ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 405 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 8081 - 8100 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8081 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 54 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ครั้งที่ ๕๔ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๕ ฉบับ
ซี่งเป็นเอกสารที่จะมีการรับรองในช่วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ครั้งที่ ๕๔ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๗ สิงหาคม
๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล และให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว
โดยร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ จำนวน ๕ ฉบับ ได้แก่ (๑)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๔ (๒)
ร่างกรอบการจัดทำระเบียงการเดินทางของอาเซียน (๓)
ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการส่งเสริมวาระเยาวชน สันติภาพ และความมั่นคงในการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
(เออาร์เอฟ) (๔)
ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
(เออาร์เอฟ) ว่าด้วยการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ และ (๕)
ร่างแผนงานการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
(เออาร์เอฟ) สำหรับการบรรเทาภัยพิบัติ ค.ศ. ๒๐๒๑-๒๐๒๓ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8082 | รัฐบาลสาธารณรัฐซูดานเสนอขอปิดสถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐซูดานประจำประเทศไทยเป็นการชั่วคราว และขอให้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐซูดานประจำมาเลเซียมีเขตอาณาครอบคลุมประเทศไทย | กต. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบการปิดสถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐซูดานประจำประเทศไทยเป็นการชั่วคราว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๔ ๒. อนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเปิดสถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐซูดานประจำประเทศไทย) โดยมอบหมายให้สถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐซูดานประจำมาเลเซียมีเขตอาณาครอบคลุมประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8083 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (นายประเวทย์ ตันติสัจจธรรม) | สพร. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายประเวทย์ ตันติสัจจธรรม เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
(ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรม และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล)
ในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล แทนผู้ที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งไว้แล้ว ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นายอนุชา นาคาศัย) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8084 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 3/2564 | นร.11 สศช | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบ VDO Conference สรุปได้ ดังนี้ ๑)
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ล่าสุด ณ วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔
มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ๕๑๑,๑๖๔ คน และผู้เสียชีวิตรายใหม่ ๘,๖๗๔ คน ๒) สถานการณ์เศรษฐกิจล่าสุด
จากเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔
เทียบกับเดือนก่อนหน้าภายหลังจากการปรับปัจจัยฤดูกาลแล้วพบว่าเครื่องชี้ด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนลดลง
เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในเดือนพฤษภาคม ๓) ความคืบหน้า Phuket
Sandbox ความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔
พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ ๑-๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ รวม ๙,๓๕๘ คน ไม่พบเชื้อโควิด-19 จำนวน ๙,๓๓๙ คน
และพบเชื้อโควิด ๑๙ คน ๔) ความคืบหน้ามาตรการ Samui Plus Model ความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔
พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ ๑๕-๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ รวม ๒๐ คน
โดยยังไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-๑๙ ทั้งนี้มาตรการ Samui Plus มีข้อจำกัดจากการที่ในปัจจุบันยังมีเที่ยวบินตรงจากต่างประเทศในปริมาณที่น้อย
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8085 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนมิถุนายน 2564 | นร.11 สศช | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ
ณ เดือนมิถุนายน ๒๕๖๔ ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น
การจัดทำโครงการสำคัญประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
เพื่อขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ และการจัดทำเพจ Facebook “คบเด็กสร้างชาติ-สร้างพลังบวก”
เพื่อเผยแพร่เนื้อหาสาระของคนรุ่นใหม่และการแบ่งปันเรื่องราวที่ดีผ่านสื่อสังคมออนไลน์
รวมทั้งได้เสนอแนะประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ คือ
การวางรากฐานการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาพหุปัญญาอย่างแท้จริง
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8086 | รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ไตรมาสที่ 3) | นร.07 | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ (ไตรมาสที่ ๓) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
ผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ (ไตรมาสที่ ๓) วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น
๓,๒๘๕,๙๖๒.๔๗๙๗ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๒๘๓,๓๒๘.๘๐๖๙ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒,๔๖๕,๖๑๕.๕๓๓๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๙.๔๙ และ ๗๕.๐๓ ตามลำดับ ๒.
ปัญหาและอุปสรรค เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ระลอกที่สาม
เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๖๔ เป็นต้นมา ส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนการใช้จ่ายภาครัฐและส่งผลให้การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยรับงบประมาณไม่เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานหรือเป้าหมายที่กำหนดไว้
ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างหน่วยรับงบประมาณมีการปรับปรุงแก้ไขร่างขอบเขตของงานและรูปแบบรายการหลายครั้ง
และรายการผูกพันใหม่ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท บางรายการยังไม่เข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8087 | มาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน | นร.11 สศช | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการของมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชนซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔ และมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับสนับสนุนแหล่งเงินเพื่อดำเนินตามมาตรการดังกล่าว
ตามขั้นตอนของพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ (พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔) ต่อไป และให้ความสำคัญกับการพิจารณากำหนดกลไกการตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ได้รับความช่วยเหลือผ่านระบบบัญชีธนาคาร
พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน
รับรู้และเข้าใจถึงหลักการและแนวทางการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชนด้วย
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม
เร่งดำเนินการให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบให้ครบถ้วน พร้อมติดตามและประเมินผลการดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชนอย่างใกล้ชิดและเผยแพร่การดำเนินการให้ความช่วยเหลือให้ประชาชนได้รับทราบเป็นระยะ
ๆ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่าควรขยายให้มาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมสถานศึกษาในสังกัดสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
กระทรวงวัฒนธรรมด้วย และให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เร่งดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ และปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด ตลอดจนเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรับรู้และความเข้าใจในมาตรการที่ถูกต้องให้กับประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8088 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารและเผยแพร่ข่าวปลอม (Fake News) | นร. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลการดำเนินงานในเรื่องต่าง
ๆ ของหน่วยงานตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลงานและของรัฐบาล)
อย่างต่อเนื่องและจริงจัง
รวมทั้งป้องกันและแก้ไขปัญหาการรับรู้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารหรือข่าวปลอม
(Fake News)
ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Medial) ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย
และในกรณีที่พบว่า เรื่องใดมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไม่เป็นจริงให้เร่งชี้แจง
ทำความเข้าใจโดยเร็ว นั้น
ปัจจุบันยังพบปัญหาการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารและเผยแพร่ข่าวปลอมเป็นจำนวนมาก
ส่งผลต่อการรับรู้และความเข้าใจของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์วิกฤตของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙
ประกอบกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐยังไม่สามารถชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องได้รวดเร็วเพียงพอ
ทำให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศเป็นอันมาก คณะรัฐมนตรีจึงมีมติ ดังนี้ ๑. ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจัดตั้งหน่ายงานภายในขึ้นเพื่อรับผิดชอบในการติดตามและตรวจสอบข้อมูลข่าวสารต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐที่เผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ ให้ถูกต้อง
รวดเร็ว และต่อเนื่อง และให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาข่าวปลอมให้รวดเร็ว ทันท่วงที
โดยให้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องในสื่อของหน่วยงานภายใน ๒๔ ชั่วโมง
นับตั้งแต่ได้รับแจ้งประเด็นข่าวปลอมจากประชาชน จากศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Centre : PMOC) หรือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามแต่กรณี
เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องและให้ประชาชนเข้าถึงได้ให้มากที่สุด ทั้งนี้
ให้จัดส่งข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องดังกล่าวให้ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) กรมประชาสัมพันธ์
และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติทราบโดยด่วนคู่ขนานกันไป ๒. ในกรณีที่เห็นว่า การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารและการเผยแพร่ข่าวปลอมนั้นเป็นเรื่องเสียหายร้ายแรงเกินกว่าที่กระทำไปภายใต้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้เสียหายหรือเป็นเจ้าของข้อมูลข่าวสารที่มีการนำไปบิดเบือนเป็นข่าวปลอมแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในแต่ละกรณีอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหารือและทำความเข้าใจร่วมกันให้ชัดเจน ถูกต้อง ตรงกัน
ในการนำความในข้อ ๑๑ ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๒๗)
เกี่ยวกับมาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน
มาบังคับใช้เพื่อให้สามารถดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างถูกต้อง รวดเร็ว
เกิดประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรม ทั้งนี้
ให้สื่อสารแนวทางการดำเนินการให้ทุกส่วนราชการและหน่วยของรัฐทราบอย่างถูกต้องโดยทั่วกัน
รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงแนวทางการดำเนินการในเรื่องนี้ของรัฐบาลที่ต้องการจะให้ผู้มีเจตนากระทำผิดทุกรายที่กระทำไปนอกเหนือขอบเขตการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญต้องได้รับโทษ
และแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและข่าวปลอมให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม)
ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรายงานผลและความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อ
๑-๒ ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้นายกรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8089 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 26/2564 | นร.11 สศช | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้แก่ (๑) ให้กรมส่งเสริมการเกษตร
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการยกระดับเกษตรแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด
(๒) ให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๓) มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๑) เพิ่มเติม จำนวน ๑๓,๐๒๖.๑๒๐๐ ล้านบาท และมาตรา ๕ (๒) เพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๒๒.๙๙๐๐ ล้านบาท รวมวงเงิน ๑๔,๕๔๙.๑๑๐๐
ล้านบาท เพื่อรองรับการดำเนินโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์
(๓) โครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ
ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กรอบวงเงิน ๑๓,๐๒๖.๑๒๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับหน่วยบริการ
สถานพยาบาลที่ให้บริการสาธารณสุขโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ สำหรับประชาชนทุกสิทธิ
(๔) ให้สำนักงานประกันสังคม
ปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา
๓๓
ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดและพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยขยายพื้นที่การดำเนินโครงการฯ จากเดิม ๑๐ จังหวัด เป็น ๑๓ จังหวัด
ทำให้กรอบวงเงินโครงการฯ เพิ่มขึ้นจาก ๑๓,๕๐๔.๖๙๖๐ ล้านบาท เป็น ๑๕,๐๒๗.๖๘๖๐
ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ๑,๕๒๒.๙๙๐๐ ล้านบาท (๕)
ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการพัฒนาห้องปฏิบัติการชีวนิรภัย
ระดับ ๓ เพื่อรองรับการเป็นเครือข่ายห้องปฏิบัติการวินิจฉัยการติดเชื้อโรคโควิด-๑๙
และเชื้อโรคระบาดอื่น ๆ ในเขตภาคเหนือ (๖) ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของโครงการคนละครึ่ง
และโครงการคนละครึ่งระยะที่ ๒ ให้แก่ร้านค้าที่ถูกระงับสิทธิ จำนวน ๒๙๖ ราย
วงเงินที่ระงับการจ่ายจำนวน ๙๗๒,๕๑๖ บาท จนกว่าการตรวจจะแล้วเสร็จ
และ (๗) ให้จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดยะลา ปรับแผนดำเนินงาน
แผนการใช้จ่ายงบประมาณโครงการฯ และให้จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปรับแผนดำเนินงานโครงการพัฒนาผ้าทอละว้า
เป็นต้น ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าควรปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเร่งรัดการจ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8090 | การส่งเสริมการใช้ยาฟ้าทะลายโจรเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) | ยธ. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบการปลูกและการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรและพืชสมุนไพรอื่น ๆ ในเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ
และปลูกสมุนไพรฟ้าทะลายโจรและพืชสมุนไพรอื่น ๆ ในพื้นที่ ๑๔๑ ไร่ เป็นการเริ่มต้น
เพื่อช่วยผู้ต้องขังในเรือนจำกรณีเจ็บป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และโรคอื่น
ๆ รวมทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับประชาชนทั่วไป และเห็นชอบในหลักการที่จะส่งเสริมให้ใช้ยาฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อและยังไม่มีอาการ
เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาและลดภาระระบบสาธารณสุข ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
และให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าหากมีการปลูกสมุนไพรฟ้าทะลายโจรในปริมาณมากและเกินความต้องการ
ควรสนับสนุนให้มีการออกจำหน่ายภายนอกเรือนจำ
เพื่อสร้างรายได้ให้กับผู้ต้องขังอีกทางหนึ่ง
และควรปฏิบัติตามแนวทางการใช้สารแอนโดรกราโฟไลด์ ในผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจรเพื่อรักษาโรคโควิด 19 ตามหลักการของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
และเงื่อนไขการใช้ยาตามแนบท้ายประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่อง
บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๔ อย่างเร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณของพืชสมุนไพรฟ้าทะลายโจรและพืชสมุนไพรอื่น
ๆ เพื่อนำมาใช้เป็นทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19)
ให้มีความชัดเจนในทุกมิติ เช่น อาการป่วยและปริมาณยาที่เหมาะสมในการใช้พืชสมุนไพรฟ้าทะลายโจรและพืชสมุนไพรอื่น
ๆ แต่ละชนิดในการรักษา ข้อควรระวัง อาการข้างเคียง แนวทางการผลิต/จำหน่าย/แจกจ่าย
เป็นต้น เพื่อให้มีแนวทางในการดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง
ชัดเจน มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป ทั้งนี้
ให้นำความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นเจ้าภาพในเรื่องนี้
เพื่อกำกับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการและขับเคลื่อนการดำเนินการเกี่ยวกับพืชสมุนไพรฟ้าทะลายโจร
รวมทั้งพืชสมุนไพรอื่น ๆ (เช่น กระชายขาว) ในภาพรวมทั้งระบบและครบวงจร
ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เช่น การเพาะปลูก การวิจัยและการพัฒนา การผลิต
การนำไปใช้ประโยชน์ เป็นต้น รวมทั้งให้พิจารณาแนวทางการพัฒนาคุณภาพสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับและสร้างความมั่นใจในระดับสากล
เพื่อให้มีการนำพืชสมุนไพรไปใช้ในการรักษาโรคให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น
เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สมุนไพรและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรต่อไป ๔.
ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณากำหนดแนวทางหรือมาตรการในการป้องกันเพื่อมิให้เกิดการกักตุนยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรและพืชสมุนไพรอื่น
ๆ ตลอดจนควบคุมราคาสินค้าดังกล่าวให้มีความเหมาะสม
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเกี่ยวกับการจดลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรเกี่ยวกับพืชสมุนไพรฟ้าทะลายโจรเพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง
เหมาะสม เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8091 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด สมัยที่ 15 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ 10 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ 10 | ทส. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของเสียอันตรายและการกำจัด
สมัยที่ ๑๕
การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ
สมัยที่ ๑๐ และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน
สมัยที่ ๑๐ ๑.๒ เห็นชอบกรอบการเจรจา ข้อเสนอแนะ
และความเห็นของประเทศไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ ๑๕
การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ ๑๐ และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ
สมัยที่ ๑๐ ๑.๓ หากมีข้อเจรจาใดที่นอกเหนือจากกรอบเจรจาฯ
และไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Legally Binding) ต่อประเทศไทย ขอให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นผู้พิจารณา โดยไม่ต้องนำกลับเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาใหม่จนสิ้นสุดการประชุมรัฐภาคีฯ
ในวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบออนไลน์ ๒.ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า
การพิจารณาข้อเสนอนอกเหนือกรอบการเจรจา
ขอให้คำนึงถึงการดำเนินการที่กระทำได้ภายใต้กฎหมายภายในของไทยด้วย
และหากการดำเนินการเพื่อให้เป็นตามหนังสือสัญญานั้นต้องมีการออกพระราชบัญญัติ
หรือหนังสือสัญญานั้นอาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามมาตรา
๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ก็ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8092 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ครั้งที่ 2 | กต. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ครั้งที่
๒ ซึ่งร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
มีสาระสำคัญ ได้แก่ ระบุหลักการความร่วมมือที่เน้นความเป็นศูนย์กลางของอาเซียน
การเปิดกว้าง ความโปร่งใส เป็นต้น รวมทั้งเน้นการเชื่อมโยงกับกรอบความร่วมมืออื่น
ๆ และร่างแผนปฏิบัติการฯ มีสาระสำคัญ ได้แก่
ระบุหลักการความเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ความโปร่งใส ธรรมาภิบาล
การเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ
และความร่วมมือที่มีกฎเกณฑ์เป็นพื้นฐานโครงสร้างและสาขาความร่วมมือ ๔ สาขา เป็นต้น
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ
ครั้งที่ ๒
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8093 | การแต่งตั้งคณะผู้แทนไทยในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 27 | ดศ. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
ดังนี้ ๑.๑.
เห็นชอบเอกสารกรอบท่าทีของประเทศไทยในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์
(Universal Postal Union : UPU) สมัยที่ ๒๗ รวมถึงร่างข้อสงวนต่อกรรมสารสุดท้าย และมอบหมายให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะพิจารณาใช้ดุลยพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสม
ในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ต่อไป ๑.๒. มอบอำนาจให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการอภิปรายลงมติและลงนามในกรรมสารสุดท้ายของการประชุมสหภาพสากลไปรษณีย์
สมัยที่ ๒๗ ๑.๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือแต่งตั้งผู้แทน
(Credentials) โดยมอบอำอาจให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เกี่ยวกับเอกสารที่รับรองในที่ประชุม รวมถึงกรรมสารสุดท้าย หากได้รับการลงนามเห็นควรให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการ
มีหนังสือหรือตราสารแจ้งการเห็นชอบ (Notice/Instrument of Approval) รวมทั้งให้สัตยาบันต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ
UPU ต่อไปในภายหลัง ทั้งนี้เป็นไปตามธรรมนูญฯ ข้อ ๒๕ และ ๓๐ สำหรับค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมการประชุมสหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ ๒๗ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ของสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่ตั้งงบประมาณรายจ่ายรองรับไว้แล้ว
โดยคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ หากในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ดังกล่าวจะมีการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกก็จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนการทำความตกลงนั้นตามมาตรา
๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘
และหากความตกลงดังกล่าวก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศก็จะเข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก็จะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8094 | ขออนุมัติการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | พม. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ
โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน
๓,๔๙๓,๑๙๑,๑๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8095 | เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีสถานการณ์การชุมนุมและเรียกร้องทางการเมืองของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน | สม. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
กรณีสถานการณ์การชุมนุมและเรียกร้องทางการเมืองของนักเรียน นิสิต นักศึกษา
และประชาชน
ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางฯ
ดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้อง
เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และเหมาะสมกับสถานการณ์และข้อเท็จจริงในแต่ละกรณี
โดยให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เพื่อคงไว้ด้วยความสงบเรียบร้อยของสังคมและประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติในภาพรวม
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงยุติธรรม
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงกลาโหม
ที่เห็นว่าควรให้ข้อมูลการดำเนินการของรัฐบาลที่ผ่านมาเกี่ยวกับการบริหารจัดการการชุมนุม
ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากลให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับทราบ
เพื่อนำไปสู่การนำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้านและควรดำเนินการผ่านกระบวนการของรัฐสภา
ควรสร้างการตระหนักรู้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมและเรียกร้องทางการเมืองฯ
ควรได้รับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามมาตรการหรือแนวทางดังกล่าว การดำเนินการตามมาตรการต่าง
ๆ ในการดูแลการชุมนุมที่มีการละเมิดกฎหมาย
จะเป็นไปตามสมควรแก่เหตุและยุทธวิธีการใช้กำลังเท่าที่จำเป็นของสถานการณ์ตามหลักสัดส่วน
ให้หน่วยงานของรัฐอาจนำหลักการสำคัญสำหรับการบริหารจัดการการชุมนุมอย่างเหมาะสม ๑๐
ประการ มาปรับใช้ภายใต้บริบททางกฎหมายและสังคมของประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาถึงลักษณะธรรมชาติและการชุมนุมที่เกิดขึ้น
สนับสนุนให้รัฐบาลจัดให้มีเวทีหารือร่วมกับประชาชนเพื่อยุติความขัดแย้งโดยสันติวิธี
รวมถึงมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ความสมดุล ความเป็นกลาง
ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมไม่เลือกปฏิบัติ เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน
และการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนที่จะได้รับความคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8096 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 ครั้งที่ 3 | กค. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติการปรับปรุงแผนการก่อหนี้ใหม่
ที่ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๑๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท จากเดิม ๑,๖๔๗,๑๓๑.๗๔ ล้านบาท เป็น ๑,๗๙๗,๑๓๑.๗๔ ล้านบาท แผนการบริหารหนี้เดิม คงเดิม ๑,๕๒๖,๕๖๔.๑๗ ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ คงเดิม ๓๘๗,๘๖๐.๗๒
ล้านบาท การบรรจุรายการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ครั้งที่
๓ จำนวน ๑ รายการ และการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่
การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันให้กับรัฐวิสาหกิจ
ตามมาตรา ๗ แห่ง พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะฯ มาตรา ๓ แห่ง พ.ร.ก.กู้เงินโควิด-๑๙
พ.ศ. ๒๕๖๓ และมาตรา ๓ แห่ง พ.ร.ก.กู้เงินโควิด-๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นต้น ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
และให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรกำกับ
ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการให้มีการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
คุ้มค่า และเกิดประสิทธิผลต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวมอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เองก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น
ๆ
และรัฐบาลควรเร่งพิจารณากำหนดรายละเอียดโครงการและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้มีความชัดเจนโดยเร็ว
โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับศักยภาพของระบบสาธารณสุขและการเร่งจัดหาวัคซีนเพื่อบรรเทาสถานการณ์ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
พร้อมทั้งเตรียมการออกมาตรการสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรักษาระดับศักยภาพการผลิตและการแข่งขันของประเทศไปพร้อมกัน
และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนการกำหนดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
(Gross Domestic Product : GDP) ให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับความจำเป็นในการใช้จ่ายและการลงทุนของประเทศ ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8097 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายดนุช ตันเทอดทิตย์) | นร.04 | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง
นายดนุช ตันเทอดทิตย์ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8098 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงาน พ.ศ. .... | มท. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการและดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งสถานประกอบกิจการสมควรจะต้องมีระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงานที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพในการทบทวนปรับปรุง แก้ไขอย่างต่อเนื่อง อันจะทำให้ลูกจ้างมีความปลอดภัยในการทำงานยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงสาธารณสุข ที่เห็นควรมีความครอบคลุมเกี่ยวกับระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงานที่มีองค์ประกอบอย่างน้อย คือ นโยบายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน โครงสร้างการบริหารระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงาน ควรแก้ไขร่างข้อ ๗ เป็น “ข้อ ๗ ให้นายจ้างจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดการให้มีระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงานเก็บไว้ในสถานประกอบกิจการให้เป็นปัจจุบัน และพร้อมให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้” พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับคำนิยามคำว่า “ระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงาน” ขอแก้ไขเป็น “ระบบการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน” และควรเพิ่มความหมายให้ครอบคลุมคำนิยามโดยพิจารณาเพิ่มเติมข้อความให้ชัดเจนมากขึ้น และการจัดทำเอกสารตามร่างข้อ ๗ ควรมีการระบุระยะเวลาการจัดเก็บเอกสาร เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการและควบคุมเอกสาร รวมทั้งควรมีการทบทวนสถานประกอบกิจการตามบัญชีท้ายร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้มีความสอดคล้องกับมาตรา ๗ (๑) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๒ ในการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8099 | แนวทางการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือ Digital ID ด้วยการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล (Face Verification Service - FVS) | ดศ. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบแนวทางการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล
หรือ Digital ID ด้วยการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล
(Face Verification Service-FVS) และอนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการพัฒนาและจัดให้มีระบบ
FVS และดำเนินการให้บริการกับหน่วยงานของรัฐและเอกชน
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ระบบ FVS มีความมั่นคงปลอดภัย น่าเชื่อถือ ตลอดจนสอดคล้องตามกฎหมาย หลักเกณฑ์
และมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณให้กับกระทรวงมหาดไทย
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและจัดทำระบบ FVS
รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นใดเพื่อการบริหารงานและการให้บริการ
และให้กระทรวงมหาดไทยหรือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แล้วแต่กรณี
รายงานการดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในส่วนของการพัฒนาระบบ
Digital ID ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดจัดทำแผนงานหรือโครงการตามแนวทางการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล (Face Verification Service-FVS) ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ แล้วดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน
ก.พ.ร. สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
ควรเร่งจัดทำรายละเอียดแนวทางการดำเนินงาเพื่อพัฒนาระบบ FVS อย่างครอบคลุม ระบบ FVS ควรได้รับการพัฒนาประสิทธิภาพความถูกต้องแม่นยำอย่างต่อเนื่อง
โดยไม่ยึดติตกับผู้ให้บริการหรือเทคโนโลยีใดเป็นการเฉพาะ การพัฒนาระบบ FVS ควรเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑
พิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการบูรณาการการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัลของทุกหน่วยงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกันได้
เพื่อให้การพัฒนาระบบฯ ในภาพรวมของประเทศสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยให้นำผลการพิจารณาดังกล่าวมาใช้ประกอบการดำเนินการตามแนวทางฯ
ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอในครั้งนี้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8100 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเกษตรในคณะกรรมการสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (นางสาวศิริพร บุญชู) | กษ. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง
นางสาวศิริพร บุญชู เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการเกษตร) ในคณะกรรมการสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่ง
เนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|