ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 809 จากทั้งหมด 6236 หน้า แสดงรายการที่ 16161 - 16180 จากข้อมูลทั้งหมด 124707 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 16161 | แนวทางในการพัฒนาการประมงของประเทศไทยให้ปลอดจากสัตว์น้ำและสินค้าประมงจากการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม | กษ | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๑ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุม ได้มีมติเห็นชอบแนวทางในการพัฒนาการประมงของประเทศให้ปลอดจากสัตว์น้ำและสินค้าประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated : IUU) ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการระดับสากลเพื่อการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (International Plan of Action to prevent, deter and eliminate illegal, unreported and unregulated fishing : IPOA-IUU) ประกอบด้วย มาตรการทั่วไปที่มีเป้าหมายสำหรับรัฐทั้งปวง มาตรการที่มีเป้าหมายเฉพาะสำหรับรัฐเจ้าของธง รัฐชายฝั่ง และรัฐเจ้าของท่าเรือ รวมทั้งมาตรการด้านการค้า และจากมติคณะกรรมการฯ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นว่า การที่จะดำเนินการให้ประเทศไทยปลอดจากสัตว์น้ำและสินค้าประมง IUU เป็นการดำเนินการที่มีรายละเอียด ซับซ้อน และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน และต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ จึงเห็นควรให้มีคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการประมงปลอดจากสัตว์น้ำและสินค้าประมงจากการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย กำกับดูแล ขับเคลื่อน และผลักดัน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความถูกต้อง รวดเร็ว และบรรลุผลสำเร็จตามเจตจำนง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการทั้งภายในและต่างประเทศรับทราบอย่างทั่วถึง และมีช่วงเวลาที่เพียงพอในการปรับตัวตามแนวทางการดำเนินงานดังกล่าว เพื่อป้องกันผลกระทบจากปัญหาด้านวัตถุดิบและการดำเนินธุรกิจประมงไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. อนุมัติในหลักการการแต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการประมงปลอดจากสัตว์น้ำและสินค้าประมง จากการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงภารกิจต่าง ๆ ได้แก่ การป้องกันการนำเข้าวัตถุดิบสัตว์น้ำและสินค้าประมงที่มาจากการทำประมงผิดกฎหมายเข้ามาผลิตและแปรรูปในประเทศไทย โดยมีการกำหนดแผนงานใบรับรองการจับสัตว์น้ำของไทย (Thai Catch Certificate Scheme) ให้ถูกต้อง เพื่อให้ผู้ส่งออกและนำเข้าสินค้าสัตว์น้ำมายังประเทศไทยปฏิบัติด้วย ซึ่งภารกิจดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลาและจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีเอกภาพ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) รายงานเพิ่มเติม แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16162 | ร่างปฏิญญาเสียมราฐ ค.ศ. 2018 | ทส | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาเสียมราฐ ค.ศ. ๒๐๑๘ ที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๔-๕ เมษายน ๒๕๖๑ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชาโดยร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์เชิงนโยบายของประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในการมุ่งเน้นการดำเนินงานตามพันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๓๘ โดยมีแนวคิดหลักคือ การเพิ่มพูนความพยายามและความเป็นหุ้นส่วนของประเทศสมาชิกในการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของลุ่มแม่น้ำโขง ๑.๒ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยในการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ เป็นผู้รับรองร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16163 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารควบคุมกล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 เมตร พร้อมอาคารประกอบและระบบสาธารณูปโภค ระบบสาธารณูปการ ตำบลป่าเมี่ยง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ และรายการค่าควบคุมงานก่อสร้างงานภูมิสถาปัตยกรรม งานสาธารณูปโภคและสาธารณูปการอุทยานดาราศาสตร์สิรินธร (AstroPark) ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ | วท | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จำนวน ๒ รายการ ประกอบด้วย (๑) รายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารควบคุมกล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๔๐ เมตร พร้อมอาคารประกอบและระบบสาธารณูปโภคและระบบสาธารณูปการ ตำบลป่าเมี่ยง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ จากวงเงิน ๑,๔๒๘,๓๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๓,๙๘๐,๐๐๐ บาท และ (๒) รายการค่าควบคุมงานก่อสร้างงานภูมิสถาปัตยกรรม งานสาธารณูปโภคและสาธารณูปการอุทยานดาราศาสตร์สิรินธร (AstroPark) ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จากวงเงิน ๘๑๒,๕๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับค่าควบคุมงานที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๒,๕๕๑,๗๐๐ บาท และ ๗๘๗,๕๐๐ บาท ตามลำดับ นั้น ให้สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ/หรือใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ สดร. ทั้งนี้ การดำเนินรายการค่าควบคุมงานดังกล่าว เห็นควรให้ สดร. ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกขั้นตอน โดยพิจารณาประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ และต่อรองราคาจนต่ำสุดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16164 | รายงานการเสริมสร้างความซื่อตรงในภาครัฐของประเทศไทยและรายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศเพื่อเข้าร่วมการประชุม 2018 OECD Global Anti-Corruption and Integrity Forum ขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Cooperation and Development: OECD) ณ กรุงปารีส ระหว่างวันที่ 27 - 28 มีนาคม 2561 | นร12 | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเสริมสร้างความซื่อตรงในภาครัฐของประเทศไทยและรายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศเพื่อเข้าร่วมการประชุม ๒๐๑๘ OECD Global Anti-Corruption and Integrity Forum ขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Cooperation and Development : OECD) ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ มีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่ สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานการเสริมสร้างความซื่อตรงในภาครัฐของไทย โดย OECD สำนักงาน ป.ป.ท. และสำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดการประชุมสัมมนาและชี้แจงแนวทางการดำเนินงานตามรายงานการเสริมสร้างความซื่อตรงในภาครัฐของไทย (Integrity Review of Thailand) เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กล่าวเปิดการประชุมและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง การเสริมสร้างความซื่อตรงในภาครัฐของไทย ซึ่งมีขอบเขตในการดำเนินการครอบคลุม ๓ มิติ ได้แก่ มิติที่ ๑ การประมวลภาพรวมและการบูรณาการหน่วยงานขับเคลื่อนการเสริมสร้างสุจริตธรรมภาครัฐ มิติที่ ๒ วัฒนธรรมเสริมสร้างความซื่อสัตย์สุจริตภาครัฐของเจ้าหน้าที่รัฐ และมิติที่ ๓ การควบคุมและการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ในการประชุมสัมมนาดังกล่าว OECD ได้เสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการเสริมสร้างความซื่อตรงในภาครัฐของไทย ครอบคลุมการดำเนินการใน ๓ มิติดังกล่าว เช่น ระบบความซื่อตรงที่สอดคล้อง เชื่อมโยงกันและบูรณาการทำงานร่วมกัน โดยเสนอให้ไทยปรับขั้นตอนวิธีการและบูรณาการค่าคะแนน ITA ให้เป็นตัวชี้วัดเชิงนโยบายสำหรับแผนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต เป็นต้น ๒. รายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศเพื่อเข้าร่วมการประชุมฯ ของ OECD ณ กรุงปารีส ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ มีนาคม ๒๕๖๑ โดยมีผลการหารือทวิภาคีเพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินความร่วมมือกับรัฐบาลไทยภายใต้โครงการ Country Programme ระหว่างเลขาธิการ OECD และรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) มีสาระสำคัญครอบคลุมในประเด็นต่าง ๆ เช่น การเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง OECD และไทยสำหรับความร่วมมือที่ผ่านมา รวมถึงการเร่งผลักดันโครงการ Country Programme ให้มีความชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้ประกาศเจตจำนงในการส่งเสริมความซื่อตรงในภาครัฐผ่าน ๒ โครงการ ได้แก่ OECD Integrity Review of Thailand และโครงการ OECD Country Programme โดยมุ่งมั่นที่จะดำเนินการปฏิรูปการต่อต้านการทุจริตและเสริมสร้างความซื่อตรงในภาครัฐเพื่อให้มั่นใจว่าระบบความซื่อตรงที่สอดคล้อง เชื่อมโยงกัน และบูรณาการทำงานร่วมกันสามารถปลูกฝังวัฒนธรรมความซื่อตรงในภาครัฐ ดังนั้น รัฐบาลไทยยินดีที่จะตอบรับแนวทางและข้อเสนอแนะของ OECD เพื่อทบทวนและส่งเสริมนโยบายด้านความซื่อตรงให้สอดคล้องกับข้อเสนอแนะของ OECD
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16165 | รายงานผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ 1 | มท | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ ๑ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการลงพื้นที่ครั้งที่ ๑ ของทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับตำบล ได้ลงพื้นที่จัดเวทีประชาคมครบถ้วนทุกหมู่บ้าน/ชุมชน มีประชาชนเข้าร่วมเวทีประชาคม จำนวน ๘,๗๗๙,๒๐๙ คน โดยสร้างความเข้าใจแนวคิดโครงการไทยนิยม ยั่งยืน พร้อมชี้แจงมาตรการในการให้ความช่วยเหลือประชาชนตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล โดยประเด็นปัญหาความต้องการที่ได้รับจากเวทีประชาคมแบ่งออกเป็น ๖ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (ร้อยละ ๕๒.๓๔) (๒) ด้านการส่งเสริมอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต (ร้อยละ ๑๖.๖๔) (๓) ด้านการเกษตร (ร้อยละ ๑๑.๑๒) (๔) ด้านความมั่นคง (ร้อยละ ๘.๒๗) (๕) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ร้อยละ ๖.๖๗) และ (๖) ด้านสาธารณสุข (ร้อยละ ๔.๙๖) ๒. ความก้าวหน้าการดำเนิน “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน” ภายใต้กรอบหลักการ “คนไทยไม่ทิ้งกัน” และ “ชุมชนอยู่ดีมีสุข” ๒.๑ “คนไทยไม่ทิ้งกัน” ได้แก่ แผนงานเสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต มีกระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลัก โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ๑๑.๔ ล้านคน รับแจ้งความประสงค์แล้ว ๖.๔ ล้านคน จากการลงพื้นที่สัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย ๑.๖๑ ล้านคน พบว่ามีผู้ประสงค์พัฒนาตน ๙.๑ แสนคน (ร้อยละ ๕๖) และไม่ประสงค์จะพัฒนาคน ๗ แสนคน (ร้อยละ ๔๔) ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ผ่านการสัมภาษณ์จะถูกส่งต่อให้ทีมหมอประชารัฐสุขใจวิเคราะห์ก่อนส่งให้คณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจำจังหวัดพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการพัฒนาเป็นรายบุคคล ๒.๒ “ชุมชนอยู่ดีมีสุข” ประกอบด้วย ๒ แผนงาน ได้แก่ (๑) แผนงานปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพหลัก มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพเกษตรกรเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม/ชุมชน ขณะนี้ได้จัดทำเมนูทางเลือกให้เกษตรกรเสร็จแล้วและส่งมอบให้กับหน่วยงานในระดับพื้นที่เพื่อประชาสัมพันธ์รับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ และ (๒) แผนงานส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาศักยภาพชุมชน มีโครงการสำคัญ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โครงการด้านการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน และโครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืนโดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16166 | การออกกฎกระทรวง และประกาศกระทรวงมหาดไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 | มท | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงและร่างประกาศ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงยกเลิกการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก ตามมาตรา ๓๙ วรรคสอง สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ซึ่งเข้ามาเพื่อทำงานในราชอาณาจักรตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างแรงงานหรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว เป็นการชั่วคราว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก ตามมาตรา ๓๙ วรรคสอง ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว ระหว่างวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ซึ่งเข้ามาเพื่อทำงานในราชอาณาจักรตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างแรงงาน และที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ ที่เดินทางออกนอกราชอาณาจักรกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ และเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรภายในระยะเวลาที่กำหนด ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรกลับประเทศต้นทางเพื่อไปร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวที่ถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตร ที่อายุไม่เกิน ๑๘ ปี และระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังคงเหลืออยู่ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ระหว่างวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑ และเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยไม่ถือว่าเป็นการออกนอกเขตพื้นที่จังหวัดที่ได้จัดทำทะเบียนประวัติ หรือจังหวัดที่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน ๒. เห็นชอบร่างประกาศ จำนวน ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงมหาดไทยซึ่งออกตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๑ เพื่อให้แรงงานต่างด้าวที่ยังไม่ได้พิสูจน์สัญชาติที่ได้ยื่นเรื่องขอจัดทำหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติไว้กับกรมการจัดหางาน ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ สามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้จนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ และการปรับเพิ่มระยะเวลาการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ในการตรวจลงตรา (Visa) ประทับตราให้อยู่ในราชอาณาจักรขออนุญาตทำงาน และจัดทำ/ปรับปรุงทะเบียนประวัติให้กับแรงงานต่างด้าว ออกไปจนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ เฉพาะกิจการประมงทะเล ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ (ฉบับที่ ๒) ๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ เฉพาะกิจการแปรรูปสัตว์น้ำ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ (ฉบับที่ ๒) ๒.๓ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ (ฉบับที่ ๒)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16167 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ (จำนวน 5 คน 1. รองศาสตราจารย์กุลภัทรา สิโรดม ฯลฯ) | ยธ | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ จำนวน ๕ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ เมษายน ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. รองศาสตราจารย์กุลภัทรา สิโรดม ๒. นายประสัณห์ เชื้อพานิช ๓. นางภัทรียา เบญจพลชัย ๔. นายวัลลภ นาคบัว ๕. นางวิลาวรรณ มังคละธนะกุล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16168 | แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (ศาสตราจารย์ นฤมล สอาดโฉม) | นร04 | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง ศาสตราจารย์นฤมล สอาดโฉม เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16169 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม | นร04 | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม นับตั้งแต่การจัดงานแรก คือ งาน “ตลาดนัดกล้วยไม้คุณภาพ” เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๕๘ จนจบภารกิจเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ รวมระยะวเลา ๓ ปีเต็ม มีการจัดงานรวมทั้งสิ้น ๓๘ งาน จำนวนเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการเข้าร่วมจำหน่ายสินค้า ผลิตภัณฑ์ ผลิตผล และการบริหาร รวมทั้งสิ้น ๘,๐๑๙ ราย ผู้เข้าชมงาน จำนวน ๓,๙๗๘,๖๙๖ คน ยอดการจำหน่ายทั้งสิ้น ๑,๙๓๖,๖๖๔,๒๔๗ บาท รวมทั้งมีกระแสเงินหมุนเวียนจากกิจกรรมอื่น ๆ อาทิ จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของกรมบังคับคดีและสำนักงาน ป.ป.ส. การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี การประมูลเลขทะเบียนรถสวย การจำหน่ายเหรียญที่ระลึกของกรมธนารักษ์ การจำหน่ายสลากออมทรัพย์ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร การจำหน่ายสลากออมสินและเงินฝาก จำนวน ๑,๓๓๑,๙๗๙,๑๗๓ บาท ๒. กระทรวงมหาดไทยจัดงานเปิดตัว (Kick Off) โครงการตลาดประชารัฐ “ตลาดประชารัฐ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้” ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ระยะเวลาการจัดงาน ๓ วัน คือ ระหว่างวันที่ ๕-๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ เพื่อประชาสัมพันธ์การจบภารกิจโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ณ บริเวณด้านข้างทำเนียบรัฐบาล และส่งต่อรูปแบบ (Model) ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมไปสู่ตลาดประชารัฐ ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ให้ประชาชนได้มีพื้นที่ค้าขายในท้องถิ่น เพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้สู่ท้องถิ่นและเศรษฐกิจฐานราก โดยผลการจัดงาน มีผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้า จำนวน ๑๘๐ ราย ผู้เข้าชมงาน จำนวน ๒๑,๙๒๗ คน ยอดการจำหน่ายทั้งสิ้น ๘,๖๘๓,๘๒๒ บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16170 | ผลการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 6 (6th GMS Summit) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | นร11 | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๖ (6th GMS Summit) ระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) และผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งสาระสำคัญของการประชุมฯ ผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้ความเห็นชอบ (๑) แถลงการณ์ร่วมระดับผู้นำ (Joint Summit Declaration : JSD) (๒) ร่างแผนปฏิบัติการฮานอยปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ (Hanoi Action Plan) และ (๓) ร่างกรอบการลงทุนในภูมิภาคปี ๒๕๖๕ (Regional Investment Plan : RIF2022) ซึ่งประกอบด้วยโครงการความร่วมมือ จำนวน ๒๒๗ โครงการ ในสาขาความร่วมมือ ๑๐ สาขา มูลค่ารวมประมาณ ๖๖.๕๙๒ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๒.๐๘๘ ล้านล้านบาท โดยในส่วนของประเทศไทยมีโครงการลงทุนและโครงการความช่วยเหลือทางวิชาการ ทั้งสิ้น ๗๙ โครงการ มูลค่ารวม ๑๐.๐๙ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการนี้ นายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) มีข้อเสนอในการประชุมฯ ได้แก่ การเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งเพื่อการเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ (Connectivity) การเร่งพัฒนาอย่างรอบด้านเพื่อมุ่งสู่อนุภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง (Competitiveness) และการผลักดันให้ GMS เป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน มีความมั่งคั่ง และยั่งยืน (Community) รวมทั้งได้เสนอแผนการทำงานในช่วง ๕ ปีข้างหน้าและในระยะยาวเพื่อรับมือกับความท้าทายและสภาพแวดล้อมที่ต้องเผชิญในอนาคตในประเด็นสำคัญ ๆ เช่น ร่วมมือกันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรับมือกับวิวัฒนาการของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป พัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งให้มีคุณภาพ และใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ และร่วมมือกันดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (CBTA) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามแผนการดำเนินงานในระยะเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ให้บรรลุตามเจตนารมณ์ของผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ที่ต้องการให้เกิดการเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ (Connectivity) ทั้งในด้านการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมให้มูลค่าทางเศรษฐกิจในภาพรวมของอนุภูมิภาคเพิ่มมากยิ่งขึ้นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16171 | การแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการแต่งตั้งกรรมการคณะพิเศษประกอบด้วยผู้แทนกรรมการกฤษฎีกา และผู้ไม่ได้เป็นกรรมการกฤษฎีกา เพื่อเปิดโอกาสให้กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) บางคนเข้าร่วมพิจารณาด้วย โดยประกอบกันขึ้นเป็นคณะกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ (๖) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการดังกล่าว และให้แต่งตั้งเลขานุการได้ตามความจำเป็น ทั้งนี้ การเบิกเบี้ยประชุมให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นเบี้ยประชุมรายครั้งที่มาประชุมในอัตราเดียวกับค่าตอบแทนของประธานกรรมการกฤษฎีกาและเลขานุการหรือผู้ช่วยเลขานุการของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วแต่กรณีตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยให้เบิกจ่ายจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16172 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561) | นร | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๑ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16173 | สนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ พ.ศ. .... [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561)] | นร | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16174 | ขอถอนร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม 2 ฉบับ (ขอถอนร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดระนอง พ.ศ. ....) | มท | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ รวม ๒ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดอุตรดิตถ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดระนอง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16175 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดพื้นที่เพื่อเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรสามารถสับเปลี่ยนหมุนเวียนนำสินค้าและผลิตผล/ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรชนิดต่าง ๆ ที่มีคุณภาพเข้ามาจำหน่ายแก่ผู้บริโภคได้ในแต่ละสัปดาห์ และให้ส่วนราชการที่จะจัดตั้งตลาดดังกล่าวประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยด้วยเพื่อให้แต่ละจังหวัดพิจารณาคัดเลือกและสนับสนุนให้เกษตรกรที่มีศักยภาพและความพร้อมของจังหวัดนั้น ๆ นำสินค้ามาจำหน่ายด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางดังกล่าวไปพิจารณาปรับใช้กับตลาดอื่น ๆ ที่ได้มีการจัดตั้งและดำเนินการอยู่แล้วด้วย เช่น ตลาดประชารัฐ โดยอาจกำหนดให้มีวันพิเศษในแต่ละสัปดาห์ที่ให้มีการจำหน่ายสินค้าที่แตกต่างไปจากวันอื่น ๆ เช่น ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ ตลาดสินค้าที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP ตลาดอาหารที่มีความปลอดภัย เป็นต้น ๑.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๒.๑ เร่งดำเนินการจัดระเบียบการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวที่มีประชาชนนิยมไปเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก เช่น อุทยานแห่งชาติ ให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งในด้านการจราจร สถานที่จอดรถ และการรักษาความปลอดภัย ๑.๒.๒ สนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ทั้งในเมืองท่องเที่ยวหลักและเมืองท่องเที่ยวรองมากยิ่งขึ้น โดยดำเนินการให้สอดคล้องกับโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ของรัฐบาล ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียงพอ รวมทั้งการบริหารจัดการสถานที่ท่องเที่ยวให้เป็นระเบียบเรียบร้อยด้วย ๑.๒.๓ จัดทำเส้นทางการท่องเที่ยวชุมชนเชิงคุณภาพจำแนกตามเอกลักษณ์ไทยในด้านต่าง ๆ ให้มีความหลากหลาย เช่น เส้นทางผ้าไหมไทย อาหารไทย ข้าวไทย ทะเลไทย เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ และมีเรื่องราว (story) ประกอบเพื่อเป็นการให้ความรู้และดึงดูดความสนใจ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและการประกอบการของชุมชนตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง โดยให้รวมถึงการแปรรูปสินค้าของชุมชนด้วย ๒. ด้านสังคม ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการดำเนินโครงการก่อสร้างเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินการอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีการกันพื้นที่ผิวทางการจราจร ปิดเส้นทาง หรือกีดขวางการจราจร ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของปัญหาการจราจรติดขัดและปัญหามลพิษ โดยให้กระทรวงคมนาคมขอความร่วมมือกับผู้รับเหมาก่อสร้างในการจัดการพื้นที่เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรผ่านเส้นทางดังกล่าวได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และเกิดผลกระทบด้านการจราจรให้น้อยที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16176 | ความคืบหน้าในการดำเนินการตามผลการเจรจาเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน (เครือข่ายคนเทพาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน) | นร | 03/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานความคืบหน้าการดำเนินการของกระทรวงพลังงานต่อเนื่องจากการที่ได้เจรจาทำข้อตกลงกับเครือข่ายคนเทพาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๑ ว่า การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม การสร้างการรับรู้ของผู้มีส่วนได้เสีย รวมถึงการประเมินผลกระทบด้านต่าง ๆ ตามนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นั้น กระทรวงพลังงานได้ประสานการดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงดังกล่าว ทั้งนี้ หากการดำเนินการในเรื่องใดจะต้องนำสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ/พิจารณา กระทรวงพลังงานก็จะได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามแต่กรณีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16177 | การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งให้ นายสุพจน์ วงศ์พรหมท้าว ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นโฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แทน นายชาญวิทย์ ผลชีวิน ทั้งนี้ ตามคำสั่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ ๑๖๒/๒๕๖๑ สั่ง ณ วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16178 | รายงานผลการประชุมผู้บริหารระดับสูง 6 ประเทศ ตามโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย | ยธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมผู้บริหารระดับสูง ๖ ประเทศ (สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ประเทศไทย ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) ตามโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพและจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๗-๒๐ มกราคม ๒๕๖๑ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เป็นประธานมอบนโยบายการประชุมฯ โดยเน้นย้ำให้ทั้ง ๖ ประเทศยกระดับความร่วมมือในการสกัดกั้นสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์เพื่อยุติการผลิตยาเสพติด โดยใช้นโยบายด้านการปราบปรามควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามศาสตร์พระราชา และแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องระยะยาว ภายใต้การจัดทำแผนแม่บทร่วมกันของ ๖ ประเทศ ซึ่งทุกประเทศเห็นพ้องกันตามข้อเสนอของประเทศไทย โดยแนวทางและนโยบายยกระดับความร่วมมือ ๖ ประเทศ ได้แก่ (๑) การสร้างเป้าหมายร่วมที่จะดำเนินการต่อพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ (๒) การยกระดับความร่วมมือในการดำเนินการในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ (๓) ให้ความสำคัญของการสกัดกั้นสารตั้งต้นเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด (๔) การผนึกกำลังร่วมกันของทั้ง ๖ ประเทศในการกำหนดเครือข่ายการผลิตและค้ายาเสพติดที่สำคัญในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ (๕) กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และ (๖) ร่วมกันจัดทำแผนแม่บทความร่วมมือของ ๖ ประเทศ ที่เป็นแผนต่อเนื่องระยะยาว จนนำไปสู่การลงนามให้การรับรองอย่างเป็นทางการของทั้ง ๖ ประเทศต่อไป ๒. การประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารระดับสูง ๖ ประเทศ ภายใต้แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ๖ ประเทศ ระยะเวลา ๓ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๑) ประเทศสมาชิก ๖ ประเทศ ได้ร่วมหาแนวทางร่วมกันในการแก้ไขปัญหา ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว โดยเห็นพ้องที่จะยังคงใช้ยุทธศาสตร์การผนึกกำลังร่วมกันในการ “ปิดล้อมสามเหลี่ยมทองคำ” ได้แก่ (๑) การกำหนดเป้าหมายปฏิบัติการร่วมกัน (๒) การจัดทำแผนปฏิบัติการสามเหลี่ยมทองคำ ปี ๒๕๖๑ และ (๓) การจัดทำแผนแม่บทระยะยาวร่วมกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16179 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนมกราคม 2561 | นร11 | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนมกราคม ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนมกราคม ๒๕๖๑ ขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง ในด้านการใช้จ่าย มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวสูงสุดในรอบ ๖๒ เดือน ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ และการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลขยายตัว ในขณะที่การเบิกจ่ายรายจ่ายประจำของรัฐบาลปรับตัวลดลง ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวในเกณฑ์สูง ในขณะที่ดัชนีราคาสินค้าเกษตรรวมปรับตัวลดลง เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ การจ้างงานลดลง ดุลการค้าและดุลบริการเกินดุลต่อเนื่องและส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๒. เศรษฐกิจโลก ขยายตัวในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่องและกระจายตัวมากขึ้นตามลำดับตามการปรับตัวดีขึ้นของเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจในประเทศสำคัญ ๆ นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศยูโรโซน ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการบริโภคภายในประเทศ เช่นเดียวกับเศรษฐกิจญี่ปุ่น จีน และหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งยังขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของการส่งออก และการผลิตภาคอุตสาหกรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16180 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2557-2561) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | ยธ | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยมีผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาอาชีพและการตลาด เช่น ดำเนินการเพิ่มทักษะอาชีพจากองค์ความรู้ของโครงการหลวงแก่เกษตรกร จำนวน ๑๒,๖๑๑ ราย และพัฒนาเป็นกลุ่ม SMART FARMER จำนวน ๒๒ ราย ดำเนินการส่งเสริมอาชีพทางเลือกแก่เกษตรกรและผู้ผ่านการบำบัดฝิ่นที่ไม่กลับไปเสพซ้ำ จำนวน ๒,๘๙๙ ครัวเรือน และดำเนินการส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกร ๕๖ กลุ่ม และพัฒนาเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ๑๗ กลุ่ม เป็นต้น งบประมาณทั้งสิ้น ๗๓,๐๒๔,๓๔๕ บาท ๒. ยุทธศาสตร์ด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและการพัฒนาสังคม ดำเนินการส่งเสริมการจัดทำแผนชุมชน ครอบคลุม ๘๘ หย่อมบ้าน โดยเน้นให้ชุมชนมีการขับเคลื่อนกิจกรรมตามแผนชุมชนอย่างต่อเนื่อง งบประมาณทั้งสิ้น ๙,๓๖๑,๕๐๘ บาท ๓. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนากระบวนการชุมชนเพื่อแก้ปัญหายาเสพติด ดำเนินการบำบัดรักษาผู้ติดฝิ่นรายใหม่ จำนวน ๑๐๙ ราย และติดตามผลการบำบัดรักษาผู้ติดฝิ่นรายเดิม จำนวน ๑,๖๘๖ ราย งบประมาณทั้งสิ้น ๗,๕๙๓,๐๐๐ บาท ๔. ยุทธศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าและแผนการใช้ที่ดินรายแปลงของเกษตรกร ครอบคลุม ๑๑๙ หย่อมบ้าน พร้อมทั้งส่งเสริมการอนุรักษ์พื้นที่แหล่งต้นน้ำรวมพื้นที่ ๑,๑๐๐ ไร่ งบประมาณทั้งสิ้น ๑๒,๙๒๙,๗๑๐ บาท ๕. ยุทธศาสตร์ด้านการบริหารจัดการและกำกับดูแลแผนแม่บท ดำเนินการขับเคลื่อนกลไกการปฏิบัติงานในพื้นที่ โดยจัดทำคณะกรรมการโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน จำนวน ๓ คณะอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ คณะอนุกรรมการโครงการ คณะกรรมการอำนวยการโครงการระดับจังหวัด และคณะกรรมการอำนวยการโครงการระดับอำเภอ งบประมาณทั้งสิ้น ๑๐,๙๔๒,๗๒๕ บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
