คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนเรื่อง การออกสลากบำรุงการกุศลของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อเป็นการ
แก้ปัญหาฐานะการคลังของประเทศ คืนไปได้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอ

          เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฏากรว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับ 
ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....  (ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่กองทุนสิ่งแวดล้อม)    ตามที่ 
กระทรวงการคลัง เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อ 
ไปได้ 

          1. รับทราบผลการเจรจาบอกเลิกสัญญาโครงการปรับปรุงระบบงานกรรมวิธีภาษีสรรพากรด้วยระบบ
คอมพิวเตอร์ กับกลุ่มบริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ
          2. อนุมัติให้กรมสรรพากรดำเนินโครงการปรับปรุงระบบงานกรรมวิธีภาษีสรรพากรด้วยระบบคอมพิว    
เตอร์ตอ่ไปตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ใช้เงินที่มีเหลืออยู่จำนวน 425,771,929.47 บาท  เพื่อเป็นค่า   
ใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ    หากปรากฎว่ามีความจำเป็นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าเงินที่มีเหลืออยู่จำนวน   
ดังกล่าว ก็ให้กรมสรรพากรเสนอขอตั้งงบประมาณปี 2542  สำหรับส่วนที่ขาดอยู่ตามความจำเป็น   ตามความ 
เห็นของสำนักงบประมาณต่อไป  

          คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการ 
ยกเว้นรัษฎากร  (ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ส่วนที่เป็นเงินเดือนหรือค่าตอบแทนของ  
เจ้าหน้าที่ของ ICRAF)  ตามที่กระทรวงการคลัง  เสนอ   และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ
พิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

          คณะรัฐมนตรีมีมติ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติสุรา
 พ.ศ. 2493 (กำหนดวิธีการเสียภาษีที่ทำในราชอาณาจักรโดยวิธีอื่นนอกจากวิธีการปิดแสตมป์สุรา) ตามที่กระทรวง  
การคลัง เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
 

          คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการคำนวณบำนาญจากอัตราเงินเดือนเฉลี่ยหกสิบเดือนสุดท้าย   ตามที่กระทรวงการคลัง  
เสนอ ดังนี้    
          1. ให้นำหลักเกณฑ์การคำนวณบำนาญตามกฎกระทรวง  ฉบับที่ 3  (พ.ศ. 2540)   ออกตามความ  
ในพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 มาอนุโลมใช้บังคับกับกรณีดังต่อไปนี้ 
              1.1 ข้าราชการซึ่งรับราชการยังไม่ครบห้าปีแต่มีสิทธิได้รับบำนาญปกติ เนื่องจากได้รับอันตราย 
จนพิการหรือเจ็บป่วยทุพพลภาพเพราะเหตุปฏิบัติราชการในหน้าที่  หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุทำการ 
ตามหน้าที่
              1.2 ข้าราชการที่กลับเข้ารับราชการใหม่ก่อนวันที่ 27 มีนาคม 2540    ซึ่งรับราชการยังไม่ครบ 
ห้าปี
          2. ให้นำหลักเกณฑ์ตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 มา   
ใช้บังคับกรณีที่ข้าราชการที่ได้รับการเลื่อนยศหรือระดับตำแหน่ง แล้วปรับอัตราเงินเดือนสูงขึ้นในระหว่าง  
เดือน   ซึ่งทำให้เดือนนั้นมีอัตราเงินเดือนมากกว่า 1 อัตรา   โดยให้นำอัตราเงินเดือนที่สูงในเดือนนั้นเป็น 
อัตราเงินเดือนนำไปรวมคำนวณเงินเดือนเฉลี่ยหกสิบเดือนสุดท้ายโดยอนุโลม

          อนุมัติความตกลงการจัดทำฐานข้อมูลพิกัดอัตราศุลกากร (Tariff  Database)  ภายใต้กรอบเอเปค 
โดยให้อธิบดีกรมศุลกากรเป็นผู้ลงนามในหนังสือมอบอำนาจในนามรัฐบาลไทย     ซึ่งสอดคล้องกับความ 
เห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นชอบให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้มอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้ลง
นามในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ

          1. เห็นชอบการปรับลดเบี้ยประชุมของรัฐวิสาหกิจ  ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ    โดยสรุปคือ  
ให้ปรับลดเงินเพิ่มวิชาชีพในสาขาที่ขาดแคลนลดเบี้ยประชุม ส่วนการปรับลดอื่น ๆ จะเสนออีกครั้งพร้อม
กับของราชการ และหากมีปัญหาที่เกี่ยวข้องใด ๆ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ชี้ขาด 
          2. เพื่อมิให้เกิดความสับสนแก่ผู้ต้องนำไปปฏิบัติ เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติในเรื่องการเบิกจ่ายเงิน 
ค่าเบี้ยประชุมกรรมการ เงินสมนาคุณคณะกรรมการ และค่าตอบแทนในลักษณะเดียวกับเบี้ยประชุมของ 
ส่วนราชการ  รัฐวิสาหกิจ  องค์การอิสระ  และหน่วยงานอื่นที่ไม่มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจทั้งหมดแล้ว   ให้ 
กระทรวงการคลังประมวลเรื่องดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่ง

          1. ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2540 เรื่อง การเบิกจ่ายเงินค่าเบี้ยประชุม  
กรรมการ   เงินสมนาคุณคณะกรรมการ   และค่าตอบแทนในลักษณะเดียวกับเบี้ยประชุม  ให้กับคณะ 
กรรมการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ได้รับเงินสมนาคุณรายเดือน  จำนวน 26 คณะ         ตามรายชื่อที่ 
กระทรวงงการคลัง  เสนอ    ได้แก่   คณะกรรมการกลางในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการฝ่าย
ต่าง ๆ  จำนวน 11 คณะ    และคณะกรรมการอื่น ๆ  ที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบสำคัญต่อการบริหาร 
ราชการในลักษณะพิเศษ  ซึ่งการปฏิบัติงานมีผลกระทบและมีความสำคัญต่อนโยบายของชาติในด้าน
ต่าง ๆ ในภาพรวม จำนวน 15 คณะ โดย
              1.1 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ  ซึ่ง  
ปัจจุบันได้ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตามบทบัญญัติของ
รัฐธรรมนูญ ได้รับเงินสมนาคุณตามหลักเกณฑ์และอัตราเดิม
              1.2 คณะกรรมการตุลาการ ซึ่งปัจจุบันทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม 
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ได้รับเงินสมนาคุณตามหลักเกณฑ์และอัตราเดิม
              1.3 คณะกรรมการอื่นนอกจาก 1.1 และ 1.2  ให้ปรับลดเงินสมนาคุณลงร้อยละ 35 ของ 
อัตราเดิม
          2. ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2540  เรื่อง การเบิกจ่ายเงินค่าเบี้ยประ 
ชุมกรรมการ  เงินสมนาคุณคณะกรรมการ  และค่าตอบแทนในลักษณะเดียวกับเบี้ยประชุม    ให้กับ 
คณะกรรมการกฤษฎีกา      โดยให้ได้รับเบี้ยประชุมตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมของกรรมการ 
กฤษฎีกา พ.ศ. 2522 ต่อไปตามเดิม 
          3. อนุมัติหลักการ
              3.1 ร่างพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
              3.2 ร่างพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนที่ปรึกษา ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง 
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 
          ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ   และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา 
แล้วดำเนินการต่อไปได้ 

          1. รับทราบการกำหนดให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 11 แห่ง  นำส่งรายได้แผ่นดินเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ      
จากกำไรสุทธิประจำปี 2539  โดยให้นำส่งในปีงบประมาณ 2541   เป็นจำนวนเงินนำส่งเพิ่มเติม 17,612 
ล้านบาท ตามแผนการนำส่ง  
          2. เห็นชอบในหลักการการนำส่งรายได้แผ่นดินปี 2541  ของรัฐวิสาหกิจ      จากการจัดสรรกำไร   
สุทธิประจำปีงบประมาณ 2540       โดยให้รัฐวิสาหกิจที่มีผลกำไรต้องนำส่งเงินรายได้แผ่นดินอย่างต่ำใน     
อัตราร้อยละของกำไรสุทธิประจำปี 2540  หรือตามจำนวนเงินที่กำหนดไว้ในเอกสารงบประมาณรายจ่าย  
ประจำปี 2541 แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่าตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ 

          รับทราบรายงานผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการคลังเอเซีย - ยุโรป   (Asia - Europe      
Finance Deputies)    ระหว่างวันที่ 4 - 5 กุมภาพันธ์ 2541  ณ  กรุงลอนดอน  ประเทศอังกฤษ  ของ  
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิสิฐ ลี้อาธรรม)      และการเข้าพบ นาย Gordon  Brown 
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหราชอาณาจักร   ตามที่กระทรวงการคลัง  รายงาน     โดยมีสาระ
สำคัญสรุปได้ดังนี้
          การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการคลังเอเซีย - ยุโรป
          การประชุมครั้งนี้ต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเซีย - ยุโรป  เมื่อ 
วันที่ 19 กันยายน 2540      ที่ประชุมได้เน้นความสำคัญของความร่วมมือระหว่างเอเซียและยุโรปและ
ประเทศอังกฤษในฐานะประธานสหภาพยุโรปจะเป็นเจ้าภาพการประชุม ฯ  ครั้งที่ 2  (ASEM II)  โดย
หวังว่าการประชุมครั้งนี้จะสามารถสรุปแนวทางร่วมในการแก้ไขปัญหา และการเสริมสร้างความมั่นคง
ของระบบการเงินโลก เพื่อเสนอต่อการประชุมผู้นำในเดือนเมษายน 2540       และได้หารือถึงความ  
จำเป็นในการเรียกความเชื่อมั่นของตลาดกลับคืนมา   ความสำคัญของการดำเนินการตามแผนงานที่ 
ตกลงไว้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเซีย  ซึ่งไทยได้
ดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม    ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น  
กับได้หารือเกี่ยวกับความคืบหน้าของมาตรการริเริ่มต่าง ๆ เช่น การป้องกันการฟอกเงิน  การจัดทำ  
เครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมโยงกระทรวงการคลังของประเทศสมาชิก     ความร่วมมือในการเสริม
สร้างระบบการกำกับดูแลสถาบันการเงินและความร่วมมือทางศุลกากร    การจัดตั้งสหภาพการเงิน  
ยุโรป (EMO) และการเริ่มใช้เงินตราสกุลเดียว (Euro) ในวันที่ 1 มกราคม 2542 สำหรับการดำเนิน  
การต่อไป  กระทรวงการคลังไทยในฐานะผู้ประสานงานฝ่ายเอเซียร่วมกับกระทรวงการคลังญี่ปุ่นจะ  
ได้ร่วมกับกระทรวงการคลังสหราชอาณาจักรในฐานะประธานสหภาพยุโรปจัดทำรายงานความร่วม  
มือด้านการเงินการคลังในกรอบเอเซีย - ยุโรป      และความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ 
ทางการเงิน เพื่อเสนอต่อการประชุม ASEM II       ส่วนการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 
เอเซีย - ยุโรป ครั้งที่ 2 จะจัดขึ้นในเดือนมีนาคม 2542 ณ ประเทศเยอรมนี 
          การเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหราชอาณาจักร
          ได้สนทนาหารือข้อราชการในเรื่องต่าง ๆ  และหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน    โดยสหราช
อาณาจักรรับที่จะให้การสนับสนุนประเทศไทยในการดำเนินมาตรการการตามกรอบ IMF  และการ  
พิจารณาอนุมัติเงินกู้  งวดที่ 3  ในเดือนมีนาคม 2541     รวมทั้งจะให้การสนับสนุนด้านวิชาการใน 
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจแก่ไทยด้วย
          การชี้แจงภาวะเศรษฐกิจไทยแก่นักลงทุนอังกฤษ  
          ภายหลังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและการปรับโครงสร้าง   นักลงทุนได้แสดง 
ความสนใจเกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหาของสถาบันการเงิน   และเห็นว่าไทยได้ปรับปรุงไปในแนว
ทางที่ถูกต้องแล้ว
          การเข้าพบประธานธนาคาร Hong Kong and Shanghai Banking Corporation  (HSBC) 
          HSBC  สนใจที่จะเข้าซื้อกิจการธนาคารของไทย   และจะเสนอข้อเสนอแก่ทางการไทย   ซึ่ง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้แนะนำให้ดำเนินการกับธนาคารแห่งประเทศไทยต่อไป  
          การเข้าพบกับ British Airways 
          British Airways แสดงความสนใจในการเป็น Strategic Partner กับการบินไทย และจะรับส่ง
คณะผู้แทนมาเสนอข้อคิดเห็นในกรุงเทพ ฯ ภายในสองสัปดาห์

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานมูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยตามกลุ่มสินค้าเปรียบเทียบ
ระหว่างปีงบประมาณ 2539 และ 2540 ตามที่กระทรวงการคลังรายงาน โดยสรุปคือ  มีการนำเข้าสินค้า
ฟุ่มเฟือยตามกลุ่มสินค้าทั้งสิ้น 17 รายการ  โดยในปีงบประมาณ 2539  มีมูลค่ารวม  18,288,035,238
บาท ส่วนปีงบประมาณปี 2540 มีมูลค่ารวม 18,106,502,489 บาท โดยสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้น 3 อันดับ
แรก ได้แก่ กลุ่มสินค้ากระเป๋าหนังและเข็มขัด เพิ่มขึ้นร้อยละ 82.26 รองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบ เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 58.81  น้ำหอมและเครื่องสำอางค์  เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.26   สำหรับสินค้าที่นำเข้าลดลง 3 อันดับ
แรก ได้แก่ กลุ่มสินค้าผ้าทอทำด้วยขนสัตว์  ลดลงร้อยละ 67.46 ดอกไม้ ลดลงร้อยละ 17.42  ไวน์ ลดลง
ร้อยละ 12.46 เทียบการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยรวมทุกประเภทแล้วมีอัตรานำเข้าปีงบประมาณ 2540  ลด
ลงจากปีงบประมาณ 2539 ร้อยละ 0.99 

          เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2540 เรื่อง ข้อบังคับเกี่ยวกับ 
สวัสดิการของพนักงานองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ    ในส่วนที่เกี่ยวกับการขยายการให้  
สวัสดิการการศึกษาแก่บุตรของข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ      โดยให้กระทรวงการคลังเป็น 
หน่วยงานหลักดำเนินการในเรื่องดังกล่าวแทนสำนักงบประมาณตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมาย 
ไว้แต่เดิม ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ และให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาด้วย

          คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการขออนุมัติดำเนินการ
ก่อสร้างอาคารศูนย์ประชุมแห่งชาติ  จังหวัดเชียงใหม่   ดังนี้
          1. กรมธนารักษ์ได้ขออนุมัติโอนเงินงบประมาณเหลือจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2540  ของแผนงานส่ง  
เสริมกีฬาและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจโครงการก่อสร้างอุทยานเฉลิมพระเกียรติ ฯ     จำนวน  17,300,000   
บาท  มาเป็นค่าออกแบบโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมแห่งชาติ จังหวัดเชียงใหม่      ซึ่งสำนักงบประมาณขอ 
ระงับการขอโอนงบประมาณดังกล่าวไว้ก่อน      โดยขอให้กรมธนารักษ์ดำเนินการในเรื่องการขอคืนสถานที่
และการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เรียบร้อยก่อน    แล้วให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในเรื่อง 
เงินต่อไป 
          2. กรมธนารักษ์ได้เชิญหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง คือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย   กรมปศุสัตว์ 
กรมส่งเสริมการส่งออก สำนักงบประมาณ และจังหวัดเชียงใหม่ ประชุมเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540   ซึ่งที่
ประชุมมีมติ ดังนี้ 
              2.1 กรมปศุสัตว์ไม่ขัดข้องที่จะส่งคืนที่ราชพัสดุ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่  เพื่อใช้จัดทำโครงการ
ก่อสร้างศูนย์ประชุมแห่งชาติ  จังหวัดเชียงใหม่  และที่ประชุมเห็นว่าที่ดินดังกล่าวมีศักยภาพและเหมาะสมที่จะ
จัดทำโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมแห่งชาติ จังหวัดเชียงใหม่    
             2.2 มอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  รับไปดำเนินการจัดทำการศึกษาถึงความเป็นไป 
ได้และจัดทำร่างข้อกำหนดโครงการ    โดยขอรับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากกรมส่งเสริมการส่งออก 
และหลังจากที่ศึกษาความเป็นไปได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว  ให้กรมธนารักษ์ขอรับการสนับสนุนเงินค่าออกแบบ  
จากกองทุนการค้าระหว่างประเทศ   กรมส่งเสริมการส่งออกต่อไป     และมอบหมายให้กรมธนารักษ์ศึกษา
ความเป็นไปได้ของโครงการศูนย์การประชุมแห่งชาติ จังหวัดเชียงใหม่ ที่จังหวัดเชียงใหม่ได้ดำเนินการศึกษา
มาแล้ว  ในกรณีให้ภาคเอกชนเข้าร่วมลงทุนในการก่อสร้างศูนย์ประชุมแห่งชาติ  จังหวัดเชียงใหม่

           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความใน
พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 รวม 2 ฉบับ  เกี่ยวกับการรวมกิการ
ของบริษัทหลักทรัพย์  และการแก้ไขกฎกระทรวงว่าด้วยการแยกการประกอบธุรกิจเงินทุนและธุรกิจหลัก
ทรัพย์ออกจากกัน ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้

          คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2541
ตั้งแต่ปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2540 ปรากฎว่า การเบิกจ่ายเงินทั้งสิ้น 128,622.4 ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 16.08 ของวงเงินงบประมาณ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณในช่วงระยะ
เวลาเดียวกันกับงบประมาณที่ผ่านมา ปรากฎว่ามีอัตราการเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ 0.75 ตามที่กระทรวง
การคลังเสนอ

          รับทราบและเห็นชอบการปรับปรุงระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ  ตามที่กระทรวง 
การคลัง เสนอ ดังนี้ 
          1. รับทราบมาตราระยะสั้นเพื่อลดค่าใช้จ่ายสวัสดิการรักษาพยาบาล ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2541 
และแผนการปรับปรุงระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการระยะยาว โดยให้รับข้อสังเกตของคณะ
รัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้
              1.1 การยกเลิกการเบิกค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่ไม่จำเป็น อาทิ "การเสริมความงาม"  ควร  
จะกำหนดนิยามในชัดเจน เช่น การรักษาโรคผิวหนังและการทำฟันจัดอยู่ในประเภท "การเสริมความงาม"  
หรือไม่
              1.2 การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นการป้องกันก่อนที่จะมีการเจ็บป่วยหรือเจ็บป่วยมากขึ้น   จึง
เห็นควรให้มีการตรวจสุขภาพประจำปีได้เฉพาะในสถานพยาบาลของรัฐ
          2. เห็นชอบให้ยกเลิกสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลเอกชน     และอนุมัติ  
หลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....     และให้ส่ง   
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา  แล้วดำเนินการต่อไปได้          โดยให้รับข้อสังเกตของ 
คณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า   การยกเลิกสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลเอก
ชน นั้น กรณีข้าราชการประสบอุบัติเหตุ หรือกรณีจำเป็นและฉุกเฉินอื่น ๆ ควรยกเว้นให้เข้ารับการรักษา 
พยาบาลเบื้องต้นในสถานพยาบาลของเอกชนได้เป็นการชั่วคราว ก่อนจะย้ายไปรักษาพยาบาลในสถาน 
พยาบาลของรัฐต่อไป   
          3. ให้กระทรวงการคลังรับไปปรับปรุงระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของพนักงานรัฐ 
วิสาหกิจให้เป็นไปตามหลักการเดียวกับข้าราชการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วนด้วย

          รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากธนาคารโลก  
และธนาคารพัฒนาเอเซีย และหลักเกณฑ์เงื่อนไขการจัดสรรการใช้เงินกู้  เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐ
กิจ ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ

          อนุมัติการแต่งตั้ง นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล และ นายประสงค์ วินัยแพทย์ เป็นกรรมการผู้ทรง 
คุณวุฒิที่ปฏิบัติงานเต็มเวลาในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)      ตามที่ 
กระทรวงการคลัง เสนอ