คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแนวทางการการผ่อนผันสำหรับรายการที่ไม่สามารถ
ก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในเดือนสิงหาคม 2549  และให้ดำเนินการต่อไป ดังนี้ เห็นชอบการผ่อนผันให้ส่วนราช
การและรัฐวิสาหกิจที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายหลังสิ้นเดือนสิงหาคม 2549  สามารถก่อหนี้ผูกพันได้
จนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2549  ประกอบด้วย รายการที่อยู่ระหว่างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง รายการที่ดำเนิน
การตามมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549  และการ
เตรียมความพร้อมในการจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 (ปรับแผน) ตามมติคณะ
รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2549  และงบกลาง  รายการค่าใช้จ่ายเพื่อปรับกลยุทธ์และรองรับการเปลี่ยน
แปลง (17,200 ล้านบาท) ทั้งนี้  หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ยังไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ และจำเป็นต้อง
ใช้เงินงบประมาณที่เหลือนั้นต่อไป   ให้ขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน   และเห็นชอบแนวทางการ
เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามคาดการณ์ โดยหน่วยงานที่คาดว่าจะเบิกจ่ายต่ำ
กว่าเป้าหมาย ให้เร่งดำเนินการเบิกจ่ายให้ถึงเป้าหมาย และหน่วยงานที่คาดว่าจะเบิกจ่ายได้ถึงเป้าหมาย หรือ
เกินกว่าเป้าหมาย ให้รักษาระดับการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามที่ได้คาดการณ์  สำหรับงบกลาง รายการค่าใช้จ่าย
ในการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัด และจังหวัด นั้น  ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบ
หมายให้คลังจังหวัดดำเนินการเร่งเบิกจ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมาย    รวมทั้งให้สำนักงบประมาณพิจารณาการ
ตั้งงบประมาณรายจ่ายลงทุนของแต่ละหน่วยงานให้สอดคล้องกับความสามารถในการเบิกจ่ายในกรณีที่หน่วย
งานไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมิได้มีสาเหตุเกิดจากปัญหาภายนอก โดยให้นำ
อัตราการเบิกจ่ายในปีก่อน ๆ เป็นฐานในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับผลการดำเนินงานโครงการ
พัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน  (SML)  โดย ณ วันที่  24  สิงหาคม  2549  กระทรวงมหาดไทยได้รับราย
งานข้อมูลการดำเนินโครงการจาก 75 จังหวัด  ว่าเงินงบประมาณที่หมู่บ้าน/ชุมชน ได้รับโอนแล้วมีการเบิกจ่าย
จากธนาคารออมสิน  และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน  15,236.74  ล้านบาท  รวม
114,648 โครงการ  และได้นำเงินที่เบิกจ่ายไปใช้ในการดำเนินโครงการด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานมากเป็น
อันดับหนึ่ง จำนวน  50,143  โครงการ และโครงการด้านการเกษตรน้อยที่สุด จำนวน  8,802  โครงการ  โดย
โครงการที่มีการเบิกจ่ายดำเนินการตรงตามที่ขออนุมัติโครงการโดยไม่มีการขอเปลี่ยนแปลง จำนวน 109,123
โครงการ คิดเป็นร้อยละ 95.18 รวมทั้งโครงการที่มีการเบิกจ่ายสามารถรองรับการแก้ไขปัญหาความยากจนได้
ตรง จำนวน  54,298  โครงการ  คิดเป็นร้อยละ 47.36  และโครงการที่ดำเนินการส่วนใหญ่มีความก้าวหน้าใน
การดำเนินโครงการในระดับร้อยละ 100

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานกิจการประจำปี  งบดุล  และบัญชีกำไร
ขาดทุนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย  (ธพว.)  สำหรับปีสิ้นสุดวันที่
31  ธันวาคม  2548  ซึ่งประกอบด้วย  สินทรัพย์ จำนวน 54,799.17 ล้านบาท  หนี้สิน จำนวน 46,682.51
ล้านบาท กำไรสุทธิ จำนวน 102.74 ล้านบาท  หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 7,938.37 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2547  ร้อยละ 20.13  เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรวม  รวมทั้งแผนการดำเนินงานใน
ปี พ.ศ. 2549  โดย  ธพว.  มีเป้าหมายอนุมัติสินเชื่อ จำนวน  43,600  ล้านบาท เฉลี่ยวงเงินต่อรายประมาณ
3.36  ล้านบาท  หรือคิดเป็นจำนวนรายลูกค้าที่ได้รับวงเงินสินเชื่อประมาณ 13,000 ราย  และประมาณการ
ว่า จะมีผู้ประกอบการใหม่ที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อ จำนวน 2,100-2,750 ราย  และตั้งเป้าหมายสร้างผู้ประกอบ
การใหม่ที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อสูงสุด จำนวน 2,750 ราย จากการจัดกิจกรรมสร้างผู้ประกอบการใหม่ประมาณ
7,000  ราย   เช่น   การดำเนินโครงการ  Mobile  Unit  ที่จัดให้มีรถบริการเคลื่อนที่ออกพบและให้ความรู้แก่
ประชาชนเกี่ยวกับการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน   และจัดฝึกอบรมด้านการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อให้การสนับสนุน
ด้านสินเชื่อในโครงการธุรกิจต่าง ๆ  นอกจากนี้  จะมีการให้บริการเสริมที่นอกเหนือจากบริการทางด้านการ
เงิน  เช่น  การดำเนินโครงการยกระดับผู้ประกอบการโดยจัดฝึกอบรม ประชุม สัมมนา และให้บริการปรึกษา
แนะนำแก่ลูกค้าของ ธพว. ในแต่ละสาขา ซึ่งคาดว่า จะทำให้ลูกค้าของ ธพว. มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นในด้านต่าง ๆ
ประมาณ  3,000-4,000  ราย   และให้ส่งไปยังสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิ
การวุฒิสภา เพื่อนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่และวุฒิสภาทราบต่อไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอการดำเนินโครงการจัดหารถจักร
ดีเซลไฟฟ้า ของการรถไฟแห่งประเทศไทย  (ร.ฟ.ท.)  ด้วยวิธีการค้าแบบแลกเปลี่ยนกับข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล
โดยให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบด้วยว่าการจำหน่ายและส่งมอบข้าวสารให้แก่สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้
โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าของ ร.ฟ.ท. ในครั้งนี้เป็นการดำเนินการเพื่อให้สามารถระบายข้าวออกเพิ่มเติม
นอกเหนือจากการจำหน่ายข้าวสารที่ดำเนินการกับสาธารณรัฐประชาชนจีนตามปกติ  และให้กระทรวงพาณิชย์
ประสานสำนักงบประมาณ  เพื่อจัดตั้งงบประมาณรองรับค่าใช้จ่ายในการชดเชยภาระส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้ และ
ดอกเบี้ยเงินฝากที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการโครงการฯ ตามที่จ่ายจริงแล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้นำหลัก
การการจัดตั้งงบประมาณรองรับค่าใช้จ่ายในการชดเชยภาระส่วนต่างดอกเบี้ย ฯ นี้ ไปใช้ในการดำเนินโครงการ
โดยวิธีการค้าแบบแลกเปลี่ยน (Barter Trade) อื่นๆ ที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคตด้วย

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับผลการดำเนินงานโครง
การพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน (SML)  โดย ณ วันที่  18  สิงหาคม  2549  กระทรวงมหาดไทยได้
รับรายงานข้อมูลการดำเนินโครงการจาก  75  จังหวัด ว่าเงินงบประมาณที่หมู่บ้าน/ชุมชน ได้รับโอนแล้วมี
การเบิกจ่ายจากธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน  15,234.87
ล้านบาท รวม 113,968 โครงการ  และได้นำเงินที่เบิกจ่ายไปใช้ในการดำเนินโครงการด้านสาธารณูปโภค
ขั้นพื้นฐานมากเป็นอันดับหนึ่ง จำนวน  49,873  โครงการ  และโครงการด้านการเกษตรน้อยที่สุด จำนวน
8,781 โครงการ  โดยโครงการที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณดำเนินการตรงตามที่ขออนุมัติโครงการโดยไม่มี
การขอเปลี่ยนแปลง จำนวน  108,649  โครงการ  คิดเป็นร้อยละ 95.33  รวมทั้งโครงการที่มีการเบิกจ่าย
สามารถรองรับการแก้ไขปัญหาความยากจนโดยตรง จำนวน 53,911 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 47.30 และ
โครงการที่ดำเนินการส่วนใหญ่มีความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการในระดับร้อยละ 100

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับผลการดำเนินงานโครงการ
พัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน  (SML)  โดย ณ วันที่  10  สิงหาคม  2549  กระทรวงมหาดไทยได้รับราย
งานข้อมูลการดำเนินโครงการจาก 75 จังหวัด  ว่าเงินงบประมาณที่หมู่บ้าน/ชุมชน ได้รับโอนแล้วมีการเบิกจ่าย
จากธนาคารออมสิน  และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน  15,169.57  ล้านบาท  รวม
113,198 โครงการ  และได้นำเงินที่เบิกจ่ายไปใช้ในการดำเนินโครงการด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานมากเป็น
อันดับหนึ่ง จำนวน 49,428 โครงการ  และโครงการด้านการเกษตรน้อยที่สุด  จำนวน  8,757  โครงการ  โดย
โครงการที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณดำเนินการตรงตามที่ขออนุมัติโครงการโดยไม่มีการขอเปลี่ยนแปลงจำนวน
107,941 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 47.52  รวมทั้งโครงการที่ดำเนินการส่วนใหญ่มีความก้าวหน้าในการดำเนิน
โครงการในระดับร้อยละ 100

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอการดำเนินโครงการขยายระบบไฟฟ้าใน
เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2549-2553) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ในวงเงิน 9,170 ล้านบาท

           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับ
ประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) จัดหาเงินกู้จากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศ
ไทย (ธสน.) เพื่อให้กู้แก่ประเทศกัมพูชาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาถนนสาย 67 (อันลอง
เวง-เสียมราฐ) ระยะทาง 131 กิโลเมตร วงเงิน  1,300  ล้านบาท  โดย ธสน. เป็นผู้ลงนามในสัญญากู้เงินกับ
ประเทศกัมพูชาในฐานะผู้ให้กู้  (Lender)  และ  สพพ. ร่วมลงนามในสัญญากู้เงินกับประเทศกัมพูชาในฐานะตัว
แทนผู้ให้กู้  (Lender''s  Agent)  กับให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณให้แก่ สพพ. เป็นค่าดอกเบี้ยใน
ส่วนเกินกว่าร้อยละ 1.5 ต่อปี  และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่กล่าวข้างต้น  ตลอดอายุสัญญากู้เงิน 30 ปี และในกรณีที่
ประเทศกัมพูชาผิดนัดชำระหนี้ให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณให้กับ สพพ. ตามจำนวนเงินที่ผิดนัด
ชำระหนี้เพื่อชำระให้แก่ ธสน. ไปก่อน  และเมื่อ สพพ.  เรียกเก็บหนี้ดังกล่าวได้ก็ให้นำส่งเงินคืนคลังต่อไป ทั้งนี้
ให้  ธสน.  ได้รับการชดเชยจากรัฐบาลตามมาตรา 23  ของพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า
แห่งประเทศไทย  พ.ศ. 2536  ในกรณีที่เกิดความเสียหายเนื่องจากการให้กู้ในโครงการดังกล่าว   สำหรับส่วน
ต่างของดอกเบี้ยสำหรับการให้กู้ในโครงการนี้ ให้คำนวณจากต้นทุนทางการเงิน  (cost of funds)  ของ ธสน.
รวมกับส่วนเพิ่มอีกร้อยละ 0.75 ต่อปี และหักด้วยดอกเบี้ยที่ ธสน. ได้รับจากรัฐบาลกัมพูชา ตามสัญญาเงินกู้

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ
ผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท (พ.ศ. 2538-พ.ศ. 2549)  โดยสำนักงานบริหารโครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท
ได้จัดตั้งเครือข่ายผลิตแพทย์ร่วมกับมหาวิทยาลัย 7 แห่ง  โดยมีโรงพยาบาลที่เป็นศูนย์แพทยศาสตรศึกษา 13
แห่ง เริ่มรับนักศึกษาจากนักเรียนในชนบทตั้งแต่ปีการศึกษา 2538 จนถึงปีการศึกษา 2549  รวม 2,982 คน
สามารถผลิตแพทย์เพื่อปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชนสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปีการ
ศึกษา 2543 จนถึงปีการศึกษา (ปีการศึกษาล่าสุด) รวม 815 คน ซึ่งผลผลิตทั้ง 815 คน  ได้ไปปฏิบัติงานใน
โรงพยาบาลชุมชนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ขาดแคลนแพทย์

             คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอให้ชดใช้เงินค่า
ทำลายไข่ไก่และอาหารสัตว์ของเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ของจังหวัดนครพนม  ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่สั่งให้ทำลายเนื่อง
จากปัญหาโรคไข้หวัดนกตามความเป็นจริง สำหรับค่าชดใช้ในการทำลายสัตว์ปีกให้เบิกจ่ายในอัตราตามกฎ
หมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ ในวงเงินทั้งสิ้นประมาณ  65  ล้านบาท โดยใช้งบกลาง  และให้ตรวจสอบข้อมูล
ต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน  ถูกต้อง  และการชดใช้ดังกล่าวต้องเป็นไปตามระเบียบ หลักเกณฑ์เดียวกับที่ได้
เคยดำเนินการไปแล้ว  โดยงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานขอตกลง
ในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า  การชดใช้เงินค่า
ทำลายอาหารสัตว์ในครั้งนี้แตกต่างจากกรณีอื่น ๆ และมีปริมาณค่อนข้างสูง ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
พิจารณาเพื่อป้องกันการหยิบยกขึ้นเป็นกรณีตัวอย่างต่อไป กับเห็นชอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัด 29 จังหวัดใน
พื้นที่เสี่ยงประกาศเป็นเขตพื้นที่ภัยพิบัติโรคไข้หวัดนก   สำหรับจังหวัดอื่นให้พิจารณาตามความเหมาะสมกับ
สถานการณ์  รวมทั้งเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่
เกษตรกรกู้เลี้ยงไก่ไข่ของจังหวัดนครพนมดังกล่าว  เพื่อปรับปรุงระบบการเลี้ยงใหม่  และในส่วนของการเพิ่ม
บุคลากร  ตำแหน่งนายสัตวแพทย์ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี  สาขาสัตวแพทยศาสตร์บัณฑิต  ในระดับ
อำเภอ ทุกอำเภอ การจัดซื้อหน่วยตรวจโรคเคลื่อนที่  (mobile laboratory biosafety level 2 +)  ประจำภาค
และการดำเนินโครงการสัตว์ปีกปลอดภัยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำข้อมูลรายละเอียด  เสนอคณะ
รัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

            ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2549 นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการดังนี้ เรื่อง การก่อ
สร้างอุโมงค์ลอดถนน ณ บ้านทุ่งสร้าง  จังหวัดขอนแก่น  ให้สำนักงบประมาณประสานกับรัฐมนตรีช่วยว่าการ
กระทรวงมหาดไทย  (นายเสริมศักดิ์  พงษ์พานิช)  เพื่อแก้ไขปัญหางบประมาณการก่อสร้าง เรื่อง การพัฒนา
พื้นที่ทุ่งจระเข้ จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นแหล่งรองรับน้ำ  ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมศึกษา
และดำเนินการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง  เพื่อพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ดัง
กล่าวให้เป็นแหล่งรองรับน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม และเป็นแหล่งกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง  สำหรับโครงการคารา
วานแก้จน  ให้กระทรวงมหาดไทยติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง   และรายงานผลต่อ
คณะรัฐมนตรีทุก ๆ เดือน ส่วนเรื่อง การผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้กระทรวงสาธารณสุข
เป็นเจ้าภาพรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง  สำนักงาน ก.พ.ร.  สำนักงาน ก.พ.   และสำนักงบ
ประมาณ ในการจัดทำยุทธศาสตร์  4  ปี  (พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2553)  สำหรับการผลิตและการรักษาบุคลากร
ทางการแพทย์ให้อยู่ในระบบราชการ  ทั้งนี้  ให้รองนายกรัฐมนตรี  (นายสุชัย เจริญรัตนกุล)  กำกับดูแลการ
ดำเนินเรื่องนี้ด้วย    และเรื่อง ทุนการศึกษา  ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการให้ทุนการ
ศึกษาแก่นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ (โดยไม่ใช้ผลการเรียนเป็นหลัก) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

           สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับผลการดำเนินงานโครงการ
พัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน (SML)  โดย ณ วันที่ 28 กรกฎาคม 2549  กระทรวงมหาดไทยได้รับราย
งานข้อมูลการดำเนินโครงการจาก 75 จังหวัด ว่าเงินงบประมาณที่หมู่บ้าน/ชุมชนได้รับโอนแล้วมีการเบิกจ่าย
จากธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน  15,143.80  ล้าน
บาท รวม  112,602  โครงการ และได้นำเงินที่เบิกจ่ายไปใช้ในการดำเนินโครงการด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้น
ฐานมากเป็นอันดับหนึ่ง  จำนวน  49,165  โครงการ  และโครงการด้านการเกษตรน้อยที่สุด จำนวน  8,657
โครงการ   โดยโครงการที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณดำเนินการตรงตามที่ขออนุมัติโครงการ   โดยไม่มีการขอ
เปลี่ยนแปลง จำนวน  107,413  โครงการ คิดเป็นร้อยละ 95.39 ทั้งนี้ โครงการที่มีการเบิกจ่ายสามารถรอง
รับการแก้ไขปัญหาความยากจนโดยตรง จำนวน  53,434  โครงการ  คิดเป็นร้อยละ  47.45  และโครงการที่
ดำเนินการส่วนใหญ่มีความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการในระดับร้อยละ 100

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอการให้ความช่วยเหลือเป็นเงินกู้
เงื่อนไขผ่อนปรนแก่ประเทศกัมพูชา  เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาถนนสาย 67 (ช่องสะงำ-
อันลองเวง-เสียมราฐ) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2546 (เรื่อง ความช่วยเหลือของรัฐบาล
ไทยในการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงไทย-กัมพูชา) วงเงิน  1,300  ล้านบาท  โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณา
รายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งเงินกู้ วิธีการกู้ ตลอดจนเงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานความ
ร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) ให้ได้ข้อยุติ แล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับงบประมาณ
ค่าใช้จ่ายกรณีฝ่ายไทยต้องให้การสนับสนุนในส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าวให้กระทรวงการคลังพิจารณา
ร่วมกับสำนักงบประมาณและ สพพ.  และให้ดำเนินการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อ
ไป

              สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับผลการดำเนินงานโครงการ
พัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน (SML)  โดย ณ วันที่  21  กรกฎาคม  2549  กระทรวงมหาดไทยได้รับราย
งานข้อมูลการดำเนินโครงการจาก  75  จังหวัด ว่าเงินงบประมาณที่หมู่บ้าน/ชุมชน ได้รับโอนแล้วมีการเบิกจ่าย
จากธนาคารออมสิน  และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร  จำนวน  15,088.01  ล้านบาท  รวม
111,960  โครงการ  และได้นำเงินที่เบิกจ่ายไปใช้ในการดำเนินโครงการด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานมากเป็น
อันดับหนึ่ง จำนวน  48,926  โครงการ  และโครงการด้านการเกษตรน้อยที่สุด จำนวน  8,605  โครงการ  โดย
โครงการที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณดำเนินการตรงตามที่ขออนุมัติโครงการโดยไม่มีการขอเปลี่ยนแปลง จำนวน
106,837  โครงการ  คิดเป็นร้อยละ 95.42 ทั้งนี้ โครงการที่มีการเบิกจ่ายสามารถรองรับการแก้ไขปัญหาความ
ยากจนโดยตรง จำนวน 53,018 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 47.35 และโครงการที่ดำเนินการส่วนใหญ่มีความก้าว
หน้าในการดำเนินโครงการในระดับร้อยละ 100

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้ขยายระยะเวลา
การดำเนินโครงการแก้ปัญหายางพาราจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2549 สำหรับกรอบ
งบประมาณที่จะดำเนินโครงการ ฯ ให้ใช้จากงบประมาณเหลือจ่าย จำนวน  49,518,060  บาท  ประกอบด้วย
ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการ จำนวน  19,518,060  บาท เงินทุนหมุนเวียนซื้อขายยางแผ่นดิบจาก
เกษตรกร (ส่งคืนกระทรวงการคลังเมื่อสิ้นสุดโครงการ) จำนวน 30,000,000 บาท ซึ่งได้รับอนุมัติการจัดสรร
งบประมาณรายจ่ายแล้ว     และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้จ่ายเงินงบประมาณตามความเหมาะสมและ
จำเป็นในการดำเนินงานหากมีเงินเหลือจ่ายก็ให้คณะกรรมการนโยบายเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาค
ใต้พิจารณาจัดสรรให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีความจำเป็นต้องใช้เพื่อแก้ไขปัญหาใน  3  จังหวัดชายแดน
ภาคใต้  ต่อไป   และให้นำงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้วและมีเงินเหลือจ่ายจากการ
ดำเนินงานโครงการ ฯ  จำนวน 30,686,304 บาท  ส่งคืนกระทรวงการคลัง  สำหรับการจัดตั้งตลาดกลางยาง
พาราจังหวัดยะลา พร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็น ในวงเงิน 16,000,000 บาท  ให้ชะลอการขอดำเนินการจัดตั้งตลาด
กลางยางพาราจังหวัดยะลาไว้ก่อน  ทั้งนี้  ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นควรกำหนดรายละเอียด
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบริหารและการจัดการตลาดกลางยางพาราให้ชัดเจน   รวมทั้งกำหนดรูปแบบการ
บริหารจัดการตลาดกลางยางพาราจังหวัดยะลาให้ชัดเจน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนและสมประโยชน์
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย

              สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับผลการดำเนินงานโครง
การพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน (SML) โดย ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2549 กระทรวงมหาดไทยได้รับ
รายงานข้อมูลการดำเนินโครงการจาก  75  จังหวัด ว่าเงินงบประมาณที่หมู่บ้าน/ชุมชน ได้รับโอนแล้วมีการ
เบิกจ่ายจากธนาคารออมสิน  และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน 14,333.14 ล้าน
บาท รวม 111,292 โครงการ และได้นำเงินที่เบิกจ่ายไปใช้ในการดำเนินโครงการด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้น
ฐาน จำนวน 48,723 โครงการ และโครงการด้านการเกษตร จำนวน 8,551 โครงการ โดยโครงการที่มีการ
เบิกจ่ายงบประมาณดำเนินการตรงตามที่ขออนุมัติโครงการโดยไม่มีการขอเปลี่ยนแปลง  จำนวน  106,226
โครงการ  คิดเป็นร้อยละ 95.45 ทั้งนี้ โครงการที่มีการเบิกจ่ายสามารถรองรับการแก้ไขปัญหาความยากจน
โดยตรง จำนวน 52,625 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 47.29  รวมทั้งโครงการที่ดำเนินการส่วนใหญ่มีความก้าว
หน้าในการดำเนินโครงการในระดับร้อยละ 100

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอโครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ระยะที่ 2  (พ.ศ. 2549-2552)  ซึ่งเป็นการดำเนินงานในระยะที่ต่อเนื่องจากระยะที่ 1 โดยการดำเนินงานในระยะที่ 2 เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การดำเนินงานของศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการจากการพัฒนาทรัพยากรบุคคลระดับสูงที่เน้นความรู้ความสามารถด้านวิชาการเป็นหลัก สู่การพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่เน้นมิติด้านทักษะการวิจัยและนวัตกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคการผลิตและภาครัฐ เพื่อสร้างรากฐานที่เข้มแข็งสำหรับงานวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการอย่างต่อเนื่องให้กับศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ โดยงบประมาณค่าใช้จ่ายการดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549  ซึ่งต้องดำเนินการต่อเนื่องกับโครงการเดิม ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงาน  และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ  ประจำปีงบประมาณ  พ.ศ. 2549  ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2549 (เรื่อง มาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549  และการเตรียมความพร้อมในการจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณก่อน ทั้งนี้ หากไม่สามารถปรับแผนได้หรือมีงบประมาณไม่เพียงพอ  อนุมัติให้เบิกจ่ายในส่วนที่ขาดจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ  พ.ศ. 2549 งบกลาง ในวงเงินรวมไม่เกิน  212  ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป  สำหรับการดำเนินโครงการในระยะต่อไป  ให้กระทรวงศึกษาธิการในฐานะผู้ผลิตจัดทำข้อมูลรายละเอียดเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณ  และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  ตลอดจนหน่วยงานผู้ใช้ เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งต่อไป

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอโครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ระยะที่ 2  (พ.ศ. 2549-2552)  ซึ่งเป็นการดำเนินงานในระยะที่ต่อเนื่องจากระยะที่ 1 โดยการดำเนินงานในระยะที่ 2 เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การดำเนินงานของศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการจากการพัฒนาทรัพยากรบุคคลระดับสูงที่เน้นความรู้ความสามารถด้านวิชาการเป็นหลัก สู่การพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่เน้นมิติด้านทักษะการวิจัยและนวัตกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคการผลิตและภาครัฐ เพื่อสร้างรากฐานที่เข้มแข็งสำหรับงานวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการอย่างต่อเนื่องให้กับศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ โดยงบประมาณค่าใช้จ่ายการดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549  ซึ่งต้องดำเนินการต่อเนื่องกับโครงการเดิม ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงาน  และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ  ประจำปีงบประมาณ  พ.ศ. 2549  ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2549 (เรื่อง มาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549  และการเตรียมความพร้อมในการจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณก่อน ทั้งนี้ หากไม่สามารถปรับแผนได้หรือมีงบประมาณไม่เพียงพอ  อนุมัติให้เบิกจ่ายในส่วนที่ขาดจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ  พ.ศ. 2549 งบกลาง ในวงเงินรวมไม่เกิน  212  ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป  สำหรับการดำเนินโครงการในระยะต่อไป  ให้กระทรวงศึกษาธิการในฐานะผู้ผลิตจัดทำข้อมูลรายละเอียดเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณ  และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  ตลอดจนหน่วยงานผู้ใช้ เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งต่อไป

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับผลการดำเนินงานโครง
การพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน (SML) โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2549 กระทรวงมหาดไทยได้รับ
รายงานข้อมูลการดำเนินโครงการจาก 75 จังหวัด  ว่าเงินงบประมาณที่หมู่บ้าน/ชุมชน ได้รับโอนแล้วมีการ
เบิกจ่ายจากธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน 14,321.64 ล้าน
บาท รวม  109,384  โครงการ  และได้นำเงินที่เบิกจ่ายไปใช้ในการดำเนินโครงการด้านสาธารณูปโภคขั้น
พื้นฐานมากเป็นอันดับหนึ่ง  จำนวน  47,987  โครงการ    และโครงการด้านการเกษตรน้อยที่สุด  จำนวน
8,430  โครงการ   โดยโครงการที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณได้ดำเนินการตรงตามที่ขออนุมัติโครงการโดย
ไม่มีการขอเปลี่ยนแปลง จำนวน  104,471  โครงการ คิดเป็นร้อยละ 95.51  และโครงการที่มีการเบิกจ่าย
สามารถรองรับการแก้ไขปัญหาความยากจนโดยตรง  จำนวน  51,757  โครงการ   คิดเป็นร้อยละ  47.57
รวมทั้งโครงการที่ดำเนินการส่วนใหญ่มีความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการในระดับร้อยละ 100

           สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการดำเนินโครงการส่ง
เสริมและสนับสนุนการจ้างนักเรียน นักศึกษาทำงาน เพื่อมีรายได้เสริมระหว่างเรียน  โดยส่วนราชการและ
สถานศึกษาในภูมิภาคและกรุงเทพมหานครสังกัดองค์กรหลักต่าง ๆ  มีข้อมูลการจ้างทำงาน รวม 65,295
คน  สำหรับภาคเอกชนมีการจ้างนักเรียน นักศึกษา จำนวน  6,530  คน  ประกอบด้วย  บริษัท ซีพี เซเว่น
อีเลฟเว่น จัด (มหาชน) บริษัท บางจากกรีนเนท จำกัด  บริษัท สยามพารากอน จำกัด  บริษัท เอส.แอนด์.
พี.ซินคิเคท จำกัด  บริษัท เอเชียไวร์เลส คอมนิวนิเคชั่น จำกัด  สภาธุรกิจตลาดหุ้นไทยและธนาคารอาคาร
สงเคราะห์และการจ้างเอกชนในส่วนภูมิภาคโดยการประสานงานของกระทรวงแรงงาน มีการจ้างงานเบื้อง
ต้น จำนวน 21,000 คน เป็นต้น รวมทั้งการดำเนินงานโครงการเสริมโดยกระทรวงต่าง ๆ โดยจัดโครงการ
เสริมและสนับสนุนงบประมาณดำเนินการ รวม 4,820 คน ได้แก่ กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง  กรม
อุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน  และกระทรวง
การต่างประเทศ