ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 897 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 17921 - 17940 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17921 | การแต่งตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร (จำนวน 47 คน 1. ศาสตราจารย์บุญศรี มีวงศ์อุโฆษ ฯลฯ) | นร01 | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร จำนวน ๔๗ คน ตามมติคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สาขาการแพทย์และสาธารณสุข ๑.๑ ศาสตราจารย์บุญศรี มีวงศ์อุโฆษ ๑.๒ ศาสตราจารย์ยง ภู่วรวรรณ ๑.๓ ศาสตราจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาส ๑.๔ นายประพาศน์ รัชตะสัมฤทธิ์ ๑.๕ นายวิชัย โชควิวัฒน ๒. สาขาต่างประเทศและความมั่นคงของประเทศ ๒.๑ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จันทจิรา เอี่ยมมยุรา ๒.๒ นายถวิล เปลี่ยนศรี ๒.๓ นายรัชนันท์ ธนานันท์ ๒.๔ นายวรเดช วีระเวศิน ๓. สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม และการเกษตร ๓.๑ ศาสตราจารย์จงรักษ์ ผลประเสริฐ ๓.๒ ศาสตราจารย์สมชาติ โสภณรณฤทธิ์ ๓.๓ ศาสตราจารย์สุนทร มณีสวัสดิ์ ๓.๔ ศาสตราจารย์เกียรติคุณอมเรศ ภูมรัตน ๓.๕ รองศาสตราจารย์ยืน ภู่วรวรรณ ๓.๖ นายศุภศิษฏ์ ทวีแจ่มทรัพย์ ๓.๗ นายสรรเสริญ อัจจุตมานัส ๔. สาขาเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ ๔.๑ ศาสตราจารย์สหะน รัตนไพจิตร ๔.๒ รองศาสตราจารย์ธวัชชัย สุวรรณพานิช ๔.๓ รองศาสตราจารย์นนทวัชร นวตระกูลพิสุทธิ์ ๔.๔ รองศาสตราจารย์นิพนธ์ พัวพงศกร ๔.๕ นายณรงค์ ราบเรียบ ๔.๖ นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก ๕. สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ๕.๑ พลเอก ประยุทธ เมฆวิชัย ๕.๒ พลโท พรเลิศ วรสีหะ ๕.๓ พลโท สุขสันต์ สิงหเดช ๕.๔ รองศาสตราจารย์ชมพูนุช โกสลากร เพิ่มพูนวิวัฒน์ ๕.๕ รองศาสตราจารย์มานิตย์ จุมปา ๕.๖ รองศาสตราจารย์สมยศ เชื้อไทย ๕.๗ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปราโมทย์ ประจนปัจจนึก ๕.๘ ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรรณภา ติระสังขะ ๕.๙ นางการดี เลียวไพโรจน์ ๕.๑๐ นายจำรัส ศักดิ์จิรพาพงษ์ ๕.๑๑ นายฉัตรรัตน์ หิรัญเชาวิวัฒน์ ๕.๑๒ นายธนะ ดวงรัตน์ ๕.๑๓ นายบัณฑิต ตั้งประเสริฐ ๕.๑๔ นายพีรพล ไตรทศาวิทย์ ๕.๑๕ นายพุทธิสัตย์ นามเดช ๕.๑๖ นายเยี่ยมศักดิ์ คุ้มอินทร์ ๕.๑๗ นางรัศมี วิศทเวทย์ ๕.๑๘ นางวนิดา สักการโกศล ๕.๑๙ นายวัตตะ วุตติสันต์ ๕.๒๐ นายศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ๕.๒๑ นายสมชาย อัศวเศรณี ๕.๒๒ นายสุขจิตต์ ประยูรหงษ์ ๕.๒๓ นางอัจฉรา อุณหเลขกะ ๕.๒๔ นางสาวอัมพวัน เจริญกุล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17922 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร) | กค | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจาก รองศาสตราจารย์วราภรณ์ สามโกเศศ ประธานกรรมการคนเดิมจะมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ ในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๐ จนถึงวันที่คณะกรรมการบริหารชุดปัจจุบันครบวาระ ในวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17923 | การปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ และผลการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิทดแทนตำแหน่งที่ลาออก (นายพรชัย พูลสุขสมบัติ) | กษ | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอให้เพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ โดยเพิ่ม ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการ โดยให้ นายพรชัย พูลสุขสมบัติ เป็นกรรมการในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ทดแทนตำแหน่งที่ลาออก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17924 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ (จำนวน 9 คน 1. รองศาสตราจารย์ปานเทพ รัตนากร ฯลฯ) | ทส | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ จำนวน ๙ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปีแล้ว เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๑ เมษายน ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. รองศาสตราจารย์ปานเทพ รัตนากร ผู้แทนมูลนิธิช้างแห่งประเทศไทย ๒. นายศศิน เฉลิมลาภ ผู้แทนมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ๓. พลเอก สุรัตน์ วรรักษ์ ผู้แทนมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ ๕ จังหวัด ๔. รองศาสตราจารย์นริศ ภูมิภาคพันธ์ ผู้แทนสมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ ๕. นายอนรรฆ พัฒนวิบูลย์ ผู้แทนสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าแห่งประเทศไทย ๖. นายชลธิศ สุรัสวดี ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคมหรือมูลนิธิ ๗. นายธิติ กนกทวีฐากร ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคมหรือมูลนิธิ ๘. นางสาวธำรงลักษณ์ ลาพินี ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคมหรือมูลนิธิ ๙. นางสาวสุภาภรณ์ ปิติพร ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคมหรือมูลนิธิ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17925 | โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 | กษ | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณ ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) จำนวน ๓ โครงการ ระยะเวลา ๕ ปี (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้นไม่เกิน ๒๕,๘๗๑.๑๔๒ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการ โดยการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวมทั้งใช้จ่ายจากเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการผลิตและขยายพันธุ์พืชก่อน หากไม่เพียงพอ จึงขอใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑,๐๘๗.๕๐๕ ล้านบาท ซึ่งในส่วนของงบดำเนินงานจะต้องเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมของอัตราค่าใช้จ่ายและในส่วนของงบลงทุนจะต้องเสนอให้สำนักงบประมาณพิจารณาก่อน ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขปัญหาหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ รวมทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินโครงการ ก่อนจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณและรายละเอียดค่าใช้จ่าย แล้วขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ตามขั้นตอนต่อไป ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี ภายในวงเงินไม่เกิน ๕๗.๐๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่หลักเกณฑ์ใหม่) ภายในวงเงินไม่เกิน ๔๑๑.๐๒๕ ล้านบาท และ (๓) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ภายในวงเงินไม่เกิน ๖๑๙.๔๘๐ ล้านบาท ๑.๓ สำหรับงบประมาณที่จะขอรับจัดสรรตามแผนการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ นั้น เนื่องจากขณะนี้ล่วงเลยระยะเวลาในการเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามขั้นตอนปกติแล้ว เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดเตรียมความพร้อมของแต่ละโครงการแล้วจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณในขั้นตอนการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ (แปรญัตติ) ตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการในปี ๒๕๖๐ แล้วนำเสนอสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรีพิจารณา ก่อนดำเนินการในปีต่อไป หากผลการดำเนินโครงการในปีแรกไม่เกิดผลสัมฤทธิ์หรือไม่คุ้มค่า ให้พิจารณายกเลิกโครงการ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการในการกำกับ ควบคุม ดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นถึงวิธีในการบริหารจัดการ กำหนดให้มีคณะกรรมการ ผู้บริหารของส่วนราชการ และหัวหน้าโครงการ เพื่อรับผิดชอบดูแลโครงการอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งรายงานการติดตามและประเมินผลโครงการฯ โดยเน้นถึงผลสัมฤทธิ์ ทั้งในส่วนของการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตการลดต้นทุนการผลิต และรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบตามกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการ นอกจากนี้ ควรติดตามและรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกปี มีการประเมินผลสัมฤทธิ์เมื่อสิ้นสุดโครงการ และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา หากมีการขยายผลการดำเนินการในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17926 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนต่างชาติเกี่ยวกับความพร้อมของบุคลากรและแรงงานไทย จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเตรียมความพร้อมบุคลากร โดย ๑.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีหลักสูตรเพื่อพัฒนาบุคลากรในสาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ EEC ทั้งหลักสูตรในระบบการศึกษาปกติสำหรับนักศึกษาและหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องสำหรับแรงงานที่ประสงค์จะพัฒนาความรู้เพิ่มเติม ๑.๒ ให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำฐานข้อมูลแรงงานที่มีอยู่ในปัจจุบันและประมาณการความต้องการแรงงานในสาขาต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ EEC เพื่อนำไปใช้กำหนดเป้าหมายในการผลิตบุคลากรแต่ละประเภทและระดับให้ตรงตามความต้องการต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๒. ด้านบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่ได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐ ให้ทุกส่วนราชการจัดทำแผนการปฏิบัติงานในกรอบระยะเวลา ๑ ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและประเด็นการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งให้กำหนดเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมในระยะทุก ๆ ๓ เดือนและระยะ ๑ ปี นั้น ให้ทุกส่วนราชการจัดทำแผนดังกล่าวโดยเน้น ๔ เรื่องหลัก ได้แก่ การเกษตร การบริหารจัดการน้ำ การศึกษา และการสาธารณสุข ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมก่อนเป็นลำดับแรก และสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานตามแผนฯ ทั้งด้านการใช้จ่ายงบประมาณ ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมจัดให้มีบริเวณที่พักสำหรับผู้โดยสารซึ่งมีความจำเป็นต้องค้างคืนเพื่อรอการเดินทาง ณ สถานีรถไฟสำคัญ เช่น สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) โดยจัดสถานที่ที่มีความมิดชิด เป็นกิจจะลักษณะ และจัดให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ทั้งนี้ หากพบคนเร่ร่อนหรือคนไร้ที่พึ่งในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ให้ประสานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17927 | การป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 | ตช | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการป้องกันอุบัติเหตุและอำนวยความสะดวกในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๖๐ และแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๖๐ รวมทั้งการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม จึงมีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้มงวดในการตรวจตราการปฏิบัติตามกฎหมาย หากพบผู้กระทำผิดกรณีที่ไม่รุนแรงในชั้นแรกให้ใช้วิธีการแนะนำ ตักเตือน หรือห้ามปราม และสร้างความรับรู้ความเข้าใจก่อน ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์และความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจควรติดตั้งกล้องบันทึกภาพในขณะปฏิบัติหน้าที่โดยเฉพาะในจุดเสี่ยงต่าง ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17928 | ขอให้พิจารณานำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวม 4 ฉบับ) (ที่ 22/2560) | สลธ.คสช. | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๔ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๐/๒๕๖๐ เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง ลงวันที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๑/๒๕๖๐ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ลงวันที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ๓. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๖๐ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม เพิ่มเติมครั้งที่ ๔ ลงวันที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ๔. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๓/๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาความต่อเนื่องของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ลงวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17929 | การประชุมคณะรัฐมนตรี (วันอังคารที่ 25 เมษายน 2560) | นร05 | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปเยือนราชอาณาจักรบาห์เรน ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) จะทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมแทน ทั้งนี้ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๑๙/๒๕๕๘ เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนกัน ลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17930 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 19/2560 เรื่อง การปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ | สลธ.คสช. | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๙/๒๕๖๐ เรื่อง การปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17931 | สรุปการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) | ศธ | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ระหว่างวันที่ ๕-๖ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและฝึกอบรมของเวียดนาม ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้หารือข้อราชการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและฝึกอบรมของเวียดนาม โดยทั้งสองฝ่ายเห็นด้วยที่จะให้มีการสนับสนุนความร่วมมือในการจัดตั้งสถาบันภาษาไทยในเวียดนาม การส่งครูเวียดนามมาสอนที่ไทย และฝึกอบรมครูไทยให้สอนภาษาเวียดนามได้อย่างถูกต้อง การให้ทุนการศึกษา การแลกเปลี่ยนระดับอุดมศึกษาและแนวทางการจัดการเรียนการสอนด้านสะเต็มศึกษา โดยไทยเห็นว่าอาจให้มีการพัฒนาโรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง (sister schools) ระหว่างกัน และสร้างเครือข่ายระดับอุดมศึกษาระหว่างกันเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการที่เข้มแข็งในระดับการศึกษาภายหลังจบปริญญาตรี โดยทั้งสองฝ่ายจะได้หารือในการประชุมคณะทำงานร่วมด้านการศึกษาไทย-เวียดนาม เพื่อยกระดับความร่วมมือและสานต่อการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้เยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน Viet Duc High School พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของศูนย์ระดับภูมิภาคขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีมีโอ) จำนวน ๒ ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยการฝึกอบรมและการจัดการศึกษาของซีมีโอ และศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยการเรียนรู้ตลอดชีวิตของซีมีโอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17932 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม 7 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่ จังหวัดสมุทรปราการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ) | มท | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการรวม ๗ ฉบับ มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดเขตพื้นที่ในการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสระบุรี จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดอุตรดิตถ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดนครราชสีมา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดร้อยเอ็ด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดนครสวรรค์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดสมุทรปราการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดสระบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดอุดรธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๗ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดอุตรดิตถ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาฯ บางฉบับ อาจมีประเด็นขัดแย้งเรื่องระยะห่างของที่ตั้งสถานบริการในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอให้ดำเนินการตรวจสอบความชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการต้องไม่อยู่ใกล้ชิดหรือใกล้เคียงกับที่ตั้งของโรงเรียนหรือสถานศึกษา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานของรัฐควบคุมการขออนุญาตสถานบริการหรือสถานประกอบการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว อย่างเข้มงวดไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17933 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560) | นร | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๒๔/๒๕๖๐ เป็นพิเศษ วันอังคารที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๒๕/๒๕๖๐ เป็นพิเศษ วันพุธที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๐ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) รับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17934 | ขออนุมัติกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร | นร51 | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จำนวน ๑๖๕ อัตรา โดยให้ กอ.รมน. นำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยพนักงานราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ มาใช้พิจารณาดำเนินการโดยอนุโลม สำหรับงบประมาณเพื่อรองรับพนักงานราชการ หากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องบรรจุตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ก็เห็นควรให้ กอ.รมน. ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการเป็นลำดับแรก และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้ กอ.รมน. ดำเนินการจัดหาพนักงานราชการ กอ.รมน. เข้าปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละปีตามแผนการจัดหาพนักงานราชการที่กำหนดไว้โดยพิจารณาจากความจำเป็นเร่งด่วน และความเหมาะสมให้สอดคล้องกับภารกิจของ กอ.รมน. ทั้งนี้ ให้ กอ.รมน. กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของพนักงานราชการดังกล่าวให้มีความชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อนกับบุคลากรที่มีอยู่โดยคำนึงถึงภาระงบประมาณด้วย ๓. ให้ กอ.รมน. รับไปพิจารณากำหนดแนวทางในการจัดเตรียมอัตรากำลังของ กอ.รมน. ไว้สำหรับเป็นกองกำลังสนับสนุนการปฏิบัติงานกรณีเกิดเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรหรือเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินจำเป็น เพื่อให้ กอ.รมน. สามารถเรียกกองกำลังดังกล่าวมาปฏิบัติงานได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามขั้นตอนการขออัตรากำลังปกติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17935 | ขออนุมัติปรับองค์ประกอบคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนไทย - กัมพูชา | กต | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับองค์ประกอบคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนไทย-กัมพูชา จำนวน ๒ คณะ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ประกอบด้วย
๑. คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ปรับเปลี่ยน ดังนี้ ๑.๑ ผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการ จาก “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ” เป็น “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เฉพาะในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ” ๑.๒ ในลำดับ ๑๓. ปรับเปลี่ยนจาก “ผู้แทนกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ” เป็น “ผู้อำนวยการสำนักบริหารกิจการปิโตรเลียมระหว่างประเทศ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ” ๑.๓ เพิ่ม “เจ้าหน้าที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ” เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๒. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ปรับเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมาธิการ จาก "รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ" เป็น “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เฉพาะในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ”
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17936 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายวิจักษณ์ อภิรักษ์นันท์ชัย) | กค | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวิจักษณ์ อภิรักษ์นันท์ชัย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี (นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17937 | การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (กระทรวงการต่างประเทศ) [นางอาน-มารี ตูดิก (Mrs. Anne-Marie Toudic)] | กต | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และแต่งตั้ง นางอาน-มารี ตูดิก (Mrs. Anne-Marie Toudic) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17938 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 15 | กต | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ ๑๕ ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ภายใต้หัวข้อ “กรุงอาบูดาบี เมืองหลวงแห่งพลังงานที่ยั่งยืน” โดยที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญาอาบูดาบีเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ และเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านพลังงาน รวมทั้งการติดตามผลการขับเคลื่อนความร่วมมือใน ๖ เสาหลักของกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) ทั้งนี้ ปฏิญญาอาบูดาบีจะช่วยผลักดันความร่วมมือในสาขาความเชื่อมโยงระหว่างความมั่นคงทางทรัพยากรพลังงาน น้ำ และอาหารของ ACD ให้มีความคืบหน้าเพื่อความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนของไทยและภูมิภาคเอเชีย สำหรับแผนปฏิบัติการด้านพลังงาน ACD จะเป็นโอกาสให้ไทยสามารถขยายและต่อยอดความร่วมมือด้านการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนในภูมิภาค และมอบหมายให้ส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรผลักดันการดำเนินงานให้เห็นผลเป็นรูปธรรมในกรอบเวทีระดับโลกที่คาบเกี่ยวด้านอาหาร น้ำ และพลังงาน และการนำเทคโนโลยีจากโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางทรัพยากรอาหาร น้ำ และพลังงานมาผลักดันสู่คณะทำงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของ ACD เช่น โครงการไบโอดีเซล โครงการด้านการพัฒนาแหล่งน้ำเข้าเป็นส่วนหนึ่งในโครงการสำคัญ (Flagship Project) ผ่านกลไกหลักสูตรฝึกอบรมนานาชาติด้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และผ่านการประชุมคณะทำงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ เพื่อขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวกับประเทศสมาชิกของ ACD รวมทั้งการปรับปรุงหน่วยงานที่รับผิดชอบตามตารางติดตามผลการประชุมฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17939 | ผลการประชุมผู้นำในโอกาสครบรอบ 20 ปี ของสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย | กต | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมผู้นำในโอกาสครบรอบ ๒๐ ปีของสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ระหว่างวันที่ ๕-๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ภายใต้หัวข้อหลัก “ความร่วมมือทางทะเลเพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของมหาสมุทรอินเดีย” โดยที่ประชุมฯ รับทราบเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ เช่น ข้อเสนอของมาเลเซียที่จะจัดตั้งสถาบันทางทะเลของมาเลเซีย และข้อเสนอของออสเตรเลียที่จะให้สมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association : IORA) พิจารณาเข้าร่วมในข้อริเริ่มคาร์บอนน้ำเงิน และเจตนารมณ์ในการขอเข้าเป็นสมาชิก IORA ลำดับที่ ๒๒ ของเมียนมา เป็นต้น รวมถึงได้มีการรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑) ปฏิญญาจาการ์ตา (Jakarta Concord) (๒) แผนปฏิบัติการ IORA (IORA Action Plan) ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๒๑ และ (๓) ปฏิญญาว่าด้วยการป้องกันและต่อต้านการก่อการร้ายและแนวคิดรุนแรงสุดโต่ง และมอบหมายให้ส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรคำนึงถึงการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเลควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจภาคทะเล (Blue Economy) โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยี องค์ความรู้ และบทเรียนที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดความมั่นคงของทรัพยากรทางทะเลและการบริหารจัดการความเสี่ยงต่อภัยพิบัติในภูมิภาค และเห็นควรเปลี่ยนหน่วยงานที่รับผิดชอบในหัวข้อเรื่องปฏิญญาจาการ์ตา และเรื่องแผนปฏิบัติการ IORA ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๒๑ จากเดิม “คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” เป็น “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ซึ่งมีฐานะเป็นส่วนราชการเพื่อดำเนินการตามผลการประชุมฯ ต่อไป รวมทั้งเห็นควรเปลี่ยนจาก “กรมการบินพลเรือน” เป็น “สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย กรมท่าอากาศยาน และบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด” เพื่อให้ครอบคลุมส่วนราชการและองค์กรที่ทำหน้าที่บริหารท่าอากาศยานนานาชาติทั้งหมด นอกจากนี้ ในหัวข้อเรื่องปฏิญญาจาการ์ตา ผลการประชุม (๖) การแลกเปลี่ยนด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม รวมถึงประเด็นคาบเกี่ยวเรื่องการพัฒนาบทบาทของสตรีและเศรษฐกิจภาคทะเล (Blue Economy) เห็นควรเพิ่มเติมหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อให้สอดรับกับการดำเนินการตามผลการประชุมฯ อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17940 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบูเก๊ะตา จังหวัดนราธิวาส พ.ศ. .... | มท | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบูเก๊ะตา จังหวัดนราธิวาส พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลโล๊ะจูด อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรเพิ่มประเภทโรงงาน เช่น โรงงานประเภท ๓(๒) การขุดหรือลอก กรวด ทราย ดิน ในร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด โดยคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนและปริมาณการใช้น้ำในพื้นที่ และในการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรม และพิจารณามิให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดสร้างระบบรวบรวมหรือระบบบำบัด/กำจัดมลพิษ รวมทั้งการกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ๆ ที่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินรองของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลักในแต่ละประเภท เมื่อมีการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละบริเวณแล้ว ควรมีการจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมือง นอกจากนี้ ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองควรพิจารณากำกับดูแลเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินและกำกับการขยายตัวของเมืองอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....