศ. 2546 และแนวโน้มการ
ดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ปี พ.ศ. 2547 - 2549   รวมทั้งเห็นชอบงบลงทุน ปี พ.ศ. 2546  ของ
รัฐวิสาหกิจ การเร่งรัด /การกำกับ การเบิกจ่ายและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา
การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ  ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่
2 โดยให้ถือว่างบประมาณลงทุน ปี พ.ศ. 2546 ของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งยังคงสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความ
เหมาะสมและจำเป็น  เพื่อให้สอดคล้องกับสถานะทางการเงิน  ความพร้อมของรัฐวิสาหกิจ  และนโยบายที่เกี่ยว
ข้องของรัฐบาล  ซึ่งกระทรวงการคลัง  สศช.  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้พิจารณาตามแต่ละกรณีต่อไป  ทั้งนี้
คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับงบประมาณดำเนินการของรัฐวิสาหกิจ  ควรจัดทำงบดุล  บัญชีทำการ
และบัญชีกำไรขาดทุนของปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดสำหรับรัฐ
วิสาหกิจบางแห่งที่ยังมีปัญหาไม่สามารถจัดทำงบดุล ฯ  ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2544  หรือปีก่อน ๆ ได้  ให้เร่ง
จัดทำให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน (ภายในวันที่  31  ธันวาคม  2545) ด้วย   หากไม่สามารถดำเนินการให้แล้ว
เสร็จทันภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจรายงาน และชี้แจงเหตุผลความจำเป็นเป็นลาย
ลักษณ์อักษรต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง   นอกจากนี้  เห็นควรให้หน่วยงานภาคเอกชนที่เป็นมืออาชีพและได้รับ
การรับรองถูกต้องเข้ามีส่วนร่วมในการตรวจสอบฐานะทางการเงิน และงบประมาณของรัฐวิสาหกิจ ส่วนปัญหา
ที่ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจยังไม่เข้าใจระบบการเงินการคลัง  และการตลาดอย่างเพียงพอ   ให้กระทรวงการคลังรับ
ไปพิจารณาดำเนินการโดยอาจจัดหลักสูตรการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ให้แก่ผู้บริหารรัฐ
วิสาหกิจ ตามความเหมาะสมต่อไป

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการ
ปฏิรูประบบราชการในส่วนของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยในส่วนของสถานที่กระทรวง
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  จะขอเช่าอาคารโทรคมนาคม  30  ชั้น   ของการสื่อสารแห่งประเทศไทย
โดยห้องทำงานของผู้บริหารและห้องประชุมจะใช้ชั้นที่ 28, 29 และ 30 และสถานที่ของสำนักงานปลัดกระทรวง  
และสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี จะใช้ชั้นที่  5 ซึ่งสถานที่ดังกล่าวสามารถเข้าไปใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 
2545 สำหรับหน่วยงานในสังกัด ได้แก่ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมไปรษณีย์โทรเลข สำนักงานสถิติแห่งชาติ  จะใช้
สถานที่เดิม  ส่วนอัตรากำลังของสำนักงานปลัดกระทรวง ตามโครงสร้างใหม่จะมีจำนวน  282  อัตรา  แต่ได้รับ
โอนมารวมทั้งสิ้น  60  อัตรา  ขาดอยู่อีก 222 อัตรา  และเมื่อรวมกับอัตรากำลังของสำนักงานเลขานุการรัฐมน
ตรีอีก 15  อัตรา จะต้องหาอัตรามาเสริมอีก 237 อัตรา สำหรับกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูป  ได้ร่วมกับสำนัก
งานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ     ตลอดจนร่างพระราชกฤษฎีกาโอนส่วน
ราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา
ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติระเบียบ
บริหารราชการแผ่นดิน  (ฉบับที่ ..)  พ.ศ. ....  และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง  ทบวง  กรม  พ.ศ. ....
รายงานกิจกรรมวันประกาศใช้พระราชบัญญัติ ฯ ดังกล่าว ประกอบด้วย การกล่าวของ  ฯพณฯ  นายกรัฐมนตรี 
ต่อข้าราชการและประชาชน เนื่องในโอกาสวันประกาศใช้พระราชบัญญัติ  ซึ่งถ่ายทอดสดโดยโทรทัศน์รวมการ
เฉพาะกิจแห่งประเทศไทย  และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย   โดยในส่วนของปลัดกระทรวง   ปลัด
ทบวง อธิบดี หัวหน้าส่วนราชการ หรือผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานในการประชุมผู้บริหารและข้าราชการ
ระดับสูงของแต่ละส่วนราชการ  เพื่อรับชมและรับฟังคำกล่าวของ  ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี   ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้น
การกล่าวแล้ว  แต่ละส่วนราชการได้ประชุมร่วมกันเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติงานต่าง ๆ  ให้บังเกิดผลตามเจต
นารมณ์ของการปฏิรูประบบราชการ  ทั้งนี้ คณะกรรมการสร้างความเข้าใจ ฯ จะจัดทำและจัดส่ง Banner การ
ปฏิรูประบบราชการให้แก่กระทรวง  ทบวง  กรม   และจังหวัด   รวมทั้งขอความร่วมมือจากส่วนราชการให้ติด
Banner ดังกล่าว ในวันที่ประกาศใช้พระราชบัญญัติ ฯ  ดังกล่าว  เป็นต้นไป  เพื่อร่วมสร้างบรรยากาศของการ
เริ่มต้นการปฏิรูประบบราชการให้เกิดขึ้นโดยทั่วไป

           คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามมติที่ประชุมการปฏิรูปการศึกษา และให้
ความเห็นชอบในนโยบายในการขยายเวลาเกษียณอายุอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐตามมติของคณะ
กรรมการข้าราชพลเรือนในมหาวิทยาลัย  (ก.ม.)  โดยให้ขยายอายุเกษียณราชการของข้าราชการพลเรือน
ในมหาวิทยาลัยเฉพาะสายวิชาการ  (สาย ก) ได้ถึงอายุ 65 ปี ต้องมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ให้
ขยายอายุเกษียณราชการถึง  65  ปี  โดยให้บุคลากรสายวิชาการยื่นความจำนงที่จะเกษียณอายุราชการที่
60 ปี หรือปฏิบัติงานต่อไปต่อต้นสังกัดเมื่ออายุครบ 59 ปี  ผู้ที่ต้องการปฏิบัติงานต่อไปต้องมีการประเมิน
โดย  อ.ก.ม.  มหาวิทยาลัย     และเสนอสภามหาวิทยาลัยอนุมัติ  ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งบริหาร   หากเป็น
ผู้บริหารต้องลาออกจากตำแหน่งบริหารก่อน    ผู้ได้รับการขยายอายุเกษียณราชการถึง  65  ปี   จะได้รับ
ประโยชน์เช่นเดียวกับข้าราชการทั่วไป และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระ
ราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494  และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนใน
สถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. .... แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการรับเงินประจำตำแหน่งในช่วงปรับโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม
ใหม่ กรณีการยุบเลิกงานยุบรวมงานหรือปรับปรุงการจัดส่วนราชการที่มีผลกระทบต่อสิทธิการได้รับเงินประจำ
ตำแหน่งของข้าราชการ และกรณีตำแหน่งผู้บริหารส่วนราชการที่ไม่มีฐานะเป็นกรมซึ่งเป็นตำแหน่งใหม่ และอนุมัติ
หลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็น
ข้าราชการ  (ฉบับที่  ..)  พ.ศ.  .... (กำหนดให้ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนที่จะได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภท
บริหารระดับสูง ได้แก่ ตำแหน่งระดับ 9 ขึ้นไป ที่มีฐานะและหน้าที่และการบริหารงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น ซึ่งเป็น
ตำแหน่งอื่นที่ ก.พ. กำหนดโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพิ่มเติมจากตำแหน่งต่าง ๆ ที่ได้กำหนดไว้
แล้ว) ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ส่งร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้าน
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 9 ระหว่างวันที่ 24-25 สิงหาคม 2545  ณ เมือง Acapulco ประเทศ
เม็กซิโก โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย รัฐมนตรีเอเปคที่รับผิดชอบงานด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาด
ย่อม (SMEs) ผู้แทนประเทศสมาชิกเอเปค จำนวน  21  ประเทศ  รวมทั้งประเทศไทยซึ่งมีรัฐมนตรีช่วยว่าการ
กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหัวหน้าคณะ โดยหัวข้อหลักของการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ได้แก่  "การกระจายประ
โยชน์จากความร่วมมือแก่ SMEs"  ซึ่งมีประเด็นสำคัญ 3 ประการ  คือ  สิ่งแวดล้อมทางด้านนโยบายที่เกื้อหนุน
ต่อการพัฒนา  SMEs  การพัฒนาที่ยั่งยืน  และการเสริมสร้างร่วมมือในระดับภูมิภาค  ส่วนการเจรจาระดับทวิ
ภาคี ได้มีการหารือเกี่ยวกับการบรรจุเรื่องการระดมทุนสำหรับ SMEs การจัดตั้ง Venture Capital เข้าเป็นส่วน
หนึ่งในการประชุม APEC SMEs ในปี พ.ศ. 2546  การขอให้สหรัฐ ฯ พิจารณาต่อโครงการ SIAM  ซึ่งเป็นโครง
การจับคู่ธุรกิจทางอินเตอร์เน็ต  การทบทวนมาตรการคุ้มครองลิขสิทธิ์ทางปัญญา  รวมทั้งการเพิ่มโควต้านำเข้า
น้ำตาลจากไทยและให้มี Policy Dialogue ด้าน SMEs ระหว่างผู้บริหารระดับสูงของไทยกับสหรัฐ ฯ  นอกจากนี้ 
ได้หารือเรื่องการส่งเสริม แก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านการค้าและการลงทุน ความตกลงเรื่องภาษีซ้อน  และการนำ
เข้าข้าวและสินค้าอาหารจากไทยโดยตรงของชิลี และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือและประสานงานกัน
เพื่อผลักดันให้ฝ่ายสหรัฐ ฯ   เปิดตลาดนำเข้าน้ำตาลทรายให้มากยิ่งขึ้น  ตลอดจนติดตามการขอขยายความช่วย
เหลือ USAID ในการดำเนินโครงการ SIAM  และการจัดตั้ง Policy Dialogue ด้าน SMEs  ประเทศไทยจะเป็นเจ้า
ภาพจัดประชุม APEC SMEs ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 5-8 สิงหาคม 2546

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบการแก้ไขปัญหาการขาดทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยให้รัฐมนตรี
ซึ่งกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่ประสบปัญหาการขาดทุนทุกแห่งแจ้งให้ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจพิจารณาทบทวนระบบ
บริหาร   และดำเนินการจัดทำแผนและทิศทางการปรับปรุงเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดทุนอย่างเป็นระบบ  โดย
จัดทำให้แล้วเสร็จก่อนนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนรัฐวิสาหกิจในแต่ละแห่ง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน
2545  เป็นต้นไป  โดยจะมีการปรึกษาหารือร่วมกัน และให้เชิญคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ (Board)
เข้าร่วมหารือด้วย ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำตอบกระทู้ถามที่ 531 ร. เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหากรณีให้แพทย์
ดำรงตำแหน่งในคราวเดียวกัน  2  ตำแหน่ง  ของนายนิยมชัย  วรปัญญา  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด
ลพบุรี ซึ่งถามว่า  กรณีโรงพยาบาลที่มีผู้อำนวยการโรงยาบาลดำรงตำแหน่งผู้บริหารและรักษาการควบผู้
อำนวยการโรงพยาบาลรวม 2 โรงพยาบาลในคราวเดียวกัน  หรือนั่งตำแหน่งควบหัวหน้ากองหัวหน้าฝ่าย
หรือหัวหน้าส่วนด้วย  จะสามารถตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและผลประโยชน์ของราชการได้หรือไม่
อย่างไร  และกระทรวงสาธารณสุขจะมีมาตรการควบคุมการจัดซื้อ  จัดจ้าง และซื้อวัสดุ  ครุภัณฑ์ของทั้ง  2
โรงพยาบาล ดังกล่าวนี้อย่างไรปัจจุบันมีโรงพยาบาลใดบ้างที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลต้องรักษาการควบ
ในตำแหน่งผู้อำนวยการ ฯ ถึง 2 หรือ 3 สถานพยาบาล  และแต่ละตำแหน่งมีชื่อเรียกว่าอย่างไร  มีหน้าที่
อย่างไร  เพราะเหตุใดจึงต้องดำเนินการดังกล่าว   และรัฐบาลจะมีมาตรการแก้ไขอย่างไรเพื่อมิให้เป็นการ
แบกภาระในการปฏิบัติงานมากเกินไป และเมื่อใด ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ประกาศในราช
กิจจานุเบกษาต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภายในหน่วยงานของรัฐ โดย
ให้รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี  ผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐมีหน้าที่หรือภารกิจ
ที่สำคัญที่จะต้องดำเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภายในหน่วยงานที่กำกับดูแลรับผิดชอบให้หมด
ไปหรือลดลงให้มากที่สุด หากไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการดังกล่าวหรือเพิกเฉยไม่สนองต่อมาตรการ
ดังกล่าว  หรือไม่สามารถลดการทุจริตภายในหน่วยงานที่กำกับ  ดูแล  รับผิดชอบไม่ได้  ให้ถือว่าไม่มีประสิทธิ
ภาพในการบริหารงาน   ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ  และ
ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ รับไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการตรวจติดตามการ
ดำเนินการถ่ายโอนภารกิจบริการสาธารณะให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545
งวดที่ 1  ระหว่างเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2545  ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในจังหวัดต่าง ๆ 
ยกเว้นกรุงเทพมหานคร ของส่วนราชการที่ถ่ายโอนภารกิจ ฯ กรมชลประทาน กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมพัฒนา
ชุมชน    กรมการศาสนา    และสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ  ในส่วนของการดำเนินการ
ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการบริหารงบประมาณตามโครงการถ่ายโอน  ฯ  การเตรียมความพร้อมในการ
ถ่ายโอนและรับโอนภารกิจ ฯ การประชาสัมพันธ์  รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน  ซึ่งผลจากการ
ตรวจติดตามเห็นว่า    ควรจัดให้มีการอบรมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.)  เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการบริหารงบประมาณ   ระเบียบและวิธี
การจัดซื้อจัดจ้าง  ปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการบริหารงบประมาณ   กับจัดให้มีการประชุมเพื่อ
ซักซ้อมความเข้าใจในขั้นตอนวิธีการเบิกจ่ายงบประมาณ   และการเปิดโอกาสให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วม
ในการพิจารณาคัดเลือกพื้นที่ดำเนินการ  สำหรับการตรวจติดตามการดำเนินการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงิน
ภาครัฐในปีงบประมาณ  พ.ศ. 2545 งวดที่ 1 ได้กำชับและเร่งรัดให้หน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิ
ภาค   และส่วนราชการที่ถ่ายโอนงาน/กิจการบริการสาธารณะให้แก่  อปท.  ที่เป็นงบประมาณรายจ่ายลงทุน
ดำเนินการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนและเบิกจ่ายเงินงบประมาณตามแผนปฏิบัติการของแต่ละหน่วย
งาน     โดยให้ถือปฏิบัติตามมาตรการและแนวทางที่ปฏิบัติเพื่อเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณตามมติคณะ
รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2544 และวันที่ 22 ตุลาคม 2544