สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อทราบความ
ก้าวหน้าของการปลูกฟื้นฟูป่า ครั้งที่ 3/2551 โดยผลการดำเนินการปลูกและฟื้นฟูป่า จนถึง ณ วันที่ 25 กรกฎาคม
2551 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 81,701 ไร่ ประกอบด้วย การปลูกในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 48,895 ไร่ การปลูก
ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน 28,400 ไร่  และการปลูกป่าในพื้นที่ป่าชายเลน จำนวน  4,406  ไร่  ส่วนผลการปลูกป่า
ตามโครงการ "ทส.สัญจร ปลูกป่า พลิกฟื้นผืนป่า ด้วยพระบารมี" ใน 6 พื้นที่  5  จังหวัด มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 826 ไร่
/42,554 ต้น  และผลการส่งเสริมการปลูกป่า (แจกกล้าไม้) รวมจำนวน  60.74  ล้านกล้า/304,866  ไร่  ประกอบ
ด้วย กรมป่าไม้ จำนวน 13.25 ล้านกล้า/72,631 ไร่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช จำนวน  44.72  ล้าน
กล้า/223,633 ไร่ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จำนวน  2.77  ล้านกล้า/8,602  ไร่  สำหรับภาคเอกชน
มี  7  หน่วยงานที่ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการปลูกฟื้นฟูป่ากับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด
ล้อม มีจำนวนพื้นที่รวมทั้งสิ้น 206,070 ไร่/41,214,000 ต้น

              คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับผลการดำเนินงาน
ตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม และกองทัพบก ครั้งที่ 1/2551 สรุปตามประเด็นความร่วมมือ 7 ด้าน ดังนี้
              1. ด้านการลาดตระเวน มีการประสานงานขอรับการสนับสนุนกำลังพลจากกองทัพภาคที่ 2 เพื่อเข้าร่วม
ปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูง ในท้องที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ  สุรินทร์  ยโสธร
อำนาจเจริญ  และมุกดาหาร  และสนธิกำลังดำเนินการใช้มาตรา 25 ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พุทธศัก
ราช 2507 จำนวน 46 ครั้ง เป็นต้น
              2. ด้านการพัฒนาองค์ความรู้ ได้พัฒนาองค์ความรู้และฝึกอบรมบุคลากรร่วมกัน  โดยเฉพาะด้านการข่าว
การใช้อาวุธ จิตวิทยามวลชน การพัฒนาเทคโนโลยี การควบคุมไฟป่า การฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ การสร้างเครือข่าย
กฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ทุกฉบับ และด้านอื่นที่จำเป็น เป็นต้น
              3. ด้านการแต่งตั้งให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของกองทัพบก เป็นพนักงานเจ้าหน้า
ที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และแต่งตั้งนายทหารชั้นประทวน ระดับ ผบ.หมู่ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
              4. ด้านการสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์  อยู่ระหว่างการประมวลเรื่องเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความ
เห็นชอบในหลักการเพื่อให้ทางกรมอุทยานแห่งชาติ  สัตว์ป่า  และพันธุ์พืช   เข้ามามีชื่อในกฎกระทรวง  ฉบับที่ 14
(พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืน  เครื่องกระสุนปืน  วัตถุระเบิด  ดอกไม้เพลิง  และสิ่งเทียม
อาวุธปืน พ.ศ. 2490
              5. ด้านการประชาสัมพันธ์ ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัทเอกชน ดำเนินการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์  รวมทั้ง
ได้มีการออกอากาศทางสถานีวิทยุท้องถิ่นของทหารในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4
              6. ด้านการสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  ได้ประชุมหารือร่วมกับกองทัพบก ในการรับ
เสด็จ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
              7. ด้านความร่วมมืออื่น ๆ  ได้แก่  การสนับสนุนกล้าไม้แก่กองทัพบก เพื่อใช้ในการส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่
ป่าไม้ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพบกภาค 1-4  การปลูกป่า  ฟื้นฟูสภาพป่าตามโครงการพลิกฟื้นผืนป่าด้วยพระ
บารมี การปลูกป่า ดำเนินโครงการรักแม่-รักษ์ป่า และดำเนินโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น

            สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยา
กรธรณี) เพื่อทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ธรณีพิบัติภัย ประจำวันที่ 28 กรกฎาคม 2551 ดังนี้ สภาพอากาศ ทั่วทุก
ภาคของประเทศมีฝนตกชุกและฝนตกหนักบางแห่ง   ส่วนพื้นที่ที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภัยดินถล่มในระยะนี้
คือ จังหวัดชุมพร อำเภอพะโต๊ะ และอำเภอท่าแซะ และจังหวัดเลย อำเภอด่านซ้าย อำเภอภูหลวง  และอำเภอภูเรือ
สำหรับการดำเนินการ  ได้จัดการซักซ้อมการเตรียมความพร้อมของประชาชน โดยจำลองเหตุการณ์กรณีเกิดธรณี
พิบัติภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก ณ บ้านห้วยตม  ที่ตำบลบ้านตึก  อำเภอศรีสัชนาลัย  จังหวัดสุโขทัย  รวมทั้ง
ซักซ้อมและทบทวนแผนการเฝ้าระวังของเครือข่าย ฯ จังหวัดสุโขทัย

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการจัดหาอากาศยานเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจด้านอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 
จำนวน 1 เครื่อง โดยอนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ขนาด 2 เครื่องยนต์
พร้อมอุปกรณ์ดับไฟป่า และเตียงพยาบาล ในวงเงิน  250  ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
งบประมาณ พ.ศ. 2552 ที่สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งไว้แล้วจำนวน 50 ล้านบาท และผูกพันงบประมาณรายจ่าย
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจำนวน 200 ล้านบาท ส่วนการ
จัดหาอากาศยาน ฯ ในปีงบประมาณต่อ ๆ ไปให้พิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินการอีกครั้งหนึ่งและพิจารณา
ความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการบูรณาการจัดหาร่วมกับหน่วยงานที่มีเครื่องบินอยู่แล้วจำนวนมาก และใช้เครื่อง
ปฏิบัติภารกิจอยู่เป็นประจำต่อเนื่อง เช่น กองทัพบก  กองทัพอากาศ  และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  เป็นต้น  เพื่อ
ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องบินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาค่าซ่อมบำรุง  และปัญหาด้านบุคลากรการ
บิน โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถขอใช้เครื่องได้อย่างรวดเร็วเมื่อมีภารกิจต้องปฏิบัติ
ทั้งนี้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีความเห็นว่า ในการจัดหาอากาศยานเพื่อทดแทนของเดิมที่ชำรุดและเพิ่มเติม ควรจัด
ทำแผนการปฏิบัติงาน และเรียงลำดับความสำคัญของภารกิจที่มีความจำเป็นเร่งด่วน  และควรจัดหาอากาศยานที่
เหมาะสมเพื่อนำมาใช้งาน โดยพิจารณาถึงความพร้อมของส่วนราชการทั้งในด้านสถานที่ อุปกรณ์เครื่องมือในการ
ซ่อมบำรุง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน สำหรับวิธีการดำเนินการจัดหาอากาศยาน ควรจัดหาโดยวิธีการเช่าแทน
การจัดซื้อ เพราะการเช่าจะมีการประกันภัยความเสียหาย และจัดหาเครื่องสำรองกรณีที่เครื่องมีปัญหาจำเป็นต้อง
มีการซ่อมบำรุง ซึ่งจะทำให้การดำเนินภารกิจของหน่วยงานมีความต่อเนื่อง และไม่ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลน
บุคลากรทางการบินที่อาจจะต้องแข่งขันกับภาคเอกชนในระยะยาวโดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด
ล้อมรับความเห็นดังกล่าวไปพิจารณาด้วย

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้า
การดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดการลดก๊าซเรือนกระจก และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยผลการดำเนิน
งานของประเทศไทย ได้ให้การรับรองโครงการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เรียกว่า โครงการกลไกการพัฒนาที่
สะอาด  (Clean Development  Mechanism : CDM)  ที่สามารถนำไปขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานกลางของพิธีสาร
เกียวโต คือ Clean Development Mechanism-Executive Board (CDM Executive Board) ณ กรุงบอนด์ ประเทศ
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อเป็นคาร์บอนเครดิต จำนวน 30 โครงการ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงได้
2.12 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (tCO2e/yr) คิดเป็นมูลค่าของคาร์บอนเครดิตซึ่งจะเป็นรายได้
เข้าประเทศประมาณ 1,020 ล้านบาท/ปี (ณ  ราคาเฉลี่ยประมาณตันละ 10 ยูโร) และขณะนี้มีโครงการที่เสนอ
มายังองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ให้พิจารณาให้การรับรองอีก  27  โครงการ มี
ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่จะลดลงได้อีกประมาณ  1.2  ล้านตัน/ปี  มีมูลค่าของคาร์บอนเครดิตซึ่งจะเป็นรายได้
เข้าประเทศเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 576 ล้านบาท/ปี ซึ่งโครงการดังกล่าวได้แก่
              1. โครงการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงชีวภาพจากของเสีย  (น้ำเสียจากฟาร์มสุกร  โรงงานแป้งมันสำปะ
หลัง โรงงานน้ำมันปาล์ม)
              2. โครงการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงชีวมวล (แกลบ ชานอ้อย เศษไม้ ฯลฯ)
              3. โครงการผลิตไฟฟ้าจากหลุมฝังกลบขยะ
              4. โครงการใช้ประโยชน์จากความร้อนปล่อยทิ้ง (Heat Waste)
              5. โครงการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์จากกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรม
              6. โครงการผลิตปุ๋ยชีวภาพจากน้ำเสียและทะลายปาล์มเปล่า
              7. โครงการเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิงจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากร
ธรณี) เพื่อทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ธรณีพิบัติภัย ประจำวันที่ 21 กรกฎาคม 2551 ดังนี้ สภาพอากาศ ประเทศไทย
มีฝนตกชุกและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย พะเยา  น่าน  และเพชรบูรณ์  ส่วนพื้นที่ที่อยู่ในสภาวะ
เสียงต่อการเกิดภัยดินถล่มในระยะนี้ คือ จังหวัดเชียงราย อำเภอเชียงของ และอำเภอแม่จัน  จังหวัดพะเยา  อำเภอจุน
อำเภอเชียงคำ  และอำเภอปง  และจังหวัดสุโขทัย  อำเภอศรีสัชนาลัย  สำหรับการดำเนินการ ได้มีการติดตามสภาวะ
อากาศและสภาพการอุ้มน้ำของพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มในพื้นที่เสี่ยงภัยดังกล่าว  เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ดิน
ถล่มที่อาจเกิดขึ้นผ่านอาสาสมัครเครือข่ายเฝ้าระวังแจ้งเหตุธรณีพิบัติภัยที่ประจำอยู่ตามหมู่บ้านต่าง ๆ

            สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยา
กรธรณี) เพื่อทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ธรณีพิบัติภัย ประจำวันที่ 14 กรกฎาคม 2551  ดังนี้  สภาพอากาศ ภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนตกมากกว่าภาคอื่น  ๆ  ส่วนพื้นที่ที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภัยดินถล่มในระยะนี้ คือ
จังหวัดจันทบุรี  อำเภอขลุง  อำเภอเขาคิชฌกูฏ  และอำเภอมะขาม  ส่วนจังหวัดตราด  กำลังดำเนินการจัดตั้งเครือ
ข่าย ฯ รวมทั้งได้ทำการซักซ้อมและทบทวนแผนการเฝ้าระวังของเครือข่ายแจ้งเหตุธรณีพิบัติ รวม  7  จังหวัด ได้แก่
จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย น่าน จันทบุรี กระบี่ และตรัง และจะทำการซักซ้อมและทบทวนแผนการเฝ้า
ระวังของเครือข่าย ฯ จังหวัดสุโขทัย ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2551  และจังหวัดเพชรบูรณ์ ในวันที่ 9 สิงหาคม 2551

            สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อทราบความ
ก้าวหน้าของการปลูกฟื้นฟูป่า ครั้งที่ 2/2551  จนถึงวันที่ 14 กรกฎาคม 2551  มีการปลูกและฟื้นฟูป่าจำนวนรวม
ทั้งสิ้น 59,106 ไร่ ประกอบด้วย การปลูกในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 26,300 ไร่ การปลูกในพื้นที่ป่าอนุรักษ์
จำนวน 28,400 ไร่ และการปลูกในพื้นที่ป่าชายเลน จำนวน 4 ,406  ไร่  ส่วนการปลูกป่าตามโครงการ "ทส.สัญจร
ปลูกป่า พลิกฟื้นผืนป่า ด้วยพระบารมี" ใน 6 พื้นที่  5  จังหวัด  รวมจำนวนทั้งสิ้น 826 ไร่/42,554 ต้น  และการส่ง
เสริมการปลูกป่า (แจกกล้าไม้) รวมจำนวน 60.74 ล้านกล้า/304,866 ไร่  ประกอบด้วย กรมป่าไม้ จำนวน 13.25
ล้านกล้า/72,631 ไร่  กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช จำนวน  44.72  ล้านกล้า/223,633  ไร่  และกรม
ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จำนวน 2.77 ล้านกล้า/8,602 ไร่

               คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการปักหมุดหมายแนวรังวัดในเขตพื้นที่ป่าไม้ ตามที่กระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ เพื่อดำเนินการปักหมุดหมายแนวรังวัดหาค่าพิกัดประจำหมุดแนวเขตพื้นที่
ป่าไม้ จำนวนไม่น้อยกว่า  375,000  จุด  และเพื่อจัดทำแผนที่ต้นฉบับมาตราส่วน  1 : 4,000  และมาตราส่วน  1 :
50,000 แสดงแนวเขตพื้นที่ป่าไม้ตามกฎหมาย พร้อมบัญชีค่าพิกัดแนวเขต  โดยกำหนดเป้าหมายพื้นที่ป่าไม้ตามกฎ
หมายใน 65 จังหวัด ยกเว้นจังหวัดยะลา นราธิวาส  และปัตตานี  ที่ไม่ดำเนินการเนื่องจากไม่มีแผนที่มาตราส่วน 1 :
4,000 สำหรับใช้ในการปรับปรุงแนวเขตพื้นที่ป่าไม้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการ
การดำเนินงาน การดูแลรักษาหมุดหมายแนวรังวัดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจัดทำแผนปฏิบัติงาน  ตลอดจนแผน
การใช้จ่ายงบประมาณให้มีความเหมาะสมตามความพร้อมที่จะดำเนินงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  โดยในปีงบ
ประมาณ พ.ศ. 2552  หากมีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ครบถ้วน ชัดเจน และงบประมาณที่
ได้รับไม่เพียงพอในการดำเนินงานตามแผนดังกล่าว   ให้เสนอของบประมาณเพิ่มเติมในชั้นการพิจารณาร่างพระราช
บัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ  พ.ศ. 2552   ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณ ฯ
ของสภาผู้แทนราษฎรตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นควรจัดทำเฉพาะ
ส่วนพื้นที่ที่มีความสำคัญเป็นลำดับแรก   และมีความพร้อมของข้อมูลเพื่อให้การดำเนินโครงการ  ฯ   สามารถบรรลุ
เป้าหมายได้ตามแผนที่กำหนด และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่
เห็นควรเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดแนวเขตพื้นที่ป่าไม้  เพื่อให้แนวเขตดังกล่าวเป็นที่
ยอมรับของทุกภาคส่วน เกิดความร่วมมือในการอนุรักษ์พื้นที่ป่าไม้ รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในภายหลัง  เป็น
ต้น  ไปพิจารณาด้วย  และเห็นชอบในหลักการการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินโครงการปักหมุดหมายแนวรังวัด
ในเขตพื้นที่ป่าไม้  ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอเพิ่มเติม  โดยให้รัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธาน และพิจารณากำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้า
ที่ของคณะกรรมการ  ฯ  ต่อไป  และให้สำนักงบประมาณรวบรวมโครงการเกี่ยวกับการจัดทำแนวเขตและการรังวัดที่
ดินของหน่วยงานต่าง  ๆ   ที่มีลักษณะทำนองเดียวกับโครงการที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
มาในครั้งนี้  ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหรืออนุมัติไปก่อนแล้ว  และอยู่ระหว่างการดำเนินการ  แล้วรายงานให้
คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยา
กรธรณี) เพื่อทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ธรณีพิบัติภัย ประจำวันที่ 30 มิถุนายน 2551 ดังนี้ สภาพอากาศ ทุกภาค
ของประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย และมีฝนตกหนักบางแห่ง  ส่วนพื้นที่ที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการเกิดดินถล่ม
ในระยะนี้ คือ  จังหวัดอุตรดิตถ์  อำเภอลับแล  อำเภอท่าปลา  และจังหวัดแพร่  อำเภอเมืองแพร่  อำเภอวังชิ้น  และ
อำเภอเด่นชัย ทั้งนี้ ได้มีการซักซ้อมแผนแจ้งเหตุธรณีพิบัติภัยต่ออาสาสมัครเครือข่ายของกรมทรัพยากรธรณี  โดย
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551  ได้ดำเนินการไปแล้วรวม 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย น่าน
ตรัง กระบี่ และจันทบุรี และจะดำเนินการซักซ้อมแผน ฯ ที่จังหวัดสุโขทัย ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2551  และจังหวัด
เพชรบูรณ์ ในวันที่ 9 สิงหาคม 2551

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการขอคืนพื้น
ที่ที่อนุญาตให้ส่วนราชการและภาคเอกชนใช้ประโยชน์  เพื่อนำมาปลูกฟื้นฟูป่า  จากการตรวจสอบการอนุญาตให้
ส่วนราชการและภาคเอกชนเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ  อนุญาต  10,289  ราย  5.3
ล้านไร่ มอบให้ สปก. 44.3 ล้านไร่  มอบให้นิคมสหกรณ์  3.1  ล้านไร่  และมอบให้นิคมสร้างตนเอง  6.2  ล้านไร่
พื้นที่ป่าอนุรักษ์ อนุญาต 21 ราย 0.15 ล้านไร่ และพื้นที่ป่าชายเลน อนุญาต 71 ราย  0.08  ล้านไร่  โดยมีพื้นที่
อนุญาตให้ส่วนราชการและภาคเอกชนใช้ประโยชน์แล้ว  แต่ไม่มีการใช้ประโยชน์จริง  ซึ่งต้องนำมาปลูกฟื้นฟูสภาพ
ป่า 13,858,276 ไร่ 31 ตารางวา  สำหรับความก้าวหน้าของการปลูกฟื้นฟูป่า ได้เร่งรัดการเพิ่มพื้นที่ป่าโดยปลูก
และฟื้นฟูป่า 29,300 ไร่ และส่งเสริมการปลูกป่า (แจกกล้าไม้) 57.67 ล้านกล้า 282,800 ไร่

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรมการแห่ง
ชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ในการประชุมครั้งที่ 1/2551 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2551 ซึ่งได้พิจารณา
มติคณะกรรมการมรดกโลก  สมัยสามัญ ครั้งที่ 31  (ประเทศนิวซีแลนด์)  เกี่ยวกับกรณีขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระ
วิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา โดยคณะกรรมการแห่งชาติ ฯ มีความเห็นว่า ความสมบูรณ์ของประสาทพระวิหารใน
ฐานะมรดกโลกจะต้องพิจารณาสภาพทางสถาปัตยกรรมและทางภูมิศาสตร์ประกอบกันเป็นภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม
(Cultural Landscape)  และต้องสนับสนุนการดำเนินการร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทย รัฐบาลกัมพูชา คณะกรรมการ
มรดกโลก ศูนย์มรดกโลก และยูเนสโกในการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อความสมบูรณ์ของสถานะมรดกโลกของปราสาท
พระวิหารในอนาคต  ทั้งนี้ มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับการรายงานสถานภาพแหล่งมรดกโลก
ที่ขึ้นทะเบียนแล้ว  และแหล่งที่กำลังจะขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก  รวมทั้งข้อมูลอื่น ๆ  ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ
ไทยเพื่อไปหารือในการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญครั้งที่ 32 ณ ประเทศแคนาดา

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนิน
งานตามโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ ปีที่
50 (ระยะที่ 1-3) โดยผลการดำเนินโครงการปลูกป่า ฯ ตั้งแต่ พ.ศ. 2537-พ.ศ. 2550 รวมระยะเวลา 14 ปี มีผู้
ร่วมโครงการ ฯ  จากทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมกันปลูกเสริมสภาพป่าตามธรรม รวมทั้งฟื้นตัวขึ้น
เองตามสภาพป่าตามธรรมชาติในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่มีสภาพเสื่อมโทรม ได้ครบถ้วนตามเป้าหมาย รวมจำนวนพื้น
ที่ 5,116,276.46 ไร่  โดยเป็นการปลูกป่าในเขตพื้นที่อนุรักษ์รวม 2,681,307.65 ไร่  และพื้นที่เป้าหมายแปลง
ปลูกป่าฟื้นฟูสภาพป่าได้เองตามธรรมชาติ รวม 2,434,968.81 ไร่

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยา
กรธรณี) เพื่อทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ธรณีพิบัติภัย ประจำวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 ดังนี้ สภาพอากาศ ประเทศ
ไทยมีฝนฟ้าคะนองกระจายและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนพื้นที่ที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการเกิดดินถล่มในระยะนี้ คือ
จังหวัดแพร่ อำเภอวังชิ้น อำเภอเด่นชัย และอำเภอเมืองแพร่  และจังหวัดน่าน  อำเภอนาหมื่น  อำเภอเวียงสา  และ
อำเภอแม่จริม และจากการสำรวจพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มที่จังหวัดราชบุรี มีหมู่บ้านเสี่ยงภัย จำนวน  21  หมู่บ้าน ใน
4 ตำบล 3 อำเภอ คิดเป็นพื้นที่ 1,006,781 ไร่ โดยได้ดำเนินการจัดตั้งเครือข่ายแจ้งเหตุธรณีพิบัติในพื้นที่ดังกล่าว
แล้ว

            สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อทราบเกี่ยว
กับผลการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ  สมัยที่ 16  (The 16th Session of
the United Nations Commission on Sustainable Development, CSD 16)  ระหว่างวันที่ 5-16 พฤษภาคม 2551
ณ สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา  และผลการปรึกษาหารือและประชุมเกี่ยวกับ
ความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม   และกระทรวงอาหาร  สิ่งแวดล้อมและพัฒนาชน
บทของสหราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 17-22 พฤษภาคม 2551  ณ  กรุงลอนดอน  สหราชอาณาจักร  โดยมีรอง
นายกรัฐมนตรี  (นายสหัส บัณฑิตกุล)  เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม ( นายชาตรี ช่วยประสิทธิ์)  เป็นรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยสาระสำคัญ
ของการประชุม CSD 16 ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบต่อร่างข้อสรุปผลการประชุม  (Chairman''s Summary)  ซึ่งจะ
นำไปสู่การพิจารณานโยบายในการประชุม CSD 17 ต่อไป โดยมีประเด็นที่สำคัญ  ได้แก่  เกษตรกรรม การพัฒนา
ชนบท  ที่ดิน  ความแห้งแล้ง  การแปรสภาพเป็นทะเลทราย  และการทบทวนการดำเนินงานด้านทรัพยากรน้ำและ
สุขาภิบาล  เป็นต้น  ส่วนผลการปรึกษาหารือและประชุมเกี่ยวกับความร่วมมือ ฯ  ได้มีการหารือข้อราชการเกี่ยวกับ
นโยบายของสหราชอาณาจักรในประเด็น global issues  เช่น  วิกฤตการณ์ทางอาหาร  การแก้ไขปัญหาสภาวะโลก
ร้อน และยังมีการหารือเกี่ยวกับการจัดระบบขนส่งมวลชนของกรุงลอนดอน และการจัดการระบบขนส่งทางอากาศ
ของสหราชอาณาจักร รวมถึงการบริหารจัดการท่าอากาศยาน Heathrow

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอขอปรับแผนการ
ปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 จากรายการค่าก่อสร้างและปรับปรุงฟื้น
ฟูแหล่งน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำ  และสนับสนุนการแก้ไขปัญหาอุทกภัย-ภัยแล้งให้กับประชาชน  งบ
ประมาณจำนวน 184,810,300 บาท ซึ่งมีวงเงินเหลือจ่ายจำนวน  38,000,000  บาท  เพื่อเป็นค่าจัดทำและ
บริหารนิทรรศการในการเข้าร่วมงาน  World Water Expo 2008  (Expo  Zaragoza  2008)  ที่ราชอาณาจักร
สเปน เพิ่มเติม งบประมาณ 38,000,000 บาท

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอให้คงคณะกรรมการ
จำนวน 11 คณะ  โดยปรับปรุงเฉพาะองค์ประกอบของคณะกรรมการจำนวน 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการแห่งชาติ
ว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก   และคณะกรรมการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ปีที่ 50  ประจำจังหวัดทุกจังหวัด  และปรับปรุงทั้งองค์ประกอบและอำนาจ
หน้าที่ของคณะกรรมการจำนวน 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย และคณะกรรมการแก้ไขปัญหา
การบุกรุกแม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสถานการณ์ธรณีพิบัติภัย ประจำวันที่ 23 มิถุนายน 2551 โดย
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า  มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและอ่าว
ไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกมากกว่าภาคอื่น ๆ และมีฝนตกหนักบางพื้นที่  สำหรับพื้นที่ที่
อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภัยดินถล่มในระยะนี้คือ จังหวัดเลย อำเภอปากชม อำเภอเชียงคาน และอำเภอนาแห้ว
จังหวัดเชียงราย อำเภอเชียงของ และอำเภอแม่จัน และจังหวัดน่าน อำเภอเวียงสา  และอำเภอนาน้อย  ส่วนการจัด
ตั้งเครือข่ายแจ้งเหตุธรณีพิบัติ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรธรณี ได้ดำเนินการ
จัดตั้งไปแล้ว 24 จังหวัด และกำลังดำเนินการใน 2 จังหวัด คือ จังหวัดราชบุรี และจังหวัดเพชรบุรี

               คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอให้ยกเลิกมติคณะ
รัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาแหล่งถ่านหิน จำนวน 4 มติ ได้แก่  มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม
2531 วันที่ 5 มิถุนายน 2533 วันที่ 10 มีนาคม 2535 และวันที่ 25 กันยายน 2544 โดยยังคงสงวนพื้นที่แหล่ง
แร่ถ่านหินแอ่งเวียงแหง  จังหวัดเชียงใหม่  และแอ่งสะบ้าย้อย   จังหวัดสงขลา  ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ
ไทย (กฟผ.) พัฒนาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าต่อไปเพื่อกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะได้ดำเนินการ
ประกาศยกเลิกเขตสำหรับดำเนินการสำรวจ การทดลอง  การศึกษา  หรือการวิจัยเกี่ยวกับแร่ถ่านหิน (ลิกไนต์)
ตามความในมาตรา 6 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510  และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป  ทั้งนี้  คณะรัฐมนตรีมีข้อ
สังเกตว่า การที่จะดำเนินการเพื่อพัฒนาแหล่งถ่านหินในบางพื้นที่ที่ประชาชนในพื้นที่ ประชาชนทั่วไป  ตลอดจน
องค์กรเอกชนได้แสดงความห่วงใยเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  และหน่วยงานต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้องควรจะต้อง
ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ให้ชัดเจน ทั่วถึง  เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน  รวมทั้งควร
ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเมื่อมีข้อมูลข้อเท็จจริงเพิ่มมากขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จึงขอให้หน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องรับแนวทางดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับสถาน
การณ์ธรณีพิบัติภัย โดยกรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานสถานการณ์ธรณีพิบัติภัย ประจำวันที่ 16
มิถุนายน 2551 ดังนี้ ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกชุกและมีฝนตกหนาแน่น ส่วนพื้นที่ที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการเกิด
ภัยดินถล่มในระยะนี้ คือ จังหวัดจันทบุรี ที่อำเภอขลุง จังหวัดชุมพร  ที่อำเภอสวี  และอำเภอพะโต๊ะ  และจังหวัดน่าน
ที่อำเภอท่าวังผา  ทั้งนี้  กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  โดยกรมทรัพยากรธรณี  ได้ดำเนินการจัดตั้ง
เครือข่ายแจ้งเหตุธรณีพิบัติภัยไปแล้ว 24 จังหวัด และกำลังดำเนินการ 2 จังหวัด คือ จังหวัดเพชรบุรี และราชบุรี