อนุมัติการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะกรรมการของกระทรวงการคลัง ที่แต่งตั้ง 
โดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 4 คณะ และยกเลิกคณะกรรมการ จำนวน 1 คณะ ตามที่กระทรวงการคลัง 
เสนอ ดังนี้
          1. ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี   จำนวน 
4 คณะ คือ   
              1.1 คณะกรรมการป้องปรามธุรกิจการเงินนอกระบบ   มีอำนาจหน้าที่ตามเดิม  แต่ปรับปรุง 
องค์ประกอบคณะกรรมการจากเดิม 18 ราย เปลี่ยนแปลงเป็น 17 ราย 
              1.2 คณะกรรมการกระจายอำนาจการคลังสู่ท้องถิ่น ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ 
              1.3 คณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจ ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่
              1.4 คณะกรรมการพิกัดอัตราศุลกากร มีอำนาจหน้าที่ตามเดิม แต่ปรับปรุงองค์ประกอบ
          2. ยกเลิกคณะกรรมการ จำนวน 1 คณะ คือ
              2.1 คณะกรรมการพิจารณากำหนดท้องที่กันดารและโรงเรียนที่กันดาร

          อนุมัติหลักการ 
          1. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม  (ฉบับที่ ..) 
พ.ศ. .... (ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการของปรส.)
          2. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษี
ธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....  (กำหนดให้ ปรส.  เป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ)
          3. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ...
(ยกเว้นอากรแสตมป์ให้แก่ ปรส.) 
          ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ รวม 3 ฉบับ  ทั้งนี้  ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2540  อันเป็น  
วันที่พระราชกำหนดจัดตั้งองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน ฯ มีผลใช้บังคับ  เป็นต้นไป     และให้ส่ง 
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

          คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ดังนี้
          1. รับทราบรายงานการดำเนินการเกี่ยวกับกลไกค้ำประกันสินเชื่อเพื่อประกันความเสี่ยงของผู้ส่งออก  
และภาพรวมเงินทุนเสริมสภาพคล่องตามที่กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศ  
ไทย ธสน. เสนอ
          2. ให้กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และ ธสน.  รับความเห็นของคณะกรรมการรัฐมนตรี
ว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจเกี่ยวกับเงื่อนไขหรือวิธีการปฏิบัติที่จะขอรับการสนับสนุนเงินกู้ของผู้ส่งออกกับ ธสน.
 ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป 
          3. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจเกี่ยวกับการ  
สร้างยุทธศาสตร์ที่สำคัญเพื่อหาเงินตราต่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป  
          ตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ

          คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานเรื่อง บริการประกันการส่งออกผ่านธนาคารพาณิชย์ 
ตามที่กระทรวงการคลังรายงาน ดังนี้
          1. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.)       ได้เตรียมจะให้บริการ  
รับประกันการส่งออกรูปแบบใหม่ ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ส่งออก  โดยการให้บริการประกัน  
การส่งออกผ่านธนาคารพาณิชย์ (Export  Credit  Insurance  for  Commercial  Bank) เพื่อรับประกัน   
ความเสี่ยงให้กับธนาคารพาณิชย์ในการรับซื้อตั๋วส่งออกที่ไม่มีเลตเตอร์ออฟเครดิต (L/C)   โดย  ธสน. 
จะเป็นผู้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ธนาคารพาณิชย์ในกรณีที่ผู้ซื้อในต่างประเทศปฏิเสธการชำระเงินค่าสิน  
ค้า
          2. ธสน.   จะรับประกันสินค้าทุกประเภท ยกเว้นสินค้าสดที่ไม่ได้แช่แข็ง  ในอัตราไม่เกินร้อยละ   
85  ของความเสียหาย    โดยมีรูปแบบการค้ำประกัน 2 ประเภท  ขึ้นอยู่กับมูลค่าของตั๋วสินค้าออก    
โดยแยกเป็น  แบบ Discretionary  คือ  การรับประกันต่อตั๋วสินค้าออกที่มีมูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาทต่อ  
ฉบับ ทั้งนี้ โดยไม่ต้องแจ้งชื่อผู้ซื้อแก่ ธสน.   และแบบ Credit Limit ของผู้ซื้อในต่างประเทศ คือ การรับ 
ประกันตั๋วสินค้าออกที่มีมูลค่าเกิน 2 ล้านบาทต่อฉบับ      โดยจะต้องขออนุมัติวงเงินผู้ซื้อต่างประเทศ
จาก ธสน. เป็นการล่วงหน้า 
          3. สำหรับการบริการจะชักจูงให้ธนาคารพาณิชย์รับซื้อตั๋วสินค้าออกเพิ่มขึ้น เนื่องจากตั๋วสินค้า
ออกที่ ธสน. รับประกันแล้วจะมีความเสี่ยงต่ำลงทำให้สามารถรับซื้อตั๋วสินค้าออกได้มากขึ้นร้อยละ 80 
ที่ระดับเงินทุนเท่าเดิม   และคาดว่าบริการนี้จะสามารถเพิ่มสภาพคล่องแก่ภาคการส่งออกในระดับไม่ต่ำ
กว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี

          รับทราบรายงานฐานะและการดำเนินงานของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 
ตามที่กระทรวงการคลัง รายงาน ได้แก่
          1. บทบาทของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
          2. สรุปฐานะการเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน  
          3. ภาระที่มีต่อกรณีธนาคารกรุงเทพ ฯ พาณิชยการ จำกัด (มหาชน) ในแต่ละช่วงรัฐบาล
          4. ข้อพิจารณาเกี่ยวกับการรับภาระความเสียหาย
          5. ความเสียหายของกองทุนจากการลดทุนและเพิ่มทุนของธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) 
              ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงเทพ ฯ จำกัด (มหาชน)

          1. อนุมัติในหลักการและเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ  ตามหนังสือ  
แจ้งความจำนงขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการและการเงิน ฉบับที่ 3     และมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ  
คลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแจ้งความจำนง ฯ ฉบับที่ 3     แล้วดำเนินการต่อ  
ไปได้  ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ     โดยหนังสือแจ้งความจำนงดังกล่าวได้มีการปรับปรุงสาระสำคัญต่าง ๆ  6 
ประการ สรุปได้ดังนี้
              1.1 รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงิน โดยใช้นโยบายในเชิงรุก เร่งรัดการปฏิรูประบบการเงิน   
ให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแปรรูปธนาคาร รวมทั้งยกระดับธนาคารพาณิชย์ให้ได้มาตรฐานสากล  นอกจาก   
นี้  จะปรับปรุงกฎหมาย  และโครงการสร้างธนาคารแห่งประเทศไทย  ระบบการกำกับตรวจสอ บ  และการพัฒนา 
ตลาดทุนให้มีความเหมาะสมขึ้น          
              1.2 รัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงนโยบายการคลังให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอ ยรวมทั้งการปรับตัว
ของดุลบัญชีเดินสะพัดที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้  นอกจากนั้น  รัฐบาลจะเพิ่มงบประมาณในการแก้ไขปัญหาด้านสังคม
ดดยที่ไม่ขัดกับวินัยทางการคลังในระยะปานกลาง
              1.3 รัฐบาลจะดำเนินการนโยบายการเงินอย่างเข้มงวดเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน  และ  
จะจัดการให้ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญได้รับสินเชื่ออย่างเพียงพอ  
              1.4 รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเพิ่มเติม   เพื่อบรรเทาผลกระทบทางสังคมด้วยความร่วมมือของธนาคาร 
โลก ธนาคารพัฒนาเอเซีย และกองทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเลแห่งญี่ปุ่น
              1.5 รัฐบาลมีเป้าหมายและมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชน  ในระบบเศรษฐ 
กิจผ่านกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการแก้ไขกฎหมายเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในภาคการเงิน  
และภาคเศรษฐกิจอื่น 
              1.6 การดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวข้างต้น  จะทำให้ประเทศไทยสามารถระดมทุนจากตลาดการ 
เงินและตลาดทุนระหว่างประเทศได้ภายในเวลาที่เหมาะสม  
          2. เนื่องจากหนังสือแจ้งความจำนง ฯ   ฉบับนี้        จะเปิดเผยสู่สาธารณะเพื่อความโปร่งใสในการบริหาร 
นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล    และในหนังสือดังกล่าวปรากฎข้อความว่าจะมีการจัดตั้งภาระดอกเบี้ยของหนี้ 
ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2542           และจะ 
สามารถเริ่มชำระดอกเบี้ยของหนี้สินทั้งหมดจากงบประมาณได้ภายในปี 2543  ดังนั้น ให้กระทรวงการคลังชี้แจง
ให้ประชาชนเข้าใจความเป็นมาและรายงานสถานภาพของกองทุนฟื้นฟู ฯ ให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย  นอกจากนี้ 
เมื่อคณะกรรมการ ฯ ซึ่งได้ตั้งขึ้นตรวจสอบข้อเท็จจริงได้รายงานผลการดำเนินงานและข้อเสนอแนะแล้ว  ให้ชี้แจง  
ทำความเข้าใจกับสาธารณชนด้วยว่า การดำเนินงานที่ผ่านมามีข้อบกพร่องผิดพลาดอย่างไร หรือไม่      และจะมี 
การปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นอย่างไร
          3. ให้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม  รับไปศึกษา   ตรวจสอบและติดตามให้ใกล้ชิดว่าการชะลอตัว 
ทางเศรษฐกิจซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะรุนแรงกว่าที่ประมาณไว้เดิม จะส่งผลต่อการว่างงานเพิ่มขึ้นหรือไม่  และจะ 
กระทบต่อสาขาใดเป็นพิเศษหรือไม่ เพื่อจะได้ป้องกัน แก้ไขเยียวยาได้ทัน
          4. ขณะนี้ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้ให้ความสนใจติดตามร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่  ..) พ.ศ. ....
เป็นอย่างมาก   และยังมีความสงสัยว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีหลักการมุ่งไปในทางที่จะทำให้กระบวนการ
ยึด อายัด ขายทอดตลาดเป็นไปได้ด้วยความรวดเร็วมากยิ่งขึ้นอันเป็นคุณแก่เจ้าหนี้   หรือจะมุ่งไปในทางจะเอื้อ    
อำนวยให้ลูกหนี้มีโอกาสได้ฟื้นฟู      จึงให้กระทรวงยุติธรรมติดตามและเผยแพร่ให้ประชาชนได้เข้าใจให้ถูกต้อง
ด้วย 

          อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ และให้ส่ง 
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง  โดยให้รับ 
ข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วย ดังนี้
          1. มาตรการทางด้านภาษีจะเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้เกิดการใช้ที่ดินว่างเปล่าให้เกิดประโยชน์  เปิด    
โอกาสให้เกษตรกรที่ยากจนได้มีโอกาสมีที่ทำกินโดยไม่ต้องเข้าไปบุกรุกทำกินในที่ดินของรัฐ  ดังนั้น  ในร่าง  
มาตรา 10/7    กรณีที่ดินว่างเปล่าหรือไม่มีการใช้ที่ดินตามควรแก่สภาพที่ดิน  สมควรเก็บภาษีในอัตราก้าว
หน้า เช่น เก็บเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าทุกปีจนกว่าจะได้ใช้ที่ดินนั้นตามสมควรแก่สภาพที่ดินสำหรับมาตรการรอง  
รับ  กรณีนี้เจ้าของที่ดินอาจนำมาให้รัฐเช่าเพื่อนำไปให้เกษตรกรที่ยากจนเช่าทำกินหรือเจ้าของที่ดินอาจนำ 
ไปให้เกษตรกรเช่าโดยตรง
          2. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม   มีมาตรฐานและไม่ลักลั่นกัน    สมควรต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ใน  
การพิจารณาว่า กรณีใดเป็นการใช้ที่ดินตามควรแก่สภาพที่ดินแล้วหรือไม่และสภาพที่ดินแต่ละประเภท  เช่น 
ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จะมีการใช้ตามควรแก่สภาพที่ดินอย่างไร ซึ่งควรแตกต่างจากที่ดินประเภทอื่น ๆ  เช่น
ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย และต้องคำนึงถึงศักยภาพของที่ดินตามความเป็นจริงประกอบด้วย     นอกจากนี้จะมี 
แนวทางดำเนินการอย่างไร  เมื่อเกิดกรณีที่เจ้าของที่ดินยังไม่พร้อมที่จะใช้ตามควรแก่สภาพของที่ดินนั้นเป็น   
การชั่วคราว  และประสงค์จะทำประโยชน์ในภายหน้า  แต่อาจเกิดปัญหาขัดแย้งกับผู้เช่าหรือรัฐ    ทั้งนี้   จะ 
สมควรให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์
ดังกล่าวจะเป็นการเหมาะสมหรือไม่
          3. หลักการสำคัญประการหนึ่งของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้   คือ     การเพิ่มรายได้ให้กับท้องถิ่น  
ดังนั้น      จึงสมควรกำหนดให้ท้องถิ่นสามารถพิจารณาลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีได้ตามความเหมาะสมใน 
กรณีที่ท้องถิ่นเห็นสมควรเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนในท้องถิ่นของตน
          4. การกำหนดให้ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินมีหน้าที่ชำระภาษีค้างรวมทั้งปีสุดท้ายไม่เกิน 2 ปี  
ร่วมกับผู้ค้างชำระภาษีตามมาตรา 17/3 นั้น ข้อกำหนดดังกล่าวจะเป็นธรรมหรือไม่เพราะหนี้ภาษีเป็นหนี้
บุริมสิทธิอยู่แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และหน้าที่ร่วมกันนั้นมีความหมายเพียงใด
          5. ตามร่างมาตรา 22/5  ให้อำนาจผู้บริหารท้องถิ่นเปรียบเทียบปรับได้นั้น    จะทำให้เกิดปัญหา    
อย่างไรหรือไม่   เนื่องจากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้บัญญัติให้เจ้าหน้าที่ที่กำหนดมี   
อำนาจเปรียบเทียบปรับได้เช่นกัน
          6. สำหรับชื่อร่างพระราชบัญญัติจะสมควรเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องกับหลักการและ
เหตุผลของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ซึ่งมุ่งจะจัดเก็บภาษีจากการถือครองอสังหาริมทรัพย์หรือไม่

          1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติทุนของรัฐวิสาหกิจ  พ.ศ. ....     ตามที่กระทรวงการคลัง  เสนอ  
(เปลี่ยนทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นทุนเรือนหุ้น  และให้มีการกระจายหุ้นโดยขายให้ประชาชน  เป็นการระดมเงิน   
และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจ และลดภาระด้านการเงินของรัฐบาล)  และให้ส่งสำนัก 
งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน   โดยในร่างมาตรา 7 ให้เพิ่มผู้อำนวยการสำนักงบ  
ประมาณ เป็นกรรมการในคณะกรรมการทุนของรัฐวิสาหกิจด้วย     หากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา 
มิได้แก้ไขในสาระสำคัญ  ก็ให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแล้วเสนอสภาผู้แทน 
ราษฎรพิจารณาต่อไปได้  ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการให้เสร็จทันเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในสมัย
ประชุมนี้  เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
          2. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณา ดังนี้
              2.1 รัฐวิสาหกิจบางแห่งได้มีการอนุญาต  สัญญาหรือสัมปทานกับเอกชน เช่น องค์การโทรศัพท์ 
แห่งประเทศไทยและการสื่อสารแห่งประเทศไทยเมื่อมีการแปรรูปเป็นบริษัทจะมีการกำกับดูแลอย่างไรเพื่อ
ให้ทางราชการไม่เสียประโยชน์และไม่กระทบต่อการอนุญาตสัมปทานหรือสัญญาตามที่กำหนดในรัฐธรรม
นูญ มาตรา 335 
              2.2 อำนาจผูกขาดโดยรัฐอาจยังมีอยู่ในกฎหมายอื่นอีก   จะสามารถกำหนดไว้ในกฎหมายเพียง  
ฉบับเดียว เพื่อยกเลิกอำนาจผูกขาดโดยรัฐในกิจการต่าง ๆ     แทนการแก้ไขกฎหมายเป็นรายฉบับได้หรือ
ไม่  และจะมีความเหมาะสมเพียงใด

          อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน  เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้ดำรง   
ตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ....  (ได้แก่  ตำแหน่งประธานและกรรมการการเลือกตั้ง  ประธานและตุลาการ 
ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจราชการแผ่นดินของรัฐสภา  ประธานและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 
แห่งชาติ  ประธานกรรมการ  และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และประประธานและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่ง
ชาติ)  ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอ  และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา 
เป็นเรื่องด่วน โดยให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้คำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ" ไป
พิจารณา  แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎร
พิจารณาต่อไป 

          รับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2541 ไตรมาสที่ 1 
(ตุลาคม - ธันวาคม 2540) ตามที่กระทรวงการคลัง รายงาน สรุปได้ดังนี้ 
          1. การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในภาพรวม มีการเบิกจ่ายเงินจำนวน 128,622 ล้านบาท   คิด  
เป็นร้อยละ 16.08 ของวงเงินงบประมาณ 800,000 ล้านบาท  เปรียบเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของ 
ปีงบประมาณก่อน มีอัตราการเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ 1.16   
          2. การเบิกจ่ายเงินงบประมาณแยกตามประเภทรายจ่าย มีการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน  
109,360 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20.13 ของงบประมาณรายจ่ายประจำ  และมีการเบิกจ่ายรายจ่าย
ลงทุน จำนวน 19,262 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.50 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน 
          3. การเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณเกินกว่า 10,000  
ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 14 แห่ง มีวงเงินงบประมาณรวมกันเท่ากับ 473,157 ล้านบาท   คิดเป็นร้อยละ   
59.14 ของวงเงินงบประมาณ (800,000  ล้านบาท) การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในกลุ่มนี้ ตั้งแต่ต้นปี  
จนถึงสิ้นไตรมาสที่ 1 เท่ากับ 77,308 ล้านบาท  คิดเป็นร้อยละ 16.34   และ 9.66  ของวงเงินงบประ 
มาณของกลุ่มและวงเงินงบประมาณรวม

          รับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2541 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึง    
สิ้นสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมกราคม 2541 (ณ วันที่ 15 มกราคม 2541)   ตามที่กระทรวงการคลัง รายงาน    
สรุปได้ว่า  มีการเบิกจ่ายเงินทั้งสิ้น 142,597.8 ล้านบาท   คิดเป็นร้อยละ 17.82    ของวงเงินงบประมาณ   
(800,000 ล้านบาท)    ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีงบประมาณที่ผ่านมาปรากฎว่า  
มีอัตราการเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ 0.95

          อนุมัติคำสั่งกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการอำนวยการ  
ก่อสร้างศูนย์การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตามที่กระทรวง 
การคลัง เสนอ โดยแต่งตั้ง
          1. นายกมล จันทิมา                                                                         รองประธานกรรมการ
              อธิบดีกรมบัญชีกลาง
          2. ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการก่อสร้าง
              ศูนย์การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13
              ศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
              (ร้อยเอก ชาญชัย ชาญชยศึก รองปลัดกระทรวงการคลัง)                     รองประธานกรรมการ
          ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2541 เป็นต้นไป

          รับทราบการปรับปรุงวงเงินกู้ระยะสั้นและการต่ออายุวงเงินกู้ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.)  
เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนการดำเนินงาน  ตามที่กระทรวงการคลัง รายงาน    โดยวงเงินกู้ระยะสั้นกับธนาคาร  
พาณิชย์และสถาบันการเงิน จำนวน 9,110 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรี (25 กุมภาพันธ์ 2540)  ได้หมดอายุ  
แล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2540     แต่ ปตท. ยังคงมีความจำเป็นจะต้องใช้เงินดังกล่าวต่อไป เพื่อเป็นเงินทุนหมุน    
เวียนสำหรับการดำเนินงานตามปกติของ ปตท.  ในปี  พ.ศ. 2541       โดยแบ่งเป็นวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี จำนวน  
2,030 ล้านบาท วงเงินกู้ตั๋วสัญญาใช้เงินที่เป็นเงินบาท จำนวน 2,250 ล้านบาท   และวงเงินกู้ตั๋วสัญญาใช้เงินที่   
ให้เลือกกู้เป็นสกุลเงินบาทหรือเงินดอลลาร์สหรัฐ ฯ  เทียบเท่าจำนวน 4,830 ล้านบาท  ระยะเวลา 1 ปี    ตั้งแต่ 
วันที่ 1 มกราคม 2541 ถึง 31 ธันวาคม 2541 โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน 

          รับทราบเรื่อง สรุปสถานะระดับเครดิตของประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ
ตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ

          รับทราบการกำหนดจรรยาบรรณของกรรมการรัฐวิสาหกิจ  รวม 10 ข้อ    ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ  
ดังนี้ 
          1. กรรมการต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์  และข้อบังคับขององค์กร  ตลอดจนมติ 
ที่ประชุมผู้ถือหุ้น
          2. กรรมการต้องบริหารงานเพื่อผลประโยชน์ของรัฐ องค์กร  และพนักงานทั้งในปัจจุบันและอนาคตตลอด
จนรักษาภาพลักษณ์ขององค์กร
          3. กรรมการต้องบริหารงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต   โดยไม่ฝักใฝ่การเมือง   และจะวางตัวเป็นกลางอย่าง
เคร่งครัด เพื่อผลประโยชน์ต่อรัฐ องค์กร และพนักงาน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต 
          4. กรรมการต้องไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการที่กระทำกับรัฐวิสาหกิจที่ตนเป็นกรรมการ  หรือในกิจการที่ 
มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับรัฐวิสาหกิจที่ตนเป็นกรรมการอยู่  ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
          5. กรรมการพึงบริหารงานโดยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งผลประโยชน์ส่วนตนต่อผลประโยชน์ขององค์กร เพื่อ
ให้การบริหารงานเป็นไปอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ  
          6. กรรมการต้องบริหารงานด้วยความระมัดระวัง    และไม่สร้างข้อผูกมัดที่อาจขัดแย้งกับหน้าที่ของตนใน
ภายหลัง
          7. กรรมการต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบจากการทำงานไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
          8. กรรมการต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร 
          9. กรรมการต้องไม่เป็นผู้ประกอบการ  หรือเป็นผู้ถือหุ้นสำคัญ   หรือมีบุคคลในครอบครัวเป็นกรรมการ
หรือเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหรือธุรกิจการค้าใดอันมีสภาพอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขัน  หรือทำธุรกิจกับรัฐ 
วิสาหกิจที่ตนเองเป็นกรรมการอยู่
       10. กรรมการต้องไม่กระทำการใด  อันมีลักษณะเป็นการเข้าไปบริหารหรือจัดการใด ๆ   ในรัฐวิสาหกิจใน  
ลักษณะที่มีผลบั่นทอนผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจที่ตนเป็นกรรมการอยู่หรือเอื้ออำนวยประโยชน์ให้บุคคลหรือ 
นิติบุคคลใด ๆ ไม่ว่าจะทำเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือของผู้อื่น

          อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเงินออมเพื่อการชราภาพ  โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง 
การคลัง  เป็นประธานกรรมการ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม   เป็นรองประ 
ธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นกรรมการและเลขานุการ และกรรมการ 
อื่นอีก 19 คน ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ โดยมีอำนาจหน้าที่ 6 ประการ ดังนี้
          1. ประสานการส่งเสริมการออมเพื่อการชราภาพผ่านกองทุนต่าง ๆ  
          2. กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการออมระยะยาวเพื่อการชราภาพ  ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน 
          3. กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการจัดการและการลงทุนของเงินออมจากกองทุนต่าง ๆ  เพื่อการ
ชราภาพ
          4. กำกับการทำงานของกองทุนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชราภาพให้มีความมั่นคงและมีสภาพ  
คล่อง 
          5. กำหนดนโยบายเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่  และภาระของรัฐ  ในการสนับสนุนกองทุนต่าง ๆ  
เพื่อการชราภาพ
          6. จัดตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงานตามความจำเป็นที่จะทำให้การดำเนินงานของคณะ 
กรรมการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

          อนุมัติแต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 
จำนวน 9 ราย แทนชุดเดิมที่พ้นจากตำแหน่งวาระในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2541   ตามที่กระทรวงการคลัง 
เสนอ ดังนี้   
          1. นายทวีศักดิ์ เสสะเวช ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธานกรรมการ
          2. นายอาลัย อิงคะวณิช ผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการ
          3. นายประกอบ ตันติยาพงศ์ ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการ
          4. นายวัลลภ วิทยประพัฒน์ ผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นกรรมการ
          5. นายปลอดประสพ สุรัสวดี ผู้แทนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นกรรมการ
          6. นายจรุง หนูขวัญ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการ
          7. นายเฉลิม ปิ่นสกุล ผู้แทนสหกรณ์การเกษตรผู้ถือหุ้น เป็นกรรมการ
          8. นายชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ เป็นกรรมการ
          9. นางสาววนิดา ปิยะมาดา เป็นกรรมการ
          ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2541 เป็นต้นไป

          อนุมัติให้แก้ไขเพิ่มเติมรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 6/2541 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2541 
เรื่อง งบประมาณประจำปี 2541 ของรัฐวิสาหกิจ หน้าที่ 83    ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง  
(นายพิสิฐ  ลี้อาธรรม) เสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไป  
ดำเนินการต่อไป โดยเพิ่มข้อความย่อหน้าสุดท้ายก่อนมติ ดังนี้
          "รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง  (นายพิสิฐ  ลี้อาธรรม)  เสนอว่า  ในกรณีที่การปิโตรเลียม 
แห่งประเทศไทย  (ปตท.)  ไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายในงบทำการได้ร้อยละ 3   เนื่องจากงบทำการดังกล่าว 
ได้รวมงบประมาณในการจัดซื้อวัตถุดิบคือน้ำมัน     ซึ่งไม่ควรนำมาเป็นฐานในการคำนวณการตัดรายจ่าย  
เพราะเป็นงบซื้อมาขายไป       ดังนั้น   สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะ 
ต้องหาทางพิจารณาตัดค่าใช้จ่ายด้านอื่นจากรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ   หรือเพิ่มรายได้ทางใดทางหนึ่ง     เพื่อให้ 
Retained Income โดยรวมเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้เดิม"

          1. อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินจากธนาคารโลก วงเงิน 15 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับโครงการ  
ความช่วยเหลือในการจัดการด้านเศรษฐกิจ ตามนัยเงื่อนไขที่ตกลง     และเห็นชอบในการบรรจุโครงการกู้ 
รายนี้ไว้ในแผนการก่อหนี้ ฯ ประจำปีงบประมาณ 2541
          2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามในสัญญากู้เงินและเอกสารที่เกี่ยวข้องในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
          ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ