ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1189 จากทั้งหมด 6217 หน้า แสดงรายการที่ 23761 - 23780 จากข้อมูลทั้งหมด 124340 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
23761 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2558 ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการจ้างเหมาทำการก่อสร้างสาย อำเภอกบินทร์บุรี - อำเภอปักธงชัย (ทางเชื่อมผืนป่า) จังหวัดปราจีนบุรี | คค | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการจ้างเหมาทำการก่อสร้างสาย อำเภอกบินทร์บุรี-อำเภอปักธงชัย (ทางเชื่อมผืนป่า) จังหวัดปราจีนบุรี ในวงเงิน ๑,๓๑๙,๒๕๗,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการก่อหนี้ผูกพันและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดทำรายละเอียดด้านสิ่งแวดล้อม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้ครบถ้วนโดยด่วนก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
23762 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 บังคับในเขตเทศบาลตำบลเขาน้อย อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... | มท | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในเขตเทศบาลตำบลเขาน้อย อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ บังคับในเขตเทศบาลตำบลเขาน้อย อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
23763 | รายงานสถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนและมาตรการในการลดภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ | กค | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนและมาตรการในการลดภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือน ณ ไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๗ สัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วง ๗ ปีที่ผ่านมา โดยพิจารณาจากเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนขยายตัวสูงกว่าการขยายตัวของ GDP มาโดยตลอด ทำให้หนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๕๔.๖ ของ GDP ในไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๐ เป็นร้อยละ ๘๕.๙ ของ GDP ในไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๗ ทั้งนี้ หากพิจารณาหนี้สินภาคครัวเรือนตามวัตถุประสงค์ของสินเชื่อ ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย รองลงมาคือ สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ๒. ผลกระทบของหนี้สินภาคครัวเรือน สถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวลนัก เนื่องจากหนี้สินภาคครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง ประกอบกับสถาบันการเงินต่าง ๆ เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จึงเป็นข้อจำกัดในการขอสินเชื่อเพื่อนำมาใช้อุปโภคบริโภคในระยะต่อไป ๓. มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ กระทรวงการคลังได้ดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ โดยการส่งเสริมการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร และการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรรายย่อยผ่านระบบธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรภายใต้ ๓ โครงการย่อย ได้แก่ โครงการปลดเปลื้องหนี้สิน โครงการปรับโครงสร้างหนี้สิน และโครงการขยายเวลาการชำระหนี้สิน ตลอดจนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการการให้ความคุ้มครองผู้ที่เป็นลูกหนี้ และการให้ความรู้ความเข้าใจทางการเงิน (Financial Literacy) นอกจากนี้ ได้มีมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนด้านอื่น ๆ โดยกระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำร่างแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการกำหนดแนวทางการพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนอย่างบูรณาการเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการเงินแก่ประชาชน ตลอดจนวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินภาคประชาชนที่เหมาะสม ๔. คาดการณ์สัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อ GDP กระทรวงการคลังได้คาดการณ์ว่าสัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาสที่ ๑ ของปี ๒๕๕๘ จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เป็นร้อยละ ๘๐.๑ แต่ยังคงใกล้เคียงกับสัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๗ ซึ่งอยู่ที่อยู่ระดับร้อยละ ๗๙.๓
|
|||||||||||||||||||||
23764 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ 3/2558 | นร11 | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ โดยที่ประชุมรับทราบ (๑) แนวทางการดำเนินการตามนโยบายแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ (๒) ความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์คณะรักษาความสงบแห่งชาติชุดต่าง ๆ (๓) รายงานความคืบหน้าการปรับปรุงกฎหมายที่สำคัญของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และ (๔) รายงานความคืบหน้าผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ของสำนักงบประมาณ รวมทั้งมีมติและข้อสั่งการ ดังนี้ ๑.๑ มอบหมายคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (กขย.) ประสานความร่วมมือกับสภาเกษตรกรแห่งชาติในการตรวจสอบพื้นที่ปลูกยางพารา เพื่อให้มีการดูแลกรณีเป็นเกษตรกรที่มีรายได้น้อยให้มีความชัดเจน และประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการเรือประมงในการเร่งรัดการขึ้นทะเบียนเรือประมงให้ครบถ้วน ๑.๒ มอบหมายสภาเกษตรกรแห่งชาติพิจารณาแนวทางกลไกดูแลราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ ๆ นอกเหนือจากยางพารา เช่น มันสำปะหลัง และมาตรการรองรับผลผลิตลองกองที่จะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม โดยดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ขอความร่วมมือจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการประสานความร่วมมือกับภาครัฐในการขับเคลื่อนมาตรการและนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล เช่น การจัดตลาดสินค้าเกษตร และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ๑.๔ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) พิจารณาแนวทางลดภาษีมูลค่าเพิ่มเครื่องจักรกลทางการเกษตร ๑.๕ มอบหมายเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและเลขานุการคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์คณะรักษาความสงบแห่งชาติชุดต่าง ๆ จัดทำแนวทางขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และประเด็นปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อกำหนดภารกิจของคณะกรรมการแต่ละชุดให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นและลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ ๒. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานเพิ่มเติมว่า ตามที่ กขน. ได้มอบหมายให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดทำแนวทางขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและประเด็นปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ นั้น สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ดำเนินการจัดทำร่างยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปีเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี) รับทราบแนวทางการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอแล้ว ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) และกระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นว่าหากจะมีการพิจารณาแนวทางการลดภาษีมูลค่าเพิ่มเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อทำให้ราคาของเครื่องจักรกลการเกษตรถูกลง และเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรไทยให้สามารถจัดซื้อเป็นของตนเองได้ ก็ควรพิจารณาให้กับเครื่องจักรกลการเกษตรที่ผลิตจากกิจการคนไทยเป็นทางเลือกแรก ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากมาตรการดังกล่าวอย่างบูรณาการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
23765 | การแต่งตั้งหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติและการประชุมที่เกี่ยวข้อง (AMMTC) และ การแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานด้านอาชญากรรมข้ามชาติ (SOMTC) | ตช | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ให้แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานด้านอาชญากรรมข้ามชาติ (ASEAN Senior Officials Meeting on Transnational Crime : SOMTC) ขึ้นใหม่ โดยมีโครงสร้างองค์ประกอบคณะกรรมการและอำนาจหน้าที่ให้มีความเหมาะสม เป็นปัจจุบัน สอดคล้องกับส่วนราชการ/หน่วยงานรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องในงานด้านอาชญากรรมข้ามชาติของไทย รวมทั้งเพื่อให้การดำเนินงานและประสานความร่วมมือในกรอบความร่วมมือดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ๒. ให้แต่งตั้งรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบงานความมั่นคง เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ (ASEAN Ministerial Meeting on Transnational Crime : AMMTC) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง |
|||||||||||||||||||||
23766 | รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เป้าหมายการเบิกจ่ายภาพรวมตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไตรมาสที่ ๓ ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ กำหนดประมาณร้อยละ ๗๕.๕ ซึ่งผลการเบิกจ่ายในภาพรวมเบิกจ่ายได้ร้อยละ ๗๒.๐ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๓.๕ โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุนที่มีผลการเบิกจ่ายต่ำกว่าเป้าหมาย จึงเห็นสมควรที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่น และผู้ว่าราชการจังหวัด เร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ ๑.๒ สำหรับโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก เห็นสมควรให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลหน่วยงานที่มีการเบิกจ่ายและก่อหนี้ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ รวม ๒๓ หน่วยงาน เร่งรัดดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และส่วนราชการต่าง ๆ รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒.๑ ให้กรมบัญชีกลางและสำนักงบประมาณติดตาม เร่งรัด การเบิกจ่ายงบประมาณในกรณีที่ส่วนราชการดำเนินการผูกพันงบประมาณไม่ทันภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ให้ยกเลิกรายการนั้น หากจะนำงบประมาณในส่วนนี้ไปใช้รายการอื่นเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ให้มีการชี้แจงสาเหตุที่ดำเนินการผูกพันงบประมาณไม่ทันและระบุผู้รับผิดชอบด้วย ๒.๒ ในส่วนของโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ ๓ เดือนแรก ที่ทำสัญญาไม่ทันวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ หรือคาดว่าเบิกจ่ายไม่ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้นำไปใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
23767 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 2 | พณ | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ ๒ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพมหานคร และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมเพื่อให้มีการทำงานอย่างบูรณาการและเกิดผลเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เป้าหมายการค้า ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมมือกันส่งเสริมและผลักดันการค้าสองฝ่ายให้ถึงเป้าหมายที่ ๓๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๑ ๒. การส่งเสริมการค้าชายแดน ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินการส่งเสริมการค้าชายแดนระหว่างกันที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม รวมทั้งการจัดงานมหกรรมการค้าชายแดนไทย-มาเลเซียเป็นประจำทุกปี โดยผลัดกันเป็นเจ้าภาพ ๓. ความร่วมมือภาคเอกชน ได้แก่ ส่งเสริมความร่วมมือและความสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองฝ่าย ๔. การนำเข้าข้าวไทย ได้แก่ ติดตามผลการพิจารณาของฝ่ายมาเลเซีย ได้แก่ การอนุญาตให้มีการนำเข้าข้าวจากไทยได้โดยการขนส่งทางบก และการนำเข้าข้าวไทยเพิ่มมากขึ้น โดยไทยแจ้งถึงความพร้อมในการขายข้าวให้กับมาเลเซีย ๕. การขนส่งทางบก ได้แก่ การเจรจาจัดทำบันทึกความเข้าใจทวิภาคีด้านการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารทางถนนและทางรถไฟฉบับใหม่ โดยจัดการประชุมเพื่อหารือเรื่องการจัดทำบันทึกความเข้าใจทวิภาคีด้านการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างไทยกับมาเลเซียโดยเร็วที่สุด ๖. การอำนวยความสะดวกในการส่งออกสินค้าเกษตรไปมาเลเซีย ได้แก่ การพิจารณาข้อเสนอของฝ่ายมาเลเซียเรื่องการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาการดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามกฎระเบียบเกี่ยวกับการคัดเกรด การบรรจุภัณฑ์ และการติดฉลาก สำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่วางขายในตลาดมาเลเซีย ๗. การอำนวยความสะดวกในการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม ได้แก่ การพิจารณาข้อเสนอของมาเลเซียเพื่อยกเลิกข้อกำหนดของไทยในการขึ้นทะเบียนเพื่อพิสูจน์การใช้แทนกันได้ระหว่างยาต้นแบบกับยาสามัญที่ต้องมีการแนบเอกสารรายงานการศึกษาชีวสมมูล (Bioavailability and Bioequivalence Study Report) ที่ต้องดำเนินการในไทยเท่านั้น และให้มีการยอมรับผลการศึกษาที่ดำเนินการในมาเลเซีย รวมทั้งหารือถึงประเด็นความแตกต่างในการจำแนกหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมและอุปกรณ์ทางการแพทย์ระหว่างไทยกับมาเลเซีย และพิจารณาการปรับประสานให้สอดคล้องกัน ๘. ความร่วมมือด้านฮาลาล ได้แก่ พิจารณาแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อขยายมูลค่าการค้าสินค้าและบริการฮาลาลระหว่างไทยกับมาเลเซีย รวมทั้งไปสู่ตลาดโลก และพิจารณาข้อเสนอของมาเลเซียที่เสนอให้มีการจัดตั้งสภาธุรกิจฮาลาลมาเลเซีย-ไทย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจฮาลาลของมาเลเซียกับไทย รวมถึงการเชื่อมโยงฐานข้อมูลเกี่ยวกับฮาลาลของทั้งสองฝ่าย ๙. เขตเศรษฐกิจพิเศษ ได้แก่ สนับสนุนให้มีความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษที่อำเภอสะเดากับพื้นที่ทางตอนเหนือของมาเลเซีย และเชิญชวนให้นักลงทุนมาเลเซียเข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย ๑๐. ความร่วมมือในกรอบภูมิภาคและพหุภาคี ได้แก่ ผลักดันการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และการจัดทำวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ๒๐๒๕ ได้สำเร็จภายในปีนี้ และผลักดันการเจรจาภายใต้กรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ให้สามารถสรุปผลได้ตามกำหนดเวลา |
|||||||||||||||||||||
23768 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการคลัง) (จำนวน 3 ราย 1. นายสุวิชญ โรจนวานิช ฯลฯ) | กค | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายสุวิชญ โรจนวานิช ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ๒. นายประภาศ คงเอียด ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางพรรณขนิตตา บุญครอง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||
23769 | ขอเสนอชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (กระทรวงการคลัง) (นายวิรไท สันติประภพ) | กค | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายวิรไท สันติประภพ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่าง เนื่องจากนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล จะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23770 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (จำนวน 4 ราย 1. นายลวรณ แสงสนิท ฯลฯ) | กค | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายลวรณ แสงสนิท ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ๒. นายเอด วิบูลย์เจริญ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ตั้งแต่วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ๓. นางสาวชุณหจิต สังข์ใหม่ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง ตั้งแต่วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ๔. นายพิทักษ์ ดิเรกสุนทร ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
23771 | ขออนุมัติรายชื่อผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ประจำปีการศึกษา 2558 - 2559 | กห | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรายชื่อผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ ๕๘ ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๘-๒๕๕๙ ห้วงการศึกษาตั้งแต่ตุลาคม ๒๕๕๘ ถึงกันยายน ๒๕๕๙ และหากการตรวจสอบคุณสมบัติในภายหลังพบว่า ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเข้ารับการศึกษาหลักสูตรดังกล่าวขาดคุณสมบัติตามระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่กำหนดไว้ ให้กระทรวงกลาโหม โดยสภาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ตัดรายชื่อออกจากจำนวนที่ได้รับอนุมัติ รวมทั้งการพิจารณาผู้ที่จะเข้าศึกษาทดแทน ดำเนินการได้ตามความเหมาะสม โดยไม่ต้องขออนุมัติใหม่ ทั้ง ๒ กรณี ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23772 | ร่างเอกสารบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - รัสเซีย ครั้งที่ 6 | กต | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๖ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะแก้ไข พัฒนาและ/หรือผลักดันให้เกิดความคืบหน้า เพื่อประโยชน์ของการดำเนินความสัมพันธ์ และประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศของทั้งสองฝ่าย โดยมีประเด็นหลักที่จะหยิบยกขึ้นหารือระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๖ ในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ สหพันธรัฐรัสเซีย ได้แก่ ความร่วมมือด้านการเมือง การค้า เศรษฐกิจและการลงทุน อุตสาหกรรม พลังงาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การเกษตร การศึกษา วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้ารัสเซียโดยไม่มีการลงนาม ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกการประชุมดังกล่าวในส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินความสัมพันธ์ แต่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับปรุงดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับปรุงข้อความบางประการในส่วนของความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
23773 | การแก้ไขความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างรัฐ | กต | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างประเทศทั้งสอง มีสาระสำคัญคือ กัมพูชายอมรับข้อเสนอขอแก้ไขของไทยใน ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) การเพิ่มวัตถุประสงค์ของการข้ามแดนให้ผู้ถือบัตรผ่านแดนที่ประสงค์จะทำงานในลักษณะไป-กลับหรือตามฤดูกาลได้ (๒) การกำหนดระยะเวลาพำนักให้ผู้ถือบัตรผ่านแดนสามารถทำงานในลักษณะไปกลับหรือตามฤดูกาลสามารถพำนักอยู่ในพื้นที่อนุญาตได้ครั้งละไม่เกิน ๓๐ วันโดยจะต้องทำตามเงื่อนไขและกระบวนการภายในของประเทศผู้รับ และ (๓) การขยายพื้นที่อนุญาตให้พำนัก จากเดิมซึ่งกำหนดเฉพาะพื้นที่อำเภอชายแดนให้เป็นพื้นที่จังหวัดชายแดนทั้งจังหวัด และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำใด ๆ ที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของความตกลงฯ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสมโดยไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีอีก ๒. การดำเนินการแก้ไขความตกลงฯ อีก ๒ ฉบับที่เหลือ ได้แก่ ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหภาพพม่าว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างทั้งสองประเทศ และความตกลงว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กระทรวงการต่างประเทศจะพยายามเร่งรัดให้แล้วเสร็จโนโอกาสแรก โดยในส่วนของลาวจะพยายามผลักดันให้แล้วเสร็จและลงนามได้ในทันทีที่ฝ่ายลาวเห็นชอบร่างความตกลงฯ สำหรับเมียนมาจะเร่งรัดให้มีการลงนามความตกลงฯ ในช่วงการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-เมียนมา (JC) ครั้งที่ ๘ ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
23774 | ขออนุมัติดำเนินการต่อรายการรายจ่ายลงทุน ปีงบประมาณ 2558 | สลธ.คสช. | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายการรายจ่ายลงทุน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายการรายจ่ายลงทุนที่มีงบประมาณต่ำกว่า ๕๐ ล้านบาท ที่ดำเนินการผูกพันได้ทันภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๑,๒๐๐ รายการ วงเงิน ๙,๐๑๗.๙๒๙ ล้านบาท และรายการรายจ่ายลงทุนที่มีงบประมาณสูงกว่า ๕๐ ล้านบาทขึ้นไป ที่ส่วนราชการเสนอเพิ่มเติม จำนวน ๑ รายการ วงเงิน ๑๓๕.๓๗ ล้านบาท เป็นรายการที่ส่วนราชการดำเนินการถึงขั้นการประกาศเชิญชวนซึ่งสามารถผูกพันได้ทันภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ดำเนินการผูกพันงบประมาณให้ถูกต้องตามระเบียบทางราชการต่อไป ๑.๒ รายการรายจ่ายลงทุนที่มีงบประมาณต่ำกว่า ๕๐ ล้านบาท ที่ดำเนินการผูกพันไม่ทันภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๑๒๐ รายการ วงเงิน ๑,๘๖๔.๐๑๖ ล้านบาท เป็นรายการที่ส่วนราชการยังไม่ดำเนินการหรืออยู่ระหว่างหัวหน้าส่วนราชการให้ความเห็นชอบขอจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งพิจารณาจากห้วงเวลาแล้วไม่สามารถผูกพันได้ทันภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ให้ส่วนราชการส่งคืนงบประมาณ แต่หากมีความจำเป็นต้องดำเนินการสามารถโอนเปลี่ยนแปลงไปในรายการที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ๒. ให้ส่วนราชการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีกรณีที่ส่วนราชการดำเนินการผูกพันงบประมาณไม่ทันภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ให้ยกเลิกรายการนั้น หากจะนำงบประมาณในส่วนนี้ไปใช้รายการอื่นเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
23775 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับขั้นตอนการขออนุมัติงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ขององค์กรอิสระตาม รัฐธรรมนูญ องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ หรือหน่วยงานที่ไม่อยู่ในบังคับ บัญชาหรือกำกับของฝ่ายบริหาร | นร07 | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับขั้นตอนการขออนุมัติงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ หรือหน่วยงานที่ไม่อยู่ในบังคับบัญชาหรือกำกับของฝ่ายบริหาร ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23776 | โครงการตลาด กทม. กระตุ้นเศรษฐกิจตอบสนองนโยบายรัฐบาล | มท | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานว่า กระทรวงมหาดไทยได้เตรียมการดำเนินโครงการตลาด กทม. กระตุ้นเศรษฐกิจตอบสนองนโยบายรัฐบาล กำหนดพื้นที่การจัดตลาด ๔ พื้นที่ ได้แก่ ตลาดนัดอุทยาน เขตทวีวัฒนา ตลาดนัดศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติบางมด เขตทุ่งครุ ตลาดนัดบริเวณหน้าห้างไอทีสแควร์ เขตหลักสี่ และตลาดนัดบริเวณกรมอุตุนิยมวิทยา เขตบางนา โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อร่วมดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง มีกำหนดจัดงานในวันศุกร์ วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ของทุกสัปดาห์ ระหว่างเวลาประมาณ ๑๕.๐๐-๒๒.๐๐ น. และจะมีการประเมินผลการดำเนินการเพื่อนำมาพิจารณาปรับช่วงระยะเวลาของการดำเนินการให้เหมาะสมยิ่งขึ้นต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพาณิชย์ประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการรายใหญ่จากภาคเอกชนมาร่วมจำหน่ายสินค้าดีมีคุณภาพในราคาถูก เพื่อช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระให้แก่ผู้ที่มีรายได้น้อย รวมทั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||
23777 | การเตรียมการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอสาธิรารชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 | นร | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า โดยที่ในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จึงเห็นควรให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเตรียมการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสดังกล่าวอย่างสมพระเกียรติ
|
|||||||||||||||||||||
23778 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้ทุกส่วนราชการจัดทำแผนการใช้เงินสำหรับโครงการลงทุนสำคัญของรัฐบาล โดยจำแนกให้ชัดเจนว่าเป็นการใช้เงินประเภทใด (งบประมาณ เงินกู้) จำนวนเท่าใด ในช่วงรัฐบาลนี้ (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙) และในระยะต่อไปที่จะส่งต่อให้รัฐบาลหน้า รวมทั้งพิจารณาว่าโครงการใดสามารถให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในกิจการของรัฐได้ โดยให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ เพื่อให้รัฐบาลใช้ในการวางแผนงบประมาณและการบริหารจัดการหนี้สาธารณะต่อไป ๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์ในการลงทุนให้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนแต่ละประเภทที่แตกต่างกัน (เช่น การลงทุนด้านการวิจัย การลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเร่งด่วนตามแนวชายแดน เป็นต้น) รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบธุรกิจภาพยนตร์ โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจภาพยนตร์จากต่างประเทศ เพื่อดึงดูดให้ใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ต่อไป ทั้งนี้ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ๑.๓ ให้หน่วยงานที่ดูแลข้อมูลภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย บูรณาการข้อมูลและร่วมกันแถลงสภาวะเศรษฐกิจของประเทศให้ประชาชนได้รับทราบเป็นรายเดือน ๑.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยอาจพิจารณาใช้พื้นที่ของส่วนราชการ เช่น อุทยานแห่งชาติ หรือขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการภาคเอกชนให้จัดรายการส่งเสริมการขาย เช่น ให้ส่วนลดราคาค่าเช่าที่พัก และส่วนลดร้านอาหารต่าง ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในประเทศให้มาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น ๑.๕ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ และ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘) ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยหรือเกษตรกรซึ่งใช้ที่ดินทำกินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการกู้ยืมเงินจากนายทุนนอกระบบและถูกเอารัดเอาเปรียบ โดยอาจพิจารณาดำเนินการในรูปแบบกองทุนที่เป็นผู้รับซื้อฝากที่ดินดังกล่าวไว้เพื่อให้เกษตรกรยังสามารถมีที่ดินทำกินต่อไปได้ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องข้างต้นเร่งดำเนินการตามมติดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว รวมทั้งให้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแนวทางการดำเนินการในลักษณะเดียวกันนี้เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ชาวประมงด้วย ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการดูแลการประดับธงต่าง ๆ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและต้อนรับบุคคลสำคัญจากต่างประเทศให้มีความเหมาะสมทั้งสถานที่และช่วงระยะเวลาในการประดับธงด้วย ๒.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเกี่ยวกับโครงการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยหรือการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรไปแล้ว นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยสำรวจความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายพร้อมทั้งประเมินผลสัมฤทธิ์ในแต่ละโครงการ เช่น ความช่วยเหลือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงหรือไม่ อย่างไร กลุ่มเป้าหมายได้รับความช่วยเหลือมากน้อยเพียงใด แล้วรายงานผลให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว ๒.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยพิจารณาศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับวิธีการปลูกข้าวที่ใช้น้ำน้อยและการลดต้นทุนการผลิตด้วยเทคนิควิธีการต่าง ๆ ของจังหวัดชัยนาท เช่น การปลูกข้าวด้วยเทคนิคเปียกสลับแห้งหรือที่เรียกว่าการแกล้งข้าว โดยใช้ท่อ PVC เพื่อดูระดับน้ำในแปลงนาข้าว ทั้งนี้ เพื่อจะได้นำเทคนิคหรือวิธีการดังกล่าวไปเผยแพร่ให้เกษตรกรในพื้นที่อื่น ๆ นำไปใช้ในการปลูกข้าวต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
23779 | การประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 7 | นร | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๗ ของนายกรัฐมนตรีและคณะ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๗ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒-๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงโตเกียว เพื่อลดช่องว่างการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่อาเซียน โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวในที่ประชุมย้ำให้ประเทศสมาชิกเติบโตไปพร้อมกัน และมีประชาชนเป็นศูนย์กลางด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน มั่นคง ครอบคลุมทุกมิติ และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการสร้างงาน สร้างรายได้ และพัฒนาฝีมือแรงงานผ่านโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดน รวมทั้งผลักดันให้มีการส่งเสริมการลงทุนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงภายใต้หลักการ Thailand-Plus-One (+1) เพื่อให้ลุ่มน้ำโขงเป็นพลังขับเคลื่อนของอาเซียนที่ยั่งยืน หลังจากนั้นได้มีการรับรองยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. ๒๐๑๕ ๒. นายกรัฐมนตรีและคณะได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกแสดงเจตจำนงความร่วมมือโครงการทวายระหว่างไทย-เมียนมา-ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในกรอบความร่วมมือดังกล่าว รวมทั้งได้หารือร่วมกับกลุ่มสมาชิกมิตรภาพรัฐสภาญี่ปุ่น-แม่โขง ประธานสภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่นและประธานวุฒิสภาญี่ปุ่น ผู้นำภาคเอกชนญี่ปุ่น สมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น และสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น และได้เข้าร่วมประชุม Mekong-five Economic forum ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
23780 | การจัดการป่าต้นน้ำเสื่อมสภาพบนพื้นที่สูงชัน (เขาหัวโล้น) | ทส | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการจัดการป่าต้นน้ำเสื่อมสภาพบนพื้นที่สูงชัน (เขาหัวโล้น) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า ในรอบ ๑๐ ปีที่ผ่านมา พื้นที่ป่าต้นน้ำ ๑๓ จังหวัดภาคเหนือซึ่งเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำหลัก ๔ สาย ปิง วัง ยม น่าน ถูกบุกรุกทำลายประมาณ ๘.๖ ล้านไร่ มีผู้บุกรุกประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ คน ส่งผลให้เกิดปัญหาลำน้ำแห้งขอดในช่วงฤดูแล้งจนเกษตรกรในพื้นที่ราบไม่สามารถเพาะปลูกได้ ปัญหาน้ำป่าไหลหลากในช่วงฤดูฝนจนเกิดเป็นอุทกภัยและดินโคลนถล่ม และปัญหาการไหลเปื้อนของสารเคมีจากยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลงสู่พื้นที่ราบ สร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า ๔๖๙,๐๐๐ ล้านบาท รัฐบาลได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและได้สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว โดยมีแนวทางการจัดการป่าเสื่อมสภาพบนพื้นที่สูงชัน (เขาหัวโล้น) ดังนี้ ๑.๑ แนวคิดในการดำเนินการแบ่งเป็น (๑) การควบคุมดูแลพื้นที่ (๒) การดูแลคน และ (๓) การพัฒนาด้านการเกษตร ๑.๒ ยุทธศาสตร์การบูรณาการจัดการป่าต้นน้ำเสื่อมสภาพบนพื้นที่สูงชัน (เขาหัวโล้น) ภายใต้วิสัยทัศน์ “เพิ่มพื้นที่สีเขียวบนพื้นที่ป่าต้นน้ำเสื่อมสภาพที่สูงชันอย่างยั่งยืน” มีเป้าหมายคือ (๑) ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำเสื่อมสภาพบนพื้นที่สูงชันไม่น้อยกว่า ๘.๖ ล้านไร่ ภายในระยะเวลา ๒๐ ปี (๒) พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและชุมชนในพื้นที่สูงให้สามารถอยู่ได้อย่างพอเพียงและยั่งยืนตามแนวพระราชดำริ (๓) สร้างจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ (๔) ลดมูลค่าความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ประกอบด้วย ๗ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การสร้างความเข้าใจทุกภาคส่วน (กระทรวงมหาดไทย) การจัดระเบียบคนและพื้นที่ (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) การป้องกันและรักษาป่า (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) การฟื้นฟูระบบนิเวศ (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) การสร้างองค์ความรู้ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กระทรวงศึกษาธิการ) และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน (กระทรวงมหาดไทย) ๑.๓ สำหรับแผนการปฏิบัติต่อไป จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานในกรอบของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ในพื้นที่นำร่อง (จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดน่าน) และนำผลการปฏิบัติในพื้นที่นำร่องมาจัดทำแผนแม่บทและแนวทางดำเนินงาน (Road Map) รวมทั้งขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป ๒. ในการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและคำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่และผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นอันดับแรก
|
.....