คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลสถานการณ์น้ำและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ของกระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  สรุปได้ดังนี้  สถานการณ์น้ำในภาพรวม  ช่วงวันที่  21-27  ตุลาคม  2551
ปริมาณฝนตกสูงสุด  10  ลำดับ กระจายในภาคใต้  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  และภาคเหนือ โดยมีฝนตกสูงสุด
58.3 มม./วัน ที่จังหวัดนราธิวาส  ส่วนอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำมากกว่า 85% ขึ้นไป  ได้แก่  เขื่อนแม่งัด จังหวัด
เชียงใหม่ เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์  เขื่อนห้วยหลวง  จังหวัดอุดรธานี  เขื่อนน้ำอูน  จังหวัดสกลนคร  เขื่อนลำ
ปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ เขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น เขื่อนมูลบน เขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำพระเพลิง จังหวัดนคร
ราชสีมา เขื่อนสิรินทร จังหวัดอุบลราชธานี เขื่อนป่าสัก จังหวัดลพบุรี เขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี เขื่อน
ขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก เขื่อนคลองสียัด จังหวัดฉะเชิงเทรา เขื่อนประแสร์  และเขื่อนหนองปลาไหล
จังหวัดระยอง  สำหรับแม่น้ำสายหลักที่มีปริมาณน้ำล้นตลิ่ง  ได้แก่  แม่น้ำยม  ที่บ้านบางระกำ  จังหวัดพิษณุโลก
แม่น้ำชี ที่อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น กิ่งอำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด และอำเภอมหาชนะชัย  จังหวัด
ยโสธร แม่น้ำมูล ที่อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ อำเภอราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอเมือง  จังหวัดอุบลราช
ธานี และคลองดุสน ที่อำเภอเมือง  จังหวัดสตูล  ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือได้ดำเนินการล้างบ่อน้ำตื้น ติด
ตั้งระบบประปาสนามเพื่อบริการน้ำอุปโภค แจกจ่ายน้ำสะอาดเพื่อการบริโภค เป็นต้น

              คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำและการเสนอแนะแนวทางแก้ไขในพื้นที่
น้ำท่วมขัง ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 22-26 ตุลาคม 2551  ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  สรุปได้
ดังนี้
              1. จังหวัดปราจีนบุรี ที่อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอศรีมหาโพธิ์ อำเภอเมือง  และอำเภอบ้านสร้าง คุณภาพ
น้ำต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดให้มีปริมาณออกซิเจนละลายน้ำไม่ต่ำกว่า  6.0  มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ยังไม่ส่งผล
กระทบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ
              2. จังหวัดพิษณุโลก  ที่อำเภอเมือง   คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดให้มีปริมาณออกซิเจนละ
ลายน้ำไม่ต่ำกว่า 4.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
              3. จังหวัดพิจิตร ที่อำเภอบางมูลนาก คุณภาพน้ำต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดให้มีปริมาณออกซิเจน
ละลายน้ำไม่ต่ำกว่า 4.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
              4. จังหวัดนครสวรรค์ ที่อำเภอชุมแสง คุณภาพน้ำต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดให้มีปริมาณออกซิเจน
ละลายน้ำไม่ต่ำกว่า 4.0 มิลลิกรัมต่อลิตร และที่บริเวณอำเภอเมือง คุณภาพน้ำต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดให้
มีปริมาณออกซิเจนละลายน้ำไม่ต่ำกว่า 6.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
              5. จังหวัดสิงห์บุรี คุณภาพน้ำต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดให้มีปริมาณออกซิเจนละลายน้ำไม่ต่ำกว่า
6.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
              6. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่อำเภอบางบาล  คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดให้มีปริมาณ
ออกซิเจนละลายน้ำไม่ต่ำกว่า  6.0  มิลลิกรัมต่อลิตร    และที่อำเภอบางไทร   คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่
กำหนดให้มีปริมาณออกซิเจนละลายน้ำไม่ต่ำกว่า 4.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
              สำหรับการดำเนินงานแก้ไขในส่วนของพื้นที่น้ำท่วมขังและเน่าเสีย นั้น ได้ทุเลาปัญหาลงเนื่องจากมีการ
ระบายน้ำออกสู่แหล่งน้ำข้างเคียง  และระบายลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ   คุณภาพน้ำเริ่มปรับสภาพเข้าสู่สภาวะปกติ
นอกจากนี้ กรมชลประทานได้เร่งระบายน้ำจากพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังออกสู่แหล่งน้ำลำคลองธรรมชาติ และสภาวะน้ำ
โดยภาพรวมเริ่มปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติ

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการปลูก
ฟื้นฟูป่า ครั้งที่ 12/2551 โดยผลการดำเนินงานสะสมจนถึง ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2551 มีการปลูกและฟื้นฟูป่า
จำนวนรวมทั้งสิ้น  220,653.44  ไร่  ประกอบด้วย การปลูกในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน  96,909.44  ไร่
การปลูกในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน 81,943 ไร่ การปลูกป่าในพื้นที่ป่าชายเลน จำนวน  30,466  ไร่  และการ
ปลูกป่าในพื้นที่สวนป่าขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จำนวน  11,335.00  ไร่  ส่วนการปลูกป่าตามโครงการ
"ทส.สัญจร  ปลูกป่า  พลิกฟื้นผืนป่าด้วยพระบารมี"  ใน  17  พื้นที่ 15 จังหวัด  มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,666 ไร่/
418,355  ต้น  รวมทั้งการส่งเสริมการปลูกป่า  (แจกกล้าไม้)  ของหน่วยงานต่าง ๆ จำนวนรวมทั้งสิ้น 172.95
ล้านกล้า/612,361 ไร่ ประกอบด้วย กรมป่าไม้ จำนวน 110.22 ล้านกล้า/341,581 ไร่  กรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่าและพันธุ์พืช  จำนวน  57.46  ล้านกล้า/ 256,368  ไร่  และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จำนวน
4.53 ล้านกล้า/10,737 ไร่ สำหรับการปลูกป่าร่วมกับภาคเอกชน ภาคประชาชน และหน่วยงานรัฐอื่นที่ได้ร่วม
ปลูกป่า และร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการปลูกฟื้นฟูป่ากับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด
ล้อม มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 22,934.00 ไร่/4,817,454 ต้น

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าพุยางและป่าพุสามซ้อน ป่า
ฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี และป่ากงเกวียน ในท้องที่ตำบลอ่างหิน ตำบลทุ่งหลวง ตำบลยางหัก อำเภอปากท่อ ตำบลหนอง
พันจันทร์ ตำบลบ้านคา และตำบลบ้านบึง อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี ให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ มีสาระสำคัญคือ กำหนดบริเวณที่ดินป่าพุยางและป่าพุสามซ้อน
ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี และป่ากงเกวียน ในท้องที่ตำบลอ่างหิน ตำบลทุ่งหลวง  ตำบลยางหัก  อำเภอปากท่อ  ตำบล
หนองพันจันทร์ ตำบลบ้านคา และตำบลบ้านบึง  อำเภอบ้านคา  จังหวัดราชบุรี  ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ  (อุทยาน
แห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน)  และส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา   แล้วดำเนินการต่อ
ไปได้

              คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลรายงานผลการดำเนินงานโครงการ "จากวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้าง
สามัคคี" ครั้งที่  2/2551  (ประจำเดือนกันยายน)  โดยจัดทำปฏิทินดำเนินกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความสมัคร
สมานสามัคคีของประชาชนชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 1 กันยายน - 3 ธันวาคม 2551  ของกระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสร็จเรียบร้อย  ซึ่งประกอบด้วย  ผลการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัด
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 4 หน่วยงาน ดังนี้
              1. สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่น กิจกรรม
ฟังธรรมเทศนา กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ และสร้างความสามัคคีในภาคต่าง ๆ
              2. สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  จัดกิจกรรมกระทรวงทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสัญจรปลูกป่า พลิกฟื้นผืนป่าด้วยพระบารมี  ภาคีรักษ์คลองแม่ลำพัน  จังหวัดสุโขทัย
              3. กรมควบคุมมลพิษ จัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสามัคคีของเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ หน่วยงาน
ภาครัฐ  ภาคเอกชน  และประชาชน เช่น กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "รู้เท่าทันสารเคมี" กิจกรรมวันอนุ
รักษ์และพัฒนาคลองวัดประดู่ เป็นต้น
              4. กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม จัดกิจกรรมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม  เช่น  กิจกรรมประสานใจ สส.
ร่วมปลูกต้นไม้  การประกวดสร้างสิ่งประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้ ปี 2551 ระดับประเทศ และ Clean up สส. โดย
ทุกสำนัก/ศูนย์/กอง ทำความสะอาดภายในหน่วยงาน ซึ่งเป็นกิจกรรม 5 ส. ประจำปี

             คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลสถานการณ์น้ำและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ของกระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  สรุปได้ดังนี้  สถานการณ์น้ำในภาพรวม  ช่วงวันที่ 14 - 17 ตุลาคม 2551
ปริมาณฝนตกสูงสุด 10 ลำดับ กระจายในภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตก โดยมี
ฝนตกสูงสุด 85.0 มม./วัน ที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ส่วนอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำมากกว่า 85% ขึ้น
ไป ได้แก่ เขื่อนแม่งัด จังหวัดเชียงใหม่ เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เขื่อนห้วยหลวง จังหวัดอุดรธานี  เขื่อนน้ำอูน
จังหวัดสกลนคร  เขื่อนลำปาว  จังหวัดกาฬสินธุ์  เขื่อนอุบลรัตน์  จังหวัดขอนแก่น  เขื่อนมูลบน  เขื่อนลำตะคอง
และเขื่อนลำพระเพลิง จังหวัดนครราชสีมา เขื่อนสิรินทร จังหวัดอุบลราชธานี  เขื่อนป่าสัก  จังหวัดลพบุรี  เขื่อน
ศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี เขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก  เขื่อนคลองสียัด  จังหวัดฉะเชิงเทรา
เขื่อนประแสร์ และเขื่อนหนองปลาไหล จังหวัดระยอง สำหรับแม่น้ำสายหลักที่มีปริมาณน้ำล้นตลิ่ง ได้แก่ แม่น้ำ
ยม ที่บ้านบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก แม่น้ำชี ที่อำเภอมัญจาคีรี  อำเภอเมือง  จังหวัดขอนแก่น
อำเภอโกสุมพิสัย อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม  กิ่งอำเภอทุ่งเขาหลวง  จังหวัดร้อยเอ็ด  และอำเภอมหาชนะ
ชัย จังหวัดยโสธร และแม่น้ำมูล ที่อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ  และอำเภอเมือง
จังหวัดอุบลราชธานี ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือได้ดำเนินการล้างบ่อน้ำตื้น ติดตั้งระบบประปาสนามเพื่อ
บริการน้ำอุปโภค แจกจ่ายน้ำสะอาดเพื่อการบริโภค เป็นต้น

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการปลูกฟื้นฟู
ป่า ครั้งที่ 11/2551  โดยผลการดำเนินงานสะสมจนถึง ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2551 มีการปลูกและฟื้นฟูป่าจำนวน
รวมทั้งสิ้น 220,653.44 ไร่ ประกอบด้วย  การปลูกในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 96,909.44 ไร่  การปลูกใน
พื้นที่ป่าอนุรักษ์จำนวน 81,943 ไร่ การปลูกป่าในพื้นที่ป่าชายเลนจำนวน  30,466  ไร่  และการปลูกป่าในพื้นที่
สวนป่าขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) จำนวน 11,335.00 ไร่ ส่วนการปลูกป่าตามโครงการ "ทส.สัญจร
ปลูกป่า พลิกฟื้นผืนป่าด้วยพระบารมี" ใน  17  พื้นที่  15  จังหวัด  มีจำนวนรวมทั้งสิ้น  1,666  ไร่/418,355 ต้น
รวมทั้งการส่งเสริมการปลูกป่า (แจกกล้าไม้) ของหน่วยงานต่างๆ จำนวนรวมทั้งสิ้น 171.98 ล้านกล้า/607,511
ไร่  ประกอบด้วย กรมป่าไม้ จำนวน  109.97  ล้านกล้า/340,331  ไร่  กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช
จำนวน 57.46 ล้านกล้า/256,368 ไร่  และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จำนวน 4.53 ล้านกล้า/10,737
ไร่  สำหรับการปลูกป่าร่วมกับภาคเอกชน  ภาคประชาชน  และหน่วยงานรัฐอื่นที่ได้ร่วมปลูกป่า รวมทั้งได้ร่วมลง
นามข้อตกลงความร่วมมือโครงการปลูกฟื้นฟูป่ากับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีจำนวนรวมทั้ง
สิ้น 23,495.00 ไร่/5,520,708 ต้น

            คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับรายงานผลการเข้า
ร่วมงาน  Expo Zaragoza 2008  ณ ประเทศสเปน  ระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน-14 กันยายน 2551  ณ เมืองซารา
โกซา ประเทศสเปน  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงเจริญพระ
ชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2550  และในวโรกาสที่ทรงได้รับพระราชสมัญญา "พระบิดาแห่ง
การจัดการทรัพยากรน้ำ" และเผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อวิถีชีวิต วัฒนธรรม
ขนบธรรมเนียมประเพณี  ตลอดจนนวัตกรรมไทยในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน  และกระชับความ
สัมพันธ์ไทย-สเปน  ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น  มีประเทศต่าง  ๆ  ร่วมจัดงาน  105  ประเทศ  มีผู้เข้าชมงานจำนวนทั้งสิ้น
5,519,452 คน ซึ่งประเทศไทยได้จัดนิทรรศการและกิจกรรมต่าง ๆ ณ ศาลาไทย  มีเนื้อที่ประมาณ  389  ตาราง
เมตร มีผู้สนใจเข้าชมนิทรรศการ ณ ศาลาไทย จำนวน  742,461  คน  ได้รับรางวัลที่ 2  ประเภทแนวความคิด ใน
กลุ่มประเทศที่มีพื้นที่จัดงานน้อยกว่า 500 ตารางเมตร  บรรลุวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่พระอัจฉริยภาพของพระ
บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกระชับความสัมพันธ์ไทย-สเปน ให้แน้นแฟ้นยิ่งขึ้น  ในการนี้ทูลกระหม่อมหญิงอุบล
รัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จเยือนศาลาไทยเป็นการส่วนพระองค์ ในวันที่  12  กันยายน  2551  และ
ทรงชื่นชมศาลาไทย โดยเฉพาะห้องแสดงนิทรรศการความสัมพันธ์ไทย-สเปน

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนิน
งานโครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค ระยะที่ 1  (16 จังหวัดนำร่อง)  สรุปได้ดังนี้  กระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้โอนงบประมาณ จำนวน 3,174,990,000 บาท  ให้แก่องค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นเพื่อดำเนินการก่อสร้าง/ปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน จำนวน 3,256 โครงการ โดยองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นขอเลิก  28  โครงการ  คงเหลือที่ดำเนินการจริง จำนวน 3,228 โครงการ  งบประมาณ 3,075,095,860
บาท โดยก่อสร้าง/ปรับปรุงแล้วเสร็จ จำนวน 3,225 โครงการ  ผู้รับจ้างทิ้งงาน จำนวน 3 โครงการ  สำหรับการ
ติดตามผลประเมินผลด้านงานก่อสร้าง การใช้งานระบบประปา ความพึงพอใจของผู้ใช้น้ำและผู้ปฏิบัติงานในภาพ
รวมอยู่ในเกณฑ์ดี มีเรื่องคุณภาพน้ำประปาที่ต้องควบคุมให้ได้มาตรฐาน และในส่วนของผลสัมฤทธิ์ของการดำเนิน
งานโครงการ จำนวน 3,228 โครงการ  สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค รวมทั้งยกระดับคุณ
ภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนในพื้นที่ 16 จังหวัดนำร่อง ได้ถึงจำนวน 3,244 หมู่บ้าน  มีประชากรที่ได้รับประโยชน์
จำนวน 1,385,152 คน

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอการเป็นเจ้าภาพจัดการ
ประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม 5 ประเทศ เรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน  (The  Meeting  of  the  Sub-Regional
Ministerial Steering Committee (MSC) on Transboundary Haze Pollution)  ครั้งที่ 5  และการประชุมคณะทำงาน
ภายใต้รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม 5 ประเทศ เรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (The Meeting of the Technical Working
Group (TWG) on Transboundary Haze Pollution) ครั้งที่ 6 ในเดือนตุลาคม 2551 ณ จังหวัดภูเก็ต

               คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลสถานการณ์น้ำและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ของกระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  สรุปได้ดังนี้  สถานการณ์น้ำ ช่วงวันที่ 7-10 ตุลาคม 2551  ปริมาณฝนตก
สูงสุด 10 อันดับ กระจายในภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก  และภาคเหนือ  โดยมีฝนตกสูงสุด  37.7  มม./วัน
ที่อำเภอมือง  จังหวัดพัทลุง  ส่วนอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำมากกว่า 85% ขึ้นไป  มี  12  แห่ง  และอ่างเก็บน้ำที่มี
ปริมาณน้ำ 80% ถึง 85%  มี 7 แห่ง  สำหรับแม่น้ำสายหลักที่มีปริมาณน้ำล้นตลิ่ง  ได้แก่  แม่น้ำยม  ที่บ้านบาง
ระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก แม่น้ำป่าสัก ที่อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์  แม่น้ำชี  ที่อำเภอเมือง
จังหวัดชัยภูมิ อำเภอมัญจาคีรี อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น  อำเภอโกสุมพิสัย  อำเภอเมือง  จังหวัดมหาสารคาม
กิ่งอำเภอทุ่งเขาหลวง  จังหวัดร้อยเอ็ด  และอำเภอมหาชัยชนะ   จังหวัดยโสธร   และแม่น้ำมูล  ที่อำเภอเฉลิมพระ
เกียรติ จังหวัดนครราชสีมา อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอเมือง  จังหวัด
อุบลราชธานี  ในส่วนของพื้นที่ประสบอุทกภัย ช่วงวันที่ 7-10 ตุลาคม 2551  มีพื้นที่ประสบภัย 8 จังหวัด ได้แก่
จังหวัดพิษณุโลก อุบลราชธานี ยโสธร บุรีรัมย์ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา  และปราจีนบุรี  ด้านการให้ความ
ช่วยเหลือ   กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย  โดยการ
ล้างบ่อน้ำตื้น   ติดตั้งระบบประปาสนามเพื่อบริการน้ำอุปโภค   แจกจ่ายน้ำสะอาดเพื่อการบริโภค   เตือนภัยน้ำ
หลาก และแจกถุงยังชีพ

             คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลสถานการณ์ธรณีพิบัติภัย ประจำวันที่  13  ตุลาคม  2551  ของกระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  สรุปได้ดังนี้  สภาพอากาศ  ภาคเหนือมีฝนตกเป็นแห่ง ๆ  และมีอากาศเย็น
ในตอนเช้า ภาคใต้มีฝนกระจาย ส่วนพื้นที่ที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภัยดินถล่มในระยะนี้คือ อำเภอทับสะแก
อำเภอบางสะพาน อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อำเภอพะโต๊ะ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร  อำเภอ
บ้านนาสาร อำเภอคีรีรัฐนิคม  อำเภอวิภาวดี  จังหวัดสุราษฎร์ธานี  และอำเภอพิปูน  อำเภอร่อนพิบูลย์  อำเภอ
ลานสกา   อำเภอนบพิตำ   จังหวัดนครศรีธรรมราช   ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  โดยกรม
ทรัพยากรธรณี กำลังประสานงานโดยตรงกับเครือข่าย ฯ ในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

               คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลสถานการณ์น้ำและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ของกระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  สรุปได้ดังนี้  สถานการณ์น้ำ ช่วงวันที่ 4-8 ตุลาคม 2551 ปริมาณฝนตกสูง
สุด 10 ลำดับ  กระจายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ภาคเหนือ  ภาคกลาง  และภาคตะวันตก  โดยมีฝนตกสูงสุด
110.0 มม./วัน ที่อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ส่วนอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำมากกว่า 85% ขึ้นไป ได้แก่ เขื่อน
แม่งัด จังหวัดเชียงใหม่ เขื่อนห้วยหลวง จังหวัดอุดรธานี  เขื่อนน้ำอูน  จังหวัดสกลนคร  เขื่อนลำปาว  จังหวัดกาฬ
สินธุ์ เขื่อนสิรินทร จังหวัดอุบลราชธานี เขื่อนอุบลรัตน์  จังหวัดขอนแก่น  เขื่อนลำพระเพลิง  จังหวัดนครราชสีมา
เขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี  เขื่อนขุนด่านปราการชล  จังหวัดนครนายก  เขื่อนคลองสียัด  จังหวัดฉะเชิง
เทรา  เขื่อนประแสร์  จังหวัดระยอง  และเขื่อนหนองปลาไหล  จังหวัดระยอง   สำหรับแม่น้ำสายหลักที่มีปริมาณ
น้ำล้นตลิ่ง ได้แก่  แม่น้ำยม  ที่บ้านบางระกำ อำเภอบางระกำ  จังหวัดพิษณุโลก  แม่น้ำป่าสัก  ที่อำเภอวิเชียรบุรี
จังหวัดเพชรบูรณ์  แม่น้ำชี  ที่อำเภอเมือง  จังหวัดชัยภูมิ  อำเภอมัญจาคีรี  อำเภอเมือง  จังหวัดขอนแก่น  อำเภอ
โกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม กิ่งอำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด และอำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร  และ
แม่น้ำมูล ที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ  จังหวัดนครราชสีมา  อำเภอสตึก  จังหวัดบุรีรัมย์  อำเภอราศีไศล  จังหวัดศรี
สะเกษ และอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี  ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือได้ดำเนินการล้างบ่อน้ำตื้น ติดตั้ง
ระบบประปาสนามเพื่อบริการน้ำอุปโภค แจกจ่ายน้ำสะอาดเพื่อการบริโภค เป็นต้น

               คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลสถานการณ์ธรณีพิบัติภัย ประจำวันที่ 8 ตุลาคม 2551 ของกระทรวงทรัพยา
กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สรุปได้ดังนี้ สภาพอากาศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนลดน้อยลง ส่วนภาคเหนือ ภาค
กลาง และภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองกระจายในระยะนี้  สำหรับพื้นที่ที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภัยดินถล่มใน
ระยะนี้คือ  อำเภอแม่จัน  จังหวัดเชียงราย   อำเภอแม่ทา  อำเภอบ้านโฮ่ง  จังหวัดลำพูน   อำเภอเถิน  จังหวัดลำปาง
อำเภอเมืองแพร่ อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์  อำเภอลับแล  จังหวัดอุตรดิตถ์  และอำเภอทุ่งเสลี่ยม
อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย

               คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับรายงานผลการ
ปลูกฟื้นฟูป่า ครั้งที่ 10/2551 โดยผลการดำเนินงานสะสมจนถึง ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 มีการปลูกและฟื้น
ฟูป่า จำนวนรวมทั้งสิ้น 419,050.69 ไร่ ประกอบด้วย การปลูกในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 96,909.44 ไร่
การปลูกในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน  71,293  ไร่ การปลูกป่าในพื้นที่ป่าชายเลน จำนวน  29,516  ไร่  และการ
ปลูกป่าในพื้นที่สวนป่าขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.)  จำนวน  11,335  ไร่  ส่วนการปลูกป่าตามโครง
การ  "ทส.สัญจร ปลูกป่าพลิกฟื้นผืนป่าด้วยพระบารมี"  ใน 17 พื้นที่ 15 จังหวัด  มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,666 ไร่/
418,355  ต้น  รวมทั้งการส่งเสริมการปลูกป่า  (แจกกล้าไม้)  ของหน่วยงานต่าง ๆ  จำนวนรวมทั้งสิ้น 171.24
ล้านกล้า/603,861 ไร่  สำหรับการปลูกป่าร่วมกับภาคเอกชน ภาคประชาชน และหน่วยงานรัฐอื่นที่ได้ร่วมปลูก
ป่า และร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการปลูกฟื้นฟูป่ากับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมี
จำนวนรวมทั้งสิ้น 208,794.25 ไร่/41,989,454 ต้น