ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 608 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 12141 - 12160 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12141 | ขออนุมัติในหลักการเพื่อจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษแก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ | พน | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการเพื่อจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษในรูปค่าขนย้ายให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ โดยอนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยไร่ละ ๓๒,๐๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งประกอบด้วยบัญชีรายชื่อราษฎรได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ จำนวน ๔ กลุ่ม จำนวน ๕๒๓ ราย เนื้อที่รวมทั้งสิ้น ๗,๗๖๓.๘๓ ไร่ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๒๒๖,๒๗๖,๑๗๖ บาท โดยขอปรับเนื้อที่ผลการอ่านแปลการครอบครองและทำประโยชน์ของราษฎรที่มีเนื้อที่ไม่ถึง ๑ ไร่ ให้ปรับเป็น ๑ ไร่ หากมีเนื้อที่เกิน ๑ ไร่ ให้คิดตามความเป็นจริง ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงพลังงานใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง เพื่อจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษในรูปค่าขนย้ายให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ กับราษฎรในกลุ่มที่ ๑ และกลุ่มที่ ๒ ที่ได้ยื่นคำร้องกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และเรียกร้องเฉพาะที่ดินที่ผ่านการอ่านแปลจากภาพถ่ายทางอากาศของผู้เชี่ยวชาญโดยไม่ติดใจเรียกร้องค่าชดเชยในส่วนที่เพิ่มขึ้น และแสดงเจตนาสละสิทธิ์การเรียกร้องดังกล่าวทั้งปัจจุบันและอนาคต โดยอนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยไร่ละ ๓๒,๐๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ๑.๓ อนุมัติในหลักการให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงิน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ และเป็นไปตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบทรัพย์สินราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ เพื่อให้การจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และมิให้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากราษฎร ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับเงินต้องยืนยันว่าเรื่องถึงที่สุดแล้วจะไม่เรียกร้องเพิ่มเติม และจะไม่มอบอำนาจให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเรียกร้องเพิ่มเติมด้วย โดยให้มีผู้ที่ได้รับเงินในครั้งเดียวกันลงนามรับรองร่วมกัน เพื่อเป็นพยานยืนยัน และเห็นควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงิน ๑.๔ รับทราบกรณีราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ที่ยังไม่ได้จัดทำบัญชีรายชื่อ กลุ่มที่ ๓ จำนวน ๑๑๙ ราย และกลุ่มที่ ๔ จำนวน ๑๐ ราย รวม ๑๒๙ ราย เนื้อที่รวม ๑,๖๗๐.๘๒ ไร่ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๘,๕๒๐,๘๕๖ บาท นั้น กระทรวงพลังงานจะได้ดำเนินการจัดทำบัญชีรายชื่อราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาหนึ่งปีหกเดือน นับจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติตามข้อ ๑.๑ ๒. สำหรับการเบิกจ่ายเงินชดเชย เห็นควรให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ และเป็นไปตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบฯ รวมทั้งเห็นควรจ่ายด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร (จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิ โดยถือความเห็นของคณะกรรมการชุดนี้เป็นหลักฐานในการจ่ายเงินค่าชดเชย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12142 | รายงานผลการดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง ประจำไตรมาสที่ 1/2562 (ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2562) | มท | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ประจำไตรมาสที่ ๑/๒๕๖๒ (ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม ๒๕๖๒) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แผนงาน/โครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จ กฟน. มีแผนดำเนินโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินในพื้นที่ที่ กฟน. ดูแลและรับผิดชอบระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี และสมุทรปราการ รวมระยะทาง ๒๑๕.๖ กิโลเมตร ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี ๒๕๒๗-๒๕๖๔ รวม ๕ แผนงาน ดำเนินการแล้วเสร็จ ๔๖.๖ กิโลเมตร ประกอบด้วย (๑) แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๕ และฉบับที่ ๗ (โครงการถนนสีลม ปทุมวัน และจิตรลดา) ระยะทาง ๑๖.๒ กิโลเมตร (๒) แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี ๒๕๔๗-๒๕๕๒ (โครงการพหลโยธิน พญาไท และสุขุมวิท) ระยะทาง ๒๔.๔ กิโลเมตร และ (๓) แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี ๒๕๕๑-๒๕๕๖ (ฉบับปรับปรุง) ในส่วนของโครงการปทุมวัน จิตรลดา พญาไท (เพิ่มเติม) ระยะทาง ๖ กิโลเมตร ๒. การเบิกจ่ายงบประมาณ กฟน. ได้วางแผนการเบิกจ่ายเงินในปี ๒๕๖๒ จำนวน ๒,๕๑๙.๗๔๔ ล้านบาท โดย ณ เดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ได้มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๔๐.๖๑๕ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๓.๕๒ ของแผนการเบิกจ่ายฯ และคาดว่าจะเร่งรัดการเบิกจ่ายในส่วนที่เหลือให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๒ ๓. แผนการดำเนินงานในระยะต่อไป เป็นการติดตามเร่งรัดการดำเนินการตามแผนฯ ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่กำหนด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12143 | รัฐบาลสาธารณรัฐคอซอวอเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสาธารณรัฐคอซอวอประจำประเทศไทย (นายมุฮัมมัด บราชโชริ) | กต | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมุฮัมมัด บราชโชริ (Mr. Muhamet Brajshori) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐคอชอวอประจำประเทศไทยคนแรก โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12144 | การกำหนดเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนของประธานกรรมการ กรรมการ อนุกรรมการ และบุคคลที่คณะกรรมการแต่งตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 | สพร. | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการกำหนดเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนของประธานกรรมการ กรรมการ อนุกรรมการ และบุคคลที่คณะกรรมการแต่งตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๒ และให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ขอตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนกับกระทรวงการคลัง ก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการข้อเสนอดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ไปดำเนินการก่อนเป็นลำดับแรก ส่วนภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเท่าที่จำเป็น ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12145 | การเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี 2563 ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย | พน | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบงบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี ๒๕๖๓ ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย จำนวน ๔,๗๙๑,๗๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๔๖ ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๖ หรือ ๒๐๙,๔๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๖.๔ ล้านบาท) จากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติในปี ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป และให้แจ้งความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรบริหารการใช้จ่ายงบประมาณในทุกหมวดอย่างประหยัด และควรพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงจากรายได้ที่ลดลงในปี ๒๕๖๓ ร้อยละ ๔.๐ ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๔.๖ เมื่อเทียบกับปี ๒๕๖๒ ให้องค์กรร่วมไทย-มาเลเซียทราบด้วย ๒. ในการเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปีขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซียสำหรับปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย พ.ศ. ๒๕๓๓ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12146 | ขออนุมัติจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง | ศธ | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง [Mekong-Lancang Cooperation (MLC) Special Fund] โดยบันทึกความเข้าใจฯ จัดทำขึ้นเพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกองทุนฯ และเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมสำหรับความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ระบุว่า จีนได้อนุมัติโครงการและสนับสนุนงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการประชุมสัมมนาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาอาชีวศึกษาไทย-ลาว-จีน ในเขตชายแดนลุ่มน้ำโขง จำนวน 60,000 RMB (ประมาณ ๒๕๘,๖๐๐ บาท) และ (๒) โครงการฝึกอบรมการพัฒนาหลักสูตรการขนส่งทางราง จำนวน 160,000 RMB (ประมาณ ๖๘๙,๖๐๐ บาท) โดยจีนจะจัดสรรงบประมาณให้ไทยภายใน ๒๐ วันทำการ หลังจากที่ได้มีการลงนาม ทั้งนี้ ปัญหาและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการจะถูกแก้ปัญหาผ่านการหารืออย่างเป็นมิตร ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ในปลายเดือนกันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กำกับดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้บริหารจัดการโครงการประชุมสัมมนาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาอาชีวศึกษาไทย-ลาว-จีน ในเขตชายแดนลุ่มน้ำโขงให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ภายใต้งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12147 | บทบาทของประเทศไทยกับการเปลี่ยนสถานะของมูลนิธิศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asian Disaster Preparedness Center - ADPC) เป็นองค์การระหว่างประเทศ | กต | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงประเทศเจ้าบ้าน (Host Country Agreement) ระหว่างรัฐบาลไทยกับศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asian Disaster Preparedness Center : ADPC) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อร่วมกัน (ระหว่างไทยกับ ADPC) ที่จะทำให้ชุมชนมีความปลอดภัยและบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการดำเนินงานตามอาณัติของ ADPC อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับรายละเอียดการให้เอกสิทธิและความคุ้มกันแก่ ADPC เช่น การยกเว้นภาษีอากรการอนุญาตให้รับ ถือครอง และโอนเงินทุนและเงินตราต่างประเทศ การอำนวยความสะดวกการตรวจลงตราและยกเว้นจากการขึ้นทะเบียนคนต่างด้าวของเจ้าหน้าที่ของ ADPC เป็นต้น โดยจะมีการลงนามในร่างความตกลงฯ ในการประชุมคณะกรรมการผู้ดูแล (Board of Trustees : BOT) ของศูนย์ ADPC ในราวเดือนกันยายน ๒๕๖๒ ๑.๒ ให้รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ ๑.๓ แต่งตั้งรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในคณะกรรมการ BOT ของศูนย์ ADPC ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12148 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนสิงหาคม 2562 | นร11 | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนสิงหาคม ๒๕๖๒ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ความก้าวหน้าแผนการปฏิรูปประเทศ การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ การสร้างการตระหนักรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของภาคีต่าง ๆ ต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ และการดำเนินงานในระยะต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12149 | แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายสุพล บริสุทธิ์) | พม | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสุพล บริสุทธิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12150 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 | กค | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ประกอบด้วยผลการดำเนินงานในปี ๒๕๖๑ และทิศทางและนโยบายการดำเนินงานของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12151 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2561 | กค | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการรายงานสถานะทางการเงินของทุนหมุนเวียนในภาพรวม ผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน บทบาทของทุนหมุนเวียนที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ปัญหาอุปสรรคการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน และข้อสังเกตการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของคณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงและประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12152 | แนวทางการปฏิบัติในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 ต่อคณะรัฐมนตรี | นร05 | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการปฏิบัติในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อคณะรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ดังนี้
๑. ขั้นตอนการจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนของหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องต้องเสนอเรื่องให้สำนักงบประมาณพิจารณาการจัดสรรเงินค่าทดแทนที่จะต้องจ่ายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ และเมื่อสำนักงบประมาณพิจารณาเสร็จแล้วให้แจ้งผลการพิจารณากลับไปยังหน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาต่อคณะรัฐมนตรี โดยให้ระบุไว้ในหนังสือที่เสนอเรื่องในหัวข้อ “ความเห็นหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง” พร้อมแนบสำเนาหนังสือความเห็นของสำนักงบประมาณมาพร้อมด้วย ๒. ขั้นตอนการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องต้องจัดทำเอกสารเสนอไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของร่างพระราชกฤษฎีกาและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหา ดังนี้ ๒.๑ วัตถุประสงค์ของการเวนคืน ซึ่งอาจกำหนดหลายวัตถุประสงค์ตามความจำเป็นก็ได้ ๒.๒ ระยะเวลาการใช้บังคับของพระราชกฤษฎีกา ซึ่งให้กำหนดระยะเวลาเท่าที่จำเป็นเพื่อการสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ และการรังวัดที่ดิน แต่จะกำหนดเกินห้าปีไม่ได้ ๒.๓ แนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนเท่าที่จำเป็น ๒.๔ ระยะเวลาเริ่มต้นเข้าสำรวจ ให้กำหนดเท่าที่จำเป็น ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ ๒.๕ เจ้าหน้าที่เวนคืน ๒.๖ แผนที่หรือแผนผังแสดงแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืน ๒.๗ ความเห็นของสำนักงบประมาณ ซึ่งหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการแล้วตามขั้นตอนในข้อ ๑ ทั้งนี้ หากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเห็นว่าความเห็นดังกล่าวไม่เป็นปัจจุบัน สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอาจพิจารณาถามความเห็นไปยังสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่งก็ได้ ๒.๘ การรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ได้รับผลกระทบ การดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ๒๕๔๘ และกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะตรวจสอบความครบถ้วนของเรื่องที่หน่วยงานของรัฐเสนอตามแนวทางการปฏิบัติข้างต้น และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ หากหน่วยงานของรัฐที่เสนอเรื่องดำเนินการไม่ครบถ้วน สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะดำเนินการส่งเรื่องคืนเพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง ก่อนเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12153 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมอัตราภาษีสำหรับยาเส้น โดยปรับแก้ไขการได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตรา ๐ จากเดิมที่กำหนดให้ “ยาเส้นที่ผู้เพาะปลูกต้นยาสูบทำจากใบยาที่ปลูกและหั่นเองและได้ขายยาเส้นนั้นแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบเสียภาษีในอัตรา ๐” เป็น “ยาเส้นที่ผลิตเพื่อขายเป็นวัตถุดิบให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบโดยตรงหรือโดยผ่านผู้ค้าคนกลาง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้ เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตลอดจนรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ นอกจากนี้ ในระยะยาวควรให้ความสำคัญกับการปรับขึ้นภาษียาเส้นที่สอดคล้องกับหลักสากล หลักความฟุ่มเฟือย และหลักสุขภาพ รวมถึงหลักความเท่าเทียมในการจัดเก็บภาษีบุหรี่และยาเส้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยควบคุมการบริโภคยาสูบให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12154 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2563 | กค | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน ๘๙๔,๐๐๕.๖๕ ล้านบาท แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน ๘๓๑,๑๕๐.๓๒ ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ วงเงิน ๓๙๘,๓๗๒.๕๕ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การเคหะแห่งชาติ การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการยางแห่งประเทศไทย ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (Debt Service Coverage Ratio : DSCR) ต่ำกว่า ๑ สามารถกู้เงินใหม่และบริหารหนี้เดิมภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง ๕ แห่ง รับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเกี่ยวกับระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อ ๑๓ กำหนดให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเสนอแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณต่อคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี โดยในแผนฯ ประจำปีงบประมาณอย่างน้อยต้องครอบคลุมในเรื่องการกู้เงินและการค้ำประกัน การชำระหนี้ การบริหารหนี้คงค้าง หรือการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับหนี้สาธารณะ ไปดำเนินการด้วย และให้หน่วยงานดังกล่าวเร่งรัดการดำเนินการตามแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของคณะกรรมการฯ เกี่ยวกับการกู้เงินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ โดยเห็นว่า แม้ว่า บกท. ยังมี DSCR ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ (๑ เท่า) แต่พบว่า บกท. มีการก่อหนี้ใหม่เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการทั่วไปเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่า บกท. ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องและมีเงินสดไม่เพียงพอในการดำเนินงาน อีกทั้งยังมีผลประกอบการในครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๒ ขาดทุน จึงเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดรับความเห็นดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากปัญหาการขาดสภาพคล่องของหน่วยงาน ๑.๔ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือค้ำประกันเงินกู้ต่างประเทศจากแหล่งเงินกู้ทางการ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรกำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจทั้ง ๕ แห่ง ที่มีสัดส่วน DSCR ต่ำกว่า ๑ ให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการฯ อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว รวมทั้งติดตามและเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการใช้จ่ายเงินและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนฯ ที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12155 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเงินกู้ FIDF 1 และ FIDF 3 | กค | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในปีงบประมาณ ๒๕๖๓ จำนวน ๖,๗๐๐ ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ เนื่องจากจำนวนเงินดังกล่าวมีความเหมาะสมกับเงินสดรับคงเหลือของกองทุนฯ ที่ประมาณการว่าจะมีอยู่ จำนวน ๗,๗๔๑ ล้านบาท ซึ่งจะทำให้กองทุนฯ มีเงินสดคงเหลือเพื่อสำรองเป็นค่าใช้จ่าย ค่าดำเนินการ และภาระชดเชยที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๑,๐๔๑ ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากกองทุนฯ ได้รับเงินที่มีนัยสำคัญ ให้พิจารณาทบทวนเพื่อขออนุมัตินำส่งเงินเข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติมต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12156 | การขยายระยะเวลาแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรตามโครงการปรับโครงสร้างและระบบการผลิตการเกษตร (คปร.) และโครงการแผนฟื้นฟูการเกษตร (ผกก.) | กษ | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรตามโครงการปรับโครงสร้างและระบบการผลิตการเกษตร (คปร.) และโครงการแผนฟื้นฟูการเกษตร (ผกก.) ออกไปอีก ๕ ปี จากเดิม ที่สิ้นสุดโครงการ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ เป็น วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ เนี่องจากยังมีเกษตรกรบางส่วนที่มีความสามารถในการชำระหนี้ตามศักยภาพได้อย่างต่อเนื่องจะได้มีเวลาในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะงดคิดค่าบริหารสินเชื่อในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปีของต้นเงินกู้คงเหลือทั้งหมดที่จะขยายระยะเวลาชำระหนี้ออกไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ยังคงเป็นหนี้ให้สามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมดภายในกำหนดระยะเวลา ๕ ปีดังกล่าว รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามผลการชำระคืนเงินให้เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กำหนด และควรเร่งสร้างโอกาสและสนับสนุนให้เกษตรกรเป้าหมาย รวมถึงทายาท พัฒนาอาชีพและรายได้ทางการเกษตรและอาชีพเสริมให้มีความมั่นคง ควบคู่ไปกับการสร้างแรงจูงใจและติดตามให้เกษตรกรเร่งชำระหนี้ที่ค้างอยู่ให้ได้ทันตามกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมบัญชีกลาง และ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินตามมาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อปลดเปลื้องหนี้สิน โดยการคัดจำหน่ายหนี้สูญสำหรับเกษตรกรลูกหนี้ที่ไม่มีศักยภาพในการชำระหนี้ เพื่อให้การบริหารจัดการหนี้สินเกษตรกรเป็นไปอย่างถูกต้อง สะท้อนความเป็นจริง รวมทั้งเพื่อลดภาระงบประมาณของรัฐบาล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12157 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายสวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์) | สธ | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ คน ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ร้อยเอก ภูรีวรรธน์ โชคเกิด ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ๒. นายสวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12158 | รายงานประจำปี 2561 ของกองทุนการออมแห่งชาติ | กค | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๑ ของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ประกอบด้วยผลการดำเนินงานของ กอช. ประจำปี ๒๕๖๑ และรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของ กอช. สิ้นสุด ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า งบการเงินของ กอช. ดังกล่าวมีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12159 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 | กค | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12160 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสองปี 2562 | นร11 | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสองปี ๒๕๖๒ โดยความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสองปี ๒๕๖๒ การจ้างงานลดลงเล็กน้อย การว่างงานอยู่ในระดับต่ำ ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การเจ็บป่วยยังต้องเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่และโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น คดีอาญารวมเพิ่มขึ้นจากคดียาเสพติดที่เพิ่มขึ้น การเกิดอุบัติเหตุลดลง แต่จำนวนผู้เสียชีวิตและมูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้น รวมทั้งการรับร้องเรียนผ่านสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้นด้านโฆษณา ขณะที่การรับร้องเรียนผ่านสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติลดลง สำหรับสถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ คนไทยอ่านและใช้เวลาอ่านเพิ่มขึ้น แต่เด็กวัยเรียนยังมีปัญหาอ่านไม่ออกและขาดทักษะด้านการอ่าน การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นกับโอกาสทางการศึกษา จำนวนหญิงคลอดบุตรอายุ ๑๐-๑๙ ปี คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๙ ของจำนวนหญิงในวัยเดียวกัน แม้จะมีแนวโน้มลดลง แต่ตัวเลขยังสูงและยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง และประเทศไทยได้รับการจัดอันดับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์เป็น “Tier 2” เป็นปีที่ ๒ ติดต่อกัน ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น พิจารณากำหนดมาตรการและแนวทางที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทางสังคม เช่น ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นกับโอกาสทางการศึกษา ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและการหย่าร้าง ปัญหาครอบครัวขาดผู้นำและขาดรายได้ เป็นต้น และเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
|
.....