คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการ 
พัฒนา พ.ศ. .... (จัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนาเป็นองค์การมหาชนตามพระราชบัญญัติ  
องค์การมหาชน  พ.ศ. 2542   เพื่อทำหน้าที่เป็นสถาบันวิจัยและฝึกอบรมในด้านการค้า    การเงิน    การลงทุน   
และการพัฒนาให้แก่บุคลากรของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย และสถาบันระหว่างประเทศ) ตามที่ทบวง 
มหาวิทยาลัยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี
เกี่ยวกับบทเฉพาะกาล  ร่างมาตรา  37  ว่าสมควรเพิ่มเติมคำว่า  "กระทรวงการต่างประเทศ"  ต่อท้ายอธิบดีกรม 
เศรษฐกิจ  รวมทั้งคำว่า  "กระทรวงพาณิชย์"  ต่อท้ายอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเพื่อให้ชัดเจนขึ้นหรือไม่  และ 
ดำเนินการต่อไปได้

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การกำหนดรายชื่อประเทศภาคีแห่ง  
อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง  (ยกเลิกประกาศ  
กระทรวงพาณิชย์ เรื่อง  การกำหนดรายชื่อประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง 
ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2542 และปรับปรุงรายชื่อประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ หรือ  
อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง    โดยกำหนดรายชื่อประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญากรุงเบิร์น 
ว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปวรรณกรรม  145  ประเทศ รวมทั้งประเทศที่เป็นภาคีของความ 
ตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า รวม 138 ประเทศ) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายคนิสร์ สุคนธมาน เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษา    
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายกรพจน์ อัศวินวิจิตร) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2543  เป็นต้นไป 

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานจัดทำแผนปฏิบัติการตามแผนแม่บท  
เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตร  สรุปได้ว่า  กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดประชุมสัมมนาแผนแม่บท ฯ โดย
มีผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัด  ผู้แทนจากหน่วยงานหลัก 4  กระทรวง  และหน่วยงานสนับสนุน 36  หน่วยงาน  
เข้าร่วมสัมมนา ฯ     เพื่อประสานความเข้าใจเนื้อหารายละเอียดของแผนแม่บท ฯ    ในการจัดทำแผนปฏิบัติการ  
งบประมาณและกลยุทธ์ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม    จัดประชุมหารือการจัดทำแผนปฏิบัติการตามแผนแม่บท ฯ  
ระหว่างหน่วยงานหลัก  4  กระทรวง      เพื่อกำหนดแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติการที่มีความสอดคล้องและมี  
ประสิทธิภาพ    แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำแผนปฏิบัติการตามแผนแม่บท ฯ    เพื่อกำกับดูแลการจัดทำแผน   
ปฏิบัติการ ปี 2543-2547     รวมทั้งการกำหนดแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติการ ปี  2543-2547    ตามที่  
กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ     โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์   กระทรวงพาณิชย์   กระทรวงวิทยาศาสตร์ 
เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม  และกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมให้ความร่วมมือและสนับสนุนการจัดทำแผน
ปฏิบัติการตามแผนแม่บทดังกล่าวด้วย

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนผลิตปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ปี 2543 - 2549  งบประมาณ  
ดำเนินการทั้งสิ้น 4,161.534 ล้านบาท    โดยจำแนกเป็นงบประมาณจ่ายขาดให้เกษตรกรเป็นเงิน  2,774  
ล้านบาท และงบประมาณของส่วนราชการ 1,387.534 ล้านบาท และอนุมัติให้ดำเนินการต่อไปได้   ตามที่  
รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจโท วิโรจน์ เปาอินทร์) ประธานคณะกรรมการนโยบายถั่วเหลืองและพืชน้ำมัน 
อื่นเสนอ   โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์  กระทรวงวิทยาศาสตร์  
เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม    สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ      และสำนัก   
งบประมาณ   รวมทั้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี  (เกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนขึ้นเพื่อใช้จ่ายในการดำเนินการ 
ตามแผนพัฒนาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม  ปี 2543 - 2549    ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย  
ในลักษณะเดียวกับการให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง  นอกจากนี้ แผนพัฒนาดังกล่าว  
ได้เสนอขอใช้เงินกู้ เอดีบี  (ADB)      เพื่อสร้างโรงงานสกัดน้ำมันของกลุ่มเกษตรกรของกรมส่งเสริมสหกรณ์
เพียงจำนวน 300 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ใช้งบประมาณดำเนินการ นั้น    จะสามารถนำเงินในโครงการเงินกู้  
เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตร ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาใช้ในแผนงาน/โครงการตามแผนพัฒนา ฯ     
จะได้หรือไม่  เพียงใด)  ไปพิจารณาด้วย  โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรายงานความก้าวหน้าของการดำเนิน
งานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ (คศก.) เกี่ยวกับภาวะ 
การค้าระหว่างประเทศของไทยใน ระยะ 8 เดือนแรกของปี  2543 (มกราคม - สิงหาคม)   ตามที่กระทรวงพาณิชย์
รายงาน   สรุปได้ว่า   การส่งออกในระยะ  8  เดือนแรก   มีมูลค่า  45,284  ล้านเหรียญ  สรอ.    เพิ่มขึ้นจากระยะ
เดียวกันของปี 2542  เป็นการเพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร   ส่วนการนำเข้า
มีมูลค่า  39,904  ล้านเหรียญ  สรอ.   เพิ่มขึ้นในอัตราสูงทุกหมวดตามการขยายตัวของการส่งออก     รวมทั้งการ
เพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันจากต่างประเทศ    สำหรับดุลการค้าเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามสิบเจ็ด     และรับทราบ
ตามที่ปลัดกระทรวงพาณิชย์ชี้แจงเพิ่มเติม ในส่วนของการส่งออกข้าวควรสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกข้าวที่มีคุณภาพ
สูงเพิ่มขึ้น  ประกอบกับปัญหาราคาส่งออกมันอัดเม็ดและมันเส้นในตลาดโลกลดลงเห็นควรที่ไทยต้องเลิกการพึ่งพา
ตลาดต่างประเทศ  และเร่งขยายตลาดในประเทศและแปรรูปเพื่อใช้ในด้านอุตสาหกรรม  นอกจากนี้  กรณีที่ไทยถูก
กล่าวหาว่ามีการใช้น้ำมันที่ผลิตจากถั่วเหลืองที่ตัดต่อสารพันธุกรรม (GMOs)   ซึ่งแม้ว่าจะได้ชี้แจงและแก้ไขโดยการ
ออกใบรับรองไปแล้ว  แต่เรื่องดังกล่าวยังคงส่งผลกระทบด้านจิตวิทยาอยู่ ทั้งนี้ จากการประเมินภาวะการค้าระหว่าง
ประเทศของไทยในระยะ  8  เดือนแรก คาดว่า  การส่งออกของไทยในปีนี้ทั้งปีจะเพิ่มขึ้นในอัตราค่อนข้างสูง

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ  (คศก.)  โดยอนุมัติ  
ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการส่งออกเกี่ยวกับเรื่อง  การดำเนินงานพัฒนาการส่งออก    โดยการ 
ดำเนินการในระยะสั้นให้คณะกรรมการพัฒนาการส่งออกเป็นหน่วยงานเดียวที่รับผิดชอบงานด้านส่งเสริมการ  
ส่งออก  กลั่นกรอง   และกำหนดแผนพัฒนาและส่งเสริมการส่งออกของประเทศ   รวมทั้งติดตามผลการปฏิบัติ
งานอย่างเป็นรูปธรรม   และให้หน่วยงานต่าง ๆ  เสนอโครงการให้คณะกรรมการส่งเสริมการส่งออกพิจารณา 
ภายใต้คณะอนุกรรมการพิจารณาและกลั่นกรองของคณะกรรมการพัฒนาการส่งออก  ซึ่งมีรัฐมนตรีช่วยว่าการ 
กระทรวงพาณิชย์ที่ดูแลงานด้านการส่งออก เป็นประธาน     กับให้ตั้งคณะอนุกรรมการประสานงานที่เกี่ยวกับ
การผลิต ประกอบด้วย  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กระทรวงอุตสาหกรรม  และสำนักงานคณะกรรมการส่ง 
เสริมการลงทุนร่วมกันพิจารณานโยบายและแผนงานโครงการ   เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงต่อเนื่องกันทั้งระบบ  
และให้คณะกรรมการ ฯ พิจารณาการจัดวางหน่วยงานในการเจาะขยายตลาด  เปลี่ยนแปลงที่ตั้งสำนักงานใน
ต่างประเทศ   และปรับเปลี่ยนเพิ่มลดบุคลากร   โดยเฉพาะในระหว่างการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดกับคู่แข่งขันใน
ขณะนี้ สำหรับการดำเนินการในระยะยาวให้มีการตราพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาการส่งออกรองรับใน  
การมอบอำนาจการจัดการด้านการพัฒนาการส่งออกให้คณะกรรมการ ฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ  โดย  
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายวุฒิชัย สงวนวงศ์ชัย) 
(เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมควรให้คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมรับผิดชอบดำเนินการโดย 
ให้มีกลไกประสานงานในระดับปฏิบัติการ) ไปดำเนินการ

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานความก้าวหน้าของแผนการปรับเปลี่ยนระบบ 
งบประมาณและการเงิน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2542 เกี่ยวกับแผนปฏิรูประบบบริหารภาค 
รัฐ   สรุปได้ว่า   สำนักงบประมาณได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนระบบงบประมาณดังกล่าว    โดยใช้วิธีจัดทำโครงการ  
นำร่อง (Pilot  Approach) เพื่อเป็นต้นแบบ   และได้คัดเลือกหน่วยงาน  จำนวน  7  หน่วยงาน  ได้แก่   สำนักงาน  
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข  (กองโรงพยาบาลภูมิภาค)   กรมทะเบียนการค้า   กระทรวงพาณิชย์   สำนักงาน ก.พ. 
กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ  กรมสามัญศึกษา  และจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย    เพื่อทำการทดสอบโดยจะต้องดำเนินการพัฒนาเพื่อยกระดับความสามารถในการบริหารจัดการ  
ทางด้านการเงิน 7 ประการ  ตามเงื่อนไขที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้ คือ การวางแผนงบประมาณ  การคำนวณ   
ต้นทุนผลผลิต การจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง การควบคุมงบประมาณ การรายงานทางการเงินและผลการดำเนิน  
งาน    การบริหารสินทรัพย์    และการตรวจสอบภายใน    ซึ่งผลจากการพัฒนาขีดความสามารถของหน่วยงาน  
นำร่องในระยะเวลา 1 ปีเศษนั้น   ปรากฎว่า    กระทรวงสาธารณสุขและกรมทะเบียนการค้ามีความพร้อมในการ
บริหารจัดการทางการเงินตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในระดับหนึ่ง      สำนักงบประมาณจึงได้จัดให้มีการลงนามใน    
ข้อตกลงการใช้ทรัพยากร    (Resource   Agreement)       ระหว่างสำนักงบประมาณและหน่วยงานดังกล่าวเมื่อ  
วันพฤหัสบดีที่  28  กันยายน  2543     ซึ่งหน่วยงานทั้งสองจะเป็นหน่วยงานต้นแบบให้หน่วยงานนำร่องอื่นที่  
กำลังดำเนินการอยู่ปฏิบัติตาม และขยายผลไปยังหน่วยงานอื่น  ๆ   ในอนาคตเพื่อให้บังเกิดผลสำเร็จต่อการ   
ปฏิรูประบบการบริหารภาครัฐ    ตามนโยบายของรัฐบาลโดยเร็ว

               คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วย 
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปฏิบัติราชการในหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง
พาณิชย์ (นายรักษ์ ตันติสุนทร) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่  29  กันยายน  2543  เป็นต้นไป  ตามที่กระทรวงพาณิชย์ 
เสนอ

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ (คศก.) โดยเห็นชอบ 
ให้ไทยดำเนินการตามพันธกรณีภายใต้อาฟต้าต่อไป  ตามทางเลือกที่ 1  ซึ่งไทยต้องลดภาษีน้ำมันปาล์ม  พร้อม 
ทั้งยกเลิกมาตรการที่มิใช่ภาษีต่าง ๆ ตามข้อผูกพัน ฯ  และไทยมีสิทธิเจรจาเรียกร้องการชดเชยผลประโยชน์จาก
มาเลเซียในสินค้าอื่น ๆ  ตามที่ไทยต้องการ  ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ  โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความ 
เห็นและข้อสังเกตของ  คศก.  (เกี่ยวกับการดำเนินการตามพันธกรณีภายใต้อาฟต้าต่อไป  กระทรวงพาณิชย์ควร      
พิจารณาว่า  การเจรจาซึ่งต้องใช้ระยะเวลาเกินกว่ากำหนดยาวนาน และจะก่อให้เกิดความเสียหายย้อนหลังมาก  
น้อยเพียงใด และไทยจะมีสิทธิเรียกร้องการชดเชยผลประโยชน์อย่างใดหรือไม่  นอกจากนี้  ควรมีมาตรการป้อง    
กันปัญหาการส่งผ่านน้ำมันปาล์มจากประเทศที่สามมายังไทย     ส่วนการลดภาษีน้ำมันปาล์มตามข้อผูกพันใน  
อาฟต้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง   โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างการ   
ปลูกและผลิตปาล์มน้ำมันควบคู่กันไปเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับปาล์มน้ำมันต่อไปในอนาคต   รวมทั้ง
ยังเป็นการสร้างความสมดุลในการดำเนินการ   และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์  เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมศึกษา
ความเป็นไปในการกลั่นน้ำมันจากปาล์มน้ำมันเพื่อนำมาใช้ทดแทนน้ำมันดีเซลให้แล้วเสร็จโดยเร็ว       สำหรับ
การเลือกดำเนินการเกี่ยวกับน้ำมันปาล์มตามพันธกรณีภายใต้อาฟต้าต่อไป  น่าจะก่อให้เกิดผลดีแก่ไทยมากกว่า
แนวทางอื่น  และการนำสินค้าเกษตรเข้ามาผูกพันภายใต้อาฟต้าจะส่งผลให้การดำเนินการของอาฟต้ามีปัญหา
อย่างต่อเนื่องต่อไป) ไปดำเนินการ

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ นายไพฑูรย์ แก้วทอง นายกรพจน์ อัศวินวิจิตร และนายรักษ์ ตันติ  
สุนทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ใน  
กรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามลำดับ  
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแก้ไขความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียในเรื่อง   
คุณสมบัติของสมาชิก และจำนวนหุ้นที่สมาชิกแต่ละรายจะถือได้  ทั้งนี้  เพื่อให้มีความคล่องตัวในการดำเนินงาน
ของบรรษัท ฯ และเพิ่มขีดความสามารถในการรับประกันภัยต่อให้มากขึ้น  รวมทั้งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการ 
แข่งขันในตลาดประกันภัยต่อระหว่างประเทศ และให้อธิบดีกรมการประกันภัยสามารถมอบหมายให้ผู้ที่มีความ
เหมาะสมเป็นผู้แทนในสภาสมาชิกของบรรษัท ฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ  (คศก.)  ในการ 
พิจารณาผลการหารือการแลกเปลี่ยนสินค้าและวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรกับการชำระหนี้ข้าวของ 
รัสเซียระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์เพื่อสนับสนุนโครงการช่วยเหลือเกษตรกรใน 
การจัดหาเครื่องบินทำฝนหลวงและดับไฟป่า   โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดหางบประมาณเพื่อโอนให้
กรมการค้าต่างประเทศใช้หนี้ธนาคารกรุงไทย  จำกัด  (มหาชน)   และธนาคารออมสิน   ตามมูลค่าที่เท่ากับ 
สินค้าและวัสดุอุปกรณ์ที่แลกเปลี่ยน ตามที่กระทรวงเกษตร ฯ เสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความ 
เห็นและข้อสังเกตของ  คศก.  (เกี่ยวกับการให้กระทรวงการต่างประเทศประสานในเรื่องการชำระหนี้ข้าวของ  
รัสเซียเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังประธานาธิบดีสหพันธรัฐรัสเซียให้แก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระจากการซื้อข้าว    
จำนวน  200,000  ตัน  ซึ่งหากรัสเซียไม่สามารถชำระหนี้เป็นตัวเงินได้ ก็ให้แจ้งข้อมูลและรายละเอียดสินค้า 
ซึ่งรัสเซียเสนอขอชำระแทนหนี้เงิน)  ไปดำเนินการด้วย

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ (คศก.) ในการ
พิจารณาแนวโน้มปัญหามันสำปะหลัง โดยราคาซื้อขายมันสำปะหลังในตลาดขณะนี้ค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ประมาณ  
ไม่เกิน  85  สตางค์/กิโลกรัม  ทั้งนี้  เมื่อถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยวจะมีผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็น  
จำนวนมาก คาดว่าจะส่งผลให้ราคาตกต่ำลงไปอีก   ส่วนผลการศึกษาการผลิตเชื้อเพลิง เอธานอล (Ethanol)   
กระทรวงอุตสาหกรรมจะได้เร่งศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตเชื้อเพลิงต่อไป 
ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายวุฒิชัย สงวนวงศ์ชัย) รายงาน   รวมทั้งรับทราบตามที่ 
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  (นายศุภชัย พานิชภักดิ์)  ชี้แจงเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง
ของเกษตรกรที่ต้องการขายผลผลิตมันสำปะหลังในราคา 1 บาท/กิโลกรัม  นั้น  เนื่องจากราคาในตลาดโลก 
โดยเฉพาะตลาดยุโรปมีราคาตกต่ำมาก  คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังจึงกำหนดราคารับซื้อไว้ที่  85  
สตางค์/กิโลกรัม   สำหรับสต็อกมันสำปะหลังที่กระทรวงพาณิชย์รับซื้อไว้เมื่อปีที่ผ่านมาได้ดำเนินการทยอย   
ขายและระบายออกสู่ตลาดเป็นระยะ ๆ  แล้ว   และให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายวุฒิชัย 
สงวนวงศ์ชัย) ติดตามเรื่องปัญหามันสำปะหลังอีกทางหนึ่ง

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ นางสาวสุมิตรา วรกุลเฉลิม นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ นายวีระ บุญศรี 
และนายกวี  รวยรื่น  ข้าราชการพลเรือนสามัญในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ พ้นจากตำแหน่ง  และแต่งตั้งให้ดำรง  
ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการ 10) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543 เป็นต้นไป ตาม 
ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ 

               คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการบริหารเงินตามมติคณะกรรมการกองทุนปูนซิเมนต์  
สร้างยุ้งฉางกลาง (กปฉ.) ที่ให้ปรับเปลี่ยนแนวทางการใช้เงิน  โดยให้นำเงินที่มีเหลืออยู่จำนวน 27,305,563.53   
บาท มาจัดสรรเป็นเงินยืมปลอดดอกเบี้ย ใช้จัดหาอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ในการดำเนินการ  รวมทั้งสำรองไว้  
พัฒนาบุคลากร/กลุ่มเกษตรกร/สหกรณ์ และเป็นค่าใช้จ่ายบริหารกองทุน ฯ จำนวน 22,305,563.53 บาท  และ 
อีกจำนวน 5,000,000 บาท บริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยปฏิบัติตามระเบียบ
ที่เกี่ยวข้องต่อไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ ระดับ 10 ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ พ้นจาก  
ตำแหน่งและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ จำนวน 8 ราย ประกอบด้วย นายการุณ กิตติสถาพร  นายอดุลย์  
วินัยแพทย์ นางผ่องศรี ยุทธสารประสิทธิ์ นายพิศิษฐ์ เศรษฐวงศ์ นางบุญทิพา สิมะสกุล นายยรรยง พวงราช  
นางสาวอรจิต สิงคาลวณิช และนายศิริพล ยอดเมืองเจริญ  โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543 เป็นต้นไป 
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

              อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน  จำกัด  (ฉบับที่  ..)  พ.ศ. ....
(แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535  เพื่อประโยชน์ต่อการบริหารงานของบริษัท 
และเป็นแรงจูงใจนักลงทุน    รวมทั้งให้มีส่วนในการฟื้นฟูและเพิ่มประสิทธิภาพของตลาดทุน   และให้บริษัท
สามารถกำหนดสิทธิในการออกเสียงของผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น) ตามที่กระทรวงพาณิชย์  
เสนอ    และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน     โดยให้รับข้อสังเกตของ 
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี  (เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมข้อยกเว้นให้บริษัทเป็นเจ้าของหุ้น  หรือรับจำนำ  
หุ้นของตนเองได้ นั้น น่าจะมีเพียง 3 กรณี  คือ  โดยคำสั่งศาล  โดยการซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นที่เห็นด้วยกับ   
มติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น   และโดยการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน หรือปรับโครงสร้างหนี้   ส่วนการ 
เสนอขายหุ้นและการซื้อหุ้นคืนที่ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง   น่าจะไม่ใช่
ข้อยกเว้น)  ไปพิจารณาด้วย  แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา  ก่อนเสนอ
สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
 
        

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร 
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนทุกชนิดที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐ  
เซียร์ราลีโอนเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยให้มีผลใช้บังคับถึงวันที่  4  มกราคม  
2545  และขยายเวลาบังคับใช้ประกาศ ฯ  ต่อไปได้  ตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ) ตามที่ 
กระทรวงพาณิชย์เสนอ  และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา  โดยให้กระทรวงพาณิชย์   
รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี  (เกี่ยวกับการกำหนดให้มีการขยายเวลาบังคับใช้ประกาศ  ฯ  
ตามมติคณะมนตรีความมั่นคง ฯ นั้น ระยะเวลาดังกล่าวไม่แน่นอนว่าวันใช้บังคับจะสิ้นสุดวันใด รวมทั้งรูปแบบ
วันใช้บังคับตามร่างที่เสนอผิดแปลกจากที่เคยปฏิบัติมาซึ่งอาจมีปัญหาข้อกฎหมายว่าจะสามารถถือปฏิบัติได้ 
หรือไม่) ไปพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี 
ที่เห็นว่า  หากให้ใช้ความตามร่างประกาศ  ฯ  ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ   ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งมติ 
คณะมนตรีความมั่นคง ฯ ที่ให้ขยายเวลามาตรการห้ามนำเข้าเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนจากสาธารณรัฐเซียร์รา
ลีโอนให้กระทรวงพาณิชย์ทราบโดยด่วน ไปดำเนินการด้วย

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ (คศก.) เกี่ยวกับ
รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือนสิงหาคม 2543   ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ   สรุปได้ว่า   ดัชนีราคา 
ผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนสิงหาคม 2543 เท่ากับ 130.8  ซึ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม  2543   
และเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว  โดยดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 1.1 จากการสูงขึ้น   
ของราคาข้าวสารเจ้าหอมมะลิ  ผักและผลไม้   ไข่ไก่  ปลาและสัตว์น้ำ  ส่วนดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่น ๆ  ที่มิใช่ 
อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ  0.3   จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่ากระแสไฟฟ้า    สำหรับ 
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเมื่อหักกลุ่มอาหารสดและสินค้ากลุ่มพลังงานที่อยู่นอกเหนือการส่งผล
ของนโยบายการเงินจำนวน 85 รายการ ออกจากดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ปรากฎว่า  ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้น  
ฐานเท่ากับ 127.3 ซึ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2542  ทั้งนี้  ดัชนีราคาเฉลี่ยเดือนมกราคม-สิงหาคม 
2543 สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2542 รวมทั้งรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายไพฑูรย์ แก้วทอง) ชี้แจงเพิ่มเติมว่า  ตามที่ได้มีการเสนอข่าวโดยสื่อมวลชนเกี่ยวกับสินค้าอุปโภค  บริโภค  
เตรียมปรับราคาสูงขึ้น นั้น  ขอยืนยันว่าในขณะนี้ราคาสินค้าดังกล่าวไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นแต่บางชนิดกลับมีแนว
โน้มลดลง