ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 25 จากทั้งหมด 155 หน้า แสดงรายการที่ 481 - 500 จากข้อมูลทั้งหมด 3089 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
481 | ขอความเห็นชอบแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลกัลยาณิวัฒนาการุณย์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2569 | อว. | 21/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการแผนอัตรากำลังของโรงพยาบาลกัลยาณิวัฒนาการุณย์
คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๖๙
จำนวน ๔๖๗ อัตรา สำหรับงบประมาณรองรับแผนอัตรากำลังดังกล่าว
ให้มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ขอรับการจัดสรรงบประมาณโดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน
โดยใช้จ่ายจากเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์เป็นลำดับแรก
ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. และข้อเสนอแนะของสำนกงาน ก.พ.ร. เช่น
ควรพิจารณารูปแบบการจ้างงานให้เหมาะสมกับลักษณะงานที่ปฏิบัติ
ควรวางแผนการบูรณาการความร่วมมือด้านการพัฒนาทางการแพทย์ควรวางแผนและสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนการพัฒนาการทางวิชาการ
บุคลากรทางการแพทย์และการสาธารณสุข ร่วมกับโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
โรงพยาบาลของเอกชนที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนประเทศเพื่อนบ้าน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
482 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 14 พ.ศ. 2564 | สช. | 21/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑๔ พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกอบด้วย ๓ มิติ ได้แก่
มิติ ๑ การสร้างเสริมสุขภาวะสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนในวิกฤตโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) มติ ๒
การคุ้มครองการเข้าถึงบริการสุขภาพของกลุ่มประชากรเฉพาะในภาวะวิกฤตอย่างเป็นธรรม
มิติ ๓ การจัดการสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมในวิกฤติสุขภาพ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติฯ
ที่เกี่ยวข้อง ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์)
คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของกระทรวงศึกษาธิการ
ข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณ เช่น การจัดการสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ
ควรมุ่งเน้นให้เกิดเครือข่ายพลเมืองตื่นรู้และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการบูรณาการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ปรับห้วงเวลาของแผนปฏิบัติการฯ จาก พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๙ เป็น พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๐
เพื่อให้สอดคล้องกับที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการฯ
ไปแล้วเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ และให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ แล้วแต่กรณี
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
483 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย | กก. | 21/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ข้อสังเกต
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) อาทิ (๑)
ควรจัดเก็บข้อมูลนักแสดงชาวต่างชาติที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย
และจัดส่งให้กรมสรรพากรเป็นระยะ และ (๒)
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการสร้างแรงจูงใจด้านอื่น ๆ
ให้มากขึ้นควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะการลดข้อจำกัดและกฎระเบียบต่าง ๆ
ที่เป็นอุปสรรคต่อการถ่ายทำภาพยนตร์
การพัฒนาระบบนิเวศที่เหมาะสมสำหรับการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนดำเนินการผลักดันมาตรการสร้างแรงจูงใจในด้านอื่น
ๆ
ที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการยกเว้นภาษีนักแสดงชาวต่างชาติในครั้งนี้ให้เหมาะสมและครอบคลุม
รวมทั้งให้พิจารณาแนวทางการดำเนินการส่งเสริมและยกระดับจังหวัดเมืองรองต่าง ๆ
ให้สามารถใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้นด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
484 | การเสนออุทยานธรณีขอนแก่นเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) | ทส. | 21/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เสนออุทยานธรณีขอนแก่นเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก
(UNESCO Global Geoparks)
โดยยื่นความจำนงต่อยูเนสโกภายในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕
และส่งใบสมัครในระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ถึง ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
และมอบหมายให้คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์
และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการเสนออุทยานธรณีโลกของยูเนสโกต่อสำนักเลขาธิการยูเนสโก
ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่เห็นควรเพิ่มอำเภอมัญจาคีรี
จังหวัดขอนแก่น ในพื้นที่อุทยานธรณีขอนแก่น และควรคำนึงถึงการบริหารจัดการพื้นที่หากได้รับการรับรองเป็นอุทยานธรณีโลกของ
UNESCO ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
485 | พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรประจำปี 2564-2565 | นร.51 | 14/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรประจำปี ๒๕๖๔-๒๕๖๕
มีสาระสำคัญเพื่อป้องกัน ควบคุม แก้ไข
และฟื้นฟูสถานการณ์ที่เป็นภัยหรืออาจเป็นภัยอันเกิดจากบุคคลที่ก่อให้เกิดความไม่สงบสุข
ทำลาย หรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ
เสริมสร้างความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นกับประเทศ ให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข
มีความมั่นคง ปลอดภัยทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน
เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาความมั่นคงที่มีอยู่ปัจจุบันอย่างจริงจังให้หมดสิ้นไป
เป็นต้น ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเสนอ
และให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรรับข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงาน
ป.ป.ส. รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เช่น
ควรพิจารณากำหนดโครงการสำคัญในประเด็นที่สำคัญเร่งด่วน ควรกำหนดจุดมุ่งเน้นของแผนและบูรณาการการแก้ปัญหาในห้วงปี
๒๕๖๕ ให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับแผนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดค่าเป้าหมายและตัวชี้วัดภายใต้แผนรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรประจำปี
๒๕๖๔-๒๕๖๕ ให้มีความชัดเจน เหมาะสม และสอดคล้องกับแผนอื่น ๆ ที่กฎหมาย
ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีกำหนดด้วย (เช่น
แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ) โดยอาจพิจารณาปรับในส่วนของค่าเป้าหมายและตัวชี้วัดที่เป็นโครงการสำคัญ
(Flagship Project) และเร่งด่วนเป็นลำดับแรก
ทั้งนี้
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
และวัดผลการดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมในทิศทางเดียวกันต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
486 | รายงานตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 | สม. | 14/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
ปี ๒๕๖๔ และรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับภาพรวมสถานการณ์ ปัญหา อุปสรรค
และข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในด้านต่าง ๆ ได้แก่ (๑)
ด้านสิทธิมนุษยชนในสถานการณ์เฉพาะ (๒) ด้านสิทธิพลเมืองและด้านสิทธิทางการเมือง
(๓) ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (๔) ด้านสิทธิมนุษยชนของกลุ่มบุคคล ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม
กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้พิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ปรากฏในรายงานผลการประเมินสถานการณ์ฯ
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งส่งเสริมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานอย่างเคร่งครัด
และนำข้อเสนอแนะในรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนไปใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติมากขึ้น
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
แล้วแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้ส่งความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม
กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม
และสำนักงานอัยการสูงสุดไปเพื่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
487 | ขอความเห็นชอบแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และคณะในศูนย์สุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2570 | อว. | 14/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินของแผนอัตรากำลังของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติและคณะในศูนย์สุขศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐ จำนวน ๓๕๒,๔๙๘,๘๐๐ บาท
และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) พิจารณาทบทวนการกำหนดจำนวนอัตรากำลังภายใต้แผนฯ
ให้เหมาะสม สอดคล้องกับภารกิจเท่าที่จำเป็นและประหยัด
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงินที่จะนำมาใช้
โดยเฉพาะรายได้หรือเงินนอกงบประมาณอื่นใดที่มหาวิทยาลัยมีอยู่หรือที่สามารถนำมาใช้จ่ายเป็นลำดับแรก
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รับความเห็นของสำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำกับเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ข้อสังเกตของสำนักงาน
ก.พ. รวมทั้งรับความเห็นและข้อเสนอแนะของสำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น คณะในศูนย์สุขศาสตร์ควรพิจารณาทบทวนกรอบอัตรากำลังที่ขอรับการสนับสนุนให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
พิจารณารูปแบบการจ้างงานให้เหมาะสมกับลักษณะงานที่ปฏิบัติ ควรบูรณาการการทำงาน
และเชื่อมโยงฐานข้อมูลกำลังคนด้านสุขภาพและข้อมูลผู้ป่วยในพื้นที่
ทั้งสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
488 | โครงการอาชีวะสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชน เพื่อผลิตกำลังคนของประเทศ (อาชีวะอยู่ประจำเรียนฟรี มีอาชีพ) | ศธ. | 07/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการโครงการอาชีวะสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชน
เพื่อผลิตกำลังคนของประเทศ (อาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ)
และให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา)
ดำเนินโครงการนำร่องในสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนว ๘๘
แห่ง ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ (ระยะที่ ๑) ก่อน แล้วให้กำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ
(ระยะที่ ๑) อย่างต่อเนื่อง และนำผลการประเมินโครงการฯ เสนอคณะรัฐมนตรีทราบ
และประกอบการพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการขยายผลการดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป
อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา)
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา) รับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรพิจารณารวบรวมข้อมูลและติดตามเยาวชนที่ตกหล่นจากระบบการศึกษาในลักษณะของภาคีเครือข่าย
ควรจัดทำหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมดิจิทัลในอนาคต
ควรพิจารณาความซ้ำซ้อนของสถานศึกษาอาชีวในโครงการฯ กับโครงการอาชีวพระดาบส
ทั้งด้านการก่อสร้างหอพัก และการจ้างและจ่ายค่าตอบแทนดูแลหอพัก
เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการและแบ่งปันการใช้ทรัพยากรเพื่อการดูแลผู้เรียนร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
489 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 | สนง. กสม. | 30/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
กรณีผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งส่งผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนในวงกว้างแม้ว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินนโยบายและมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว
แต่ยังคงมีประชาชนจำนวนหนึ่ง
โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาสได้รับผลกระทบและเข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือของรัฐ
ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยสรุปผลในภาพรวมได้ว่า
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแล้ว
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
490 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ขับเคลื่อนและพัฒนาอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.) ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา | สว. | 24/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
ขับเคลื่อนและพัฒนาอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.)
ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา
ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เห็นชอบกับข้อเสนอของคณะกรรมาธิการฯ
และมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมด้านนโยบายและการบริหารเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายเพื่อลดความซ้ำซ้อนระหว่างอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้านกับอาสาสมัครเกษตรกรต่าง
ๆ การจัดทำแผนการพัฒนาให้ อกม. มีความรู้
ความสามรถด้านการเกษตรและด้านการปฏิบัติการดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง
และจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงานในสังกัดทุกหน่วยงาน โดยลดขนาดองค์กร
ลดจำนวนเจ้าหน้าที่ และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มมากขึ้น
ควรมีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาแนวทางการดำเนินงานให้ครอบคลุมผลกระทบในทุกมิติ
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการดำเนินงานในอนาคต
ควรรวบรวมข้อมูลอาสาสมัครของแต่ละประเภท แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาบูรณาการร่วมกัน ด้านการพัฒนาองค์ความรู้ของ
อกม.
ควรมีการพัฒนาความรู้ความสามารถทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดเก็บข้อมูลด้านการเกษตร
และร่วมพิจารณากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางให้เกิดการขับเคลื่อนในเชิงพื้นที่และจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นร่วมกัน
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
491 | แผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2566 - 2580) | พม. | 17/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๘๐)
มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบและแนวทางปฏิบัติงานด้านผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งสอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท
เพิ่มคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้เพิ่มพูนศักยภาพของตนเองอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติ รองรับสังคมสูงวัยเชิงรุก ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นข้อเสนอแนะ
และข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณสำนักงาน ก.พ.
และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น ควรกำหนดบทบาทของหน่วยงานรับผิดชอบหลัก/หน่วยงานรับผิดชอบร่วมในรูปของผังกระบวนงานหรือ
Work Flow ให้ชัดเจน
ควรมีแนวทางในการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการที่ชัดเจน
อาจเพิ่มตัวชี้วัดที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการเสริมสร้างพลังให้กับผู้สูงวัย
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงสาธารณสุข
และกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) ที่เห็นว่าในการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุตามแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ
ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๘๐) นั้น เห็นควรมอบหมายเพิ่มเติมให้กระทรวงกลาโหม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อส่งเสริมการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยอาจร่วมมือกับภาคเอกชนด้วย
เพื่อผลิตสิ่งอำนวยความสะดวก/อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ
และให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ได้ในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม
รวมทั้งอาจพิจารณาผลิตสิ่งอำนวยความสะดวก/อุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อการส่งออกอีกด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
492 | สรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการ ญัตติมาตรการและผลกระทบจากนโยบายการเปิดประเทศของสภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 17/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการ ญัตติมาตรการและผลกระทบจากนโยบายการเปิดประเทศของสภาผู้แทนราษฎร
ดังนี้ (๑)
ประเด็นปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการของรัฐบาลตามนโยบายการเปิดประเทศ
กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการปรับปรุงระบบ Thailand Pass อย่างต่อเนื่อง การกำหนดพื้นที่การนำร่องการท่องเที่ยว
(พื้นที่สีฟ้า) ได้กำหนดหลักเกณฑ์และมาตรการคัดเลือกพื้นที่ดังกล่าว
โดยพื้นที่ที่จะได้รับการคัดเลือกต้องมีการดำเนินงานตามมาตรการที่กำหนดไว้อย่างครบถ้วนและจะต้องมีการประเมินตนเองของแต่ละจังหวัดในด้านต่าง
ๆ (๒) ประเด็นปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายการเปิดประเทศ
ด้านการสาธารณสุข ได้มีการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ทั้งหมดแล้ว
รวมทั้งได้มีการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติม
นอกเหนือจากแผนเดิมที่กำหนดไว้ ด้านแรงงาน
รัฐบาลมีมาตรการที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าประเทศ
โดยเปิดการลงทะเบียนแรงงานต่างด้าว
และมีการนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตามระบบ MOU ด้านการศึกษา ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนไฟเชอร์ ให้ผู้ที่มีอายุ ๑๒-๑๘ ปี และบุคลากรทางการศึกษาแล้ว
ด้านเศรษฐกิจ สถาบันการเงินได้ดำเนินมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและบรรเทาภาระหนี้สินให้แก่ผู้ประกอบการ
และ (๓) ข้อเสนอแนะอื่น ๆกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ดำเนินโครงการต่าง
เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และมีข้อเสนอการจัดกิจกรรมต่าง ๆ
ภายใต้มาตรการสาธารณสุข
อีกทั้งนโยบายการเปิดประเทศในปัจจุบันเพื่อเร่งสร้างบรรยากาศท่องเที่ยวช่วยผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
493 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การส่งเสริมความรู้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา | สว. | 17/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง
การส่งเสริมความรู้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ของคณกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยเห็นชอบกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว และมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า
เพื่อให้การขับเคลื่อนการให้การศึกษาและสร้างพลเมืองตามวิถีประชาธิปไตย
สามารถเกิดผลสัมฤทธิ์ได้ตามวัตถุประสงค์
จำเป็นต้องมีหน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อน ที่สามารถบูรณาการเครือข่ายพลเมืองร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเห็นว่า
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นหน่วยงานที่มีความพร้อมในการส่งเสริมและสนับสนุนภารกิจดังกล่าว
ให้เป็นวาระแห่งชาติและเกิดรูปธรรมต่อไปได้
และในการสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิถีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ควรดำเนินการสร้างความเข้าใจที่ตรงกันถึงบทบาทของหน่วยงานที่รับผิดชอบ
อันจะนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายของการให้การศึกษาและออกแบบการเรียนรู้
และเชื่อมโยงการถ่ายทอดองค์ความรู้และคุณค่านิยม ให้กับประชาชน เด็กและเยาวชน
ครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม
ซึ่งปัจจุบันการให้การศึกษานอกจากการให้ความรู้ในโรงเรียน สถาบันการศึกษา
การจัดประชุม การอบรม
และการสัมมนาแล้วยังสามารถถ่ายทอดผ่านทางสื่อมีเดียหรือสื่อออนไลน์
ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวก การมี Platform ที่รวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับหลักการประชาธิปไตย
สื่อการเรียนรู้ที่ทันสมัย และช่องทางการแลกเปลี่ยนความรู้
จะมีส่วนช่วยในการส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนเข้าถึงการเป็นพลเมืองตามวิถีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
494 | (ร่าง) แผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว (พ.ศ. 2565 - 2580) | นร.11 สศช | 17/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบข้อสังเกตของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรตาม (ร่าง) แผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว
(พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๘๐) มีประเด็นสำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการไปพร้อมกันด้วย
ดังนี้ ๑.๑.
ปรับปรุงโครงสร้างระบบภาษีให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรที่แรงงานในระบบจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเฉพาะภาษีเงินได้ ๑.๒.
จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นจะทำให้กองทุนสวัสดิการสังคมต่าง ๆ
ที่มีอยู่และที่อาจจะตั้งขึ้นในอนาคตมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นในขณะที่มีเงินกองทุนเท่าเดิมหรือน้อยลงซึ่งจะส่งผลต่อภาระด้านการเงินการคลังของรัฐในระยะยาว
จึงต้องปรับปรุงระบบสวัสดิการให้เหมาะสม ๑.๓.
จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลต่อการรักษาความมั่นคงของชาติในภาพรวมเนื่องจากจำนวนกำลังพลจะน้อยลง
หน่วยงานด้านความมั่นคงและกองทัพจึงต้องพัฒนาให้ทันการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย ๒
เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๘๐ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
ประกอบด้วยยุทธศาสตร์สำคัญ ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การสร้างครอบครัวที่มีคุณภาพ
และพัฒนาระบบที่เอื้อต่อการมีและเลี้ยงดูบุตร (๒) การพัฒนายกระดับผลิตภาพประชากร
(๓) การยกระดับความมั่นคงทางการเงิน (๔) การสร้างเสริมสุขภาวะ
เพื่อลดการตายก่อนวัยอันควรและมีระบบดูแลระยะยาวและช่วงท้ายของชีวิต (๕)
การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพกับทุกกลุ่มวัย และ (๖)
การบริหารจัดการด้านการย้ายถิ่นฐาน ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
ความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และกระทรวงมหาดไทย เช่น
ควรกำหนดตัวชี้วัดของการพัฒนาในแต่ละยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาที่ ๗
การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ ในประเด็นการปรับลดกำลังคนภาครัฐ
สร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาพัฒนางานให้มากขึ้น
ควรมุ่งเน้นประเด็นความเหมาะสมและสมดุลของโครงสร้างประชากรทุกกลุ่มวัยให้ชัดเจน เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
495 | รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 (ไตรมาสที่ 2) | นร.07 | 10/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ
และผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๕ (ไตรมาสที่ ๒) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. ผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๕ (ไตรมาสที่ ๒) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๕
วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๓,๑๐๐,๐๐๐.๐๐๐๐ ล้านบาท
มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๕๙๓,๕๕๑.๓๓๙๑ ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ ๕๑.๔๐ มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๑,๘๒๐,๖๘๐.๙๒๙๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๘.๗๓
สูงกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณ ร้อยละ ๐.๔๐ และ ๒.๔๙
(เป้าหมายการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณที่กำหนดไว้ ร้อยละ ๕๑.๐๐ และ ๕๖.๒๔
ตามลำดับ) ๒. ปัญหาและอุปสรรค เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ยังคงยึดเยื้อและรุนแรง ประกอบกับสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
และความแปรปรวนของสภาพอากาศทำให้เกิดภัยพิบัติในหลายพื้นที่ของประเทศ
ส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ รวมถึงการขาดแคลนแรงงาน
เป็นต้น ๓.
ข้อเสนอแนะ เช่น
หน่วยรับงบประมาณควรเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายและหรือแผนที่กำหนดไว้
และให้หัวหน้าส่วนราชการกำกับดูแลการรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณ
รวมทั้งปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไขโดยเคร่งครัด เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
496 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2565 | นร.11 สศช | 10/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๖๕
เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๕ ดังนี้ (๑) อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.)
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาศักยภาพระบบบริการสุขภาพ
รองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โรคโควิด ๑๙) (A001) ของหน่วยงานส่วนภูมิภาค
สป.สธ.โดยขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการฯ จากเดิมสิ้นสุดเดือนมีนาคม ๒๕๖๕ เป็นสิ้นสุดเดือนมิถุนายน
๒๕๖๕ (๒) อนุมัติให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการตลาดวิถีอินทรีย์โรงพยาบาลอุตรดิตถ์สู่การสร้างสุขภาวะที่ดีให้ประชาชนโดยขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ
จากเดิมสิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๔ เป็นสิ้นสุดเดือนมิถุนายน ๒๕๖๕ (๓) อนุมัติให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการคนละครึ่ง โครงการคนละครึ่ง
ระยะที่ ๒ และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ ๓ โดยขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการฯ
เป็นสิ้นสุดเดือนกันยายน ๒๕๖๕ (๔) อนุมัติให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ
(๑ ตำบล ๑ มหาวิทยาลัย) โดยขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการฯ จากเดิม
สิ้นสุดเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๕เป็น สิ้นสุดเดือนมิถุนายน ๒๕๖๕ (๕) อนุมัติให้จังหวัดเชียงใหม่
จังหวัดราชบุรี จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดสกลนคร จังหวัดชัยนาท
และจังหวัดสุพรรณบุรี เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญและยกเลิกโครงการภายใต้โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
โดยในกลุ่มโครงการที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ
จำนวน ๓ โครงการ เห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งดำเนินการเบิกจ่ายโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม
๒๕๖๕ และกลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างการประกวดราคา ก่อสร้างหรือส่งมอบวัสดุครุภัณฑ์
จำนวน ๖๓ โครงการ
เห็นควรให้กำหนดเงื่อนไขว่าในกรณีที่จังหวัดไม่สามารถลงนามและผูกพันสัญญาได้ภายในเดือนพฤษภาคม
๒๕๖๕ ให้จังหวัดเสนอขอยกเลิกการดำเนินโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน
เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถบริหารเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
(พระราชกำหนดฯ พ.ศ. ๒๕๖๓) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (๖)
มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการตามข้อ ๑-.๕ เร่งแก้ไขข้อมูลโครงการในระบบ eMENSCR ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการโดยเร็ว
พร้อมทั้งเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ และปฏิบัติตามข้อ ๑๙ และข้อ ๒๐
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ พ.ศ. ๒๕๖๓
(ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯพ.ศ. ๒๕๖๓ พ.ศ. ๒๕๖๓) รวมทั้งรับความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ไปดำเนินการโดยเคร่งครัดต่อไป
(๗) มอบหมายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาหารือถึงแนวทางการจัดหาแหล่งเงินสำหรับรองรับการปฏิบัติตามกระบวนการตรวจสอบ/การติดตามผู้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข
และวินิจฉัยการกระทำที่ผิดเงื่อนไขของโครงการ
รวมถึงโครงการใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ พ.ศ. ๒๕๖๓
ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับโครงการคนละครึ่งเพื่อให้สามารถกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินการเกี่ยวกับการกู้เงินตามพระราชกำหนดฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ และ (๘) มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กำกับให้จังหวัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ เร่งดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ พร้อมทั้งติดตามความคืบหน้าของโครงการเศรษฐกิจฐานรากเหลืออีกประมาณ
๔๐๗ โครงการ
พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยเคร่งครัด
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้หน่วยงานต้นสังกัดกำกับดูแลให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
และติดตามการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งปฏิบัติตามข้อ ๑๙ และ ข้อ ๒๐
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ สำหรับโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้อีก หากมีเงินเหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากคลังโดยเร็ว
รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ให้ทันต่อสถานการณ์
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ที่ไม่สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้
เร่งปฏิบัติตามข้อ ๑๘ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
497 | รายงานผลการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะปี 2564 | ดศ. | 03/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการขับเคลื่อนนโยบายศูนย์ราชการสะดวก
โดยมีผลการดำเนินการ ได้แก่ (๑) การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการประเมินผล
และการรับรองมาตรฐาน GECC (๒)
การส่งเสริมผลักดันให้หน่วยงานของรัฐมีการพัฒนาการให้บริการประชาชนตามมาตรฐาน GECC (๓) การตรวจประเมินมาตรฐาน GECC (๔)
การจัดพิธีมอบโล่และตรารับรองมาตรฐาน GECC ประจำปี (๕)
การตรวจประเมินการรักษามาตรฐาน GECC (๖) ข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อน
GECC และ (๗) ผลที่คาดว่าจะได้รับ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
498 | รายงานผลการขับเคลื่อนนโยบายศูนย์ราชการสะดวก | นร.01 | 03/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการขับเคลื่อนนโยบายศูนย์ราชการสะดวก
โดยมีผลการดำเนินการ ได้แก่ (๑) การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการประเมินผล
และการรับรองมาตรฐาน GECC (๒)
การส่งเสริมผลักดันให้หน่วยงานของรัฐมีการพัฒนาการให้บริการประชาชนตามมาตรฐาน GECC (๓) การตรวจประเมินมาตรฐาน GECC (๔)
การจัดพิธีมอบโล่และตรารับรองมาตรฐาน GECC ประจำปี (๕)
การตรวจประเมินการรักษามาตรฐาน GECC (๖) ข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อน
GECC และ (๗) ผลที่คาดว่าจะได้รับ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
499 | รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (เรื่อง การแก้ไขปัญหาของกระบวนการยุติธรรม กรณีความล่าช้าในการดำเนินคดีและเรื่องที่สืบเนื่องมาจากการอายัดตัวผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน) | สผผ. | 03/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานกรณีหน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด
๕ หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาของกระบวนการยุติธรรม
กรณีความล่าช้าในการดำเนินคดีและเรื่องที่สืบเนื่องมาจากการอายัดตัวผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน) ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ และให้ส่งความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานศาลยุติธรรม เช่น กำหนดให้หนังสืออายัดตัวผู้ต้องหาเป็น
“หมายอาญา”
ควรกำหนดให้หน่วยงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีสำนวนคดีที่มีการอายัดตัวผู้ต้องหาไว้กับทางเรือนจำ/ฑัณทสถาน
ต้องปรับปรุงสมุดคุมอายัดให้มีข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน
ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาด้วย ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ
ด้านกระบวนการยุติธรรม และคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติรับข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน
โดยได้เสนอรายงานการแสวงหาข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาเชิงนโยบาย รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาเชิงปฏิบัติการในระยะสั้นด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
500 | ร่างนโยบายและเป้าหมายการดำเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ในด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (พ.ศ. 2564 - 2580) | กห. | 03/05/2565 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างนโยบายและเป้าหมายการดำเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
ในด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๘๐) เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้ความสามารถในการแข่งขัน
ลดการพึ่งพาหรือนำเข้ายุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม
หน่วยงานอื่นของรัฐ และภาคเอกชน โดยใช้นโยบายและเป้าหมายในการขับเคลื่อน รวม ๕
ด้าน เช่น ด้านการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีป้องกันประเทศและการดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องหรือต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการฝึกอบรม การค้นคว้าวิจัย
การเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ
และการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศส่งเสริมและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ข้อสังเกต
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
เช่น ให้สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศดำเนินการปรับปรุงช่วงระยะเวลาของร่างนโยบายฯ
เป็นแผนปฏิบัติการช่วงระยะเวลา ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดทำแผนระดับที่ ๓
และควรพิจารณากำหนดตัวชี้วัดที่เชื่อมโยงกับการจัดหายุทโธปกรณ์ของกระทรวงกลาโหม
เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการผลักดันผลงานของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศเข้าสู่กองทัพ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |