ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1255 จากทั้งหมด 6218 หน้า แสดงรายการที่ 25081 - 25100 จากข้อมูลทั้งหมด 124360 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 25081 | นโยบายส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม จากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคเอกชน (Talent Mobility) | วท | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้การปฏิบัติงานในโครงการส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐ ไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในภาคเอกชน (Talent Mobility) ของบุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐถือเป็นการปฏิบัติงานเต็มเวลาของหน่วยงานต้นสังกัด โดยให้นับเป็นอายุราชการหรืออายุงานของหน่วยงานต้นสังกัด ๑.๒ ให้การปฏิบัติงานในโครงการฯ ของบุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐที่มีข้อผูกพันตามสัญญาชดใช้ทุน นับเป็นระยะเวลาชดใช้ทุนตามสัญญาด้วย ทั้งนี้ ให้รวมถึงผู้รับทุนที่ต้องการเข้าร่วมโครงการฯ ก่อนเริ่มปฏิบัติงานในหน่วยงานต้นสังกัดสำหรับกรณีที่หน่วยงานต้นสังกัดเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ และองค์การมหาชน โดยครอบคลุมทั้งองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ที่เป็นหน่วยงานด้านวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ๑.๓ ให้บุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถใช้ผลการปฏิบัติงานในภาคเอกชนในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นผลงานในการขอตำแหน่งทางวิชาการหรือตำแหน่งงานอื่น ๆ รวมทั้งการขึ้นเงินเดือน โดยให้มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐจัดทำเกณฑ์การเลื่อนตำแหน่ง การเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ และการขึ้นเงินเดือนที่ชัดเจน ๑.๔ มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อผลักดันการดำเนินการตามนโยบายให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เกี่ยวกับการจัดทำรายละเอียดการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น การกำหนดสิ่งจูงใจ ค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ การกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพการประเมินผลการปฏิบัติงาน ควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานอื่นที่บุคลากรไปปฏิบัติงาน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวเกิดประสิทธิผลสูงสุด และให้มีการประเมินและติดตามผลของนโยบาย Talent Mobility อย่างสม่ำเสมอ โดยครอบคลุมถึงผลกระทบด้านความเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์ประเทศ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลภาครัฐด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน รวมทั้งผลกระทบต่อการบริหารทรัพยากรบุคคลของหน่วยงานที่นำนโยบายนี้ไปดำเนินการ นอกจากนี้ ควรปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเอื้อให้บุคลากรในสังกัดสามารถเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนา กำหนดกรอบและทิศทางการวิจัยและพัฒนาในเรื่องต่าง ๆ ให้สอดคล้อง สนับสนุน และเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ๑๑ กลุ่ม รวมทั้งกลุ่มธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้วย ๔. มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดทำทะเบียนบุคลากรที่ปฏิบัติงานทางด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งรวบรวมผลงานวิจัยต่าง ๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนเพื่อนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลในการต่อยอดการวิจัยและพัฒนาให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ต่อไป ๕. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกำหนด ตรวจสอบ และรับรองคุณภาพมาตรฐานสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สถาบันมาตรวิทยา สถาบันทดสอบมาตรฐานอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เร่งรัดขั้นตอนดำเนินการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานสินค้าและผลิตภัณฑ์ตามอำนาจหน้าที่ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนการประกอบการของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องให้ได้รับความสะดวกรวดเร็วมากขึ้นด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 25082 | การจัดระบบการจ้างคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานในลักษณะไป - กลับ หรือตามฤดูกาล ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 | รง | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดท้องที่ สัญชาติ ประเภทหรือลักษณะงาน ช่วงระยะเวลาหรือฤดูกาล หรือเงื่อนไขที่คนต่างด้าวอาจขอรับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑.๑.๑ ท้องที่ : กำหนดท้องที่เฉพาะที่อนุญาตให้ทำงานและอยู่ในราชอาณาจักรได้ในพื้นที่ตามความตกลงว่าด้วยการสัญจรข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศที่ติดต่อกับราชอาณาจักรไทย และพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษตามที่รัฐบาลกำหนดไว้ และให้คนต่างด้าวเดินทางเข้า-ออกผ่านจุดผ่านแดนถาวรหรือจุดผ่านแดนที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสามารถไปดำเนินการตรวจลงตราและประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้แก่คนต่างด้าวได้ ทั้งนี้ เดินทางเข้ามาทางจุดผ่านแดนใดต้องเดินทางออกไปทางผ่านจุดผ่านแดนนั้น ๑.๑.๒ สัญชาติ : เมียนมา ลาว และกัมพูชา ๑.๑.๓ ประเภทหรือลักษณะงาน : อนุญาตให้ทำงานได้ในงานกรรมกรและงานรับใช้ในบ้าน ๑.๑.๔ ระยะเวลา : คนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานสามารถเดินทางเข้ามาเพื่อทำงานได้ตลอดทั้งปี โดยอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้เป็นไปตามความตกลงระหว่างรัฐ โดยให้สามารถเดินทางเข้า-ออกได้หลายครั้ง ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกระทรวงแรงงาน ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาล ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ทุกราย ต้องมีการตรวจสุขภาพ อย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง โดยสถานบริการของรัฐ และต้องมีการประกันสุขภาพในช่วงระยะเวลาไม่น้อยกว่าระยะเวลาที่อนุญาตให้ทำงานอยู่ในประเทศไทย ในกรณีไป-กลับ ควรซื้อประกันสุขภาพรายปี รวมทั้งกำหนดมาตรการและแนวทางที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในการบริหารจัดการ ควบคุม กำกับคนต่างด้าวในพื้นที่ชายแดนที่เข้ามาทำงานแบบไป-กลับโดยใช้บัตรผ่านแดน มิให้ลักลอบออกไปทำงานนอกเขตพื้นที่ที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 25083 | การจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | กต | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ๒. ยืนยันการอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในความตกลงฯ ในนามของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ๓. ยืนยันการอนุมัติการแจ้งฝ่ายสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 25084 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ พ.ศ. .... | นร08 | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อให้การกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนแม่บท และมาตรการในการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติมีเอกภาพ มีระบบ และมีความสอดคล้องต่อเนื่องกัน ตลอดจนมีหน่วยงานหลักที่เป็นศูนย์กลางในการอำนวยการและประสานการปฏิบัติการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ โดยให้แก้ไขชื่อตำแหน่งของอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ในหมวด ๒ คณะอนุกรรมการอำนวยการและประสานการพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ ร่างข้อ ๘ วรรคสอง จาก “ผู้อำนวยการส่วนนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” เป็น “ผู้อำนวยการส่วนงานความมั่นคงพิเศษ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” ตามข้อสังเกตของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการเป็นลำดับแรก ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 25085 | ผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่ง สปป. ลาว ครั้งที่ 6 | พณ | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ครั้งที่ ๖ เพื่อให้มีการทำงานอย่างบูรณาการและเกิดผลเป็นรูปธรรมตามตารางติดตามการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามผลการประชุมฯ เมื่อวันที่ ๔-๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่ง สปป.ลาว เป็นหัวหน้าคณะฝ่าย สปป.ลาว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปประเด็นสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ เป้าหมายการค้า ส่งเสริมและผลักดันให้มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๑๕-๒๐ ต่อปี นับตั้งแต่ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ เพื่อให้บรรลุถึง ๘,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๐ ๑.๒ การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน ได้แก่ การอำนวยความสะดวกการนำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตร การดำเนินการด้านพิธีการศุลกากรตรวจแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (Single Stop Inspection-SSI) ด่านชายแดน การขอรับการตรวจลงตรา ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival) การเชื่อมโยงในภูมิภาค ๑.๓ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ สนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายปรึกษาหารือในรายละเอียดร่วมกันในการร่วมมือและส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน ในการพัฒนาความร่วมมือในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จังหวัดมุกดาหารและจังหวัดหนองคายของไทย ๑.๔ การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-สปป.ลาว ได้แก่ งานแสดงสินค้า การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการค้าและการลงทุน ๑.๕ ความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุน ประสานกับฝ่าย สปป.ลาว เรื่องการจัดทำ MOU ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว ๑.๖ ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร ส่งเสริมสนับสนุนให้ความรู้ด้านวิชาการผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพและมีมาตรฐานการรับรองภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ๑.๗ ความร่วมมือด้านวิชาการ อาทิ ดำเนินงานภายใต้โครงการ ICT เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลการค้าและวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ใน ๕ แขวงนำร่องของ สปป. ลาว ให้เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลา เป็นต้น ๑.๘ ความร่วมมือระหว่างสำนักงานพาณิชย์จังหวัดกับแผนกอุตสาหกรรมและการค้าแขวงตามแนวชายแดนไทย-สปป.ลาว ประสานงานสำหรับการจัดประชุมแผนความร่วมมือระหว่างสำนักงานพาณิชย์จังหวัดกับแผนกอุตสาหกรรมและการค้าแขวงตามแนวชายแดนไทย-สปป.ลาว ครั้งที่ ๗ ที่ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพ ๑.๙ ความร่วมมือภาคเอกชน ผลักดันและส่งเสริมให้ภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายมีการพบหารือและจัดกิจกรรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ๑.๑๐ เรื่องอื่น ๆ ได้แก่ การจัดเก็บภาษีซื้อขายรถยนต์ (Sales-Purchase Tax) และการจัดทำคลังข้อมูลทางการค้า (National Trade Repository : NTR) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการในส่วนของสำนักงานฯ ซึ่งจะได้เร่งหารือร่วมกับ สปป.ลาว เพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางความร่วมมือการพัฒนาเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษของทั้งสองฝ่ายในลักษณะเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนร่วม (Cross Border Economic Zone : CBEZ) รวมทั้งการนำแถลงการณ์ร่วมระดับผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๕ (Joint Summit Declaration : JSD) ที่ผู้นำทั้ง ๖ ประเทศได้ให้การรับรองร่วมกันแล้วในการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ (the 5th GMS Summit) มาปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการผลักดันการดำเนินงานภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross Border Transport Agreement : CBTA) ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพื่ออำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าและคนระหว่างไทยและ สปป.ลาว มากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 25086 | แนวทางการดำเนินการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาล | พณ | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในคราวประขุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ที่เห็นชอบแนวทางการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาลตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ก่อนดำเนินการระบายให้มีการจัดตั้งคณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาล เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ แนวทางและเงื่อนไขการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงตลาด ให้เป็นไปตามแนวทางการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาลที่ได้รับความเห็นชอบ ๑.๒ มอบหมายให้องค์การคลังสินค้าแจ้งยืนยันปริมาณที่มีอยู่จริง สภาพของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ภาระผูกพันของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง รวมทั้งปริมาณคงเหลือที่ปลอดภาระผูกพันที่สามารถระบายได้เป็นรายคลัง ๑.๓ มอบหมายคณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกของรัฐบาลพิจารณากรอบในการระบาย เช่น วัตถุประสงค์ในการระบาย เกณฑ์การพิจารณาราคาขาย รวมถึงคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเสนอซื้อ เป็นต้น แล้วนำเสนอประธานกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ดำเนินการระบายตามกรอบที่นำเสนอ ๑.๔ ระบายด้วยวิธีการเปิดประมูลขายให้ผู้ประกอบการเป็นการทั่วไป ทั้งนี้ ส่วนต่างของราคาที่ประมูลได้กับราคาที่รัฐควรได้รับตามคุณภาพสินค้าที่ควรจะเป็นตามระยะเวลาที่เก็บรักษา รวมทั้งค่าเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังการขาย ให้องค์การคลังสินค้าพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องและรายงานผลให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งประชาสัมพันธ์การดำเนินงานที่ผ่านมาในเรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นการชี้แจงและสร้างการรับรู้ต่อสาธารณะให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรมีการกำกับดูแลขั้นตอนการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอย่างใกล้ชิด รวมทั้งมีการตรวจสอบและรายงานผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เมื่อคณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกรัฐบาลพิจารณากำหนดกรอบในการระบายแล้ว ควรเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลังพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อเป็นแนวทางให้คณะทำงานระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงเหลือในสต็อกรัฐบาล ใช้ในการกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการระบายตามความเหมาะสม นอกจากนี้ การติดตามตรวจสอบปัญหาคุณภาพและปริมาณผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในสต็อกของรัฐบาล ซึ่งมีการตรวจพบการทุจริต เช่น การปลอมปน และการแจ้งปริมาณไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เป็นต้น ควรเร่งรัดให้องค์การคลังสินค้าดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ประกอบการอย่างเคร่งครัด สำหรับกรณีค่าเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังการขายที่จะให้องค์การคลังสินค้าพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องนั้น ควรพิจารณาถึงสาเหตุของความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ชัดเจนก่อน เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการดำเนินการทางกฎหมาย ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 25087 | การเสนอร่างความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อลงนามและดำเนินการให้มีผลใช้บังคับ | กต | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the United Arab Emirates on the Promotion and Protection of Investments) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและขยายโอกาสการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งฝ่ายสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับภายหลังการลงนาม ๑.๔ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านต่างประเทศด้วย และรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับการพิจารณาและเตรียมความพร้อมในเรื่องการระงับข้อพิพาทระหว่างผู้ลงทุนกับภาคีคู่สัญญาในประเด็นการใช้กลไกอนุญาโตตุลาการระงับข้อพิพาทในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 25088 | ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี 2558 เพิ่มเติม | กษ | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการเปิดตลาดนำเข้าโควตานมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๘ เพิ่มเติม ปริมาณ ๒๒,๑๗๒.๘๘ ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ ๕ เท่ากับอัตราภาษีในโควตาที่เก็บจริงในปัจจุบัน ให้แก่ผู้ประกอบการที่มีความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต โดยยกเว้นการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลที่ ๑ กับกลุ่มนิติบุคคลที่ ๒ ในอัตรา ๘๐ : ๒๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ และให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การจัดสรรโควตาในส่วนนี้ โดยยึดหลักตามลำดับความจำเป็นและความเดือดร้อน และให้ผู้ประกอบการนำเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งไม่ให้กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกร ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้นำเข้าเฉพาะในช่วงเวลาที่น้ำนมขาดแคลนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผลผลิตภายในประเทศ ทั้งนี้ ให้ผู้มีสิทธินำเข้ารับซื้อนมดิบทั้งหมดจากเกษตรกรในราคาตลาด โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องติดตามราคาการรับซื้อว่าถูกต้องและเป็นธรรมต่อผู้ผลิต ๑.๒ ก่อนสิ้นสุดการนำเข้าในปี ๒๕๕๘ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประเมินผลการดำเนินงานเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีหากจะขอเปิดตลาดนำเข้าเพิ่มเติมในปีต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามระดับราคานมผงขาดมันเนย ทั้งราคานำเข้าและราคาตลาด และกำหนดมาตรการรองรับการนำเข้านมผงขาดมันเนยที่อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาผลผลิตภายในประเทศ แล้วรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามผลการนำเข้านมผงขาดมันเนยอย่างใกล้ชิด และติดตามผลการดำเนินงานการบริหารจัดการโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมนมในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง แล้วรายงานคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมทราบ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ไปดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 25089 | สรุปผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ 26 - 30 มกราคม 2558 | ยธ | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปผลการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๐ มกราคม ๒๕๕๘ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้เข้าพบบุคคลสำคัญ อาทิ นางหวู เอย อิ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจีน นายหลี่ หรูหลิน รองอัยการสูงสุดประชาชนจีน และนายเมิ้ง เจี้ยน จู้ สมาชิกกรมการเมือง หัวหน้าคณะกรรมาธิการการเมืองและกฎหมาย คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ เทียบเท่ารองนายกรัฐมนตรี เป็นต้น โดยมีประเด็นหารือที่สำคัญ ได้แก่ ด้านความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศ ด้านงานราชทัณฑ์ ด้านการปราบปรามการทุจริต ด้านการปราบปรามยาเสพติด และการแก้ไขปัญหาชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้ศึกษาดูงานสถานพินิจและคุ้มครองเยาวชนที่กระทำผิด และเยี่ยมชมศูนย์การข่าวและนิติวิทยาศาสตร์ยาเสพติด ซึ่งการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนในครั้งนี้ ฝ่ายไทยได้รับประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้ได้มีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์และแสวงหาแนวร่วมในระดับนานาชาติของหน่วยงานของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านการทุจริต ยาเสพติด และงานราชทัณฑ์ ตลอดจนเพื่อให้เป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐบาลในการร่วมมือกับนานาชาติในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
| 25090 | แนวทางบริหารจัดการยางพาราเพื่อแก้ปัญหาราคายาง | กษ | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางบริหารจัดการยางพาราเพื่อแก้ปัญหาราคายาง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) ขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ออกไปจากเดิมวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ เป็นวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาค้ำประกันเงินกู้กับ ธ.ก.ส. ออกไป ตามระยะเวลาการขยายชำระเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตราดอกเบี้ย FDR+1 และให้ อ.ส.ย. บริหารจัดการสต็อกยางของโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางควบคู่ไปกับการบริหารจัดการสต็อกยางของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยเบิกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากงบประมาณของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง ๑.๒ ให้ อ.ส.ย. ใช้วงเงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพิ่มเติมอีกจำนวน ๖,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อดำเนินการรับซื้อยางแผ่นรมควัน ชั้น ๓ ไม่อัดก้อน ยางแผ่นรมควันอัดก้อน และยางแท่ง STR 20 วงเงิน ๔,๐๐๐ ล้านบาท และเพื่อดำเนินโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางสำหรับซื้อน้ำยางสด และยางก้อนถ้วย ในวงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ๒. สำหรับการขยายวงเงินสินเชื่อโครงการมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางเพิ่มเติมอีก ๖,๐๐๐ ล้านบาท นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำรายละเอียด หลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางการดำเนินงานที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกษตรกรได้รับประโยชน์โดยตรงจากการดำเนินโครงการฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ อ.ส.ย. ติดตามกำกับดูแลการดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง รวมทั้งมีแผนการระบายยางที่มีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้โครงการประสบภาวะขาดทุน และเมื่อดำเนินโครงการเสร็จสิ้น ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็น ทั้งนี้ ในส่วนของการกู้เงินและค้ำประกันเงินกู้ของ อ.ส.ย. ให้ อ.ส.ย. ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมถึงการขอบรรจุรายการดังกล่าวในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไปในโอกาสแรก ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 25091 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. .... | ทก | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการเตรียมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย ดังนี้ ๑.๑ เพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ให้ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรีทุกท่าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ๑.๒ ในการพิจารณาหรือดำเนินการเรื่องใดของคณะกรรมการฯ หากเกี่ยวข้องกับกระทรวงหรือหน่วยงานใด ให้มีอำนาจเชิญผู้แทนกระทรวงหรือหน่วยงานนั้นเข้าร่วมชี้แจงด้วย ทั้งนี้ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ จะต้องดำเนินการภายใต้กรอบของข้อกฎหมายและข้อกำหนดขององค์กรอื่นที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย ๒. ให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มกรรมการจากภาครัฐและภาคเอกชนที่สำคัญ ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานสภาหอการค้าไทย เพื่อให้การเตรียมความพร้อมการดำเนินงานด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมีความสอดคล้องกับภารกิจทั้งในด้านการดำเนินงานและงบประมาณ รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
| 25092 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันการบินพลเรือน (จำนวน 3 ราย 1. พลอากาศเอก สฤษดิ์พงษ์ โกมุทานนท์ ฯลฯ) | คค | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันการบินพลเรือน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมติ (๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้
๑ พลอากาศเอก สฤษดิ์พงษ์ โกมุทานนท์ ประธานกรรมการ ๒. นายกุศล แย้มสอาด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. ร้อยเอก ประยุทธ เสาวคนธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||||||||
| 25093 | การพิจารณาแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาวิศวกรแทนตำแหน่งที่ว่างลง (จำนวน 4 คน 1. นายเยี่ยม จันทรประสิทธิ์ ฯลฯ) | มท | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการในคณะกรรมการสภาวิศวกรแทนกรรมการที่ขอลาออก จำนวนรวม ๔ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายเยี่ยม จันทรประสิทธิ์ ๒. นายเกียรติศักดิ์ จันทรา ๓. นายสง่า ศุภโชคพาณิชย์ ๔. นายกิตติ ทรัพย์วิสุทธิ์
|
||||||||||||||||||||||||
| 25094 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ | วท | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ จำนวน ๒ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ลาออกจากตำแหน่ง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายศักรินทร์ ภูมิรัตน ๒. นายทรงพล ดีจงกิจ
|
||||||||||||||||||||||||
| 25095 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ (นางนันทริกา ชันซื่อ และนายเวทย์ นุชเจริญ) | ทส | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ จำนวน ๒ คน เนื่องจากกรรมการเดิมได้ลาออกจากตำแหน่ง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นางนันทริกา ชันซื่อ ๒. นายเวทย์ นุชเจริญ
|
||||||||||||||||||||||||
| 25096 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย (จำนวน 5 คน 1. นายชัยเกียรติ ห่านสัมฤทธิ์ ฯลฯ ) | ทส | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย จำนวน ๕ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการเดิมได้ลาออกจากตำแหน่ง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายชัยเกียรติ ห่านสัมฤทธิ์ ประธานกรรมการ ๒. นายทฤษดี ชาวสวนเจริญ กรรมการอื่น ๓. นายอณุศาสน์ อรรถวิทยา กรรมการอื่น ๔. พลอากาศเอก ปรีชัย หาญเจนลักษณ์ กรรมการอื่น ๕. นางจิราวรรณ แย้มประยูร กรรมการอื่น
|
||||||||||||||||||||||||
| 25097 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2557 และแนวโน้มปี 2558 | นร11 | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี ๒๕๕๗ และแนวโน้มปี ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๗ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๗ ขยายตัวร้อยละ ๒.๓ ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนจากการขยายตัวร้อยละ ๐.๒ ในสามไตรมาสแรก และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ขยายตัวจากไตรมาสที่สามร้อยละ ๑.๗ (QoQ_SA) เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๑.๒ ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัวในเกณฑ์ดีร้อยละ ๑.๙ ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๕ ด้านการส่งออกสินค้า มีมูลค่า ๕๖,๗๖๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑.๕ และด้านการผลิตปรับตัวดีขึ้นในเกือบทุกสาขา โดยเฉพาะสาขาอุตสาหกรรม สาขาก่อสร้าง และสาขาโรงแรมและภัตตาคารที่กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบหลายไตรมาสที่ผ่านมา สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำร้อยละ ๐.๖ อัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ ๑.๑ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๓๑๖,๗๖๗ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๐.๒ ของ GDP ๒. เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี ๒๕๕๗ ขยายตัวร้อยละ ๐.๗ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายของภาครัฐ การบริโภคของครัวเรือน และสาขาเกษตรกรรม ซึ่งขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ๐.๓ และร้อยละ ๑.๑ ตามลำดับ แต่การลงทุนรวม และสาขาอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ ๒.๘ และร้อยละ ๑.๑ ตามลำดับ สาขาโรงแรมและภัตตาคาร ลดลงร้อยละ ๒.๑ โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งสิ้น ๒๔.๘ ล้านคน (ลดลงร้อยละ ๖.๗) มูลค่าการส่งออกสินค้าอยู่ที่ ๒๒๔,๗๙๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๐.๓ เนื่องจากการลดลงของราคาส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องโดยเฉพาะราคาข้าวและยางพารา ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปี ๒๕๕๗ ยังเป็นไปอย่างช้า ๆ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจยังคงมีเสถียรภาพ โดยที่อัตราการว่างงานทั้งปีเท่ากับร้อยละ ๐.๘ อัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ ๑.๙ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๓.๘ ของ GDP ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๘ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๕-๔.๕ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ของภาคการส่งออกตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว การเร่งรัดการใช้จ่ายและการดำเนินโครงการลงทุนที่สำคัญ ๆ ของภาครัฐ การเริ่มกลับมาขยายตัวของปริมาณการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ และการลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก สำหรับอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งปีแรก และต้องติดตามและประเมินสถานการณ์การปรับตัวของสถานการณ์ด้านราคาในช่วงครึ่งปีหลังอย่างใกล้ชิด ด้านการส่งออกสินค้าคาดว่ามูลค่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๕ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๙ และร้อยละ ๖.๐ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๐.๐-๑.๐ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๔.๙ ของ GDP
|
||||||||||||||||||||||||
| 25098 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี WTO อย่างไม่เป็นทางการ ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส | พณ | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) อย่างไม่เป็นทางการ (Informal Ministerial Gathering : IMG) เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๘ ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุม IMG เน้นย้ำความสำคัญและการผลักดันให้สมาชิกปฏิบัติตามข้อมติการประชุมระดับรัฐมนตรี WTO สมัยสามัญ ครั้งที่ ๙ (MC9) เมื่อปี ๒๕๕๖ ทุกเรื่อง รวมทั้งการให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Agreement on Trade Facilitation : TFA) การจัดทำมาตรการถาวร (permanent solution) สำหรับการคงคลังสินค้าของรัฐบาลเพื่อความมั่นคงทางอาหาร (Public Stockholding for Food Security Purposes) และประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศพัฒนาน้อยที่สุด เช่น การให้สิทธิประโยชน์ในการค้าบริการแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDC Services Waiver) การยกเลิกภาษีและโควตา (DFQF) แก่สินค้าส่งออกจากประเทศพัฒนาน้อยที่สุด และการกำหนดให้มีกระบวนการเพื่อความโปร่งใสและการกำกับดูแลการค้าผลิตค้าฝ้าย ตลอดจนผลักดันให้มีการจัดทำแผนงานเจรจา (work program) เพื่อกำหนดขอบเขตประเด็นเจรจาที่ต้องการผลักดันภายใต้การเจรจารอบโดฮา (Doha Development Agenda : DDA) ที่มีรายละเอียดและมีความชัดเจนภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ นอกจากนี้ ที่ประชุม IMG สนับสนุนให้สมาชิกมีความยืดหยุ่นและพยายามเสนอข้อประนีประนอมสำหรับประเด็นหลักการเจรจา ได้แก่ สินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรม และการค้าบริการ โดยประเทศสมาชิกจะต้องหาข้อสรุปในประเด็นทั้งหลายให้ได้ภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ กระทรวงพาณิชย์มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมติ MC9 โดยเฉพาะเรื่อง TFA ประเทศไทยอาจพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการภายในเพื่อเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่องการให้สัตยาบันต่อ TFA ภายในปี ๒๕๕๘ เพื่อให้มีผลใช้บังคับโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศ ลดขั้นตอนเอกสารและต้นทุนค่าใช้จ่ายยิ่งขึ้น ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าในการเจรจาสินค้าและประมง (NAMA) ภายใต้ WTO ประเทศไทยควรสนับสนุนการเจรจาลดภาษีในภาพรวมเพื่อให้เกิดความเสมอภาคในการเจรจา ควรเร่งประสานงานระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อให้การบูรณาการจัดทำแผนงานเจรจา (Work program) มีความชัดเจนในรายละเอียดและแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และเพื่อให้ประเทศไทยมีบทบาทร่วมในการผลักดันการเจรจารอบโดฮาไปสู่ความสำเร็จ รวมทั้งเพิ่มเติมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเด็นการลดภาษีสินค้าอุตสาหกรรมและประมง และการลดภาษีรายสาขาสำหรับการเจรจาสินค้าอุตสาหกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 25099 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติ จำนวน ๔ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วนต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .... ๒. รับทราบและเห็นชอบการขอปรับแก้ไขนิยามคำว่า “ว่างงาน” ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสนอ โดยให้เป็นไปตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ๓. เห็นชอบให้รับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (นางสาวจินตนันท์ ชญาต์ร ศุภมิตร กับคณะ เป็นผู้เสนอ) มาพิจารณาก่อนรับหลักการ ตามมาตรา ๑๔ วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ และข้อ ๑๑๗ ของข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๗ และเห็นชอบเป็นหลักการให้ดำเนินการสำหรับร่างพระราชบัญญัติที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ โดยให้ดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ ๓.๑ ในการเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อขอรับร่างพระราชบัญญัติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาปฏิรูปแห่งชาติมาพิจารณาก่อนรับหลักการ โดยปกติให้ขอเวลาสำหรับพิจารณามีกำหนดอย่างน้อย ๒๐ วัน ๓.๒ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติอนุมัติแล้ว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างพระราชบัญญัตินั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาดำเนินการ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเชิญผู้แทนกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัตินั้นมาร่วมพิจารณาโดยด่วนให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในกำหนดเวลาที่ขอรับมา และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแต่ละฉบับมีความสอดคล้องกับทิศทางนโยบายของคณะรัฐมนตรีและกรอบงบประมาณ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเชิญผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณร่วมพิจารณาด้วยทุกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||
| 25100 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาปฏิรูปแห่งชาติ ที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ | นร | 18/02/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเป็นหลักการให้ดำเนินการสำหรับร่างพระราชบัญญัติที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ โดยให้ดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
๑. ในการเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อขอรับร่างพระราชบัญญัติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาปฏิรูปแห่งชาติมาพิจารณาก่อนรับหลักการ โดยปกติให้ขอเวลาสำหรับพิจารณามีกำหนดอย่างน้อย ๒๐ วัน ๒. เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติอนุมัติแล้ว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างพระราชบัญญัตินั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาดำเนินการ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเชิญผู้แทนกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัตินั้นมาร่วมพิจารณาโดยด่วนให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในกำหนดเวลาที่ขอรับมา และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแต่ละฉบับมีความสอดคล้องกับทิศทางนโยบายของคณะรัฐมนตรีและกรอบของงบประมาณ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเชิญผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณร่วมพิจารณาด้วยทุกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||
.....
