ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 106 จากทั้งหมด 109 หน้า แสดงรายการที่ 2101 - 2120 จากข้อมูลทั้งหมด 2165 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2101 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (จำนวน 6 ราย) | ทส | 16/09/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่การกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งกรรมการอื่น
ในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จำนวน 6 คน ได้แก่ นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ นายบุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ พลโท พิชาญเมธ ม่วงมณี นายสมใจ เจริญวิริยะภาพ และนายยืนยง ทัศนศรี ผู้แทนกระทรวงการคลัง โดยให้แต่งตั้งตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (16 กันยายน 2546) เป็นต้นไป |
||||||||||||||||||
2102 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี รายงานการใช้จ่ายเงินกู้ : โครงการกองทุนสิ่งแวดล้อม ระยะที่ 1 (ครั้งที่ 13) | ทส | 02/09/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานการใช้จ่ายเงินกู้
โครงการกองทุนสิ่งแวดล้อม ระยะที่ 1 ครั้งที่ 13 ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2546 โดยผลการบริหารโครงการ กองทุนสิ่งแวดล้อม (ระยะที่ 1) ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินกู้ได้หมดทันตามระยะเวลาที่กำหนดไว้เดิม (19 มกราคม 2546) เนื่องจากมีโครงการน้ำเสีย จ. สมุทรปราการ และเทศบาลเมืองมุกดาหาร โครงการขยะเทศบาลนคร ยะลา และเทศบาลตำบลอ้อมใหญ่ ที่ไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงาน และแผนการเบิก จ่ายเงินที่กำหนดไว้ ซึ่งล่าช้าไปประมาณ 20 เดือน โดยคาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายเงินกู้ JBIC งวดสุดท้ายได้ใน เดือนกันยายน 2547 ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สำนักงานนโยบาย และแผนสิ่งแวดล้อมเดิม) ได้ประสานกับ JBIC ผ่านกระทรวงการคลัง เพื่อขอขยายเวลาออกไปอีก 20 เดือน (20 มกราคม 2546-19 กันยายน 2547) รวมทั้งได้ประสานแจ้งสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และ JBIC เพื่อขอขยายระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่ายเงินกู้ ภายใต้โครงการกองทุนสิ่งแวดล้อมออกไปอีกเพียง 1 ปี จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 19 มกราคม 2546 เป็นสิ้นสุดในวันที่ 19 มกราคม 2547 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนิน งานโครงการที่ได้มีการผูกพันและลงนามในสัญญาไว้แล้ว และคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในวันที่ 19 มกราคม 2547 ซึ่งได้แก่ โครงการว่าจ้างแบบเหมารวม (Turnkey) เพื่อการออกแบบรวมก่อสร้างระบบรวบรวม และบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ และโครงการก่อสร้างระบบกำจัดมูลฝอย เทศบาล นครยะลา ซึ่งบัดนี้สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้ตอบตกลงให้ขยายเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่าย เงินกู้ตามที่เสนอแล้ว
|
||||||||||||||||||
2103 | การปรับปรุงคณะกรรมการโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง | ทส | 02/09/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ประธานกรรมการทรัพยากรน้ำ
แห่งชาติเสนอเกี่ยวกับการปรับปรุงคณะกรรมการโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง โดยเปลี่ยนชื่อคณะกรรมการโครงการ พัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง เป็น คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม [(ผู้แทนไทยในคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) (Member of the MRC Council for Thailand)] เป็น ประธานกรรมการ และกรรมการอื่นอีก 22 คน โดยมีอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ [(ผู้แทนถาวรไทยสำรองในคณะกรรม การร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) (Alternate Member of the MRC joint Committee for Thailand)] เป็นกรรม การและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ ตัดสิน กำหนดแนวนโยบาย ท่าที และบทบาทของประเทศไทยที่เกี่ยวกับพันธ กรณี และโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ทำหน้าที่เป็น Thai National Mekong Committee Secretariat (TNMCS) ฯลฯ และให้กรมทรัพยากรน้ำ ทำหน้าที่เป็นสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย เป็นหน่วยงานกลาง ฝ่ายไทย (Focal Piont) ประสานงานกับสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขง คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติ ประเทศภาคี (ลาวกัมพูชา และเวียดนาม) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย ฯลฯ สำหรับองค์ประกอบคณะ ผู้แทนไทย ในคณะมนตรีและคณะกรรมการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนไทยในคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ปลัดกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนถาวรไทยในคณะกรรมการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และอธิบดีกรมทรัพยากร น้ำ ผู้แทนถาวรไทยสำรองในคณะกรรมการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
|
||||||||||||||||||
2104 | การจัดตั้งศูนย์บริการประชาชนของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ | ทส | 02/09/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนินการ
จัดตั้งศูนย์บริการประชาชนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ โดยได้ดำเนินการให้บริการข้อ มูลแก่ประชาชนผ่านทางเว็บไซต์และทางโทรศัพท์ของหน่วยงาน ในส่วนของกรมควบคุมมลพิษมีการให้บริการโทร ศัพท์สายด่วน หมายเลข 1650 เพื่อรับแจ้งเหตุฉุกเฉินจากอุบัติภัยด้านสารเคมี เรื่องร้องเรียนด้านมลพิษ ข้อมูล การระงับภัยสารเคมีเบื้องต้น นอกจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ได้จัดทำโครงการศูนย์บริการประชาชน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการให้บริการข้อมูลข่าวสารทางราชการสู่ประชาชน และรับเรื่องราวร้องทุกข์และแก้ไขปัญหา ของประชาชนผ่านทางจดหมาย ตู้ไปรษณีย์ (ตู้ ปณ 344) เว็บไซต์ (www.mnre.go.th) โทรศัพท์สายด่วน โทรศัพท์ โทรสาร วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ร้องเรียนด้วยตัวเอง และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง โดยมีศูนย์เทคโนโลยีสาร สนเทศและการสื่อสารเป็นศูนย์บริการประชาชนของกระทรวง ในการให้บริการข้อมูลข่าวสารเพื่อประสานงานกับ ศูนย์บริการประชาชนของส่วนราชการในสังกัด ผ่านระบบเครือข่ายการสื่อสารของกระทรวง ทั้งนี้ ได้กำหนดแผน การดำเนินงานเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ระหว่าง สิงหาคม-ธันวาคม 2546 (5 เดือน) จัดทำโครงการ แต่ง ตั้งคณะทำงาน การวางระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายการสื่อสารและระบบบริการข้อมูลข่าวสารและรับเรื่องราวร้อง ทุกข์ และระยะที่ 2 มกราคม-กันยายน 2547 (9 เดือน) นำข้อมูลที่ได้รับจากการประเมินผลการดำเนินการ ของการจัดตั้งศูนย์บริการประชาชนมาใช้ปรับปรุงการให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมาก ขึ้น และการขยายเครือข่ายสู่หน่วยงานในภูมิภาค |
||||||||||||||||||
2105 | แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 (เพิ่มเติม) | ทส | 02/09/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรมการสิ่ง
แวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2546 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2546 ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ตกลง ในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังพิจารณาขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินงบ ประมาณเหลื่อมปีให้กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ สำหรับมติของคณะกรรมการ ฯ มีดังนี้ เห็นชอบแผนปฏิบัติ การเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 (เพิ่มเติม) จำนวน 2 โครงการ โดยใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อมภายใต้โครงการถ่ายโอนการสนับสนุนแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระ ดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 รวมวงเงินงบประมาณ 105,908,412 บาทได้แก่ โครงการปรับปรุง ฟื้นฟูระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภายใต้แผนฟื้นฟูและปรับปรุงระบบรวบรวม และบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนทั่วประเทศ รวม 16 พื้นที่ ใน 13 จังหวัด รวม 16 โครงการ วงเงินรวม 37,837,762 บาท และโครงการแก้ไขปัญหาโครงการจัดการน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ ของกรมควบคุม มลพิษ 3 โครงการ วงเงินรวม 68,070,650 บาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ เป็นไปตามระเบียบสำนักงบประมาณ และให้สำนักงานนโยบายและแผน ฯ นำแผนปฏิบัติการดังกล่าวเสนอคณะ รัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและอนุมัติงบประมาณดำเนินการ รวมทั้งมอบให้กระทรวงการคลังพิจารณา ระยะเวลาการเบิกจ่ายงบประมาณเหลื่อมปี ไม่เกินเดือนมีนาคม พ.ศ. 2547 ได้เป็นกรณีพิเศษ |
||||||||||||||||||
2106 | ผลการประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหา กรณีราษฎรเข้าครอบครองสวนปาล์มในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่เอกชนขอใช้ประโยชน์ | ทส | 26/08/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เสนอสรุปผลการประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหากรณีราษฎรเข้าครอบครองสวนปาล์มในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ที่เอกชนขอใช้ประโยชน์ สรุปได้ดังนี้ ที่ประชุมได้มีมติให้เร่งรัดการสำรวจพื้นที่ที่เอกชนขอใช้ประโยชน์ทุกพื้นที่ทั้ง ที่หมดอายุและยังไม่หมดอายุการอนุญาต โดยมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กระบี่ และนครศรี ธรรมราช แต่งตั้งคณะทำงานประกอบด้วยผู้แทนจากส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ได้รับอนุญาต ให้เช่าและผู้แทนภาคประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อให้ได้ข้อมูลพื้นฐานที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน และให้ดำเนินการให้ แล้วเสร็จภายใน 15 วัน แล้วนำผลการดำเนินการดังกล่าวมาพิจารณาวางกรอบและแนวทางในการดำเนินการ เกี่ยวกับการให้เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเป็นธรรมต่อไป โดยแนวทางในการดำเนินการเกี่ยวกับการ ให้เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ นั้น ในส่วนของพื้นที่ที่ยังไม่หมดอายุการอนุญาต หากผิดเงื่อนไขการอนุญาต ก็ให้ พิจารณายกเลิกการอนุญาตการเข้าทำประโยชน์ ให้เพิ่มข้อความต่อท้ายว่า "ทั้งนี้ ให้พิจารณาถึงผลอาสินของผู้ รับอนุญาตตามข้อเท็จจริงด้วยความเป็นธรรม และตามเงื่อนไขการอนุญาตและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่ง ครัด โดยรัฐจะไม่มีการจ่ายค่าชดเชยใด ๆ"
|
||||||||||||||||||
2107 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การลดการใช้พลาสติกและโฟม | ทส | 19/08/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ
รายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการลดการใช้พลาสติกและโฟม โดยได้แจ้งมติที่ประชุม เรื่อง การลดการใช้ พลาสติกและโฟม เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2546 ไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานในสังกัดกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติ ฯ เพื่อให้ดำเนินงานตามมาตรการต่าง ๆ ทั้งนี้ ได้ประเมินผลและรวบรวมข้อมูลตามแผน ติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรการลดการใช้พลาสติกและโฟม จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมาตร การระยะสั้น ได้แก่ มาตรการจัดการพลาสติกและโฟมในอุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ มาตร การด้านการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ และมาตรการด้านเทคโนโลยี จะรายงานความก้าวหน้าทุก 2 เดือน และ สรุปผลการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวภายใน 6 เดือน ส่วนมาตรการระยะยาว ได้แก่ มาตรการจัดการ พลาสติกและโฟมในห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ มาตรการข้อกำหนดผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปทำจากพลาสติก ใช้แล้วมาตรการด้านภาษี และมาตรการด้านกฎหมาย จะรายงานความก้าวหน้าทุก 4 เดือน ตามความเหมาะสม |
||||||||||||||||||
2108 | ขอนำเสนอร่างข้อตกลงความร่วมมือการวิจัยและการอนุรักษ์หมีแพนด้า | ทส | 19/08/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) ประธานคณะกรรม
การอำนวยการโครงการวิจัยและจัดแสดงหมีแพนด้าในประเทศไทยเสนอร่างข้อตกลงความร่วมมือการวิจัยและ การอนุรักษ์หมีแพนด้าระหว่างสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า สาธารณรัฐประชาชนจีน และองค์การสวนสัตว์ โดยให้ กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจลงนาม (Full powers) ให้ประธานกรรมการองค์การสวน สัตว์ เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือ ฯ ฝ่ายไทยต่อไป |
||||||||||||||||||
2109 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2546 | ทส | 13/08/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2546 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2546 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้การรับรองแล้ว รวม 9 เรื่อง ประกอบด้วย เรื่องสืบเนื่องเพื่อพิจารณา 1 เรื่อง ได้แก่ การเตรียมความพร้อมการดำเนินงานด้าน ความหลากหลายทางชีวภาพ เรื่องเพื่อพิจารณา 3 เรื่อง ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานคุณภาพดิน ผลการประชุม คณะมนตรีประศาสน์การโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 22 และการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม โลก สมัยที่ 4 และการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณาผู้มีสิทธิขอรับใบอนุญาตทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเรื่องเพื่อทราบ 5 เรื่อง ได้แก่ การจัดการภาวะฉุกเฉินจากอุบัติภัยสารเคมีเชิงบูรณาการ รายงานสรุป ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการก่อสร้างเครื่องปฏิกรณ์ ปรมาณูวิจัย ตำบลทรายมูล อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก การสนับสนุนการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ จากเตาเผาศพ รายงานความก้าวหน้าการปรับปรุงระบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการดำเนินงาน ตามกลไกการพัฒนาที่สะอาดภายใต้พิธีสารเกียวโต
|
||||||||||||||||||
2110 | ขออนุมัติเงินงบประมาณงบกลาง พ.ศ. 2546 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลให้แก่ราษฎรที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และ เรื่อง ขอเว้นงบประมาณปี พ.ศ. 2546 เพิ่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลให้แก่ราษฎรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค | ทส | 13/08/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานการประชุมเพื่อ
พิจารณาแนวทางการดำเนินการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลให้แก่ราษฎรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคและบริโภค โดยให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพเชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาประชุมร่วมกันให้ได้ข้อ ยุติโดยด่วน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า โดยที่การซ่อมและการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลดังกล่าวซึ่งถือเป็นภารกิจหนึ่งที่ส่วนกลางได้ถ่ายโอนให้แก่ท้องถิ่น แล้ว และท้องถิ่นสามารถจะพิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการเรื่องนี้ร่วมกับภารกิจอื่น ๆ ที่ท้อง ถิ่นประสงค์จะดำเนินการ โดยใช้งบประมาณหมวดเงินอุดหนุนทั่วไปที่ท้องถิ่นได้รับการจัดสรรไว้แล้วได้ตาม ความจำเป็นเหมาะสมของท้องถิ่นเอง ดังนั้น บทบาทของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรม ทรัพยากรธรณี) จึงควรเป็นผู้แจ้งข้อมูลทางวิชาการที่กรมทรัพยากรธรณีได้จัดสำรวจไว้แล้ว ให้แต่ละท้องถิ่น ได้ทราบว่า ท้องถิ่นใดมีความเหมาะสมจะขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลหรือไม่ เพียงใด เพื่อประกอบการพิจารณา ดำเนินการในเรื่องนี้ของท้องถิ่น ตลอดจนเป็นผู้สนับสนุนทางด้านเทคนิค วิชาการ โดยระยะเริ่มแรกให้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ เข้าไปเสริมหรือร่วมมือกับท้องถิ่นเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและตอบ สนองความต้องการของประชาชนในบางพื้นที่ สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลดัง กล่าวให้ใช้จ่ายจากงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โดยให้สำนักงบประมาณปรับเพิ่มวงเงินงบ ประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ สำหรับรายการค่าใช้จ่าย ขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล จำนวน 6,000 บ่อ วงเงินรวม 685,448,000 บาท แล้วให้นำเสนอคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ จัดเตรียมความพร้อมของบุคลากรและเครื่องมืออุปกรณ์ในการขุดเจาะบ่อ น้ำบาดาล โดยให้กระจายความพร้อมดังกล่าวไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่มีปัญหาภัยแล้ง และมีความต้องการขุด เจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อให้สามารถประสานและดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||
2111 | กำหนดมาตรการคุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ตามมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 | ทส | 13/08/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 ที่มีมติเห็นชอบ
ในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมาตรการคุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยให้รับข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณา ดำเนินการต่อไปด้วย และมอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ เป็นเจ้าของเรื่องร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัด ประชุมเพื่อกำหนดมาตรการและรายละเอียดของแผนปฏิบัติการร่วม (Action Plan) ของพื้นที่ดังกล่าวในระยะเวลา 3 ปี และปรับปรุงแก้ไขบัญชีแนบท้ายที่กำหนดรายชื่อสารเคมีอันตรายร้ายแรงและปริมาณการครอบครองให้ตรง กับสภาพการณ์ความเป็นจริง และเป็นปัจจุบันก่อน แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเข้า การขนส่ง การเก็บรักษาสินค้า สารเคมี และ วัตถุอันตรายร้ายแรงจากการนำเข้าสินค้า ฯ ขนส่งที่ท่าเรือคลองเตย เปลี่ยนเป็นให้ไปขนส่งที่ท่าเรือแหลมฉบังต่อ ไป นอกจากนี้ ให้กรุงเทพมหานคร (เขตคลองเตย) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งรับผิดชอบในการดูแลเรื่อง สิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาดำเนินการจัดระเบียบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่ที่จะดำเนินมาตรการคุ้ม ครองสิ่งแวดล้อม ฯ เป็นระยะเวลา 3 ปี หากสามารถบริหารจัดการจัดระเบียบในพื้นที่ได้เป็นที่เรียบร้อยตามมาตร การคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแล้ว ก็ให้รายงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาต่อไป โดยอาจจะพิจารณายก เลิกการประกาศเขตคลองเตยเป็นพื้นที่ซึ่งมีปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อมรุนแรงเข้าขั้นวิกฤตได้ต่อไป |
||||||||||||||||||
2112 | ขอเงินงบประมาณ ปี พ.ศ. 2546 เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลให้แก่ราษฎรที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และเว้นขอเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2546 เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายให้แก่ราษฎรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค | ทส | 13/08/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานการประชุมเพื่อ
พิจารณาแนวทางการดำเนินการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลให้แก่ราษฎรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคและบริโภค โดยให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพเชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาประชุมร่วมกันให้ได้ข้อ ยุติโดยด่วน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า โดยที่การซ่อมและการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลดังกล่าวซึ่งถือเป็นภารกิจหนึ่งที่ส่วนกลางได้ถ่ายโอนให้แก่ท้องถิ่น แล้ว และท้องถิ่นสามารถจะพิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการเรื่องนี้ร่วมกับภารกิจอื่น ๆ ที่ท้อง ถิ่นประสงค์จะดำเนินการ โดยใช้งบประมาณหมวดเงินอุดหนุนทั่วไปที่ท้องถิ่นได้รับการจัดสรรไว้แล้วได้ตาม ความจำเป็นเหมาะสมของท้องถิ่นเอง ดังนั้น บทบาทของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรม ทรัพยากรธรณี) จึงควรเป็นผู้แจ้งข้อมูลทางวิชาการที่กรมทรัพยากรธรณีได้จัดสำรวจไว้แล้ว ให้แต่ละท้องถิ่น ได้ทราบว่า ท้องถิ่นใดมีความเหมาะสมจะขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลหรือไม่ เพียงใด เพื่อประกอบการพิจารณา ดำเนินการในเรื่องนี้ของท้องถิ่น ตลอดจนเป็นผู้สนับสนุนทางด้านเทคนิค วิชาการ โดยระยะเริ่มแรกให้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ เข้าไปเสริมหรือร่วมมือกับท้องถิ่นเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและตอบ สนองความต้องการของประชาชนในบางพื้นที่ สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลดัง กล่าวให้ใช้จ่ายจากงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โดยให้สำนักงบประมาณปรับเพิ่มวงเงินงบ ประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ สำหรับรายการค่าใช้จ่าย ขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล จำนวน 6,000 บ่อ วงเงินรวม 685,448,000 บาท แล้วให้นำเสนอคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ จัดเตรียมความพร้อมของบุคลากรและเครื่องมืออุปกรณ์ในการขุดเจาะบ่อ น้ำบาดาล โดยให้กระจายความพร้อมดังกล่าวไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่มีปัญหาภัยแล้ง และมีความต้องการขุด เจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อให้สามารถประสานและดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||
2113 | โครงการปลูกป่าชายเลนถาวรเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงพระชนมายุ 72 พรรษา | ทส | 05/08/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่มี
มติเห็นชอบหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอโครงการปลูกป่าชายเลนถาวรเฉลิม พระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงพระชนมายุ 72 พรรษา และอนุมัติงบ ประมาณ งบกลาง เพื่อดำเนินงานในปี พ.ศ. 2547 จำนวน 29.08 ล้านบาท ตามที่ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติ ฯ เสนอเพิ่มเติม โดยให้รับความเห็นของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ การดำเนินการตามโครง การ ฯ เป็นการดำเนินการตามความจำเป็น เนื่องจากปี พ.ศ. 2546 เป็นปีที่สิ้นสุดการให้สัมปทานทำไม้ป่าชาย เลนทั้งหมดของประเทศ จึงต้องมีการดูแลและฟื้นฟูป่าชายเลนทดแทน รวมทั้งโครงการ ฯ ดังกล่าวทุกฝ่ายได้ให้ การสนับสนุนและเข้ามามีส่วนร่วม ดังนั้น ค่าใช้จ่ายของโครงการ ฯ ในภาพรวมต้องเหมาะสม และไม่ควรจะสูงเกิน ไป โดยเฉพาะปุ๋ยและพันธุ์กล้าไม้ควรให้ใช้ราคาตามมาตรฐาน นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า นอกจากการ ให้สัมปทานทำไม้ป่าชายเลน ซึ่งเมื่อสิ้นสุดการให้สัมปทาน ผู้รับสัมปทานต้องคืนพื้นที่ป่าให้รัฐแล้ว ยังมีการให้ สัมปทานเพื่อไปประกอบกิจการประเภทอื่น ๆ ที่ต้องดำเนินการเช่นนั้นด้วย เช่น การให้สัมปทานการทำเหมือง แร่ เป็นต้น แต่เมื่อระยะเวลาสัมปทานสิ้นสุดลงแล้ว ผู้ประกอบการยังไม่คืนที่ดินที่ได้รับสัมปทานให้แก่รัฐ จึงมอบ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ รับไปประสานงานและพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป |
||||||||||||||||||
2114 | แนวทางการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพระดับท้องถิ่น | ทส | 05/08/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานสรุปแนวทาง
การสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพระดับท้องถิ่น โดยในรอบ 50 ปีที่ผ่านมาพบว่า ความหลากหลายทาง ชีวภาพทุกระดับอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมและลดปริมาณลงหลายพื้นที่ไม่อยู่ในสภาพที่จะให้ชุมชนท้องถิ่นได้พึ่ง พา ส่งผลให้ละทิ้งความรู้พื้นฐานและภูมิปัญญาท้องถิ่น ประกอบกับการบริหารทรัพยากรธรรมชาติแนวใหม่ มุ่งเน้นที่จะให้ชุมชนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและตามแผน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) และนโยบายและยุทธศาสตร์ของกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ดังนั้น จึงควรดำเนินการสำรวจรวบรวมข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพ และภูมิ ปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเชิงวิชาการอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สูงสุด ดังนี้ (1) เตรียม ความพร้อมของท้องถิ่นให้สามารถทำการวางแผน สำรวจ รวบรวม จำแนก วิเคราะห์ และจัดทำฐานข้อมูล เบื้องต้น (2) ทำการวางแผน สำรวจ รวบรวมจำแนก วิเคราะห์ และจัดทำฐานข้อมูลเบื้องต้นโดยชุมชนท้องถิ่น (3) สนับสนุนการดำเนินงานด้านวิชาการโดยหน่วยงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ องค์กรพัฒนา เอกชน และผู้เชี่ยวชาญ หรือสถาบันการศึกษา (4) พัฒนาฐานข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ และเผย แพร่ผลงานเพื่อการใช้ประโยชน์ต่อไป (5) ระยะดำเนินงาน 4 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547-2550 (6) ดำเนินการในท้องที่ 4,088 ตำบล ใน 70 จังหวัดทั่วประเทศครอบคลุมพื้นที่ป่าทั้งสิ้น 164,000 ตาราง กิโลเมตร (7) งบประมาณสำหรับดำเนินการทั้งสิ้น 460.50 ล้านบาท ทั้งนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับคือ เป็น ส่วนหนึ่งของการปรับกลไก และกระบวนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เน้นการมีส่วนร่วม ของทุกฝ่าย และสอดคล้องกับเงื่อนไขในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการลดความยากจน |
||||||||||||||||||
2115 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2545 | ทส | 29/07/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและ
แผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2545 สรุปได้ดังนี้ สำนัก งานนโยบายและแผนทรัพยากร ฯ ได้ดำเนินการยกร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2545 ภาย ใต้การกำกับของคณะอนุกรรมการจัดทำรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยได้มีการประชุมเพื่อพิจารณา ร่างรายงานดังกล่าว รวมทั้งจัดประชุมสัมมนาเพื่อนำเสนอร่างรายงาน ฯ และรับฟังความคิดเห็นจากส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนองค์กรพัฒนาเอกชน ภาคเอกชน สื่อมวลชน และผู้ทรงคุณวุฒิ และได้ประมวล ข้อคิดเห็นเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขร่างรายงาน ฯ ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในการนี้ คณะอนุกรรมการ ฯ ได้จัดทำ รายงาน ฯ แล้วเสร็จ และได้นำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2546 โดยสาระสำคัญของรายงาน ฯ ประกอบด้วย บทที่ 1 สถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่สำคัญในรอบปี พ.ศ. 2545 บทที่ 2 สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 บทที่ 3 การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บทที่ 4 ทรัพยากรธรรมชาติ บทที่ 5 สิ่งแวดล้อมมนุษย์ บท ที่ 6 ภาวะมลพิษ และบทที่ 7 การดำเนินงานที่สำคัญของรัฐบาลเพื่อการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวด ล้อมในรอบปี ทั้งนี้ คณะกรรมการ ฯ ได้พิจารณาร่างรายงาน ฯ และมีมติเห็นชอบกับร่างรายงาน ฯ โดยมอบหมาย ให้กรรมการ ฯ พิจารณารายละเอียดของข้อมูลที่จะปรับแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 1 สัปดาห์ และส่งประเด็นให้ฝ่าย เลขานุการ ฯ ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี |
||||||||||||||||||
2116 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณจังหวัดภูเก็ต ในบริเวณจังหวัดกระบี่ และในบริเวณเมืองพัทยาจังหวัดชลบุรี รวม 3 ฉบับ | ทส | 29/07/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 ที่มีมติอนุมัติ
หลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... ร่างประกาศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณ จังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และ มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างประกาศกระทรวง ฯ ทั้ง 3 ฉบับ มีดังนี้ (1) ร่างประกาศกระทรวง ฯ ฉบับที่ 1 เป็นการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมใน บริเวณจังหวัดภูเก็ต โดยห้ามก่อสร้างอาคาร หรือห้ามดัดแปลงหรือเปลี่ยนการใช้อาคารให้เป็นโรงงานอุตสาห กรรม โรงฆ่าสัตว์ สถานที่บรรจุก๊าซ สุสาน ห้ามการกระทำหรือประกอบกิจการที่อาจเป็นอันตรายหรือก่อ ให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ รวมทั้งกำหนดประเภทและขนาดของโครง การหรือกิจการที่ต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) โดยมีระยะเวลาบังคับใช้ 5 ปี (2) ร่างประกาศกระทรวง ฯ ฉบับที่ 2 เป็นการกำหนดขอบเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยครอบคลุม พื้นที่อนุรักษ์ กำหนดการห้ามก่อสร้างอาคารบางประเภทที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กำหนดการห้าม กระทำ หรือประกอบกิจกรรมที่อาจจะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศน์ และกำหนดประเภท และขนาดของโครงการ หรือกิจการที่ต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE ) โดยมีระยะเวลา บังคับใช้ 5 ปี (3) ร่างประกาศกระทรวง ฯ ฉบับที่ 3 เป็นการกำหนดขอบเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมโดยครอบคลุม พื้นที่เมืองพัทยาทั้งหมดซึ่งเป็นเขตควบคุมมลพิษ และแบ่งพื้นที่เพื่อการบังคับใช้มาตรการออกเป็น 2 ส่วน คือ พื้นที่บนแผ่นดินใหญ่รวมพื้นที่เกาะ และพื้นที่ส่วนที่เป็นทะเล โดยกำหนดการห้ามก่อสร้างอาคารบางประเภท ที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และห้ามก่อสร้างอาคารในพื้นที่ที่มีสภาพเป็นพื้นที่ป่าไม้ กำหนดการห้าม กระทำหรือประกอบกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ และกำหนดประเภทและขนาด ของโครงการ หรือกิจการที่ต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) โดยมีระยะเวลาบังคับใช้ 5 ปี |
||||||||||||||||||
2117 | แนวทางการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพื้นที่ลุ่มน้ำปิง | ทส | 29/07/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่มี
มติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ เกี่ยวกับมาตรการและแนวทางการ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพื้นที่ลุ่มน้ำปิง และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายขอให้ทำความตกลงในรายละเอียดตามที่จ่ายจริงกับสำนักงบประมาณ ต่อไป สำหรับความเห็นของ คกก.3 ซึ่งเห็นว่า การเร่งรัดฟื้นฟูลุ่มน้ำปิงควรให้ครอบคลุมถึงการดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าวด้วย ส่วนการจัดระเบียบชุมชนและที่ทำกินของประชาชนในพื้น ที่สูงและพื้นที่ต้นน้ำลำธารในลุ่มน้ำปิง ควรให้มีกลุ่มหรือองค์กรประชาชนเป็นผู้ดูแลในระยะยาว รวมทั้งการจัดตั้ง คณะกรรมการบริหารจัดการลุ่มน้ำต่าง ๆ ควรกำหนดให้คณะกรรมการมีบทบาทหน้าที่ดูแลรักษาและจัดการต้น น้ำ ตลอดจนการจัดสรรน้ำควบคู่กันไปด้วย ซึ่งเท่ากับเป็นการบูรณาการทั้งระบบ โดยองค์ประกอบของคณะกรรม การ ให้พิจารณาตามความเหมาะสม นอกจากนี้ ควรจัดให้มีคณะกรรมการดูแลไฟป่าประจำหมู่บ้านในลักษณะของ อาสาสมัครและให้มีการถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน เกี่ยวกับการบำบัดและป้องกันน้ำเสียในเขตชุมชน ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับรู้และนำไปปฏิบัติ เพื่อช่วยลดความรุนแรงของปัญหาน้ำเสียได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า แม่น้ำปิงมีปัญหาประการหนึ่งคือ ทรายที่ทับถมปิดกั้นทางไหลของน้ำ ดังนั้นแนวทาง แก้ไขที่อาจทำได้คือ การอนุญาตให้มีการดูดทรายดังกล่าวในช่วงฤดูแล้งเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ จึงขอให้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับเรื่องนี้ไปพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมด้วย |
||||||||||||||||||
2118 | ขออนุมัติการให้สัตยาบันตามข้อตกลงอาเซียนด้านมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน | ทส | 22/07/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 ที่มีมติเห็นชอบ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2546 เมื่อ วันที่ 5 มีนาคม 2546 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการควบคุมการเผาใน ที่โล่ง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปจัดทำแผนปฏิบัติการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งเห็นชอบ ให้ประเทศไทยร่วมให้สัตยาบันต่อข้อตกลงอาเซียนด้านมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน และมอบหมายให้กระทรวง การต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการให้สัตยาบันต่อไป สำหรับสาระสำคัญของข้อตกลงอาเซียนด้านมลพิษจากหมอก ควันข้ามแดน มีดังนี้ (1) เพื่อป้องกันและติดตามตรวจสอบมลพิษจากหมอกควันข้ามแดนอันเป็นผลเนื่องมาจากไฟ บนพื้นดินและ/หรือไฟป่า ซึ่งจะต้องดำเนินการให้ลดลง โดยอาศัยความพยายามร่วมกันในประเทศ และความร่วม มือในระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ (2) การดำเนินการการติดตามตรวจสอบ ประเทศภาคีจะดำเนินมาตรการ ต่าง ๆ ที่เหมาะสม และการแต่งตั้งหน่วยงาน 1 หน่วยงานหรือมากกว่านั้น เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์ติดตามตรวจ สอบแห่งชาติ (National Monitoring Center) ซึ่งจะดำเนินการติดตามตรวจสอบ โดยการติดตามตรวจสอบให้เป็น ไปตามวิธีการของประเทศภาคีนั้น ๆ (3) การป้องกัน ประเทศภาคีจะดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมกิจกรรม ที่เกี่ยวข้องกับไฟบนพื้นดินและ/หรือไฟป่า ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน และ (4) ข้อตกลง ฯ นี้จะมีผลบังคับใช้หลังจากกำหนด 60 วัน ที่ประเทศภาคีอาเซียนจำนวน 6 ประเทศได้ให้สัตยาบัน การยอมรับ การรับรอง หรือเข้าเป็นภาคีแล้ว
|
||||||||||||||||||
2119 | โครงการเร่งรัดการตรวจสอบการประกอบกิจการน้ำบาดาล | ทส | 22/07/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอโครงการเร่งรัดการ
ตรวจสอบการประกอบกิจการน้ำบาดาล ซึ่งวัตถุประสงค์ของโครงการ ฯ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ทั่วไป และผู้ประกอบกิจการน้ำบาดาล รับทราบข้อมูลข่าวสารของทางราชการ และปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระราช บัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ. 2520 เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติ น้ำบาดาล พ.ศ. 2520 เพื่อพัฒนาและควบคุมการใช้น้ำบาดาลอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ สูงสุด เพื่อสร้างความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการ และปลุกจิตสำนึกของทุกคนให้มีส่วนร่วมในการใช้น้ำบาดาล อย่างอนุรักษ์และยั่งยืน รวมทั้งเพื่อการจัดเก็บฐานข้อมูลบ่อน้ำบาดาลระดับจังหวัดทั่วประเทศ และนำมาใช้ใน การวางแผนการใช้และการพัฒนาน้ำบาดาลต่อไป โดยมีพื้นที่เป้าหมาย 76 จังหวัดทั่วประเทศ ระยะเวลาดำเนิน การ ระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึง เดือนกันยายน 2546 สำหรับผลที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินโครงการดัง กล่าว คือ ประชาชนทั่วไป และผู้ประกอบกิจการน้ำบาดาล มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติน้ำ บาดาล พ.ศ. 2520 และปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง ได้บ่อน้ำบาดาลเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นจากเดิม 8,280 บ่อ จัด เก็บรายได้ของรัฐ อันเนื่องมาจากการนำบ่อน้ำบาดาลเข้าสู่ระบบมากขึ้นปีละ 200 ล้านบาท มีฐานข้อมูลบ่อน้ำ บาดาลระดับจังหวัดทุกจังหวัดไว้สำหรับการวางแผน และพัฒนาการใช้น้ำบาดาลอย่างอนุรักษ์ และยั่งยืน ตลอด จนลดการใช้น้ำบาดาลในพื้นที่ที่การประปาส่วนภูมิภาคและการประปานครหลวงบริการถึงและเพียงพอ |
||||||||||||||||||
2120 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 22/07/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่มี
มติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การ จัดการน้ำเสีย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ปรับปรุงแก้ ไขร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ ตามความเห็นและข้อสังเกตของ คกก.3 ดังนี้ (1) อำนาจกระทำการต่าง ๆ ขององค์การ จัดการน้ำเสีย (อจน.) ตามมาตรา 7 ให้คงข้อความใน (13) เรื่องการประสานงานกับส่วนราชการต่าง ๆ ไว้เช่น เดิม ส่วนข้อความในร่าง (13) ที่เสนอควรให้เพิ่มเป็น (15) (2) แก้ไขข้อความในมาตรา 10(2) เป็น "ค่าบริการ ค่าธรรมเนียม และค่าตอบแทน" เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มมาตรา 7(15) เรื่องการบริหารงาน และ (3) ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการ อจน. ตามมาตรา12 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเปลี่ยน ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข เป็น ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม กับเพิ่มผู้แทนการประปาส่วนภูมิภาคเป็นกรรม การด้วย และปรับลดจำนวนกรรมการอื่นจากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกินเจ็ดคน เป็น ไม่เกินหกคน ทั้งนี้ ในการแต่งตั้ง กรรมการดังกล่าวควรให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความสามารถทางเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของ คกก.3 ที่เห็นควรให้ อจน. เร่งรัดจัดทำแผน การดำเนินงานเชิงธุรกิจ (Business Plan) ให้มีแนวทางการบริหารจัดการแบบเอกชนที่มีการวางแผนการดำเนิน งานหรือการลงทุนเพื่อก่อให้เกิดรายได้สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด โดย ให้มีการกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานและตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจนด้วย สำหรับการจัดเก็บค่าบริการหรือค่า ธรรมเนียมในการบำบัดน้ำเสีย ควรพิจารณาว่าจะให้การประปานครหลวงและการประปาส่วนภูมิภาคซึ่งเป็นผู้ ดำเนินการในการจัดเก็บค่าน้ำประปาอยู่แล้ว เป็นผู้จัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสีย โดยอาจให้ค่าตอบแทนในการ เรียกเก็บด้วยหรือไม่ หรือหาก อจน. เป็นผู้จัดเก็บเอง จะมีวิธีการดำเนินการและคำนวณอัตราส่วนการใช้น้ำอย่าง ไร หรืออาจจะโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บ ไปเร่งรัดดำเนินการจัดทำแผนธุรกิจ ดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเสนอ คกก.3 ภายใน 1 เดือน |