ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 425 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 8481 - 8500 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8481 | รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2563 และรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563) | สนง. กสม. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
๑. รับทราบรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
ปี ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาและอุปสรรคในด้านต่าง
ๆ ได้แก่ (๑) ด้านสิทธิมนุษยชนในสถานการณ์เฉพาะ (สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
และสถานการณ์การชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน)
(๒) ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (เช่น สิทธิในกระบวนการยุติธรรม
การกระทำทรมาน การบังคับให้สูญหาย และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (๓)
ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (สิทธิแรงงาน สิทธิด้านสุขภาพ
สิทธิด้านการศึกษา สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน) และ (๔) ด้านสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของบุคคล (สิทธิเด็ก
สิทธิผู้สูงอายุ สิทธิคนพิการ สิทธิสตรีและความเสมอภาคทางเพศ
และผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ) และรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ซึ่งมีภารกิจที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (๒) การเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (๓)
การชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องในกรณีที่มีรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม (๔)
การสร้างเสริมทุกภาคส่วนของสังคมให้ตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชน และ (๕)
การบริหารจัดการและการพัฒนาองค์กร ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข
พิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ปรากฏในรายงานผลการประเมินสถานการณ์ฯ แล้วแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้ส่งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด
ให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8482 | มาตรการการรับมือฤดูฝน ปี 2564 | นร.14 | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบมาตรการการรับมือฤดูฝน
ปี ๒๕๖๔
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติการตามมาตรการดังกล่าวเพื่อดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เกี่ยวกับการจัดทำแผนการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำ/แก้มลิง การจัดทำแผนการชดเชยให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการผันน้ำเข้าทุ่ง
และดำเนินการขุดลอกคูคลองและกำจัดวัชพืช ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. การดำเนินการในปีต่อ ๆ ไป
ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเร่งบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดมาตรการหรือแผนบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งและฤดูฝนให้เหมาะสม
สอดคล้องกับสถานการณ์และแผ่นแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (พ.ศ.
๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๘๐) โดยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8483 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองเชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. 2555) | มท. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองเชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองเชียงใหม่
พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภท
ตลอดจนปรับปรุงบัญชีท้ายกฎกระทรวงเพื่อกำหนดให้การประกอบกิจการโรงงานดำเนินการได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน
ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง
พ.ศ. ๒๕๖๒ แล้ว และคณะกรรมการผังเมืองได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทยแก้ไขบทอาศัยอำนาจ เป็น “มาตรา ๕ วรรคหนึ่ง มาตรา ๓๓ วรรคหนึ่ง
และมาตรา ๑๑๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒” เพื่อความถูกต้องก่อนประกาศใช้บังคับ
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎหรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ
และกรมโยธาธิการและผังเมืองควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวอย่างเข้มงวดต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8484 | รัฐบาลสาธารณรัฐบุรุนดีเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐบุรุนดีประจำประเทศไทย (นางสแตลา บูว์ดีรีก็องยา) | กต. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสแตลา บูว์ดีรีก็องยา) (Mrs. Stella Budiriganya) ให้ดำรงเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐบุรุนดีประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย สืบแทน นายเกเบรียล ซาบูชิมิเก (Mr. Gabriel Sabushimike) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8485 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (1. นายพสุ โลหารชุน) | กค. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
รวม ๔ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. นายพสุ โลหารชุน ประธานกรรมการ ๒. นายดามพ์
สุคนธทรัพย์ กรรมการ ๓. นายคณิทธิ์
สว่างวโรรส กรรมการ
๔. นายสุวัฒน์
กมลพนัส กรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8486 | ขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน ๒,๘๘๖.๖๔๗ ล้านบาท
ตามมติคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยรายงานให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังทราบในโอกาสแรกด้วย
เพื่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะได้จัดเก็บข้อมูลยอดคงค้างให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงต่อไป
และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม
(การรถไฟแห่งประเทศไทย)
พิจารณาดำเนินการจัดทำต้นทุนการให้บริการที่ถูกต้องและได้มาตรฐานอย่างแท้จริง
เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
รวมทั้งจัดทำรายงานผลการให้บริการสาธารณะให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด
เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะเป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8487 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (นายธนาวัฒน์ สังข์ทอง และนางสาวลดาวัลย์ คำภา) | กค. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๒ คน แทนกรรมการอื่นเดิมที่ลาออกจากตำแหน่ง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘
พฤษภาคม ๒๕๖๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑. นายธนาวัฒน์ สังข์ทอง กรรมการ ๒. นางสาวลดาวัลย์ คำภา กรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8488 | ร่างพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. .... | กค. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑.อนุมัติหลักการร่างพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. .... ภายใต้กรอบวงเงิน
ไม่เกิน ๗๐๐,๐๐๐
ล้านบาท ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหา
ช่วยเหลือ เยียวยา หรือชดเชยให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจาการระบาดระลอกใหม่ของ
COVID-๑๙ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับค่าใช้จ่ายชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน การออกและการจัดการตราสารหนี้ภายใต้พระราชกำหนด
ที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ให้กระทรวงการคลังโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
จัดทำรายละเอียดวงเงินเท่าที่จำเป็นและเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามขั้นตอนต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒ เห็นชอบให้นำระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการประเมินผลการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔ มาใช้ในการติดตาม ประเมินผล และรายงานผลการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้ร่างพระราชกำหนดนี้โดยอนุโลม
ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา ๕๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๓.ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ร่วมกับสำนักงบประมาณในการบริหารการใช้จ่ายงบประมาณและการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้ตามร่างพระราชกำหนดฯ
เป็นไปตามความจำเป็น พร้อมทั้งให้กระทรวงการคลังปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรกำหนดให้รายจ่ายลงทุนภายใต้พระราชกำหนดฯ เป็นส่วนหนึ่งในมาตรการแก้ไขปัญหากรณีงบประมาณของรายจ่ายลงทุน
มีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปีด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8489 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านพรุ ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่ ตำบลทุ่งลาน และตำบลคลองหลา อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... | คค. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลบ้านพรุ ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่
ตำบลทุ่งลาน และตำบลคลองหลา อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๒๕ ทางสายถนนวงแหวนรอบเมืองหาดใหญ่
ตอนถนนวงแหวนรอบเมืองหาดใหญ่ ด้านตะวันออก
ตอนบ้านพรุ-ทางเข้าสนามบินหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ก่อนการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินทุกเส้นทางควรให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการก่อสร้างทางหลวงกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการระบายน้ำไม่ทันและอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมหรือเกิดอุทกภัยต่อไปในอนาคต
และให้กรมทางหลวงพิจารณาดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาโครงข่ายทางเลี่ยงเมืองหาดใหญ่ด้านตะวันตกเป็นช่วง
ๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งความพร้อมของเงินงบประมาณ
และกำชับให้กรมทางหลวงและหน่วยงานภายใต้สังกัดที่เกี่ยวข้องให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการตราร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
เพื่อก่อสร้างหรือขยายถนน อย่างเคร่งครัดต่อไป ทั้งนี้
หากการดำเนินงานไม่แล้วเสร็จ
และมิได้มีการเสนอให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นใหม่ภายในกำหนดเวลา
กระทรวงคมนาคมควรตระหนักและให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎหมายในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาในครั้งต่อไปด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8490 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... | รง. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม
พ.ศ. ๒๕๖๓ และกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เป็นระยะเวลา ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑
มิถุนายน ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๔
โดยลดอัตราเงินสมทบฝ่ายนายจ้างและฝ่ายผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓ จากเดิมฝ่ายละร้อยละ
๕ ของค่าจ้างผู้ประกันตน เหลือฝ่ายละร้อยละ ๒.๕ ของค่าจ้างผู้ประกันตน
สำหรับฝ่ายรัฐบาลส่งเงินสมทบอัตราเดิม ร้อยละ ๒.๗๕ ของค่าจ้างผู้ประกันตน
สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ ให้ปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคมตามมาตรา ๔๖
วรรคสาม
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกันตนและนายจ้างจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงแรงงานสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่นายจ้างและผู้ประกันตนจะได้รับ
รวมทั้งวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคมอย่างเหมาะสม
ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบกรณีที่มีแนวโน้มว่ากองทุนจะมีเงินไม่พอจ่ายประโยชน์ทดแทนแก่ผู้ประกันตน
กระทรวงแรงงานควรประมาณการภาระงบประมาณที่รัฐจะต้องสนับสนุนและรายงานต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบล่วงหน้าด้วย
เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของกองทุน
รวมถึงภาระการเงินการคลังที่อาจเกิดขึ้นแก่รัฐในอนาคต นอกจากนี้
สำนักงานประกันสังคมควรเร่งหามาตรการรองรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
และสร้างความมั่นคงให้กับกองทุนในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8491 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการลอบประทุษร้ายประชาชน ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิด สิทธิมนุษยชน และการลอบประทุษร้ายประชาชน สภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการลอบประทุษร้ายประชาชน
ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน
และการลอบประทุษร้ายประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณารายงานและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
แล้ว สรุปผลการพิจารณาได้ว่า
ขณะนี้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
แล้วในหลายประเด็น เช่น (๑)
ประเด็นความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงจากความขัดแย้งทางการเมือง
ปัจจุบันได้มีการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว
รวมทั้งได้มีองค์กรอิสระและภาคประชาสังคมในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย
(๒) ประเด็นการบังคับบุคคลสูญหาย
รัฐบาลได้มีการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องและร่วมมือกับต่างประเทศในการประสานความร่วมมือเพื่ออำนวยความยุติธรรมให้กับพลเมืองไทยที่ถูกบังคับสูญหายในต่างประเทศ
(๓) ประเด็นการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ
หรือการคุกคามโดยการใช้กฎหมาย
ขณะนี้ประมวลกฎหมายอาญาได้มีบทบัญญัติเพื่อป้องกันการฟ้องคดีเชิงยุทธศาสตร์โดยที่ราษฎรเป็นโจทก์อยู่แล้ว
นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังอยู่ระหว่างการจัดทำร่างกฎหมายเพื่อป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์
โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย (๔) ประเด็นความรุนแรงเชิงโครงสร้างทางสังคม
และความรุนแรงที่เกี่ยวกับเพศสภาพ รัฐบาลได้มีโครงการและมาตรการต่าง ๆ
ในการส่งเสริมความเท่าเทียมและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อสตรีอยู่แล้ว (๕)
ประเด็นการละเมิดสิทธิในพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
รัฐบาลได้ดำเนินการทบทวนกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่แล้ว
(๖) ประเด็นการละเมิดสิทธิชนเผ่าและชาติพันธุ์ รัฐบาลได้มีโครงการและแผนงานผ่านทางหน่วยงานต่าง
ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือกับชนเผ่าพื้นเมือง ทั้งด้านการส่งเสริมอาชีพ
ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่วัฒนธรรม และการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิตามกฎหมาย และ (๗)
ประเด็นการดำเนินการให้มีกฎหมายกลางเรื่องการเยียวยาผู้เสียหายจากกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ปัจจุบันได้มีกฎหมายเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายจากกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว
รวมทั้งมีโครงการในการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนสำหรับประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมด้วย
เป็นต้น สำหรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ในประเด็นอื่น กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้มีการพิจารณาศึกษาเพื่อดำเนินการต่อไปในอนาคต
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8492 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานศาลยุติธรรม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 | ศย. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานศาลยุติธรรม
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน หมายเหตุประกอบงบการเงิน
และหมายเหตุสรุปนโยบายการบัญชีที่สำคัญ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่ารายงานการเงินดังกล่าวถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐตามที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8493 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2563 และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 (รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2563) | สผผ. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
ประจำปี ๒๕๖๓
และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๓
ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการรายงานผลการดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดินในด้านต่าง ๆ เช่น
ผลการดำเนินงานเรื่องร้องเรียน
ผลการดำเนินงานเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการดำเนินงานตามหน้าที่และอำนาจในการเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
หรือศาลปกครอง ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมทั้งปัญหา อุปสรรค
และข้อเสนอแนะในการดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน
และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓
ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8494 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2563 และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 (นำส่งรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน) | สผผ. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
ประจำปี ๒๕๖๓
และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๓
ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการรายงานผลการดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดินในด้านต่าง ๆ เช่น
ผลการดำเนินงานเรื่องร้องเรียน
ผลการดำเนินงานเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการดำเนินงานตามหน้าที่และอำนาจในการเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
หรือศาลปกครอง ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมทั้งปัญหา อุปสรรค
และข้อเสนอแนะในการดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน
และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓
ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8495 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2563) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี
(กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๓) ชองธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑.
ภาวะเศรษฐกิจของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๓ หดตัวร้อยละ ๕.๒
จากระยะเดียวกันของปีก่อน (ปรับตัวดีขึ้นจากที่หดตัวร้อยละ ๖.๙
ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๓) ซึ่งเป็นการทยอยฟื้นตัวจากการผ่อนปรนมาตรการปิดเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ การลงทุนภาคเอกชนยังหดตัวสูงเนื่องจากผู้ประกอบการมีกำลังการผลิตส่วนเกินเหลืออยู่มาก
การใช้จ่ายภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญผ่านทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน
อย่างไรก็ตาม การส่งออกบริการหดตัวรุนแรงและฟื้นตัวช้าตามกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไปจากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ๒.
เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในประเทศปรับตัวดีขึ้นแต่ยังเปราะบาง
โดยตลาดแรงงานทยอยฟื้นตัว
แต่ภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวช้า
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบน้อยลงตามราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ
ส่วนอัตราเงินเฟ้อฟื้นฐานปรับลดลงจากกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ปรดกอบการ
ขณะที่เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดีและสามารถรองรับความผันผวนของตลาดการเงินโลกได้
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐในภาพรวมมีทิศทางแข็งค่า ๓.
การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน
แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน
และแนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8496 | รายงานการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 15 การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา+3 ครั้งที่ 6 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกล | นร.02 | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๕
การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา+๓ ครั้งที่ ๖
และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกล
ระหว่างวันที่
๑๐-๑๒ มีนาคม ๒๕๖๔ โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย)เป็นประธานและหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรี
ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์)
เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน
ครั้งที่ ๑๕ มีสาระสำคัญ ได้แก่ (๑) รัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนได้กล่าวถ้อยแถลงภายใต้หัวข้อการประชุม
“อาเซียน ประชาคมดิจิทัล ที่ครอบคลุมพลเมืองอาเซียนทุกกลุ่ม” โดยได้กล่าวถึงมุมมอง
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนในการยกระดับทักษะด้านดิจิทัลสำหรับพลเมืองอาเซียน
และเพิ่มโอกาสเข้าถึงสื่อสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม (๒) สำนักเลขาธิการอาเซียนได้เสนอแนวทางการทำงานด้านสื่อและการประชาสัมพันธ์แก่ประเทศสมาชิก
โดยการใช้ประโยชน์จากสื่อดิจิทัล เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การสื่อสาร
การเพิ่มขีดความสามารถของสื่อดิจิทัลและการสื่อสารสาธารณะ
การแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมและการเข้าถึงการบริการดิจิทัลในพื้นที่นอกเขตเมือง การกำหนดความหมายเชิงลึกของการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
และการสร้างแฟลตฟอร์มสำหรับการหารือกับประเทศคู่เจรจา+๑ และประเทศคู่เจรจา+๓ (Plus One and PlusThree Partner platforms) เพื่อส่งเสริมให้มีช่องทางสื่อสารที่มีนวัตกรรมและมีประสิทธิภาพ
และส่งเสริมความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์มากยิ่งขึ้น (๓)
รับทราบผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๗ และครั้งที่ ๑๘ ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่อาวุโสสารนิเทศอาเซียน
สาธารณรัฐสิงคโปร์และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้รายงานต่อที่ประชุมว่า
เจ้าหน้าที่อาวุโสสารนิเทศอาเซียน ได้ดำเนินกิจกรรมตามแผนยุทธศาสตร์อาเซียนด้นสื่อและสารนิเทศ
ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๕ ครบถ้วน (๔) ที่ประชุมรับรองเอกสารสำคัญ ๒ ฉบับ ได้แก่
กรอบความร่วมมือเพื่อพัฒนาความพร้อมด้านดิจิทัลสำหรับพลเมืองอาเซียน
และกรอบความร่วมมือของอาเซียนเพื่อส่งเสริมการรับรู้
เข้าถึงและใช้ประโยชน์ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อโทรทัศน์ดิจิทัล ๒.
การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา+๓ ครั้งที่ ๖ โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นายอนุชา นาคาศัย) ในฐานะประธานการประชุม ฯ ได้กล่าวเปิดประชุม โดยได้ยกตัวอย่างความร่วมมือสำคัญ
ระหว่างอาเซียนและประเทศคู่เจรจา+๓ ได้แก่
ปีแห่งการแลกเปลี่ยนสื่อมวลชนของอาเซียน-จีน
การร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการออกอากาศระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่น ฯลฯ
และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ทั้งดีและร้าย
เพื่อนำพาภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปสู่การเป็นประชาคมสำหรับคนทุกกลุ่ม
และรัฐมนตรีสารนิเทศประเทศคู่เจรจา+๓ ได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม ฯ สรุปได้ ดังนี้
(๑) สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้ความสำคัญต่อความร่วมมือด้านสื่อสารและประเทศคู่เจรจา+๓
โดยมีข้อเสนอแนะ ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑)
การพัฒนาความร่วมมือและสร้างความเชื่อมั่นในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
(๒) การประสานนโยบายที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาในประเด็นที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน และ
(๓) การทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาการสื่อสารและสร้างประชาคมดิจิทัลสำหรับทุกคน (๒)
ญี่ปุ่นได้แสดงถึงความตั้งใจที่จะพัฒนาความร่วมมือด้านระบบและเนื้อหารายการโทรทัศน์มากขึ้นและแนะนำนโยบายด้านสื่อและสารนิเทศสำหรับชาวญี่ปุ่น
ทั้งในด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร การสื่อสารภาพที่มีความคมชัดสูงระดับ 4K และ 8K
ผ่านระบบ 5G และการส่งเสริมการสื่อสารที่ครอบคลุมในพื้นที่ห่างไกล
(๓)
สาธารณรัฐเกาหลีได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้อง
โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ และผลกระทบจากข่าวลวง
และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้รายงานผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา+๓
ครั้งที่ ๖ และแผนการส่งเสริมความร่วมมือด้านสื่อและสนเทศระหว่างอาเซียนและประเทศคู่เจรจา+๓
พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๖ โดยสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
ได้เสนอตัวเป็นประเทศที่จะเสนอโครงการภายใต้ความร่วมมือด้านสื่อและสนเทศระหว่างอาเซียนและประเทศคู่เจรจา+๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8497 | สรุปผลการดำเนินงานสำคัญ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ | กษ. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานสำคัญ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ
โดยมีสาระสำคัญดังนี้ (๑) การบริหารจัดการทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน
โดยกำหนดนโยบายการบริหารจัดการเพื่อให้ทรัพยากรประมงและสินค้าประมงตลอดสายการผลิตของประเทศมีความยั่งยืน
(๒) การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย โดยการปรับปรุงกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง
การบริหารจัดการประมงทะเลไทยและการจัดการกองเรือไทย การติดตาม
ควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง การบังคับใช้กฎหมาย การใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ
การจัดระเบียบแรงงานประมง แนวทางและมาตรการในการพัฒนาการประมงของไทยให้ปลอดสัตว์น้ำและสินค้าสัตว์น้ำที่มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย
(๓) การดำเนินการด้านการประมงต่างประเทศ
โดยการกำหนดนโยบายด้านการประมงระหว่างประเทศ (๔) การดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาครัฐและปัญหาที่เกิดขึ้นต่าง
ๆ (๕) การขอรับการจัดสรรงบกลางเพื่อดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานสำคัญ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ
โดยมีสาระสำคัญดังนี้ (๑) การบริหารจัดการทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน
โดยกำหนดนโยบายการบริหารจัดการเพื่อให้ทรัพยากรประมงและสินค้าประมงตลอดสายการผลิตของประเทศมีความยั่งยืน
(๒) การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย โดยการปรับปรุงกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง
การบริหารจัดการประมงทะเลไทยและการจัดการกองเรือไทย การติดตาม
ควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง การบังคับใช้กฎหมาย การใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ
การจัดระเบียบแรงงานประมง แนวทางและมาตรการในการพัฒนาการประมงของไทยให้ปลอดสัตว์น้ำและสินค้าสัตว์น้ำที่มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย
(๓) การดำเนินการด้านการประมงต่างประเทศ
โดยการกำหนดนโยบายด้านการประมงระหว่างประเทศ (๔) การดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาครัฐและปัญหาที่เกิดขึ้นต่าง
ๆ (๕) การขอรับการจัดสรรงบกลางเพื่อดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8498 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2563 | กค. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
(กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ (๑)
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี ๒๕๖๓ ติดลบร้อยละ ๐.๘๕ ซึ่งต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินที่ร้อยละ
๑-๓ (๒) เป้าหมายนโยบายการเงิน สำหรับปี ๒๕๖๔ กำหนดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ
๑-๓ (๓) การประเมินภาวะเศรษฐกิจการเงินและแนวโน้ม เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ ๓ ปี
๒๕๖๓ หดตัวร้อยละ ๖.๔
จากระยะเดียวกันของปีก่อนและปรับตัวดีจากไตรมาสก่อนที่หดตัวสูงร้อยละ ๑๒.๑
ตามการผ่อนปรนมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-๑๙ ส่วนไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๓
เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง กนง. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๔ จะขยายตัวร้อยละ ๓.๒
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๕ มีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ ๔.๘
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๓ เฉลี่ยติดลบที่ร้อยละ ๐.๕๖
ติดลบลดลงจากครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๓ ซึ่งติดลบร้อยละ ๑.๑๓ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วยครึ่งปีหลังของปี
๒๕๖๓ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๒๕ ลดลงจากครึ่งแรกของปี ๒๕๖๓ ที่ร้อยละ ๐.๓๓ กนง.
ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่ขอบล่างของกรอบเป้าหมายในช่วงกลางปี
๒๕๖๔ ตามแรงสนับสนุนเงินเฟ้อด้านอุปสงค์และอุปทานที่ทยอยเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กนง.
คาดว่าในปี ๒๕๖๔ และ ๒๕๖๕ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ ๑.๐
ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปี ๒๕๖๔ และปี ๒๕๖๕ อยู่ที่ร้อยละ ๐.๓ และ ๐.๔ ตามลำดับ และ (๔) การดำเนินนโยบายการเงิน
มีการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ย นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน
และการสื่อสารนโยบายการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8499 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน และความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคาร ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. .... | มท. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน
และความคงทนของอาคารและพื้นที่ดินที่รองรับอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการรับน้ำหนัก ความต้านทาน
ความคงทนของอาคาร
และพื้นดินที่รองรับอาคารในส่วนที่เกี่ยวกับงานก่อสร้างฐานรากอาคาร
เพื่อให้งานก่อสร้างฐานรากอาคารมีความมั่นคงแข็งแรง เกิดความปลอดภัยต่อชีวิต
ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
หากมีการออกแบบลานจอดเฮลิคอปเตอร์ไว้บนอาคาร ขอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาถึงความปลอดภัยในการรับน้ำหนักของเฮลิคอปเตอร์กรณีลงจอดฉุกเฉินด้วย
และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง)
เร่งประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับภาคส่วนต่าง ๆ เช่น หน่วยงานภาครัฐ
ภาคเอกชน ด้านวิศวกรรม และสภาผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อใช้ประกอบการออกแบบทางวิศวกรรม
ภายหลังที่กฎกระทรวงดังกล่าวบังคับใช้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8500 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการให้บริการคนพิการของสายการบินภายในประเทศ ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา | สว. | 18/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
แนวทางการให้บริการคนพิการของสายการบินภายในประเทศ ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม
และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาแนวทางและข้อเสนอแนะ
เกี่ยวกับแนวทางการให้บริการคนพิการของสายการบินภายในประเทศ ดังนี้ (๑) กพท. ควรเร่งตราอนุบัญญัติซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ.
๒๕๖๒ และกำกับ ติดตาม
ประเมินผลการให้บริการของสายการบินให้เป็นไปตามมาตรฐานและแนวปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
(๒) คค. ควรแก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดลักษณะหรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก
หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการขนส่ง
เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. ๒๕๕๖
ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ (๓)
สายการบิน ควรดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารได้รับทราบข้อมูลอย่างชัดเจนโดยได้ดำเนินการสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ เด็ก ผู้สูงอายุ และคนทุกคนมาอย่างต่อเนื่อง (๔) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรให้คนพิการและองค์กรคนพิการได้เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และมีประสิทธิผล
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|