ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 550 จากทั้งหมด 6218 หน้า แสดงรายการที่ 10981 - 11000 จากข้อมูลทั้งหมด 124359 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 10981 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายทวีศักดิ์ วาณิชย์เจริญ ฯลฯ รวม 4 ราย) | กก | 19/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน จำนวน ๔ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้
๑. นายทวีศักดิ์ วาณิชย์เจริญ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายอนันต์ วงศ์เบญจรัตน์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการท่องเที่ยว ๓. นายสันติ ป่าหวาย ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายนิวัฒน์ ลิ้มสุขนิรันดร์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10982 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2563 และแนวโน้มปี 2563 | นร11 | 19/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๓ และแนวโน้มปี ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๓ ปรับตัวลดลงร้อยละ ๑.๘ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๑.๕ ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๓ ลดลงจากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๒ ร้อยละ ๒.๒ (%QoQ_SA) โดยด้านการใช้จ่าย การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัว การใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนปรับตัวลดลง การส่งออกรวมปรับตัวลดลงตามการส่งออกบริการที่ปรับตัวลดลงมาก ในขณะที่การส่งออกสินค้ากลับมาขยายตัว ส่วนด้านการผลิต การผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาอุตสาหกรรม สาขาเกษตรกรรม สาขาการขนส่ง และสาขาก่อสร้างปรับตัวลดลง ขณะที่การผลิตสาขาการขายส่งและการขายปลีก สาขาไฟฟ้าและก๊าซ สาขาการเงินและการประกันภัย และสาขาข้อมูลข่าวสารขยายตัว ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๓ คาดว่าจะปรับตัวลดลงในช่วงร้อยละ (-๖.๐)-(-๕.๐) เนื่องจาก (๑) การปรับตัวลดลงรุนแรงของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (๒) การลดลงรุนแรงของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ (๓) เงื่อนไขข้อจำกัดที่เกิดจากการระบาดของโรคโควิด ๑๙ ในประเทศ และ (๔) ปัญหาภัยแล้ง โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะปรับตัวลดลงร้อยละ ๘.๐ การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมปรับตัวลดลงร้อยละ ๑.๗ และร้อยละ ๒.๑ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ (-๑.๕)-(-๐.๕) และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๔.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10983 | ร่างแถลงการณ์ร่วมเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ | กต | 19/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมเนื่องในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Joint Communique to Commemorate the 50th Anniversary of the Treaty on the Non-Proliferation of Nuclear Weapons) ซึ่งเป็นเอกสารที่รัฐภาคีสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์จะร่วมกันรับรองโดยไม่มีการลงนาม เนื่องในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี ของการมีผลใช้บังคับของสนธิสัญญาฯ มีสาระสำคัญเพื่อย้ำเจตนารมณ์ร่วมกันของรัฐภาคีสนธิสัญญาฯ ต่อการอนุวัติพันธกรณีของสนธิสัญญาฯ ในมิติต่าง ๆ อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ โดยได้ให้ความสำคัญในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การส่งเสริมความเป็นสากลของสนธิสัญญาฯ (๒) การตระหนักถึงความล่าช้าของการดำเนินงานด้านการลดอาวุธนิวเคลียร์และเรียกร้องให้ประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ (nuclear-weapon States) เร่งรัดการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง (๓) การตระหนักถึงผลกระทบทางมนุษยธรรมร้ายแรงอันเกิดจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ (๔) การย้ำความสำคัญของการจัดตั้งเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในทุกภูมิภาค ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญต่อการป้องกันการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และ (๕) การเรียกร้องให้รัฐภาคีร่วมกันหารืออย่างเปิดเผย โปร่งใส และสร้างสรรค์ เพื่อผลักดันให้สนธิสัญญาฯ มีความก้าวหน้า ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10984 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... | ดศ | 19/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บางหน่วยงานและบางกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ ในช่วงระยะเวลาที่ยังไม่พร้อมที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายนี้ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งรัดการดำเนินการเพื่อจัดทำกฎหมายลำดับรอง หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นต้องมีเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ ๓. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการจัดทำระเบียบและประกาศออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๔. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเร่งดำเนินการออกกฎหมายลำดับรอง และกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งเร่งสื่อสารทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และนำไปสู่การปฏิบัติตามกฎหมายได้ทันที ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10985 | ร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกและคู่เจรจาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) การรับมือ ความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน | กต | 19/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่อาวุโสสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยความร่วมมือและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการรับมือกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ [Committee of Senior Officials (CSO) Statement on IORA Solidarity and Cooperation in response to COVID-19] และให้อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะเจ้าหน้าที่อาวุโส IORA ของไทย หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองเอกสารดังกล่าว โดยร่างถ้อยแถลงฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกและคู่เจรจาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) การรับมือ ความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน [Indian Ocean Rim Association (IORA) Virtual Meeting of the Committee of Senior Officials (CSO)-Dialogue Partner Engagement on COVID-19 : Responses, Cooperation, and Partnerships] ในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกในการแสดงความมุ่งมั่นร่วมกันในการรับมือกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ โดยมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูล มาตรการและแนวปฏิบัติอันเป็นเลิศ การจัดตั้งช่องทางการแลกเปลี่ยนข้อมูล การเปิดตลาดการค้าการลงทุน ความร่วมมือพหุภาคี การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศสมาชิกที่เปราะบาง และประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10986 | รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการรายสัปดาห์ ครั้งที่ 1 | นร10 | 19/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ ๑ โดยสรุปข้อมูล ณ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ จาก ๑๔๐ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๖ ของส่วนราชการทั้งหมด ๑๔๒ ส่วนราชการ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work From Home) ส่วนราชการร้อยละ ๑๐๐ (๑๔๐ ส่วนราชการ) มีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ซึ่งส่วนราชการร้อยละ ๕๓ (๗๔ ส่วนราชการ) กำหนดสัดส่วนให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ร้อยละ ๕๐ ขึ้นไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ โดยมีการมอบหมายในหลายรูปแบบ เช่น ปฏิบัติงานที่บ้านสลับกับมาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งของส่วนราชการแบบวันเว้นวัน สัปดาห์ละ ๑ วัน สัปดาห์ละ ๒ วัน หรือ สัปดาห์เว้นสัปดาห์ เป็นต้น ๒. การเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ส่วนใหญ่เลือกใช้การเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงาน เวลา ๐๗.๓๐-๑๕.๓๐ น. และเวลา ๐๘.๓๐-๑๖.๓๐ น. แต่บางส่วนราชการก็มีรูปแบบการเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานอื่น ๆ ได้แก่ เวลา ๐๖.๐๐-๑๔.๐๐ น. เวลา ๑๔.๐๐-๒๒.๐๐ น. และเวลา ๒๒.๐๐-๐๖.๐๐ น. รวมทั้งมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามวันเวลาปกติในบางลักษณะงานที่มีความจำเป็น โดยลักษณะงานส่วนใหญ่ เช่น งานให้บริการประชาชน งานรักษาพยาบาลในโรงพยาบาล งานในห้องปฏิบัติการ และงานตามนโยบายเร่งด่วนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10987 | ปัญหาการเบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เกี่ยวกับการกักกันผู้เดินทางที่มาจากต่างประเทศ | นร | 19/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบการดำเนินการแยกกัก กักกัน หรือคุมไว้ สังเกตอาการของบุคคลที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั้งที่เป็นคนไทยที่อยู่อาศัยในประเทศและที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ รวมทั้งบุคคลไร้สัญชาติและชาวต่างประเทศที่พำนักอยู่ในประเทศไทย ทั้งที่อยู่ในที่พักอาศัยของตนเอง (Home Quarantine) อยู่ในสถานที่กักกันโรคในท้องที่ (Local Quarantine) หรืออยู่ในสถานที่กักกันโรคที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ให้สามารถเบิกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในส่วนของภาครัฐที่เกี่ยวข้องที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ได้ทุกรายการตามข้อเท็จจริงและความจำเป็น เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ายานพาหนะ ค่าเครื่องมือและค่าอุปกรณ์ที่จำเป็นในการป้องกันและควบคุมโรค ค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าตอบแทนผู้ปฏิบัติงาน ค่าทำความสะอาดสถานที่ เป็นต้น โดยให้เบิกจ่ายจากงบกลาง งบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการ งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือเงินทดรองราชการในเชิงป้องกันหรือยับยั้งภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ได้ตามแต่กรณี ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ของส่วนราชการ หรือระเบียบ หลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณากำหนดตามแต่กรณี ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่ประสงค์จะขอเบิกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามข้อ ๑ จากเงินงบกลาง ส่งคำขอการเบิกจ่ายดังกล่าวพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปยังกระทรวงสาธารณสุขโดยด่วน เพื่อพิจารณาอัตราค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และแจ้งผลการพิจารณาอัตราค่าใช้จ่ายให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบทราบ เพื่อให้ส่วนราชการพิจารณาดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10988 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 5/2563 | นร | 19/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอขอแก้ไขสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ หน้า ๕ ข้อ ๓.๔ แพลตฟอร์ม (Platform) บรรทัดที่ ๑๑ จาก เดิม “...โดยแพลตฟอร์มดังกล่าว จะเก็บข้อมูลไว้ไม่เกิน ๓๐ วัน” เป็น “...โดยแพลตฟอร์มดังกล่าว จะเก็บข้อมูลไว้ไม่เกิน ๖๐ วัน” ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้แก่ (๑) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ (๒) รายงานการประเมินผลการดำเนินมาตรการผ่อนคลายระยะที่ ๑ (๓) ข้อเสนอมาตรการผ่อนคลายระยะที่ ๒ (๔) แนวทางการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่างของจังหวัดลำปางในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (๕) การเคลื่อนย้ายแรงงานสัญชาติเมียนมากลับประเทศ และ (๖) การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดสถานศึกษา ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10989 | แนวทางการดำเนินโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนและการสนับสนุนอาหารกลางวันในโรงเรียนรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) | ศธ | 19/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนและการสนับสนุนอาหารกลางวันในโรงเรียน รองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้ดื่มนม จำนวน ๒๖๐ วันต่อปีการศึกษา ตามประกาศของคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๓ ประกาศ ณ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ และ (ฉบับที่ ๒) ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ มีแนวทางการบริหารจัดการ ดังนี้ ๑.๑.๑ กรณีภาคเรียนที่ ๑/๒๕๖๓ เปิดภาคเรียนวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ให้นักเรียนบริโภคนมชนิด ยู เอช ที ตามโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ๑.๑.๒ กรณีภาคเรียนที่ ๑/๒๕๖๓ เปิดภาคเรียนหลังวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ หรือกรณีการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ หรือกรณีการสลับวันมาเรียน ให้นักเรียนบริโภคนมชนิด ยู เอช ที ตามโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ๑.๒ โครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้รับประทานอาหารกลางวัน จำนวน ๒๐๐ วันต่อปีการศึกษา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่เห็นชอบให้นักเรียนตั้งแต่เด็กเล็ก และชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณอาหารกลางวันทุกคน จำนวน ๒๐๐ วัน และเพิ่มเงินอุดหนุนจากอัตรา ๑๐ บาทต่อคนต่อวัน เป็น ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่ให้เพิ่มเงินอุดหนุนเป็นอัตรา ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน มีแนวทางการบริหารจัดการ ดังนี้ ๑.๒.๑ กรณีการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ หรือกรณีการสลับวันมาเรียน ทำให้โรงเรียนไม่สามารถจัดหาอาหารกลางวันให้แก่นักเรียนที่โรงเรียนได้ จึงจำเป็นต้องจ่ายงบประมาณค่าอาหารกลางวันนักเรียนให้แก่ผู้ปกครองนักเรียนเพื่อนำไปจัดหาอาหารกลางวันให้นักเรียนรับประทานที่บ้าน ทั้งนี้ ให้รวมถึงอาหารมื้ออื่น ๆ ที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเคยจัดให้ ตั้งแต่วันเปิดภาคเรียนวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ๑.๒.๒ กรณีการจัดการเรียนการสอนชดเชย ให้โรงเรียนดำเนินการจัดอาหารกลางวันให้แก่นักเรียนที่โรงเรียนได้เช่นเดียวกับวันจัดการเรียนการสอนตามปกติ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดชนิดของนม (นมพาสเจอร์ไรส์และนมยูเอชที) ในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงการขนส่ง การเก็บรักษา และสภาพแวดล้อมของโรงเรียนในแต่ละพื้นที่เพื่อให้นักเรียนได้รับนมที่มีคุณภาพไม่เกิดปัญหาการบูดเสียด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10990 | การกำหนดวันสำคัญของชาติ (วันรู้รักสามัคคี) | นร01 | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกำหนดให้วันที่ ๔ ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันรู้รักสามัคคี เป็นวันสำคัญของชาติ โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10991 | ผลการสอบบัญชีสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 และรายงานประจำปี 2562 ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก | สกพอ | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสอบบัญชีสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ และรายงานประจำปี ๒๕๖๒ ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการสอบบัญชีสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ๒. รายงานประจำปี ๒๕๖๒ ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยมีผลงานที่สำคัญ เช่น แผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ (เป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน) การประกาศเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ การชักจูงนักลงทุนและความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ และการจัดทำแผนผังการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10992 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 | ปช | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10993 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 | สผ | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ โดยรายงานฯ มีสาระสำคัญ เช่น งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินดังกล่าวแล้วไม่สามารถแสดงความเห็นต่อรายงานการเงินดังกล่าวได้ เนื่องจากไม่สามารถหาหลักฐานการสอบบัญชีที่เหมาะสมอย่างเพียงพอ เช่น ครุภัณฑ์มีการกำหนดรหัสสินทรัพย์ในระบบ GFMIS และรหัสสินทรัพย์ตามทะเบียนคุมทรัพย์สินไม่สอดคล้องกัน จึงไม่สามารถอ้างอิงกันได้ และการแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ เช่น ลูกหนี้เงินยืมในงบประมาณได้รวมรายการหักล้างลูกหนี้เงินยืมโดยไม่มีเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีของงวดปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐ จำนวน ๑๖ รายการ ซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรอยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและปรับปรุงแก้ไขบัญชีตามความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10994 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร01 | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา ๙๐๔ “หลักสูตรพื้นฐาน” รุ่นที่ ๔/๖๓ หน่วยราชการในพระองค์ฯ ได้จัดการฝึกอบรมหลักสูตรฯ ระหว่างวันที่ ๑-๑๕ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน มีผู้เข้ารับการอบรมจากส่วนราชการต่าง ๆ รวมทั้งประชาชนจิตอาสาทั้งส่วนภูมิภาคและส่วนกลาง จำนวน ๕๐๐ คน ๒. งานแถลงข่าวโครงการฝึกอบรมการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานจิตอาสา CPR เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยกระทรวงมหาดไทยร่วมกับมูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์ฯ และคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ดำเนินโครงการฝึกอบรมฯ โดยฝึกอบรมให้แก่ประชาชนในพื้นที่ให้เป็นผู้มีองค์ความรู้และทักษะที่ถูกต้องในการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน และแจกจ่ายอุปกรณ์การสอนให้แก่ ๖ จังหวัดนำร่อง ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน สมุทรปราการ สุรินทร์ ชุมพร ปัตตานี และสงขลา จังหวัดละ ๓๐ ชุด ๓. ความคืบหน้าการจัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปัจจุบัน อปท. ทุกแห่งได้มีการจัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ ครบเรียบร้อยแล้ว (ตามเป้าหมาย ๗,๕๕๐ แห่ง ๓๗๗,๕๐๐ คน) โดยมีผู้เข้ารับการอบรมและผ่านการอบรมแล้ว ๔,๓๒๒ คน ๔. การดำเนินการจัดกิจกรรม “จิตอาสาต้านภัยแล้ง การประสานความร่วมมือการแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน” ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กรมกิจการพลเรือนทหารบก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดกิจกรรมจิตอาสาต้านภัยแล้งฯ โดยกำหนดดำเนินการในพื้นที่ ๒๒ จังหวัดที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ๕. การดำเนินการขับเคลื่อน “โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการจัดทำหน้ากากอนามัยเพื่อการป้องกันตนเอง” และ “โครงการพลังคนไทยร่วมใจป้องกันไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” โดยกระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขดำเนินโครงการฯ โดยการสร้างทีมวิทยากรหรือทีมครู ก. เพื่อเผยแพร่วิธีการจัดทำหน้ากากอนามัยป้องกันโรคให้แก่ประชาชนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อหน้ากากอนามัย ๖. การจัดกิจกรรมโครงการจิตอาสา “เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” กิจกรรมทำความสะอาด และปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่บริเวณ ๒ ฝั่งคลองคูเมืองเดิม เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ สำนักนโยบายและแผนกลาโหม กระทรวงกลาโหม ได้จัดกิจกรรมโครงการจิตอาสาฯ โดยมีกำลังพลจิตอาสาจากกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และส่วนราชการต่าง ๆ รวมทั้งประชาชนจิตอาสาในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม ๘๐๐ คน ๗. ข้อมูลจำนวนจิตอาสาและกิจกรรมจิตอาสา ณ วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ มีจิตอาสาลงทะเบียน ๖,๕๗๐,๘๐๑ คน โดยจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ๔๓,๙๑๖ ครั้ง และจิตอาสาภัยพิบัติ ๓๒๓ ครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10995 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 | สว | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินการทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า รายงานการเงินดังกล่าวถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10996 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ การค้า และการพัฒนาแห่งประเทศแคนาดากับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ | อว | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ การค้า และการพัฒนาแห่งประเทศแคนาดากับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกรอบความร่วมมือเกี่ยวกับการให้บริการและฝึกอบรมแบบในการพัฒนาหลักสูตรด้านความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสีที่ยั่งยืนและได้รับการรับรอง ซึ่งจะเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศไทยในการป้องกันตนเองจากภัยคุกคามด้านความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยของวัตถุนิวเคลียร์และรังสีในสถานประกอบการ เช่น เครื่องฉายรังสีต่าง ๆ ในโรงพยาบาลหรือมหาวิทยาลัยให้ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุโจรกรรมวัตถุดังกล่าว ซึ่งสามารถนำไปผลิตอาวุธ เช่น ระเบิดกัมมันตรังสี (Dirty Bomb) ได้ โดยฝ่ายแคนาดาจะจัดหาความเชี่ยวชาญทางวิชาการให้แก่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เพื่อช่วยเหลือประเทศไทยในการพัฒนาโครงการฝึกอบรมในรูปแบบไม่เป็นตัวเงินและแบบให้เปล่ามูลค่าสูงสุด ๑,๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์แคนาดา (๒๗,๗๐๘,๐๐๐ บาท) โดยมีกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และสิ้นสุดภายในระยะเวลา ๒ ปี ๑.๒ เห็นชอบให้เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ (ต้องลงนามก่อนวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ เนื่องจากการดำเนินงานตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และสิ้นสุดภายในระยะเวลา ๒ ปี) ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจฯ ระบุว่าฝ่ายแคนาดาจะให้ความช่วยเหลือที่ไม่ใช่ทางการเงินกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นมูลค่า ๑,๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์แคนาดา จึงน่าจะเข้าข่ายมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ เรื่อง แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ซี่งให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ เรื่อง การขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรสร้างการรับรู้แก่ภาคประชาชนและสังคมเพื่อสร้างความตระหนักและเข้าใจบริบทการพัฒนาและสร้างขีดความสามารถของประเทศด้านความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสี โดยเฉพาะในมิติของความปลอดภัยและประโยชน์ที่จะได้รับอย่างยั่งยืน รวมถึงการดำเนินงานที่จะมีส่วนช่วยสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ และติดตามประเมินผลการดำเนินการเป็นระยะ เพื่อให้สามารถพิจารณาขยายความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศในสาขาอื่น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10997 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติการลงนามร่างความตกลงให้ความสนับสนุนด้านการเงิน (Financing Agreement) "โครงการการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรปเพิ่มเติมต่อประเทศไทย (ARISE Plus - Thailand) ในสาขาความช่วยเหลือด้านการค้า" | พณ | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10998 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สำหรับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปของงาน | รง | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10999 | ขอความเห็นชอบการจัดทำโครงการและลงนามหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) | อก | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) ร่วมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO) ดำเนินโครงการ Application of Industry-urban Symbiosis and Green Chemistry for Low Emission and Persistent Organic Pollutants free Industrial Development in Thailand) และเห็นชอบร่างหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ กับ UNIDO โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ลงนามหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ โดยเอกสารโครงการฯ และร่างหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ จัดทำขึ้นเพื่อแสดงเจตจำนงการเข้าร่วมโครงการฯ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนสิ่งแวดล้อม (Global Environment Facility : GEF) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมหลักการเอื้อประโยชน์ร่วมกันระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชน และการใช้สารเคมีอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas : GHG) และลดสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน (Persistent Organic Pollutant : POPs) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ เป็นเงินทุนร่วม เห็นควรพิจารณาดำเนินการบูรณาการร่วมกันในการจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อลดความซ้ำซ้อน ลดความเสี่ยงหรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ รวมทั้งเห็นควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ/แผนงานภายใต้โครงการฯ ตามขั้นตอนต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 11000 | การขอขยายปริมาณในโควตาการนำเข้าสินค้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2563 เพิ่มเติม | กษ | 12/05/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายปริมาณในโควตาการนำเข้าสินค้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี ๒๕๖๓ เพิ่มเติม จำนวน ๖,๔๐๐ ตัน โดยการขยายปริมาณโควตาดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกมันฝรั่งภายในประเทศ เนื่องจากการนำเข้าส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าในช่วงการปลูกมันฝรั่งนอกฤดู (เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม) ซึ่งผลผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงงานอุตสาหกรรม และมีการทำสัญญารับซื้อผลผลิตระหว่างผู้ประกอบการนำเข้ากับเกษตรกร โดยกำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำตามที่คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง กำหนด ตามที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การกำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาเพิ่มเติม ควรยึดหลักความจำเป็นและเดือดร้อนของผู้ประกอบการ โดยให้พิจารณาปริมาณการนำเข้าตามโควตาที่ได้รับการจัดสรรในคราวแรกให้แล้วเสร็จเกินครึ่งก่อนพิจารณาจัดสรรปริมาณโควตานำเข้าเพิ่มเติมต่อไป และควรพิจารณากำหนดปริมาณโควตานำเข้าในระดับที่เหมาะสมในรอบปีต่อไป โดยพิจารณาจากศักยภาพและแผนการส่งเสริมการเพาะปลูกในประเทศ รวมถึงแนวโน้มความต้องการวัตถุดิบในอุตสาหกรรมที่จะใช้จริง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการเพิ่มปริมาณผลผลิตหัวมันฝรั่งสดภายในประเทศทดแทนการนำเข้า เช่น การส่งเสริมการเพาะปลูกมันฝรั่งสดทดแทนพืชชนิดอื่น และการปรับปรุงคุณภาพผลผลิตหัวมันฝรั่งสดเพื่อลดปริมาณการนำเข้าและให้มีผลผลิตหัวมันฝรั่งสดเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้กำกับดูแลไม่ให้เกิดกรณีผลผลิตหัวมันฝรั่งสดออกสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อราคาผลผลิตและเกษตรกรผู้เพาะปลูกด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
