คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานเกี่ยวกับกรณีปลา
ในกระชังตายบริเวณตำบลบางเสด็จ อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง โดยจากการสำรวจและตรวจสอบข้อเท็จจริงเมื่อ
วันที่ 28-30 มีนาคม 2551  พบว่า  ค่าออกซิเจนละลายในน้ำในกระชังเลี้ยงปลามีค่าอยู่ระหว่าง 4-7 มิลลิกรัมต่อ
ลิตร ส่วนค่าออกซิเจนในแม่น้ำเจ้าพระยานอกกระชังเลี้ยงปลามีค่าเท่ากับ 6.5 มิลลิกรัมต่อลิตร (มาตรฐานกำหนด
ให้มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ  4.0  มิลลิกรัมต่อลิตร) ค่าความเป็นกรด-ด่างในกระชังเลี้ยงปลามีค่า อยู่ระหว่าง 6-7
และในแม่น้ำเจ้าพระยามีค่าเท่ากับ  6.7  (มาตรฐานกำหนดให้มีค่าอยู่ในช่วง  5-9)  และจากการสำรวจสภาพแวด
ล้อมเบื้องต้นพบว่า  สิ่งมีชีวิตในแม่น้ำเจ้าพระยาในบริเวณตำบลบางเสด็จ  ยังไม่มีการตายเหมือนปลาในกระชังแต่สี
ของน้ำค่อนข้างเขียวขุ่นเนื่องจากมีปริมาณน้ำน้อย และมีสภาพน้ำนิ่ง สำหรับปลาที่ตายนั้น ได้มีการนำไปผ่าพิสูจน์
เพื่อหาสาเหตุการตาย และจะแจ้งผลให้ทราบภายหลัง  ทั้งนี้  เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้วสาเหตุที่น่าจะทำให้ปลา
ตายมาจากสภาวะขาดออกซิเจน    เนื่องจากเกษตรกรมีการเลี้ยงปลาในกระชังจำนวนถึง  2,200  ตัว ในกระชังที่มี
ขนาด 3X5 เมตร  ซึ่งขนาดกระชังดังกล่าวควรเลี้ยงปลาได้ในปริมาณสูงสุดไม่เกิน  800  ตัว  ประกอบกับการสะสม
ของสิ่งปฏิกูลที่ขับถ่ายจากตัวปลา และทับถมรวมกับเศษอาหารที่ใส่ลงในกระชังในปริมาณมากเกินควร   ทำให้เกิด
สภาวะเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต

               สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ ของกระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการตรวจสอบปริมาณฝุ่นขนาดเล็ก (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ในพื้นที่
ภาคเหนือ ของกรมควบคุมมลพิษ  ระหว่างวันที่ 25-31 มีนาคม 2551  พบว่า  จังหวัดเชียงใหม่  มีปริมาณฝุ่นอยู่
ในช่วง 67-120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร  จังหวัดเชียงราย  มีปริมาณฝุ่นอยู่ในช่วง 56-102 ไมโครกรัมต่อลูก
บาศก์เมตร  จังหวัดลำปาง  มีปริมาณฝุ่นอยู่ในช่วง 42-102 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร  และจังหวัดแม่ฮ่องสอน
มีปริมาณฝุ่นอยู่ในช่วง 87-134 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร  และจากการพิจารณาภาพแสดงตำแหน่งของ  Hots
pot  ซึ่งแปลผลจากภาพถ่ายดาวเทียม NOAA-87 พบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 25-30 มีนาคม 2551  มีการเพิ่มสูง
ขึ้นของจำนวน Hotspot ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปผลการดำเนิน
งานตามพระราชดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี  สรุปได้ดังนี้  การดำเนินการพัฒนาคุณ
ภาพชีวิตและอนุรักษ์วิถีชีวิตของชุมชนชาวมอแกน ได้ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนาในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่
ของชาวมอแกนที่อาศัยอยู่บริเวณอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และจัดทำแผนการบริหารจัดการชุมชนชาวมอแกนที่
อาศัยอยู่บริเวณอุทยานแห่งชาติดังกล่าว   และนำเสนอรองผู้อำนวยการโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยาม
บรมราชกุมารี   เพื่อพิจารณากำหนดกรอบแนวทางการพัฒนา และอนุรักษ์วิถีชีวิตชาวมอแกนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
สำหรับการแก้ปัญหาแสงสะท้อนจากอาคารที่ตั้งอยู่ใกล้พระราชวังสระปทุม   ได้ให้เจ้าของอาคาร คือ บริษัท แมคเคน
นาแลนด์ จำกัด ดำเนินการปรับแบบภายนอกอาคาร อาทิ ลดการใช้กระจกเงาสะท้อนแสงด้านทิศใต้ที่ตรงกับเขตพระ
ราชฐานให้มากที่สุด หรือใช้วัสดุอื่นที่ไม่สะท้อนแสง  ติดตั้งแผงบังตาบริเวณหน้าต่างกระจกทุกบาน เพื่อลดการเห็นกิจ
กรรมต่าง ๆ ในเขตพระราชฐาน และติดตั้งกระจกที่มีค่าการสะท้อนแสงต่ำ (ร้อยละ 70) แทนที่กระจกทั่วไปที่บังคับใช้
อยู่ในปัจจุบัน  (การสะท้อนแสงไม่เกินร้อยละ 30) เป็นต้น  ส่วนการแก้ปัญหาเสียงรบกวนจากเรือหางยาวโดยสารรับ
จ้างในคลองแสนแสบ  ได้มอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษพิจารณาแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการจัดทำป้ายขอความร่วม
มือผู้ขับเรือชะลอความเร็วเพื่อลดเสียง  ซึ่งตัวอักษรบนป้ายระบุข้อความ  "เขตพระราชฐาน  โปรดชะลอความเร็ว  งดใช้
เสียง"  ติดตั้งบริเวณสะพานหัวช้าง  บริเวณตรงข้ามเขตพระราชฐานวังสระปทุม  และบริเวณสะพานข้ามคลองแสนแสบ
หลังห้างสยามพารากอน

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความคืบหน้าการ
ดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า พ.ศ. 2551-พ.ศ. 2554 โดยในส่วนของการควบคุม
ไฟป่า ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานจัดการไฟป่าระดับจังหวัด จัดทำแผนปฏิบัติการควบคุมไฟป่าในพื้นที่ และสร้างเครือ
ข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการควบคุมไฟป่า และออกประกาศกำหนดเขตควบคุมไฟป่า ส่วนการควบคุมการ
เผาในพื้นที่เกษตรกรรม  ได้จัดทำโครงการนำร่องสาธิตการใช้มาตรการควบคุมการเผาในที่โล่งพื้นที่เกษตรกรรมใน
พื้นที่ภาคเหนือ  และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับสภาพปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น
รวมทั้งการจัดประชุมคณะทำงานด้านหมอกควันและไฟป่าอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง  ครั้งที่ 1  (1st  TWG Mekong)  และ
การประชุมคณะกรรมการภายใต้ข้อตกลงอาเซียน เรื่อง มลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ 2 (COM-2) เมื่อวันที่
4-7 มีนาคม 2551  ที่จังหวัดเชียงใหม่  โดยที่ประชุม ฯ  เห็นชอบให้ดำเนินการความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไข
ปัญหาหมอกควันข้ามแดนให้เกิดผลในทางปฏิบัติ และมอบหมายให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการพัฒนาศักยภาพ
การป้องกันและควบคุมไฟป่า   รวมทั้งให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการดับไฟป่าร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน
และประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ที่ตรวจพบว่ามีจุดความร้อน (Hotsposts) จำนวนมาก หรือบริเวณที่มีฝุ่น
ละอองขนาดเล็กเกินมาตรฐานจำนวนมากเพื่อแจ้งไปยังหน่วยงานระดับพื้นที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการ
เฝ้าระหวังไฟป่าและควบคุมกิจกรรมการเผาในที่โล่งต่าง ๆ

           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งประธานกรรม
การและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสียที่ได้รับการแต่งตั้งตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ลงวันที่ 2 กันยายน 2549 ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2550 และลงวันที่ 4 มกราคม 2551 จำนวน 7 คนพ้นจากตำแหน่ง
และแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการชุดใหม่จำนวน 7 คน ประกอบด้วย นายถวิล พึ่งมา เป็นประธานกรรม
การ  นายเรืองศักดิ์ งามสมภาค  นายยงยศ ปาละนิติเสนา  นายวันชัย ผโลทัยถเกิง  นายอธิคม  ฤกษ์บุตร  นาย
คำนวณ เหมาะประสิทธิ์ และว่าที่ร้อยตรี ฐิติกร พันธุรัส เป็นกรรมการ  ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมี
มติ (25 มีนาคม 2551) เป็นต้นไป และวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอให้กรรมการอื่นในคณะ
กรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ที่ได้รับการแต่งตั้งตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวัน
ที่ 1 พฤษภาคม 2550 และลงวันที่ 15 มกราคม 2551 จำนวน 9 คน พ้นจากตำแหน่งและแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่
จำนวน 9 คน ประกอบด้วย  พลเอก ธนู ศรียากูล  นายสุพัฒน์ ลิมปาภรณ์  นายพุทธิสัตย์ นามเดช  นายพลเชษฐ์
ลิขิตธนสมบัติ  นายโกเมศ  แดงทองดี  นายวันชัย  ผโลทัยถเกิง  นายยงยศ  ปาละนิติเสนา   นางสาวพจนี  พรหม
โรจน์ ผู้แทนกระทรวงการคลัง และนายทรงศักดิ์ วงศ์ภูมิวัฒน์ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ทั้งนี้  ให้มีผลตั้ง
แต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (25 มีนาคม 2551) เป็นต้นไป และมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งประธานกรรม
การและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ จำนวน 9 คน  ประกอบด้วย  นายสุวิช ชมพูนุทจินดา เป็น
ประธานกรรมการ  นายฉัตรชัย ชูแก้ว  นายกฤษฎา สัจจกุล  นายสากล สถิตวิทยานันท์  พลโท ชนินทร์ มหาตมัน
นายถิรชัย วุฒิธรรม  นายวีรวัฒน์ ยมจินดา  นายสมศักดิ์  สุวัฒิกะ  และนายประวิช  สารกิจปรีชา  ผู้แทนกระทรวง
การคลัง เป็นกรรมการ แทนประธานกรรมการและกรรมการชุดเดิมซึ่งพ้นจากตำแหน่ง  โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะ
รัฐมนตรีมีมติ (25 มีนาคม 2551) เป็นต้นไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอให้ประธานกรรมการและ
กรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ที่ได้รับแต่งตั้งตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 8
พฤษภาคม 2550 จำนวน 7 คน  พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการชุดใหม่ จำนวน 8 คน
ประกอบด้วย นายวิทูร กรุณา เป็นประธานกรรมการ  นายศักดิ์ทิพย์  ไกรฤกษ์  นายสิทธิพล  รัตนากร  นายชุมพร
ขุณิกากรณ์ นายประสาท เกศวพิทักษ์ พลตำรวจตรี ราเชนทร์ รื่นกมล  นายธนกร วังบุญคงชนะ  และนายมนัส แจ่ม
เวหา ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการ  ทั้งนี้  ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ  (25 มีนาคม 2551)  เป็น
ต้นไป

            สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับผลการ
ประชุมคณะมนตรีประศาสน์การของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยพิเศษที่ 10  (The  Tenth  Special
Session of the United Nations  Environment  Programme  Governing  Council/Global  Ministerial  Environment
Forum ; UNEPGCSS.X/GMEF)  ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 กุมภาพันธ์ 2551 ณ ราชรัฐโมนาโก  โดยที่ประชุมได้
หารือเรื่อง การระดมเงินทุนเพื่อสนองต่อความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  (Mobiilizing  Finance
to Meet the Climate  Challenge)  โดยเห็นควรบูรณาการการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้า
เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ  และการแก้ไขปัญหาความยากจนของทุกประเทศ  โดยกำหนดกรอบการ
ดำเนินงานในระดับนานาชาติที่มีเป้าหมายชัดเจน  รวมทั้งมีการลงทุนเพื่อการป้องกัน แก้ไขปัญหาอย่างเพียงพอและ
และมั่นคง โดยเฉพาะในส่วนของกลไกทางการเงินเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  และได้หารือ
ถึงธรรมาภิบาลการจัดการสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศและการปฏิรูปสหประชาชาติ ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับ
ธรรมาภิบาลการจัดการสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศในการปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมของโลก  และเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานดังกล่าวของ UNEP โดยสนับสนุนและส่งเสริม
ความร่วมมือระหว่างองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ  ที่อยู่ภายใต้สหประชาชาติ  และบทบาทของกลุ่ม  Environmental
Management Group  ซึ่งเป็นกลุ่มขององค์กรระหว่างประเทศต่าง  ๆ  ภายใต้สหประชาชาติที่มีการดำเนินงานที่เกี่ยว
ข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อม   และให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานใหญ่ของ UNEP ณ
กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่ง
ส่วนราชการในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  รวม 3 ฉบับ  ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ
พิจารณาแล้ว ประกอบด้วย ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ....  มีสาระสำคัญคือ  ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการ และอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการในกรมป่าไม้ให้เหมาะสม
และสอดคล้องกับภารกิจที่เปลี่ยนแปลงไป  ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทรัพยากรน้ำ  กระทรวงทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....  มีสาระสำคัญคือ  จัดตั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค  9  และ  10  ขึ้น
เป็นส่วนราชการภายในกรมทรัพยากรน้ำ  และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  พ.ศ. ....  มีสาระสำคัญคือ  ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการภายในกรมทรัพยากร
น้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และระบุอำนาจหน้าที่ของแต่ละส่วนราชการให้เหมาะสมกับ
สภาพของงาน

               คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งผู้รักษาราชการ
แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้พันตำรวจโท บรรยิน ตั้งภากรณ์ รัฐมนตรี
ช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์  เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ตามมาตรา  42  แห่งพระ
ราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้ง พลตรี อินทรัตน์
ยอดบางเตย ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายวิวัฒน์ นิติ
กาญจนา ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  โดยให้มีผลตั้งแต่วัน
ที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (20 กุมภาพันธ์ 2551) เป็นต้นไป

               คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอร่างพระราช
บัญญัติว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพของเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่า
ด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพของเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ เพื่อควบคุมและดูแลการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัด
แปลงพันธุกรรม  และสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นอาหาร  หรืออาหารสัตว์  หรือใช้ในกระบวนการผลิต
ซึ่งมาจากต่างประเทศ หรือภายในประเทศได้อย่างปลอดภัยและเหมาะสม   โดยทำให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีขั้นตอน
การปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมอย่างถูกต้อง และสอดคล้องกับการดำเนินงานในระดับสากล
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา   โดยรับความเห็นและข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยว
ข้อง อาทิ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีข้อสังเกตว่า ประเทศไทยควรเตรียมความพร้อมในด้านบริหารจัด
การและกำกับดูแล เนื่องจากพระราชบัญญัติ ฯ มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานและต้องอาศัยความรู้ทางวิทยา
ศาสตร์ที่มาจากการทดลองหรือทดสอบพืชดัดแปลงพันธุกรรมในสภาพเปิดประกอบการกำกับดูแลจึงจะทำให้การ
บังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ  ดังนั้น  ในระหว่างที่รอกระบวนการตราและบังคับใช้พระราชบัญญัติ ฯ  ควรให้มี
การดำเนินการทดลองพืชดัดแปลงพันธุกรรมในสภาพเปิด โดยมีการกำหนดพื้นที่ทดสอบ ชนิดของพืช และดำเนิน
การตามมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด และข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการกำหนดให้มีสำนักงานความ
หลากหลายทางชีวภาพ  ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการความปลอดภัยทางชีวภาพแห่งชาติ
โดยในระยะเริ่มแรกควรกำหนดเป็นหน่วยงานภายในสังกัดสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง
แวดล้อมไปก่อน  หากภารกิจเพิ่มมากขึ้น  อาจจัดตั้งเป็นส่วนราชการและปรับปรุงกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการใน
โอกาสต่อไป เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อไป

               คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอดังนี้ รับทราบผลการประชุม
ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) ครั้งที่ 14 การประชุม
โต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี (Ministerial  Round  Table) การประชุมภาคีอนุสัญญา CITES ของทวีปเอเชีย  (Asia Regio
nal Meeting)  การประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES  ครั้งที่ 55  (55th  Standing  Committee)  และ
การประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา ครั้งที่ 56  (56th  Standing Committee)  รวมทั้งเห็นชอบในหลักการ
ให้ดำเนินมาตรการควบคุมการค้างาช้างภายในประเทศ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรม
อุทยานแห่งชาติ  สัตว์ป่า  และพันธุ์พืช) เป็นหน่วยงานหลักประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ได้แก่  กระทรวง
มหาดไทย (กรมการปกครอง)  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  (กรมปศุสัตว์)  กระทรวงพาณิชย์  กระทรวงการคลัง
(กรมศุลกากร)  บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย   และสำนักงานตำรวจ
แห่งชาติในการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมถึงงาช้างบ้านและการควบคุมการค้างาช้าง
การพิจารณาทบทวนออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ กำหนดให้บุคคลธรรมดาและห้างหุ้นส่วนที่มิใช่นิติบุคคลเป็นผู้
มีหน้าที่จัดทำบัญชีตามพระราชบัญญัติการบัญชี  พ.ศ. 2543   และออกประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า   กำหนด
ลักษณะของบัญชีสินค้า และเอกสารประกอบการลงบัญชีสินค้าของพาณิชยกิจที่เกี่ยวกับงาช้างเป็นการเฉพาะ  การ
กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตค้างาช้างภายในประเทศตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499
การจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับการระงับคดี  การจัดการและเก็บรักษาของกลางในคดีที่เกี่ยวกับงาช้างและสัตว์ป่าอื่น ๆ
การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยการรณรงค์ไม่ให้ซื้องาช้างจากประเทศไทย รวมทั้งการป้อง
กันและปราบปรามการลักลอบค้างาช้างอย่างเคร่งครัด

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามคำสั่งรองนายกรัฐมนตรี  (นายโฆสิต  ปั้นเปี่ยมรัษฎ์)  ประธานกรรมการ
นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามมติคณะกรรมการนโยบาย
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 1/2551 เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2551 ในการพิจารณา
ร่างยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2551-พ.ศ. 2555 โดยให้กระทรวง
ที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยบูรณาการกับยุทธศาสตร์ ฯ และจัดตั้งคณะ
อนุกรรมการเพื่อติดตาม  ประสาน  และบูรณาการแผนปฏิบัติการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จัดทำโดย
หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าไว้ในยุทศาสตร์ ฯ รวมทั้งจัดประชุมรับฟังความเห็นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ไทย พุทธศักราช 2550  ในขั้นตอนของการจัดทำแผนปฏิบัติการของแต่ละหน่วยงาน และให้นำข้อคิดดังกล่าวมาปรับ
ยุทธศาสตร์ ฯ  ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น  และให้เพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการ ฯ  โดยเพิ่มปลัดกระทรวงวิทยา
ศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นกรรมการ

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามคำสั่งรองนายกรัฐมนตรี (นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์) ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยว
ข้องพิจารณาดำเนินการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอขอความร่วมมือและสนับสนุนการ
ดำเนินงานตามแผนแม่บทการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่าแห่งชาติ พ.ศ. 2548-พ.ศ. 2557  ดังนี้ การจัดการพื้นที่ป่า
เพื่อการอนุรักษ์โดยการจัดทำโครงการเชื่อมต่อป่า (Corridor) ภายในกลุ่มป่าเขาใหญ่-ดงพญาเย็น ขอความร่วมมือ
และการสนับสนุนจากกระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท) และระหว่างกลุ่มป่าตะวันตกกับ
กลุ่มป่าแก่งกระจาน   ขอความร่วมมือและการสนับสนุนจากกระทรวงมหาดไทย  (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)  กระทรวงกลาโหม (กองทัพภาคที่ 1) กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง และ
กรมทางหลวงชนบท)  และหน่วยงานอื่น  ๆ   ที่เกี่ยวข้อง     และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามการเปลี่ยนแปลง
ทรัพยากรป่าไม้และไฟป่า ขอความร่วมมือและการสนับสนุนจากกระทรวงมหาดไทย  กระทรวงกลาโหม   กระทรวง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ   และหน่วยงานอื่น  ๆ  ที่เกี่ยวข้อง   สำหรับการจัดการสัตว์
ป่า  โดยการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านสัตว์ป่า ขอความร่วมมือและการสนับสนุนจากกระทรวงมหาดไทย  กระทรวง
เกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) และกระทรวงศึกษาธิการ  (มหาวิทยาลัยมหิดลมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  และ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 ที่มีมติเห็นชอบ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแผนการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวด
ล้อมของหน่วยงานภาครัฐ   และ (ร่าง) แผนการส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ของภาครัฐ ปี พ.ศ. 2551-พ.ศ. 2554  โดยมีเป้าหมายดังนี้  ให้ภาครัฐในระดับกรมหรือเทียบเท่าในแต่ละกระทรวง
ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 โดยมีเป้าหมาย
การดำเนินการในปี พ.ศ. 2551  พ.ศ. 2552  พ.ศ. 2553  และ พ.ศ. 2554  เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ  25  50
75   และ  100  โดยให้หน่วยงานดังกล่าวกำหนดเป้าหมายปริมาณการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการแต่ละประเภท
ที่ได้กำหนดเกณฑ์ข้อกำหนดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไว้แล้วในแต่ละปีงบประมาณ ดังนี้  ปี  พ.ศ. 2551  พ.ศ. 2552
พ.ศ. 2553 และ พ.ศ. 2554 คิดเป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 30 40 และ 60  ของสินค้าและบริการแต่ละประเภทตาม
ลำดับ และให้ทุกหน่วยงานราชการระดับกรมหรือเทียบเท่ารายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตร
กับสิ่งแวดล้อม  ในรอบ 6 เดือน  ของปีงบประมาณไปยังกรมควบคุมมลพิษ  และให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำรายงาน
ผลการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของภาครัฐรายปี  และนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อ
ไป  ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  (กรมควบคุมมลพิษ)  รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรม
การกลั่นกรอง ฯ รวมทั้งความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป  โดยในส่วน
ของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ เห็นควรมีการตรวจสอบและดำเนินการเพื่อให้มาตรการตามแผนการจัดซื้อจัดจ้าง ฯ
และ (ร่าง) แผนส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้าง ฯ สอดคล้องกับระเบียบที่สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน  และเนื่องจากกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ได้เสนอร่างพระราช
กฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ  พ.ศ. ....  ซึ่งอยู่ในขั้นการตรวจพิจารณาของสำนักงาน
คณะกรรมการกฤษฎีกา  ซึ่งร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ  ควรจะมีข้อบัญญัติที่รองรับการกำหนดใช้มาตรการที่กระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอให้สอดคล้องกันด้วย   และควรมีผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  กระทรวง
เกษตรและสหกรณ์  และกระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ร่วมพิจารณากำหนด
เกณฑ์ของการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย  และมอบให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชี
กลาง) รับไปพิจารณาปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้ง
ดำเนินการในขั้นแปรญัตติร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ....  เพื่อให้
การใช้มาตรการตามแผนการจัดซื้อจัดจ้าง ฯ   และ (ร่าง) แผนส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้าง ฯ  มีความสอดคล้องกับกฎ
ระเบียบดังกล่าว

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้ง นายโสภณ
ดำนุ้ย ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่
คณะรัฐมนตรีมีมติ (22 มกราคม 2551) เป็นต้นไป

               คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแผนการดำเนิน
งานและแผนการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2551 ซึ่งได้รับงบประมาณรวมทั้งสิ้น  19,793  ล้านบาท  แยกเป็น
งบของส่วนราชการ 18,819 ล้านบาท ประกอบด้วย งบประจำ 14,244 ล้านบาท  และงบลงทุน  4,575  ล้านบาท
และงบของรัฐวิสาหกิจ 974 ล้านบาท ประกอบด้วย งบประจำ 577 ล้านบาท  และงบลงทุน 397 ล้านบาท  ส่วนผล
การเบิกจ่ายงบลงทุนจากระบบ GFMIS  ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2550  ส่วนราชการยังไม่มีการเบิกจ่าย  สำหรับรัฐ
วิสาหกิจมีผลการเบิกจ่าย  40  ล้านบาท  คิดเป็นร้อยละ 10   ทั้งนี้  ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เร่งรัดส่วนราชการในสังกัดให้ดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด  และเห็นชอบให้หน่วยงาน
ต่าง ๆ รายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานไปยังสำนักงบประมาณ โดยให้หน่วยงานชี้แจงสาเหตุและอุป
สรรคที่ทำให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาสรุปผล  พร้อมทั้งข้อเสนอ
แนะให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นายยงยุทธ
ยุทธวงศ์) รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอขอถอนเรื่อง
การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ (นายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช) คืนไปได้