ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 67 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 1321 - 1340 จากข้อมูลทั้งหมด 124445 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1321 | เรื่องสืบเนื่องจากการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของนายกรัฐมนตรี | นร. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ
ระหว่างวันที่ ๕ - ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ได้มีโอกาสหารือกับนายสี จิ้นผิง
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน นายจ้าว เล่อจี้
ประธานสภาประชาชนแห่งชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน และนายหลี่ เฉียง
นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน
และยืนยันความพร้อมในการเดินหน้าขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน ในการนี้
จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑.
ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค
ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย อย่างต่อเนื่อง ทั้งการดำเนินการในระยะที่ ๑ (ช่วงกรุงเทพมหานคร
- นครราชสีมา) และการดำเนินการในระยะที่ ๒ (ช่วงนครราชสีมา - หนองคาย)
ให้แล้วเสร็จทั้งหมดโดยเร็ว เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายการเดินทางของประชาชน
และการขนส่งสินค้าได้อย่างสะดวกและรวดเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์
(Landbridge) มีความคืบหน้าและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยด่วน ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานความมั่นคง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประสานความร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติต่าง
ๆ เช่น การพนันออนไลน์ การหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์
อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1322 | การศึกษาทบทวนกฎหมายเกี่ยวกับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว | นร. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า โดยที่รัฐบาลได้ประกาศนโยบายให้ปี
๒๕๖๘ เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวไทย Amazing Thailand Grand Tourism and
Sports Year 2025 โดยจะได้ส่งเสริมการจัดเทศกาลระดับโลกต่าง ๆ รวมถึงการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวตลอดทั้งในเมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว
ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น โรงแรม
ร้านอาหาร และสถานบริการอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับข้อจำกัดทางกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่นักท่องเที่ยว
ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงยุติธรรม
กระทรวงสาธารณสุข
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นอุปสรรคและข้อจำกัดในด้านต่าง
ๆ เช่น การกำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การกำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การกำหนดพื้นที่ควบคุมในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่อผู้บริโภคโดยตรง
การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา โดยหากการแก้ไขกฎหมาย กฎ
ระเบียบ
หรือประกาศที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันเพื่อลดอุปสรรคในด้านใด/ประเด็นใดดังกล่าวข้างต้นสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ก่อนอย่างรวดเร็ว
ก็ขอให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๘
เพื่อให้มีผลใช้บังคับก่อนถึงเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเมษายน ๒๕๖๘ ทั้งนี้
การพิจารณาดำเนินการใด ๆ ในเรื่องนี้
ขอให้คำนึงถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยของประชาชน
และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เหมาะสมของเยาวชนเป็นสำคัญด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1323 | แผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570) | 11/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม
ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป
ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมเสนอ สำหรับภาระค่าใช้จ่ายเพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการดังกล่าว
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าการพิจารณาเกี่ยวกับมาตรการภาษี
การเงิน การคลัง ให้แก่องค์กรภาคประชาสังคมให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
จำเป็นต้องมีการกำหนดประเภทรูปแบบขององค์กรภาคประชาสังคมให้ชัดเจนและเหมาะสมกับการดำเนินการที่อาจจะมีความแตกต่างกัน
ซึ่งอาจจะต้องมีการศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการขององค์กรภาคประชาสังคมที่ดำเนินการในปัจจุบัน
เพื่อให้ได้รายละเอียดที่ชัดเจนครบถ้วน และนำมาใช้ในการกำหนดประเภทรูปแบบองค์กรภาคประชาสังคมได้ตรงตามเป้าหมาย
รวมถึงเป็นข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถพิจารณากำหนดมาตรการภาษี การเงิน
การคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป และหากจะมีการออกมาตรการทางภาษีเพิ่มเติม
จะต้องดำเนินการตามมาตรา ๒๗ และมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑
ซึ่งกำหนดให้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับและพิจารณาถึงความเป็นธรรม
ความเสมอภาค และการไม่เลือกปฏิบัติ
รวมทั้งการพัฒนาและสนับสนุนเสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1324 | การศึกษามาตรการทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา | นร. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์
ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้นโยบายทางการค้าใหม่ เช่น
การกำหนดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าสูงขึ้น (กำแพงภาษี)
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐอเมริกา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตร สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าประเภทอื่น ๆ รัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมและการกำหนดมาตรการเพื่อรับมือกับผลกระทบและแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศ โดยเมื่อวันที่ ๖
มกราคม ๒๕๖๘ ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาขึ้น
โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานคณะทำงาน มีผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านเป็นที่ปรึกษา
และมีหัวหน้า/ผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงานด้วย จึงขอให้คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริการ่วมกับกระทรวงกลาโหม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการศึกษาและสรุปข้อมูลเกี่ยวกับข้อดี
และข้อเสียของนโยบายทางการค้าใหม่ของสหรัฐอเมริกาดังกล่าว
รวมทั้งมาตรการของไทยในการรับมือกับผลกระทบต่าง ๆ
รวมตลอดถึงแนวทางในการเจรจาต่อรองด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
แล้วให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมครั้งต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1325 | ร่างถ้อยแถลงว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่ครอบคลุมและยั่งยืนเพื่อประชาชนและโลก | ดศ. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่ครอบคลุมและยั่งยืนเพื่อประชาชนและโลก
(Statement on Inclusive and
Sustainable AI for People and the Planet) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงฯ ในวันอังคารที่ ๑๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยร่างถ้อยแถลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล
การส่งเสริมความยั่งยืน และการปกป้องสิทธิมนุษยชนผ่าน AI ที่น่าเชื่อถือ
โปร่งใส และยุติธรรม นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันอย่างครอบคลุม
สนับสนุนการวิจัย และการสร้างมาตรฐาน เพื่อพัฒนาระบบ AI ที่สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยได้จัดลำดับความสำคัญและการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างระบบ AI ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ
พร้อมทั้งผลักดันความร่วมมือระดับโลกในด้านการกำกับดูแล AI อย่างยั่งยืนและครอบคลุมทุกภาคส่วน
รวมถึงมีการระบุถึงกิจกรรมสำคัญด้านปัญญาประดิษฐ์ซึ่งจะรวมถึงการประชุม Global
Forum on the Ethics of AI ครั้งที่ ๓ ซึ่งจัดโดยประเทศไทย และ UNESCO ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1326 | ผลการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 6 | ทส. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1327 | ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 24 | พณ. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1328 | แผนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระยะที่ 12 พ.ศ. 2568 - 2572 | อว. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
ระยะที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๒ ภายในกรอบวงเงิน จำนวน ๙๓๘,๗๘๗,๕๐๐
บาท
เพื่อสนับสนุนเฉพาะเป็นทุนการศึกษาและวิจัยให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินการของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
สำหรับงบประมาณในการดำเนินการเพื่อการพัฒนาสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT)
ให้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย จำนวนรวมทั้งสิ้น ๔๐๐,๒๒๐,๐๐๐ บาท โดยผูกพันงบประมาณเป็นเวลา ๕ ปีงบประมาณ
(พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๒) หากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมพิจารณาเห็นว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินการ และมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละปีงบประมาณตามขั้นตอน
ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยทางการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ.
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นว่าในแผนงานผลิตบัณฑิต ควรมีแผนการผลิตบุคลากรที่มีองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญอย่างเป็นสากลในด้านการจัดทำนโยบายและแผนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ
เพื่อให้ระบบการบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยั่งยืนไปพร้อมกับการพัฒนาระบบการศึกษา
การวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรมอันส่งผลให้ประเทศบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป กระทรวงพลังงาน เห็นควรมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
เพื่อพัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
และควรมีการจัดทำฐานข้อมูลผลงานวิจัยของผู้ที่สำเร็จการศึกษาหรือบุคลากรที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันฯ
เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนา ต่อยอด และใช้ประโยชน์ในอนาคตต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1329 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาธิการ อาชีวศึกษาและการกีฬาแห่งราชอาณาจักรสเปนว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา | ศธ. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1330 | ผลการดำเนินการระงับการให้บริการสาธารณูปโภคข้ามพรมแดน | นร. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม
เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนอว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ (เรื่อง
การดำเนินการระงับการให้บริการสาธารณูปโภคข้ามพรมแดน)
มอบหมายให้เร่งดำเนินการจัดการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เพื่อพิจารณาข้อมูลข้อเท็จจริงในเรื่องการใช้บริการสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น ไฟฟ้า
น้ำประปา ระบบการสื่อสารโทรคมนาคมที่มีต้นกำเนิดจากฝั่งไทยของผู้ก่อปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีต่าง
ๆ เช่น การพนันออนไลน์ การหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์ ให้ชัดเจนและรอบด้าน
แล้วพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อดำเนินการระงับการให้บริการสาธารณูปโภคข้ามพรมแดนทุกประเภท
ในทุกพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง โดยด่วน นั้น ในระยะเวลา ๕ วัน
หลังจากบังคับใช้มาตรการดังกล่าว มีผลการดำเนินการสรุปได้ ดังนี้ ๑.
การสนับสนุนการดำเนินมาตรการระงับการให้บริการสาธารณูปโภคทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ ๑.๑ กระแสตอบรับจากสื่อสังคมออนไลน์
เช่น Facebook X TikTok พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว
และมีความคิดเห็นในเชิงสนับสนุนจำนวนมาก ๑.๒ นายสี
จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ได้ให้การสนับสนุนของรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการ
โดยระบุว่าจีนมีนโยบายปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานในเมียนมา และพร้อมให้ความร่วมมือในการดำเนินการทางกฎหมายอย่างเต็มที่ ๒.
ความสามารถในการดำเนินกิจการของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ลดลง ๒.๑
นอกจากทางการไทยได้ระงับการให้บริการไฟฟ้าแล้ว ทางการลาวได้จำกัดการส่งกระแสไฟฟ้าให้จังหวัดท่าขี้เหล็ก
ประเทศเมียนมา จากเดิม ๓๐ เมกะวัตต์ เหลือเพียง ๑๓ เมกะวัตต์ ส่งผลให้ในพื้นที่ดังกล่าวเกิดภาวะขาดแคลนพลังงาน
โดยเฉพาะโรงแรม ห้องพัก บ้านเช่า และบ่อนการพนันที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจพนันออนไลน์และขบวนการคอลเซ็นเตอร์
โดยสภาพแวดล้อมในจังหวัดท่าขี้เหล็กในช่วงกลางคืนมืดลงอย่างชัดเจน ๒.๒ ในระหว่างวันที่
๖ - ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายความมั่นคงของเมียนมาได้ระดมกำลังออกปราบปรามบ่อนการพนันออนไลน์และขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่ลักลอบเปิดกิจการในพื้นที่จังหวัดท่าขี้เหล็กและหัวเมืองใกล้เคียง
โดยสามารถจับกุมเจ้าของและพนักงานได้จำนวนหนึ่ง ๒.๓
บ่อนการพนันออนไลน์และขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่ลักลอบเปิดกิจการอยู่ในพื้นที่จังหวัดท่าขี้เหล็กได้ให้พนักงานจำนวนกว่า
๑๐๐ คน เดินทางกลับประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณชายแดนตรงข้ามอำเภอแม่สาย
จังหวัดเชียงราย เนื่องจากการขาดแคลนไฟฟ้าที่จำเป็นสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์และน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำเป็นสำหรับเครื่องปั่นกระแสไฟฟ้า ๓.
สถิติคดีหลอกลวงออนไลน์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายหลังการบังคับใช้มาตรการลดลง สถิติการรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติลดลงจากเดิมเฉลี่ยวันละ
๑,๒๐๐ คดี เหลือวันละ ๑,๐๐๐ - ๑,๑๐๐ คดี แสดงให้เห็นว่าแนวทางและมาตรการที่ได้ดำเนินการส่งผลกระทบต่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์
และประชาชนมีความตื่นตัวต่อภัยอาชญากรรมออนไลน์มากขึ้น ๔.
ทางการเมียนมามีท่าทีตอบรับและดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมอย่างจริงจังมากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1331 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 เพื่อขยายระยะเวลาตรึงกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนและการขอทบทวนกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชน | 11/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเสนอ
ดังนี้ ๑. ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม
๒๕๖๕ เรื่อง การกำหนดและทบทวนกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนให้มีขนาดที่เหมาะสม
ดังนี้ ๑.๑
ขยายระยะเวลาการตรึงกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนจาก “สิ้นสุดในปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗” เป็น “สิ้นสุดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๐” ๑.๒
มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณาทบทวน ปรับปรุงกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนในกรณีที่ไม่เพิ่มกรอบอัตรากำลังภาพรวม
เพื่อให้สอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๕ เรื่อง การกำหนดและทบทวนกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนให้มีขนาดที่เหมาะสม ๒. ให้เพิ่มอัตรากำลังแก่สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ
(องค์การมหาชน) จำนวน ๑๖ อัตรา และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
จำนวน ๔๖ อัตรา โดยมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติและมีเงื่อนไขว่า
สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ต้องควบคุมกรอบวงเงินรวมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร
หากมีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเกินอัตราที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
ให้คืนอัตรากำลังดังกล่าวภายใน ๑ ปี โดยพิจารณาระยะเวลาของสัญญาจ้างให้เหมาะสมกับลักษณะงาน
สอดคล้องหรือรองรับหลักเกณฑ์การคืนอัตรากำลังตามเงื่อนไขข้างต้น ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน
สำนักงาน ก.พ.ร. สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ
(องค์การมหาชน) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นว่าหากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
(องค์การมหาชน) ได้รับมอบภารกิจซึ่งเป็นนโยบายจากรัฐบาล
หรือรับผิดชอบการบริหารโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ ให้หน่วยงานสามารถจัดสรร
หรือเกลี่ยอัตรากำลังบุคลากรทั้งที่ปฏิบัติภารกิจสนับสนุนและปฏิบัติภารกิจหลักได้อย่างยืดหยุ่นสอดคล้องกับภารกิจที่ได้รับมอบหมายภายใต้กรอบอัตรากำลังภาพรวม
จำนวน ๓๑๐ อัตรา
ตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๒๐๓/๓๑๑
ลงวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๕ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1332 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ | อก. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
จากเดิม อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
ในส่วนของการทดสอบเพื่อรองรับรายการมาตรฐานที่จะบังคับหรือที่ต้องดำเนินการตามพันธกรณีข้อตกลงอาเซียน
จำนวน ๒๑ รายการ โดยใช้รูปแบบเดียวกันกับการจัดหาเครื่องมือทดสอบสำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบังคับ
คือ ให้เป็นการลงทุนเองของภาครัฐเฉพาะในส่วนนี้ โดยมีวงเงินงบประมาณรวม ๓,๗๐๕.๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จในช่วงปี
พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๗ เป็น ให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๗๐ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปี
๒๕๗๐ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าหากมีการดำเนินการในพื้นที่ป่า
ให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1333 | การดำเนินการตามข้อบท 22 วรรค 3 (บี) ของอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน การแจ้งไม่สามารถยอมรับการแก้ไขภาคผนวก เอ (การเลิกใช้) โดยบรรจุรายชื่อสาร Dechlorane Plus และ UV-328 เพิ่มเติม | ทส. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีแห่งอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ
ดำเนินการตามข้อบท ๒๒ วรรค ๓ (บี) แจ้งไม่สามารถยอมรับการแก้ไขภาคผนวก เอ (การเลิกใช้)
โดยบรรจุรายชื่อสาร Dechlorane Plus และ UV-328 เพิ่มเติม เพื่อไม่ให้การแก้ไขภาคผนวกดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับประเทศไทยและให้ภาคอุตสาหกรรมที่ยังมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีมีระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนการใช้สารทดแทน
และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการมีหนังสือแจ้งองค์การสหประชาชาติ (ผู้เก็บรักษาอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ)
ก่อนการแก้ไขภาคผนวกเพิ่มเติมนี้จะมีผลบังคับใช้กับประเทศไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรขอรับการสนับสนุนทางด้านเทคนิคและการเงินในการจัดการสารทั้ง
๒ ชนิด และสร้างขีดความสามารถให้แก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมในการปฏิบัติตามพันธกรณีก่อนการยอมรับการแก้ไขภาคผนวกให้มีผลบังคับใช้และเกิดผลผูกพันทางกฎหมายกับไทยต่อไปด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรเร่งดำเนินการเลิกใช้สารเคมีทั้งสองชนิด
เพื่อปกป้องสุขภาพอนามัยของประชาชนและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมจากสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานอย่างยั่งยืน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1334 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - มองโกเลีย | คค. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1335 | มาตรการลดผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระยะวิกฤติ ระหว่างวันที่ 25 - 31 มกราคม 2568 ภาคการคมนาคมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินการตามมาตรการวงเงิน 190.43 ล้านบาท | คค. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๑๙๐.๔๓
ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม
และกรุงเทพมหานครในการดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระยะวิกฤติ
ระหว่างวันที่ ๒๕ - ๓๑ มกราคม ๒๕๖๘ ตามปริมาณผู้โดยสารที่เกิดขึ้นจริง
โดยไม่เกินกรอบวงเงินดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๙/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1336 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรตองกาว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ | กต. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้
๑.๑ การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรตองกา
ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ (Agreement
between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the
Kingdom of Tonga on Exemption of Visa Requirements for Holders of Diplomatic
and Official Passports) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการระหว่างประเทศไทยและตองกาสำหรับการเดินทางเข้า
เดินทางออกจาก และเดินทางผ่านดินแดนของภาคีอีกฝ่าย เป็นระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน
ในช่วงเวลา ๑๘๐ วัน นับจากวันที่เดินทางเข้า
โดยมีเงื่อนไขว่าบุคคลนั้นต้องไม่รับการจ้างงานใด ๆ ในดินแดนของภาคีอีกฝ่าย
และกำหนดว่า
ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจระงับการบังคับใช้ความตกลงนี้ด้วยเหตุผลในการธำรงไว้ซึ่งการปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ
ความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือสาธารณสุข
โดยต้องแจ้งภาคีอีกฝ่ายให้ทราบเกี่ยวกับการระงับและการยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูตในทันที
แต่ไม่เกิน ๗๒ ชั่วโมง
๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ
ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามที่ได้รับมอบหมายดังกล่าว
๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในประเด็นข้อ ๖
ของร่างความตกลงฯ
ที่เห็นควรกำหนดให้คู่ภาคีต้องแจ้งภาคีอีกฝ่ายทราบเกี่ยวกับการระงับและการยกเลิกการระงับใช้ความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูตล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
๓ วัน (๗๒ ชั่วโมง) ไปหารือร่วมกันกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนเหมาะสมก่อนดำเนินการต่อไป ๓.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1337 | มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของ Non - Banks ภายใต้โครงการคุณสู้ เราช่วย และหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และกระบวนการเบิกจ่ายโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ Non - Banks ของธนาคารออมสิน | กค. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของ Non - Banks ภายใต้โครงการคุณสู้ เราช่วย และหลักเกณฑ์
เงื่อนไข และกระบวนการเบิกจ่ายโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ Non - Banks ของธนาคารออมสิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลังและธนาคารออมสินรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้ธนาคารออมสินจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงการคลัง
กำกับ และติดตามการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจ Non-Banks ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการคลังกำกับ ติดตาม และประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการ
“คุณสู้ เราช่วย” และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1338 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามใช้ประโยชน์ในเขตป่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้รักษาไว้เป็นสมบัติของชาติป่าฝั่งซ้ายห้วยศาลาพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาบริเวณจุดชมวิวผาพญากูปรีท้องที่ตำบลไพรพัฒนาอำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ | มท. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ (เรื่อง
มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำมูลและชีและข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ)
และวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ (เรื่อง ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง) เพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑
เอ เนื้อที่ ๑๔ ไร่ ๒ งาน
ในการดำเนินโครงการพัฒนาบริเวณจุดชมวิวผาพญากูปรี ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม
รวมทั้งดำเนินการตามพระราชบัญญัติทางหลวง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ อย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1339 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาววรางคนา เวชวิธี) | สธ. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาววรางคนา เวชวิธี
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งทันตแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านทันตสาธารณสุข) กรมอนามัย
ให้ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตสาธารณสุข) กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
ตั้งแต่วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1340 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2567 | กค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
(กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๖๗ สรุปได้ ดังนี้ ๑)
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ ๑ - ๓ เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลางและสำหรับปี
๒๕๖๗ ๒) ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๗
เศรษฐกิจไทยโดยรวมขยายตัวและระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาสที่ ๑ และ ๒ อยู่ที่ร้อยละ -๐.๗๙ และ ๐.๗๘
ตามลำดับ ซึ่ง กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป มีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นเข้าสู่กรอบเป้าหมายในไตรมาสที่
๔ ปี ๒๕๖๗ และ ๓) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี
๒๕๖๗ เช่น (๑) กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๕๐ (๒)
ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจากสิ้นปี ๒๕๖๖ กนง. เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินและผลักดันการสร้างระบบนิเวศใหม่ของตลาดอัตราแลกเลี่ยน
และ (๓) กนง. สนับสนุนให้ธนาคารแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน
และเห็นว่ากระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ควรเกิดขึ้นต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการที่สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อตามความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้
เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
