ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 424 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 8461 - 8480 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8461 | ร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... | นร. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า โดยที่ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่
๘) พ.ศ. ๒๕๖๔ (การยกเลิกพืชกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕)
ซึ่งอยู่ระหว่างการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป
มีหลักการเพื่อยกเลิก “พืชกระท่อม” จากการเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕
และยกเลิกบทกำหนดโทษสำหรับความผิดเกี่ยวกับพืชกระท่อมตลอดจนยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับการประกาศให้ท้องที่ใดเป็นท้องที่ที่ทำการเสพพืชกระท่อมได้โดยไม่เป็นความผิด
เนื่องจากพืชกระท่อมเป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่งควรนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับประเทศ
ประกอบกับยังมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด
และร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๓ ฉบับ
ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา รวมทั้งร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. ....
ของกระทรวงยุติธรรม ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีมาตรการควบคุมบังคับเกี่ยวกับการใช้พืชกระท่อม
จึงเห็นควรผลักดันร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... ให้มีผลใช้บังคับโดยเร็วต่อไป
ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วลงมติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม
พ.ศ. ....ของกระทรวงยุติธรรม โดยพิจารณาถึงความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด
พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด และร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....รวม ๓ ฉบับ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา
และร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๔
(การยกเลิกพืชกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕) ซึ่งอยู่ระหว่างการนำขึ้นทูลเกล้าฯ
ถวาย เพื่อประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8462 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การลดเงินเพิ่ม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... | กค. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การลดเงินเพิ่ม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ....
โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกซึ่งชำระอากรไม่ครบถ้วน
โดยไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียอากรและได้นำอากรที่ยังชำระไม่ครบถ้วนมาชำระต่อกรมศุลกากร
ให้ได้รับการลดเงินเพิ่มเหลือร้อยละ ๐.๒๕ ต่อเดือน
ของอากรที่ต้องเสียหรือเสียเพิ่ม นับแต่วันที่นำของออกไปจากอารักขาของศุลกากรหรือส่งของออกไปนอกราชอาณาจักรจนถึงวันที่นำเงินมาชำระ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว โดยเฉพาะสถานการณ์ความจำเป็น
และประโยชน์ที่จะได้รับ ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้ เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว
และดำเนินการตามนัยมาตรา ๒๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ให้ครบถ้วนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8463 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2564 และแนวโน้มปี 2564 | นร.11 | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๔ และแนวโน้มปี
๒๕๖๔ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๔ ลดลงร้อยละ ๒.๖ ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ
๔.๒ ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๔ ขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๓ ร้อยละ ๐.๒ (QoQ_SA) โดยด้านการใช้จ่าย
มีแรงสนับสนุนสำคัญจากการกลับมาขยายตัวของการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชน
รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของการใช้จ่ายของรัฐบาลและการขยายตัวเร่งขึ้นของการลงทุนภาครัฐ
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกบริการลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-๑๙
ในขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาครัฐบาล การลงทุนรวมโดยการลงทุนภาคเอกชน การส่งออกสินค้ากลับมาขยายตัวในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น
เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ รถยนต์นั่ง และลดลงในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าลดลง
ได้แก่ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ส่วนด้านการผลิต สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม
และสาขาก่อสร้าง สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้และประมง สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร
สาขาการเงิน ขยายตัว การผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า
สาขาการไฟฟ้าและก๊าซ สาขาการขายส่งการขายปลีกและการซ่อมแซมฯ ลดลงต่อเนื่อง ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี
๒๕๖๔ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๑.๕-๒.๕ ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ จากการลดลงร้อยละ ๖.๑
ในปี ๒๕๖๓ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (๑) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (๒)
แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ และ (๓) การปรับตัวตามมาตรฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี
๒๕๖๓ ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. จะขยายตัวร้อยละ ๑๐.๓
ขณะที่การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ ๑.๖ และร้อยละ ๔.๓
ตามลำดับ ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๙.๓
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ ๑.๐-๒.๐ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ
๐.๗ ของ GDP ๓.
การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี ๒๕๖๔ ควรให้ความสำคัญกับ (๑)
การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศเพื่อให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงและอยู่ในวงจำกัดโดยเร็ว
และการป้องกันการกลับมาระบาดรุนแรงในระลอกใหม่ (๒)
การดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชน แรงงาน
และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดและมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ (๓)
การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า (๔) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน (๕)
การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ (๖)
การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (๗) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8464 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐาน พ.ศ. .... | กษ. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐาน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐาน
เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบการสามารถขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐานในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้
อันเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและสอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับวิธีการชำระค่าธรรมเนียมโดยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์
(e-Payment)
และรูปแบบการออกใบอนุญาตผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐานในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ไว้ด้วย
ควรมีการประชาสัมพันธ์สื่อสารทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้การดำเนินการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวกับผู้เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8465 | ขอยุติการดำเนินการจัดทำกฎหมายเฉพาะในการบริหารจัดการขยะ | นร.09 | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการยุติการดำเนินการจัดทำกฎหมายเฉพาะในการบริหารจัดการขยะ
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
สืบเนื่องมาจากปัจจุบันได้มีพระราชบัญญัติรักษาความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลบังคับใช้แล้ว
ซึ่งกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขได้อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
เพื่อออกกฎหมายลำดับรองที่อยู่ภายใต้บทบาทภารกิจของตนประกอบกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่ระหว่างร่วมกับหน่ายงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... เพื่อให้มีระบบการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพ
จึงเป็นกรณีที่สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงไปจากที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑)
ได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8466 | ร่างกฎหมายตามมาตรการภาษีอากรเพื่อสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ | กค. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่
สถาบันการเงิน
ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินและเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันการชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินในบางกรณี
อันเนื่องมาจากการดำเนินมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ตามพระราชกำหนดให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔ และร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน
ในส่วนของหนี้ที่เจ้าหนี้ดังกล่าวได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้
อันเนื่องมาจากมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ตามพระราชกำหนดให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
โดยเฉพาะสถานการณ์ ความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับ ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการสูญเสียรายได้
เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์
ตลอดจนการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพื่อหาแนวทางในการลดผลกระทบต่อภาระการคลังในระยะต่อไป และดำเนินตามนัยมาตรา
๒๗ ของ พระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้ครบถ้วนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8467 | ร่างพระราชบัญญัติการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. .... และการเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ | กค. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผู้ลงนามในร่างความตกลงพหุภาคีเป็นการลงนามระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ (Multilateral Competent
Authority Agreement on Automatic Exchange
of Financial Account Information : MCAA CRS)
ซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ประสานงานกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(Organisation for Economic Cooperation and Development : OECD) เพื่อให้ความตกลงนี้มีผลผูกพันต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบการเข้าเป็นภาคีความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ (Multilateral Competent Authority Agreement on
Automatic Exchange of Financial Account Information : MCAA CRS) แบบส่งและรับข้อมูลแบบต่างตอบแทนกับประเทศคู่สัญญา
(Reciprocal) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. เห็นชอบร่างความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ (Multilateral Competent
Authority Agreement on Automatic Exchange of Financial Account Information : MCAA CRS) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔.
เห็นชอบให้กระทรวงการคลังมีหนังสือถึงองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(Organisation for
Economic Cooperation and Development : OECD)
เพื่อแจ้งความจำนงในการลงนามเข้าเป็นภาคีความตกลงดังกล่าว ๕. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามความตกลงพหุภาคี ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านการบริหารภาษี (Multilateral Convention on Mutual Administrative
Assistance in Tax Matters MAC) ลงนามในความตกลง MCAA CRS และเมื่อลงนามแล้ว
ให้ส่งความตกลงดังกล่าวให้คณกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันเมื่อร่างพระราชบัญญัติการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. ....
มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๖. อนุมัติหลักร่างพระราชบัญญัติการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบทบัญญัติเพื่อให้ประเทศไทยสามารถดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศตามความตกลง
หรืออนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากร
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานศาลยุติธรรม
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
ที่เห็นว่าควรเพิ่มเงื่อนไขให้สามารถตรากฎหมายลำดับรองเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์หรือมาตรการในการเปิดเผยข้อมูลที่ได้รับตามร่างพระราชบัญญัตินี้และข้อมูลที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่สัญญา
การกำหนดเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจและบุคคลที่จะต้องมีหน้าที่ตามร่างพระราชบัญญัตินี้ยังไม่มีความชัดเจน
กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมีรอบระยะเวลาบัญชีอื่นในลักษณะทำนองเดียวกันกับกรณีตามมาตรา
๑๐ (๒) และควรกำหนดเงื่อนไขว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมายไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เมื่อรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบความตกลงฯ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอแล้ว ๗. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๘.
ให้กระทรวงการคลังแจ้งองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Cooperation and
Development : OECD) เมื่อร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว
เพื่อความตกลงฯ มีผลผูกพันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8468 | การมอบหมายผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม | คค. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายวีรศักดิ์
หวังศุภกิจโกศล) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมลำดับที่สอง แทน
นายถาวร เสนเนียม ที่พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8469 | แต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (นายศุภชัย เอกอุ่น) | มท. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง
นายศุภชัย เอกอุ่น ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในปีแรกอัตราเดือนละ
๔๖๕,๐๐๐ บาท
(ตามมติคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๗
มีนาคม ๒๕๖๔) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๔
ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่นรวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลัง
(กค.) ให้ความเห็นชอบ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8470 | มาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุน มีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี | นร.07 | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุน
มีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
และที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า
ในการดำเนินมาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุน
มีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปีตามนัยมาตรา ๒๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ในครั้งนี้เห็นควรเพิ่มมาตรการในการแก้ไขกรณีดังกล่าวอีกมาตรการหนึ่ง
โดยใช้เงินกู้ภายใต้ร่างพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 พ.ศ. .... ทั้งนี้
ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่เห็นว่าให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๐ และแผนการลงทุนภายใต้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทยด้วย
และในระยะต่อไปเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ภาครัฐควรพิจารณารักษาระดับรายจ่ายลงทุนมิให้น้อยกว่าวงเงินขาดดุลงบประมาณตามที่กฎหมายกำหนด
เนื่องจากการลงทุนภาครัฐเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว
เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยให้มีศักยภาพสูงขึ้นได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8471 | การจัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ใช้บังคับครอบคลุมถึงคณะกรรมการ | นร.10 | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการจัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ใช้บังคับครอบคลุมถึงคณะกรรมการ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ดังนี้ ๑.๑ เมื่อคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม
(ก.ม.จ.) ซึ่งมีอำนาจตามมาตรา ๑๓ (๖) แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ.
๒๕๖๒ ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้นำประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทต่าง
ๆ มาใช้บังคับโดยกำหนดให้ครอบคลุมถึงคณะกรรมการ
ซึ่งใช้อำนาจหรือได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองของรัฐในการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมาย
ในหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งขึ้นในส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐรูปแบบใหม่ด้วย ก.ม.จ.
สามารถดำเนินการตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรมฯ
และแจ้งให้องค์กรที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขประมวลจริยธรรมของตนต่อไป ๑.๒
คณะรัฐมนตรีอาจรับทราบการดำเนินการของ ก.ม.จ. ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอได้ ๑.๓ ในการแก้ไขประมวลจริยธรรมขององค์กรต่าง
ๆ เพื่อให้เป็นไปตามผลการพิจารณาของ ก.ม.จ. นั้น ควรพิจารณาว่า
คณะกรรมการใดเป็นคณะกรรมการ “ในหน่วยงานของรัฐ” ควรยึดโยงกับมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง หลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐ เพื่อความชัดเจน
เมื่อเพิ่มการกำหนดความหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ครอบคลุมถึงผู้ปฏิบัติงานในลักษณะของคณะกรรมการแล้ว
ต้องมีการพิจารณากำหนดมาตรการที่เหมาะสม เพื่อกำกับดูแลหรือกำหนดสภาพบังคับ (Sanction) ให้ผู้ปฏิบัติงานในลักษณะดังกล่าวปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมไปพร้อมกันด้วย ๒. ให้คณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน
และข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
และสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดองไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8472 | แผนขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) | นร.11 | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ และให้ สศช. ในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามแผนขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock อย่างเคร่งครัด โดยให้บูรณาการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน และสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานอย่างใกล้ชิดในการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามที่กำหนด ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สศช. สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงาน ป.ย.ป. ที่เห็นควรให้ปรับปรุงระยะเวลาการดำเนินการตามเป้าหมายย่อยของกิจกรรมปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และสำนักงาน ก.พ.ร ที่เห็นด้วย โดยมีข้อสังเกตให้ สศช.ร่วมกับหน่วยงานร่วมดำเนินโครงการเร่งรัดการดำเนินการในกิจกรรม Big Rock ที่สอดคล้องและเชื่อมโยงกับการรองรับและแก้ไขผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นลำดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8473 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) พ.ศ. 2564 | ดศ. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด – ๑๙) พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สอบถามประชาชนที่มีอายุตั้งแต่
๑๘ ปี ขึ้นไป จำนวน ๙,๐๐๐ คน ระหว่างวันที่ ๘-๑๕ มีนาคม
๒๕๖๔ ได้แก่ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ และโครงการ
ม.๓๓ เรารักกัน รวมถึงการดำเนินการเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน โควิด-๑๙ ของภาครัฐ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑
ประชาชนส่วนใหญ่ระบุว่ารับรู้/รับทราบมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐ (ร้อยละ
๙๙.๗) และมีเพียง (ร้อยละ ๐.๓) ที่ไม่รับรู้/ไม่รับทราบ โดยให้เหตุผล เช่น ไม่สนใจ
และไม่มีเวลา/ไม่ว่าง ๑.๒ การเข้าร่วมโครงการมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐ
มีประชาชนเข้าร่วมโครงการเราชนะมากที่สุด (ร้อยละ ๖๒.๑)
และเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันน้อยที่สุด ร้อยละ (๑๐.๑๖)
โดยเหตุผลที่ไม่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เช่น ไม่สนใจ การใช้งานยุ่งยาก
และไม่เข้าใจเงื่อนไขโครงการ ๑.๓
ประชาชนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจโดยรวมต่อมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐในระดับมาก-มากที่สุด
(ร้อยละ ๘๑.๒) และต้องการให้ภาครัฐดำเนินโครงการเราชนะต่อไปมากที่สุด (ร้อยละ ๖๒.๙)
โดยมีข้อเสนแนะเพิ่มเติม เช่น
ควรให้สิทธิแก่ทุกคนโดยไม่ต้องลงทะเบียน ควรเพิ่มวงเงิน และควรให้เป็นเงินสด ๑.๔
ประชาชนส่วนใหญ่มีความพร้อมที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-๑๙ (ร้อยละ ๖๐.๗)
และมีความพึงพอใจต่อการจัดหาวัคซีนโควิด-๑๙ ในระดับมาก-มากที่สุด (ร้อยละ ๖๖.๓) ๒. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
ว่าควรเพิ่มมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว
ควรให้ทุกคนได้รับสิทธิในการเยียวยาและควรส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างทั่วถึงและครอบคลุมทุกพื้นที่ในราคาย่อมเยา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8474 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 16/2564 | นร.11 | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔
เกี่ยวกับผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน
ของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔ และอนุมัติให้กรมการจัดหางาน
กระทรวงแรงงาน ปรับปรุงรายละเอียดโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน
โดยปรับลดจำนวนกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ จาก ๒๖๐,๐๐๐ คน เป็น ๕๐,๐๐๐ คน หรือลดลงประมาณ ๒๑๐,๐๐๐ คน และปรับลดกรอบวงเงินของโครงการฯ จากเดิม ๑๙,๔๖๒.๐๐๑๗
ล้านบาท เป็น ๓,๒๐๙.๗๙๘๙ ล้านบาท หรือลดลงประมาณ ๑๖,๒๕๒.๒๐๒๘ ล้านบาท ทั้งนี้ เห็นควรให้กระทรวงแรงงานกำกับการดำเนินโครงการฯ
ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้และเร่งแก้ไขข้อมูลโครงการ ในระบบ eMENSCR
โดยเร็ว ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
การให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
และการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ กฎหมาย
ข้อบังคับ และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8475 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ครั้งที่ 1/2564 | สพร. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบตามที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเสนอผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๔
และสั่งการให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑
ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสนับสนุนและเร่งรัดการพัฒนาบริการดิจิทัลภาครัฐ
ตามแผนแม่บทเพื่อการขับเคลื่อนพอร์ทัลกลางเพื่อประชาชน ระยะ ๓ ปี ๑.๒ เมื่อแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว
ให้หน่วยงานภาครัฐตามพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล
พ.ศ. ๒๕๖๒ จัดทำหรือปรับปรุงแผนปฏิบัติการของหน่วยงานให้สอดคล้องกับแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลฯ
เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๑.๓ ให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน)
ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องขยายผลให้หน่วยงานของภาครัฐรับรู้ในเรื่องการนำเอกสารสำคัญทางการศึกษาในรูปแบบดิจิทัล
(Digital Transcript) ไปใช้ในหน่วยงานและให้ถือเสมือนเอกสารต้นฉบับหรือฉบับจริง ๑.๔ ให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน)
และคณะอนุกรรมการสถาปัตยกรรมและมาตรฐานการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องผลักดันให้เกิดระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล
(Digital ID) ๑.๕
ให้หน่วยงานภาครัฐเร่งยกระดับทักษะดิจิทัลของบุคลากรให้พร้อมสำหรับการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล
โดยเริ่มจากการพัฒนาทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขั้นพื้นฐาน (Digital
literacy) ซึ่งเป็นทักษะดิจิทัลที่จำเป็นสำหรับบุคลากรทุกคนในยุคดิจิทัล
และมอบหมายให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
ดำเนินการร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการจัดฝึกอบรมและพัฒนาทักษะดิจิทัลดังกล่าวในรูปแบบออนไลน์
เพื่อให้รองรับการพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง รวมทั้งเร่งยกระดับทักษะดิจิทัลเพื่อการปฏิบัติงานเฉพาะด้านให้สอดคล้องกับแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลต่อไป
๒.
ให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ข้อคิดเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดมาตรฐานกลางข้อมูล (Data
Standard) โดยมีหน่วยงานกลางในการกำหนดมาตรฐานและกำกับดูแลการนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้
ควรควบรวม (ร่าง) แผนแม่บทเพื่อการขับเคลื่อนพอร์ทัลกลางฯ และ (ร่าง)
แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8476 | การพิจารณามีมติให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในหน่วยงานของรัฐ มาปฏิบัติงานที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เป็นการชั่วคราว | อื่นๆ | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่
หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในหน่วยงานของรัฐ มาปฏิบัติงานที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
(สกมช.) เป็นการชั่วคราว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ กรณีหน่วยงานต้นสังกัดมีหนังสืออนุญาตแล้ว
จำนวน ๔๑ คน จาก ๑๖ หน่วยงาน ให้ข้าราชการฯ เหล่านั้นมาปฏิบัติงานที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติเป็นการชั่วคราวภายใน
๑๘๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป ๑.๒ กรณีหน่วยงานต้นสังกัดอยู่ระหว่างพิจารณาอนุญาต
จำนวน ๑๐ คน จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ข้าราชการฯ
เหล่านั้นมาปฏิบัติงานที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติเป็นการชั่วคราว
หากหน่วยงานต้นสังกัดมีหนังสืออนุญาตหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติแล้ว ทั้งนี้
ให้ถือว่าข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในหน่วยงานของรัฐที่มาปฏิบัติงานที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติเป็นการชั่วคราวดังกล่าวนั้น
ไม่ขาดจากสถานภาพเดิมและคงได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้วแต่กรณีจากสังกัดเดิม
ตามนัยมาตรา ๘๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.
๒๕๖๒ ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานอัยการสูงสุด
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร.
เกี่ยวกับค่าตอบแทนพิเศษสำหรับบุคลากรที่มาปฏิบัติงาน ซี่งจะต้องนำมาคำนวณรวมเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรของสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติด้วย
และควรกำหนดแนวทางการกำกับดูแล มอบหมายงาน
และติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการ รวมทั้งตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงาน
ตลอดจนกรอบระยะเวลาที่จะให้ข้าราชการไปปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวให้มีความชัดเจน
นอกจากนี้ ในระยะยาว
ควรขออัตรากำลังข้าราชการเพื่อปฏิบัติงานในสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติเป็นการเฉพาะ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8477 | รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2563 และรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2563) | สนง. กสม. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
๑. รับทราบรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
ปี ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาและอุปสรรคในด้านต่าง
ๆ ได้แก่ (๑) ด้านสิทธิมนุษยชนในสถานการณ์เฉพาะ (สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
และสถานการณ์การชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน)
(๒) ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (เช่น สิทธิในกระบวนการยุติธรรม
การกระทำทรมาน การบังคับให้สูญหาย และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (๓)
ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (สิทธิแรงงาน สิทธิด้านสุขภาพ
สิทธิด้านการศึกษา สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน) และ (๔) ด้านสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของบุคคล (สิทธิเด็ก
สิทธิผู้สูงอายุ สิทธิคนพิการ สิทธิสตรีและความเสมอภาคทางเพศ
และผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ) และรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ซึ่งมีภารกิจที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (๒) การเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (๓)
การชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องในกรณีที่มีรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม (๔)
การสร้างเสริมทุกภาคส่วนของสังคมให้ตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชน และ (๕)
การบริหารจัดการและการพัฒนาองค์กร ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข
พิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ปรากฏในรายงานผลการประเมินสถานการณ์ฯ แล้วแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้ส่งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด
ให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8478 | การบริหารจัดการการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | นร. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ตามมติตณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๗ เมษายน ๒๕๖๓ และวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ กำหนดให้การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) เป็นวาระแห่งชาติ
และให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักเร่งบูรณาการการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจัดหา การกระจาย และการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน COVID-19 เป็นไปอย่างรวดเร็ว เหมาะสม ทั่วถึง
ตามลำดับความจำเป็นเร่งด่วน
รวมทั้งให้ร่วมกันรณรงค์สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและเข้ารับการฉีดวัคซีน
และเพื่อให้การบริหารจัดการการฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
จึงมีมติให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงสาธารณสุขปรับปรุงแอปพลิเคชันหมอพร้อมให้สามารถแสดงข้อมูลที่ชัดเจนและรวดเร็ว
(Immediate response) แก่ผู้ใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าว โดยเฉพาะความชัดเจนของข้อมูลในการลงทะเบียนเพื่อขอรับการฉีดวัคซีน
การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
ทั้งกรณีที่การลงทะเบียนขอรับการฉีดวัคซีนสำเร็จและไม่สำเร็จ เช่น
กำหนดวันและเวลาในการลงทะเบียนใหม่ หรือวันที่จะได้รับการฉีดวัคซีนที่แน่นอน
ทั้งนี้ เมื่อประชาชนได้รับการยืนยันสิทธิในการเข้ารับการฉีดวัคซีนแล้ว
ไม่ควรมีการปรับเปลี่ยนหรือยกเลิก
เว้นแต่กรณีที่มีเหตุจำเป็นที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนการบริหารจัดการวัคซีน
แต่ให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมกับปริมาณวัคซีนที่ได้รับจริงและสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงไป
โดยให้แบ่งเป็น แผนหลัก ที่ใช้ข้อมูลปริมาณวัคซีนที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน และแผนสำรอง
ที่ใช้ข้อมูลปริมาณวัคซีนที่อาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระยะต่อไป โดยจัดทำในรูปแบบของ Dashboard (การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่กระชับ
ทันสมัย และเข้าใจง่าย เช่น แผนภาพ แผนภูมิ เป็นต้น) เพื่อให้สามารถกำกับ ติดตาม
และบริหารการจัดหาและจัดสรรวัคซีนให้เป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้
การฉีดวัคซีนยึดตามกลุ่มเสี่ยงและประชาชนที่ลงทะเบียนในแอปพลิเคชันหมอพร้อมเป็นหลัก
ในส่วนของการลงทะเบียนขอรับการฉีดวัคซีน ณ จุดบริการ (On-site
registration) จะเป็นกรณีเสริมเท่านั้น
โดยให้มีการจัดระบบและเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ให้ชัดเจน เช่น
การประชาสัมพันธ์ข้อมูล การจัดเตรียมสถานที่ฉีดวัคซีน
และสถานที่พักคอยที่ต้องเหมาะสมและไม่แออัด ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค
COVID-19 และการวัคซีนของประชาชนอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้กระทรวงศึกษาธิการประเมินความพร้อมในการเปิดภาคการศึกษาของสถานศึกษาต่าง ๆ
ในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งกำหนดมาตรการที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหาและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
COVID-19 ต่อไป ๔. ให้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) (ศบค.)
เป็นหน่วยงานหลักในการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวัคซีน
ซึ่งจะต้องเป็นข้อมูลข่าวสารที่ได้ข้อยุติแล้วจาก ศบค. เพื่อลดความสับสนของประชาชน
รวมทั้งให้ปรับปรุงรูปแบบสื่อสารในช่องทางต่าง ๆ
ให้กระชับและเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8479 | ขออนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา | กษ. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทนกรณีที่ดินมีเอกสารสิทธิ จำนวน ๘๒ แปลง เนื้อที่ ๔๒๒-๑-๑๕
ไร่ ในอัตราไร่ละ ๑๒๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๕๒,๗๘๕,๙๓๗.๕๐ บาท
และกรณีที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ จำนวน ๒๒ แปลง เนื้อที่ ๒๐๖-๒-๐๒ ไร่ ในอัตราไร่ละ
๔๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๙,๒๙๒,๗๒๕ บาท ให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา
จังหวัดศรีสะเกษ ที่ผ่านการตรวจสอบและเห็นชอบโดยคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา
จังหวัดศรีสะเกษ และคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ
เฉพาะกลุ่มโนนสัง กลุ่มราษีไศล และกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งสิ้น ๑๐๔ แปลง
เนื้อที่ ๖๒๘-๓-๑๗ ไร่ เป็นเงิน ๖๒,๐๗๘,๖๖๒.๕๐ บาท โดยกรมชลประทานจะปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ มาดำเนินการในเรื่องดังกล่าว
รวมทั้งอนุมัติการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าทดแทน
จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน ๑๙ ราย โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธาน
เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าทดแทนให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบร่องรอยการทำประโยชน์ที่ดินที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา
อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ตามที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนาเสนอ สำหรับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหรือแบ่งขายที่ดินที่มีเอกสารสิทธิจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ในกรณีอื่น
ดังนั้น กรณีราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนาตกลงขายที่ดินให้แก่กรมชลประทานต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและต้องถูกหักภาษี
ณ ที่จ่าย ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒.
ให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนาและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น
การจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนาต้องไม่เป็นการจ่ายเงินค่าทดแทนซ้ำซ้อนกับการจ่ายเงินค่าทดแทนโครงการเขื่อนหัวนา
จังหวัดศรีสะเกษ ที่ดำเนินการโดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน
กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (ในขณะนั้น)
การเร่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบและเดือดร้อนจากโครงการฝ่ายหัวนาโดยพึงระวังการเทียบเคียงกับหลักเกณฑ์ค่าชดเชยในพื้นที่อื่น
ๆ การติดตามมาตรการต่าง ๆ ทุก ๕ ปี
เพื่อประมวลผลและรายงานความก้าวหน้าเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบ
และการกำหนดแนวทางการชดเชยเยียวยาเพื่อป้องกันมิให้เกิดการแก้ไขปัญหาในลักษณะเดียวกันสำหรับการพัฒนาโครงการอื่น
ๆ ในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์กลางในการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการชลประทานของรัฐในกรณีต่าง
ๆ เช่น กรณีที่ดินมีเอกสารสิทธิ กรณีที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ เป็นต้น
รวมทั้งกำหนดประเภทและวิธีการคำนวณอัตราค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าเยียวยา
ค่าขนย้ายเป็นต้น ให้ชัดเจน และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้
เพื่อให้การให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการประทานต่าง ๆ
ของรัฐมีบรรทัดฐานเดียวกันและเกิดความเหมาะสมเป็นธรรมกับทุกฝ่าย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8480 | การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย | มท. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการศึกษาแนวทางการจัดตั้งสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย
โดยผลการศึกษาพบว่า ไทยควรจัดตั้งสถาบันฯ ในลักษณะการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐ
(กำกับดูแล) และภาคเอกชน (ลงทุนจัดตั้งสถาบันฯ) โดยให้นำมาตรฐานความปลอดภัย National
Fire Protection Association (NFPA) มาปรับใช้
(เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับและนำมาใช้ในกระบวนการก่อสร้างและบริหารจัดการอาคารให้มีความปลอดภัย)
ดังนั้น จึงเห็นควรทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๔๗ (เรื่อง
การขออนุมัติโครงการพัฒนาระบบบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของกรุงเทพมหานคร)
เพื่อให้สอดคล้องกับผลการศึกษาดังกล่าว โดยเปลี่ยนแปลงทางการจัดตั้งสำนักงานฯ จาก
ให้ดำเนินการโดยใช้งบประมาณของส่วนราชการ เป็น
ให้ดำเนินการด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
โดยให้เอกชนลงทุนในการจัดตั้งสถาบันฯ และดำเนินการจัดการเรียนการสอนการฝึกอบรมภายในระยะเวลาที่ได้รับสิทธิดำเนินการ
และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
ให้การสนับสนุนการดำเนินการและกำกับมาตรฐานการฝึกอบรม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. อนุมัติในหลักการให้มีการจัดตั้งสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย
และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
รับไปพิจารณารายละเอียดในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน
รวมทั้งการดำเนินการตามกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น
พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒
พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เช่น
ควรพิจารณาเหตุผลความจำเป็น เร่งด่วน และความซ้ำซ้อนของภารกิจกับหน่วยงานอื่น
ควรคำนึงถึงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินโครงการร่วมทุนที่กำหนดตามนัยมาตรา ๗
และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ และควรนำผลการศึกษาไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการเสนอขอร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |