ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 113 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 2241 - 2260 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2241 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาปัญหาราคาเส้นไหมตกต่ำ | สผ | 06/05/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการพิจารณาศึกษา
ปัญหาราคาเส้นไหมตกต่ำ ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ สภาผู้แทนราษฎร และมอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยว ข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยผลการพิจารณาปัญหาราคาเส้นไหมตกต่ำเกิดจากปัญหาไหมลักลอบที่เข้ามาตีราคาไหมไทย โดยเฉพาะใน บริเวณชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะกรรมาธิการ ฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าแนวทางในการแก้ไขปัญหา ดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ คือ (1) ระยะสั้น รัฐบาลควรหามาตรการต่าง ๆ เพื่อให้โรงสาวไหมรับ ซื้อรังไหมจากเกษตรกรในราคาขั้นต่ำ กิโลกรัมละ 85 บาท (2) ระยะกลาง รัฐบาลต้องหามาตรการต่าง ๆ เพื่อ ป้องกันและปราบปราม ตลอดจนดำเนินคดีกับผู้นำเข้าไหมลักลอบอย่างจริงจัง ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนา คุณภาพของผลิตภัณฑ์ไหมไทยให้เป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติ และยกเลิกการซื้อไหมแบบระบบสัดส่วน และนำ มาตรการศุลกากรมาใช้ในเรื่องเกี่ยวกับการจัดเก็บอากรขาเข้าร้อยละ 5 ของการนำเข้าสินค้าทำนองเดียวกับข้อ ตกลงพันธกรณีของ (AFTA) และ (3) ระยะยาว รัฐบาลควรส่งเสริมสนับสนุนการผลิตไหมเหลืองพื้นเมืองอย่าง จริงจัง เปิดเสรีทางการค้า และสนับสนุนนโยบายในเรื่อง การทำสัญญาร่วมภาคเอกชนแบบครบวงจร (Contact Farming) อย่างจริงจัง รวมทั้งเพิ่มศักยภาพในการผลิต การลดต้นทุนการผลิต การกำหนดมาตรฐานกลาง ในการนำเข้าไหมเพื่อรักษาคุณภาพของไหมไทยและต้องมีนโยบายไหมและกำหนดยุทธศาสตร์ทางการค้าให้ชัด เจน เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการพัฒนาการส่งออกต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2242 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาปัญหาการจัดเก็บภาษีและอากรนำเข้ารถยนต์สำหรับขนส่งบุคคล (รถตู้) ของสภาผู้แทนราษฎร | สผ | 06/05/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการพิจารณาศึกษา
ปัญหาการจัดเก็บภาษีและอากรนำเข้ารถยนต์สำหรับขนส่งบุคคล (รถตู้) ของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร และมอบให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวง อุตสาหกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับรายงานคณะกรรมาธิการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการตามสม ควรต่อไป และให้ส่งรายงานดังกล่าว รวมทั้งข้อมูลเพิ่มเติมที่ประธานคณะกรรมาธิการ ฯ แถลงต่อที่ประชุมสภาผู้ แทนราษฎรเพิ่มเติมให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่กระทรวงการคลังตั้งขึ้นประกอบการพิจารณา และให้ กระทรวงการคลังเร่งรัดคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ให้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จ โดยเร็ว แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยผลการพิจารณาของ คณะกรรมาธิการ ฯ เห็นว่า การนำเข้ารถยนต์โตโยต้ารุ่นแกรนด์เวีย และการนำเข้ารถตู้ยี่ห้อเมอร์ซิเดสเบนซ์ รุ่น วีโต้ ผู้ประกอบการนำเข้ามีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงภาษีอากรขาเข้า จึงเห็นสมควรที่จะต้องมีการตรวจสอบและหาข้อ เท็จจริงเพื่อใช้เป็นแนวทางป้องกันมิให้เกิดปัญหาต่อไปในอนาคต ตลอดจนต้องมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และวิธีการตีความพิกัด ฯ ที่มิให้รัฐต้องเสียประโยชน์ ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมที่ประธานคณะกรรมาธิการ ฯ แถลงต่อ ที่ประชุม ฯ ว่า องค์การค้าศุลกากรโลก (WCO) ได้มีหนังสือตอบข้อหารือ เรื่องการจำแนกพิกัดอัตราเกี่ยวกับ รถตู้ที่มีการดัดแปลงในต่างประเทศก่อนการนำเข้าในประเทศ โดยมีสาระสำคัญว่า (WCO) เห็นว่ายานยนต์ สามารถถูกออกแบบเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะโดยโรงงานผู้ผลิต หรือบริษัทปลายน้ำอื่น ๆ ก็ได้ แต่ทั้งนี้การออก แบบนั้นจะต้องเป็นการออกแบบและดัดแปลงก่อนการนำเข้า ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยเป็นที่ยุติแล้ว ว่า การคำนวณค่าภาษีสำหรับรถยนต์จะต้องถือตามสภาพของราคาของ และพิกัดอัตราศุลกากรที่เป็นอยู่ในเวลา ที่ความรับผิดในอันที่จะต้องเสียค่าภาษีเกิดขึ้น โดยคำนึงว่าที่นั่งที่ติดตั้งได้ต้องมีสภาพมั่นคงแข็งแรงและมีจุดติดตั้ง ที่ถาวรและนั่งได้ตามปกติวิสัย ประกอบกับได้มีคณะกรรมาธิการอื่น ๆ อีกหลายคณะได้พิจารณาศึกษาข้อมูลใน เรื่องนี้อย่างกว้างขวาง และมีความเห็นสอดคล้องกับคณะกรรมการกฤษฎีกา นอกจากนี้กระทรวงการคลังยังได้ แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ซึ่งขณะนี้ยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2243 | แนวทางปฏิบัติตามกฎหมายปฏิรูประบบราชการ | นร | 28/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2) เกี่ยวกับผลการพิจารณาใน
ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายปฏิรูประบบราชการ กรณีแนวทางปฏิบัติของรองปลัดกระทรวง ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มภารกิจตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอเพิ่มเติมว่าให้มีการแก้ไขกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับอำนาจของรองปลัดกระทรวงผู้เป็นหัว หน้ากลุ่มภารกิจเพื่อกำหนดให้รองปลัดกระทรวงผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มภารกิจมีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการของ ส่วนราชการในกลุ่มภารกิจได้เท่าที่จำเป็นและเหมาะสม สำหรับการกำหนดให้มีการจัดกลุ่มภารกิจรวม 9 กระทรวง ส่วนอีก 11 กระทรวงยังไม่ได้กำหนดให้มีการจัดกลุ่มภารกิจ แต่ปัจจุบันบางกระทรวงมีความประสงค์ที่จะกำหนดให้ มีการจัดกลุ่มภารกิจ จึงขอให้กระทรวงต่าง ๆ ที่ยังไม่มีการจัดกลุ่มภารกิจรับไปพิจารณา หากประสงค์จะจัดกลุ่มภาร กิจ ก็ให้แจ้งคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) พิจารณา เพื่อจะได้ดำเนินการไปในคราวเดียวกันโดยให้ ก.พ.ร. รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ หากต้องดำเนินการอื่นใดเพิ่มเติมเพื่อให้รอง ปลัดกระทรวง หัวหน้ากลุ่มภารกิจปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิผลสมเจตนารมณ์ของการบริหารรูปแบบใหม่ ก็ ให้ดำเนินการโดยเร็ว เพื่อให้การบริหารรูปแบบใหม่มีผลจริงสมเจตนารมณ์ของการพัฒนาระบบราชการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 นี้เป็นต้นไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2244 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน พ.ศ. .... | รง | 28/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงแรงงานเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเวลาเริ่มดำเนิน
การจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เป็นการกำหนด เวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นต้น ไป ทั้งนี้ ในการเสนอร่างกฎกระทรวง ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 เพื่อกำหนดอัตราเงินสมทบเข้า กองทุนประกันสังคม และการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ตลอดจนอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ซึ่ง อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม และเป็นภาระของทั้งฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และงบประมาณแผ่นดิน ประกอบ กับกระทรวงการคลังมีความเห็นยังไม่สอดคล้องกันในเรื่องรายละเอียดการกำหนดอัตราเงินสมทบ และอัตราจ่าย ประโยชน์ทดแทนที่จะได้ จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รองนายกรัฐมนตรี (นายกร ทัพพะรังสี) กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน และกระทรวงพาณิชย์ (กรมการประกันภัย) รับไปพิจารณา โดย ให้พิจารณาถึงสภาพและการบริหารจัดการกองทุนประกันสังคม ซึ่งปัจจุบันมีเงินอยู่ในกองทุนประมาณหนึ่งแสนหก หมื่นล้านบาท และยุทธศาสตร์ในการดำเนินการเพื่อมิให้เป็นการสนับสนุนหรือก่อให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้น นอก จากนี้ ควรพิจารณาด้วยว่าในหลักการของการประกันสังคมในภาวะปัจจุบันยังจำเป็นต้องดำเนินการในรูปแบบไตร ภาคีหรือไม่ เมื่อได้ข้อยุติแล้ว ให้นำผลการพิจารณาดังกล่าวหารือกับคณะกรรมการประกันสังคมก่อน แล้วนำเสนอ คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกร ทัพพะรังสี) เป็น ประธานพิจารณา และเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2245 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยต่าง ๆ (พ.ศ. 2547 - 2551) | มท | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ที่มี
มติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือ ศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ต่ออีก 5 ปี (พ.ศ. 2547-2551) และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้จัดสรรทุนอุดหนุนการศึกษาปีละ 16 ทุน และต่อเนื่องจนสำเร็จการ ศึกษาตามหลักสูตร (สายวิทยาศาสตร์ ทุนละ 20,000 บาท สายสังคมศาสตร์ ทุนละ 15,000 บาท) โดยเมื่อสำเร็จการศึกษาตามโครงการดังกล่าวแล้ว ให้สามารถสมัครบรรจุเข้ารับราชการในอัตราที่ กระทรวง ทบวง กรมสงวนไว้ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ (1) ให้กระทรวง มหาดไทยรับความเห็นและข้อเสนอแนะของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการคัดเลือก การจัดสรรทุน การ กำหนดเงื่อนไขการชดใช้ทุนหากไม่สำเร็จการศึกษา และการจัดสรรทุนการศึกษาที่เน้นกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และคนยากจน รวมทั้งการมอบให้จังหวัดเป็นผู้พิจารณากำหนดสาขาวิชาที่ขาดแคลนแทนศูนย์อำนวยการ บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ไปพิจารณาดำเนินการด้วย (2) ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาข้อมูลการสนับสนุนและส่งเสริม ให้เยาวชนชาวไทยมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ในภาพรวมทั้งระบบ เพื่อ ใช้เป็นฐานข้อมูลในการกำหนดแนวทางในการสนับสนุนการให้การศึกษาแก่ชาวไทยมุสลิมที่เหมาะสมต่อ ไปในอนาคต (3) ให้สำนักงาน ก.พ. เชิญผู้แทนของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม ปรึกษาหารือเกี่ยวกับการสงวนอัตราเพื่อรับนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาตามโครงการและนอกโครงการ ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามเข้ารับราชการเพื่อให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนเหมาะสม และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงเกี่ยว กับการสงวนอัตรากำลังว่า มีเหตุผลจำเป็นอย่างใดหากมีให้เสนอแนะแนวทาง และหน่วยงานที่จะรับผิด ชอบดำเนินการตามแนวทางที่กำหนด แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป และ (4) งบประมาณที่ใช้ ในการจัดสรรทุนอุดหนุน ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) รับไปเร่ง รัดติดตามผลการพิจารณาดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2246 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาปัญหาร้องเรียนโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือ ตำบลเกาะช้าง กิ่งอำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด | สผ | 01/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการพิจารณาศึกษา
ปัญหาร้องเรียนโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือ ตำบลเกาะช้าง กิ่งอำเภอเกาะช้าง จังหวัดตราด ของคณะกรรมาธิ การการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร และมอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณา ดำเนินการเพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าของเรื่อง แล้วแจ้ง ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับผลการศึกษาปัญหาร้องเรียนดัง กล่าวสรุปได้ว่า จากกรณีที่บริษัท เฟอร์รี่เกาะช้าง จำกัด ของนายพิศูจน์ รัตนวงศ์ ได้ร้องเรียนว่า บริษัท ฯ ของตน ได้ยื่นขออนุญาตสร้างท่าเทียบเรือเป็นรายแรกต่อกรมเจ้าท่าและกรมป่าไม้ โดยต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เพื่อประกอบการ พิจารณาอนุญาต ในขณะที่ผู้ยื่นขออนุญาตอีกรายไม่ต้องจัดทำรายงานดังกล่าว เป็นเหตุให้เกิดข้อกังขาว่ามีการ เลือกปฏิบัติ คณะกรรมาธิการมีข้อสังเกตว่าปัญหาการร้องเรียนดังกล่าวเกิดจาก (1) ความไม่เข้าใจในอำนาจ หน้าที่และขั้นตอนการปฏิบัติงานของทางราชการ (2) ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากเรื่องของผลประโยชน์ ความล่าช้า ของหน่วยงานราชการ และขาดการประสานงานกันอย่างที่ควรจะเป็น (3) คณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วยกับการ ระงับหรือหยุดการดำเนินกิจการเรือเฟอร์รี่ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการเรือเฟอร์รี่ จำนวน 3 ราย ได้แก่ บริษัท เฟอร์รี่เกาะช้าง จำกัด บริษัท เกาะช้างเซ็นเตอร์พ้อยท์ จำกัด และบริษัท เกาะช้างเฟอร์รี่ จำกัด ควรให้บริษัทที่ ดำเนินกิจการเรือเฟอร์รี่ทั้ง 3 แห่ง และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องมาหารือและตกลงในเรื่องของส่วนแบ่งผล ประโยชน์หรือค่าเช่าที่ และหาข้อกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในเรื่องการดำเนินกิจการท่าเรือ (4) จากกรณีปัญหา ที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดการประสานงานที่ดี ดังนั้น ในคราวต่อไปควรมีจังหวัดเป็นศูนย์กลางประสาน งานกันระหว่างหน่วยงานราชการแต่ละแห่ง และ (5) การดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบนเกาะช้างให้จังหวัด ตราด ยึดแนวทางการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแบบผสมผสานที่กองอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและ ศิลปกรรม สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมได้จัดทำขึ้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2247 | การพิจารณาทบทวนผลการคัดเลือกเอกชนลงทุน บริหารและประกอบการ ท่าเทียบเรือตู้สินค้า C3 ท่าเรือแหลมฉบัง | คค | 01/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอการพิจารณาทบทวนผลการคัดเลือกเอกชน
ลงทุน บริหารและประกอบการ ท่าเทียบเรือตู้สินค้า C 3 ท่าเรือแหลมฉบัง แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยผล การพิจารณาทบทวนการคัดเลือกเอกชน ฯ สรุปได้ว่า จากกรณีที่มีข้อท้วงติงจากหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับการ ตัดสินให้บริษัท ที ไอ พี เอส จำกัด (สาขา 1) เป็นผู้ชนะการประกวดราคา ซึ่งผลการประกวดราคาไม่เป็นไป ตามเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคา (TOR) ข้อ 4.7 เนื่องจากข้อเสนอผลประโยชน์ตอบแทนเพิ่มเติม ของบริษัท ฯ ที่ไม่ปรากฏในแผนธุรกิจมารวมในการคำนวณผลประโยชน์ตอบแทนที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) จะได้รับเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ถือว่าไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขข้อกำหนดของเอกสารประกวดราคา ดังกล่าว และผลการพิจารณาทบทวนความเห็นดังกล่าว คณะกรรมการคัดเลือกเอกชน ฯ ได้ทบทวนความเห็น และผลการคัดเลือกเอกชน ฯ ตามเงื่อนไขการประกวดราคา ฯ และประกาศประกวดราคา ฯ ที่กำหนดไว้ เห็น สมควรให้บริษัท แหลมฉบัง อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินัล จำกัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคา เนื่องจากเป็นนิติ บุคคลผู้เข้าประกวดราคาที่มีความน่าเชื่อถือและมีคุณสมบัติถูกต้องตามเงื่อนไขประกวดราคาทุกประการ รวมทั้ง รายละเอียดข้อเสนอด้านเทคนิคของบริษัท ฯ (Business Plan) เป็นไปตามเงื่อนไขประกวดราคาที่กำหนด นอก จากนี้ บริษัท ฯ เป็นผู้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนเพิ่มเติม (Additional Fee) ให้แก่ กทท. สูงที่สุด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2248 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาปัญหาชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน | สผ | 18/03/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการพิจารณาศึกษา
ปัญหาชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านของคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาชายแดนไทยกับประเทศ เพื่อนบ้าน สภาผู้แทนราษฎร และมอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ ฯ ไป พิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยผลการ พิจารณาศึกษาปัญหาดังกล่าว คณะกรรมาธิการ ฯ ได้กำหนดกรอบและแนวทางการพิจารณาศึกษาตามลักษณะ ของปัญหาข้อเท็จจริง โดยแบ่งเป็นกลุ่มปัญหาหลัก รวมทั้งได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกลุ่มปัญหาหลัก ดังนี้ (1) กลุ่มปัญหาด้านความมั่นคง ได้แก่ กรณีปัญหาเขตแดน รัฐบาลควรใช้แนวทางสันติวิธีด้วยการเจรจาใน ทุกระดับและทุกปัญหา กรณีปัญหายาเสพติด ควรส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในการ ป้องกันและปราบปรามร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม และกรณีปัญหาการไม่ได้สัญชาติไทยของผู้อพยพ ควรเร่งรัด การให้สัญชาติไทยให้แก่ผู้อพยพเชื้อสายไทย (2) กลุ่มปัญหาด้านแรงงานต่างด้าว ควรมีมาตรการควบคุมและจัด ทำทะเบียนประวัติคนต่างด้าวอย่างเข้มงวด สำรวจจำนวนความต้องการแรงงานต่างด้าวของผู้ประกอบการ และ ผลักดันแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (3) กลุ่มปัญหาด้านสาธารณสุข ควรหามาตรการเพื่อป้อง กันความเสียหายที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อที่มาจากแรงงานต่างด้าว มาตรการรองรับภาระค่าใช้ จ่ายในการดูแลรักษาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองและผู้อพยพ และมาตรการเพื่อให้ชาวมุสลิมที่สำเร็จการ ศึกษาด้านการแพทย์จากประเทศในตะวันออกกลางให้ได้เป็นแพทย์ถูกต้องเพื่อรักษาคนไทยอย่างเพียงพอ (4) กลุ่มปัญหาด้านการค้าขายชายแดน ควรมีมาตรการป้องกันมิให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมให้การ ค้าขายและท่องเที่ยวเป็นไปอย่างต่อเนื่อง (5) กลุ่มปัญหาด้านการต่างประเทศ ควรส่งเสริมความร่วมมือเพื่อให้ ประเทศในภูมิภาคมีความเข้มแข็งในทุกด้าน ตลอดจนส่งเสริมโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ระหว่างประเทศที่มี อยู่แล้วอย่างต่อเนื่องและส่งเสริมโครงการความร่วมมือใหม่ ๆ ให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และ (6) กลุ่มปัญหา ด้านความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ควรมีมาตรการส่งเสริมความสัมพันธ์และร่วมมือในการปฏิบัติงาน ร่วมกันของเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน กรณีปัญหาการโจรกรรมรถยนต์ ปัญหา โจรผู้ร้ายตามบริเวณชายแดน กับให้ความสำคัญและสนับสนุนงบประมาณดำเนินการเก็บกู้กับระเบิด ทุ่นระเบิด ที่ตกค้างตามแนวชายแดนให้หมดไปโดยเร็ว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2249 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 | สผ | 18/03/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบ
การประกันคุณภาพการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ของคณะกรรมาธิการการ ศึกษา สภาผู้แทนราษฎร และมอบให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้ง ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยผลการพิจารณาศึกษาปัญหาดังกล่าว คณะกรรมาธิการการศึกษา เห็นว่า ระบบการประกันคุณภาพการศึกษา มีหลักการที่ต้องพิจารณาคือ ระบบการ ประกันคุณภาพ มาตรฐานการศึกษา และการประกันคุณภาพ ซึ่งการประกันคุณภาพการศึกษาที่ดำเนินการใน ปัจจุบันได้พัฒนาบนฐานความคิดการศึกษาในระบบ ซึ่งจัดแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐาน และการ ศึกษาอุดมศึกษา โดยมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว โดยในส่วนของข้อสังเกตสรุปได้ดังนี้ (1) การพัฒนาระบบประกันคุณภาพทั้งภายในและภายนอกไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติ ฯ เนื่อง จากขาดความเชื่อมโยงของระบบประกันคุณภาพภายใน คุณภาพภายนอก การศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษา (2) ระบบประกันคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษาในสถานศึกษาของรัฐและเอกชนท้องถิ่นขาดมาตร ฐานกลาง ความสอดคล้องและความยืดหยุ่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น (3) ผู้ประเมินภายนอกอยู่ในวงจำกัด ขาด หลักการและความเชื่อมโยงที่ชัดเจนของการประกันคุณภาพภายในและภายนอก (4) ยังไม่มีความชัดเจนของการ ประกันคุณภาพของการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และขาดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ส่วนข้อ เสนอแนะสรุปได้ดังนี้ (1) ควรเร่งปรับปรุงระบบหลักเกณฑ์และวิธีการประกันคุณภาพให้มีความเชื่อมโยงทั้งระบบ (2) ควรกำหนดมาตรฐานการศึกษาและตัวบ่งชี้ของการศึกษาทั้งระดับขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษาต่างสังกัด ให้มี การยืดหยุ่นและเหมาะสมกับท้องถิ่นและให้มีมาตรฐานกลาง และ (3) องค์ประกอบของคณะผู้ประเมินภายนอก ควรมีความหลากหลายและมีความเป็นผู้แทนภาคประชาชน ตัวแทนชุมชน และผู้ปกครอง ทั้งนี้ แนวทางการ ดำเนินการต่อไป ให้เสนอสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาทำการประเมินโครงการนำ ร่องการประเมินคุณภาพภายนอก และให้นำผลการประเมินมาใช้ปรับปรุงเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานก่อนที่จะ ขยายการดำเนินงานประเมินภายนอกไปทั่วประเทศ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรจัดทำโครงการวิจัยผลการ ดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อติดตามผลการดำเนินงาน และนำเสนอแนวทางการพัฒนาการประกัน คุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2250 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาสภาพรวมเศรษฐกิจการเงิน การคลัง ของประเทศเป็นรายไตรมาส | สผ | 11/03/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการพิจารณาศึกษาสภาพรวม
เศรษฐกิจการเงิน การคลัง ของประเทศเป็นรายไตรมาส ของสภาผู้แทนราษฎร และมอบให้ส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อ ไป โดยให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่าข้อมูลตามรายงานดังกล่าวบางส่วน เช่น ข้อเสนอแนะ ต่อรัฐบาล ข้อ 7 การจัดเก็บรายได้และแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่เป็นปัจจุบัน สำหรับผลการพิจารณา ศึกษาสภาพรวมเศรษฐกิจการเงิน การคลัง ฯ สรุปได้ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2544 และส่วนหนึ่งของไตรมาสที่ 3 ของปี พ.ศ. 2544 ยังมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ไม่เด่นชัดมากนัก แม้ว่ารัฐบาลได้ดำเนิน นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาคส่งออกซึ่งเคยเป็นตัวจักรสำคัญต่อการขยายตัว ของเศรษฐกิจไทยมาอย่างต่อเนื่องก็ได้ปรับทิศทางการขยายตัวเป็นติดลบมากขึ้น อย่างไรก็ดี สถานการณ์เศรษฐ กิจไทยในปีหน้ายังมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่นำมาใช้สามารถก่อให้เกิดผลเป็น รูปธรรมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งผลพวงจากวิกฤตการณ์การก่อวินาศกรรมในสหรัฐไม่ได้ขยายวงกว้างจนส่งผลกระทบ กระเทือนต่อเศรษฐกิจการเงินของโลกในเชิงลบมากนัก |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2251 | รายงานสรุปข้อเท็จจริง ความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา | นร | 04/03/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปข้อเท็จจริง ความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคณะได้ยื่นหนังสือร้องเรียนกล่าว หากรมประชาสัมพันธ์ กองทัพบก และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) ว่า มีการกระทำใน ลักษณะแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชนที่เป็นข้าราชการและพนักงานหน่วยงานของรัฐซึ่งได้รับความคุ้มครอง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 สรุปได้ว่า รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำกับการบริหารราชการ และสั่งและปฏิบัติราชการหน่วยงานดังกล่าว ได้แจ้งผลการพิจารณาดังนี้ (1) กรมประ ชาสัมพันธ์ได้กำชับผู้บริหารด้านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ให้ระมัดระวังการดำเนินการใด ๆ ในการบริหารจัด การอันจะเข้าข่ายละเมิดหรือลิดรอนเสรีภาพของสื่อมวลชน ส่วนการกระทำของ อ.ส.ม.ท. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ของรัฐสภาได้พิจารณาวินิจฉัยไปแล้วว่า ไม่เข้าข่ายมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (2) ความคืบ หน้าเรื่องการสรรหาและคัดเลือก คณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) ได้มี การแถลงคดีโดยตุลาการเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2546 ยืนตามศาลปกครองชั้นต้น คือ ให้เพิกถอนประกาศราย ชื่อบุคคลที่สมควรเป็นกรรมการ กสช. และยกฟ้องสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะนี้เรื่องยังอยู่ระหว่าง การพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด และ (3) กระทรวงกลาโหม ได้แจ้งให้คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจาย เสียงและวิทยุโทรทัศน์ กองบัญชาการทหารสูงสุด กองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ ได้รับทราบนโยบาย และการปฏิบัติของการใช้สื่ออย่างเหมาะสมแล้ว ทั้งนี้ ให้หน่วยงานหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญถือปฏิบัติตามที่ คณะรัฐมนตรีได้ประชุมเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2546 โดยให้ถือเป็นหลักการว่า กรณีหน่วยงานหรือองค์กรตามรัฐ ธรรมนูญได้ส่งข้อสังเกต ข้อเสนอแนะ หรือความเห็นเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินใด ๆ ให้ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจให้ความสำคัญและเร่งรัดการพิจารณาว่าเรื่องใดจะรับดำเนินการ เรื่องใดดำเนินการแล้วหรือไม่ สามารถดำเนินการได้ เพราะเหตุใด แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีทราบก่อนแจ้งตอบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2252 | มติคณะกรรมการกำกับ เร่งรัด และติดตามการให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบอุทกภัยในระยะเร่งด่วนเฉพาะหน้า ครั้งที่ 1/2546 | นร | 25/02/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอมติคณะกรรมการกำกับ เร่งรัด
และติดตามการให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบอุทกภัยในระยะเร่งด่วนเฉพาะหน้า ครั้งที่ 1/2546 ซึ่งคณะกรรม การกำกับ ฯ ได้มีมติรับทราบและเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ (1) ผลความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือเป็นเงิน สดแทนการจัดหาปัจจัยการผลิต (2) ผลความคืบหน้าในการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่คณะกรรมการ กำกับ ฯ ได้อนุมัติในหลักการการใช้จ่ายงบประมาณจากเงินงบกลาง วงเงิน 6,589,468,291 บาท (3) การ อนุมัติเงินประจำงวดตามมติคณะกรรมการกำกับ ฯ (4) การขออนุมัติเงินงบกลางเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ของจังหวัด ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (5) การขอรับการสนับสนุนงบกลางเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบ อุทกภัยของกรมชลประทาน (6) การขออนุมัติเงินงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมทรัพย์สินของทางราช การ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมประชาสัมพันธ์ (7) จังหวัดแม่ฮ่องสอนขอยกเว้นระเบียบกระทรวง การคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2538 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2540 และ (8) สรุปผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำกับ ฯ ในการให้ความช่วยเหลือราษฎร ผู้ประสบอุทกภัยในระยะเร่งด่วนเฉพาะหน้าในภาพรวม |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2253 | ขอความเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนลงทุน บริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า C3 ท่าเรือแหลมฉบัง | คค | 25/02/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับข้อเสนอของกระทรวงคมนาคม ซึ่งขอความเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชน
ลงทุน บริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า C3 ท่าเรือแหลมฉบัง โดยเห็นว่า เรื่องนี้คณะกรรมการคัด เลือกเอกชนเช่า บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า C3 ท่าเรือแหลมฉบัง ได้นำผลการคัดเลือกพร้อม เหตุผล ประเด็นที่เจรจาต่อรองเรื่องผลประโยชน์ของรัฐ ร่างสัญญาและเอกสารทั้งหมดเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงคมนาคมเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี ตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง แล้ว แต่ยังมีประเด็นปัญหาหลายประการ เนื่องจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การท่าเรือแห่งประเทศไทย และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตลอด จนเอกชนผู้ยื่นข้อเสนอเข้าร่วมงานได้ยื่นข้อร้องเรียนทักท้วงผลการคัดเลือก กระทรวงคมนาคมจึงได้แต่งตั้งคณะ กรรมการขึ้นเพื่อตรวจสอบและกลั่นกรองการประกวดราคาให้เอกชนลงทุนบริหาร และประกอบการท่าเทียบ เรือตู้สินค้า C3 ท่าเรือแหลมฉบัง การท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งปรากฏว่า มีความเห็นไม่สอดคล้องกับคณะ กรรมการคัดเลือก ฯ โดยเฉพาะประเด็นการพิจารณาผลการประกวดราคาไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในเอก สารประกวดราคา (TOR) ข้อ 4.7 คณะรัฐมนตรีจึงไม่เห็นด้วยกับผลการคัดเลือก และให้กระทรวงคมนาคมส่ง เรื่องคืนคณะกรรมการคัดเลือก ฯ เพื่อพิจารณาทบทวนความเห็น แล้วนำผลการพิจารณาเสนอให้คณะรัฐมนตรี ตัดสินชี้ขาดต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2254 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเอกชน ตามคำสั่ง ปร. 37 ในความควบคุมของกระทรวงกลาโหม | กห | 11/02/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณา
การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเอกชน ตามคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 37 (ปร.37) ในความควบคุมของกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2541 สรุปได้ว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2545 มีมติเห็นชอบให้บริษัท ใช้อินเตอร์เนชั่นแนลดีเวลล้อปเม้นต์ จำกัด ขายและขนย้ายผลิตภัณฑ์ โดยการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ให้ 2 บริษัท ได้แก่ (1) บริษัท ORICA-CCM ENERGY SYSTEMS จำกัด ประเทศมาเลเซีย มูลค่าในการส่งออก 272,600 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยเท่ากับ 11,858,100 บาท จำนวน 1 รายการ คือ วัตถุระเบิด EMULSION SLURRY TYPE จำนวน 188,000 กิโลกรัม โดยขนย้ายไปเก็บที่คลัง MERU ประเทศมาเลเซีย และ (2) บริษัท ORICA SINGAPORE PTE LTD. ประเทศสิงคโปร์ มูลค่าในการส่งออกเป็นเงิน 22,140 ดอลลาร์ สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยเท่ากับ 963,090 บาท จำนวน 2 รายการ คือ วัตถุระเบิด EMULSION SLURRY TYPE จำนวน 12,000 กิโลกรัม และสายชนวนชนิดฝักแคระเบิด จำนวน 30,000 เมตร โดยขนย้ายผลิตภัณฑ์ดัง กล่าวไปเก็บไว้ที่คลัง MERU ประเทศมาเลเซีย ร่วมกับการขนย้ายวัตถุระเบิด EMULSION SLURRY TYPE แล้ว บริษัท ORICA SINGAPORE PTE LTD. จะดำเนินการขนย้ายจากคลัง MERU ประเทศมาเลเซีย ไปยังคลัง ซี โอ เอส ณ ถนนไรเฟิลเรนจ์ ประเทศสิงคโปร์ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2255 | การขายที่ดินและอาคารอดีตที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต และทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงบอนน์ | กค | 04/02/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการเกี่ยวกับการขายที่ดินและ
อาคารอดีตที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต และทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ กรุงบอนน์ ประเทศสหพันธ์สาธารณ รัฐเยอรมนีในราคาขั้นต่ำที่ 8.8 แสนมาร์ก และ 1.5 ล้านมาร์ก ตามลำดับ สรุปได้ว่า จากการที่ธนาคารชาติ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีได้ประกาศกำหนดให้เงินสกุลมาร์กที่ใช้อยู่ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2545 ให้เปลี่ยน แปลงมาใช้เงินสกุลยูโรในอัตราแลกเปลี่ยนถาวรที่ 1 ยูโร เท่ากับ 1.95583 มาร์ก ทำให้ราคาขายทรัพย์สิน ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงจากเดิม (เงินสกุลมาร์ก) เป็น 449,936.86 ยูโร และ 766,937.82 ยูโร ตามลำดับนั้น กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่า การที่กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการขายทรัพย์สินดังกล่าวโดย กำหนดอัตราขั้นต่ำเป็นสกุลเงินยูโร เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้สกุลเงิน โดยมูลค่าขั้นต่ำของเงินค่าขายทรัพย์สินดังกล่าวที่เปลี่ยนแปลงจากเงินสกุลมาร์กมาเป็นเงินสกุลยูโร ยังคงมีมูล ค่าเท่ากัน จึงสามารถกระทำได้ และได้แจ้งผลการพิจารณาในเรื่องนี้ให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อ ดำเนินการต่อไปแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2256 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey) | นร | 04/02/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 (คกก.6)
ที่มีมติดังนี้ (1) เห็นชอบในหลักการตามความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จของสภา ที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และมอบให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รับไปร่วมกันจัดทำหลักเกณฑ์การจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จตามความ เห็นของ คกก.6 ที่เห็นว่า เมื่อกระทรวง ทบวง กรม หรือรัฐวิสาหกิจใดจะเสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนิน การจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ คณะรัฐมนตรีจะขอความเห็นจากกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เพื่อประกอบการพิจารณาเสมอ ดังนั้น หากหน่วยงาน ทั้ง 3 แห่ง จะพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้สามารถตรวจสอบ กลั่นกรอง ควบคุมโครงการที่สมควรหรือ ไม่สมควรใช้การจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จได้ เพื่อความโปร่งใส และขจัดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับรัฐขึ้นใช้ เพื่อใช้เป็นคู่มือในการประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (2) สำหรับข้อเสนอแนะเร่งด่วนเฉพาะหน้า ให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาทบทวน และตรวจสอบความเหมาะสมของโครงการที่กำลังจะใช้วิธีการจ้าง เหมาแบบเบ็ดเสร็จ หรืออยู่ระหว่างดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ในขณะนี้ว่า ยังมีทางเลือกอื่นที่เป็นประโยชน์ หรือคุ้มค่ากว่าการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จหรือไม่ (3) ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอแนะเร่งด่วนเฉพาะหน้า ในส่วนของโครงการทางหลวงวงแหวนกาญจนาภิเษกด้านใต้ ช่วงสุขสวัสดิ์-บางพลี ไปพิจารณาความเหมาะสม ด้วย และ (4) ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบเพื่อจะได้ แจ้งให้ประธานสภาที่ปรึกษา ฯ ในนามคณะรัฐมนตรีและเปิดเผยให้สาธารณชนทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2257 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2546 | กค | 28/01/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธาน
กรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเสนอ ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ 1/2546 เกี่ยวกับเรื่อง การแก้ปัญหาการดำเนินธุรกิจของบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และ มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ สรุปได้ดังนี้ (1) การแก้ปัญหาการดำเนินธุรกิจของบริษัท บาง จาก ฯ กนร. มีมติรับทราบผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาธุรกิจของบริษัท บางจาก ฯ และเห็นว่าเพื่อให้การแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันและปัญหาธุรกิจของบริษัท บางจาก ฯ เป็นไปอย่างยั่งยืน เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติโดยรวม จึงมอบหมายให้คณะอนุกรรมการ ฯ ดูแลให้บริษัท บาง จาก ฯ จัดทำแผนการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ (Corporate Restructuring) ตลอดจนจัดการให้มีการตรวจสอบ สถานะกิจการ โดยให้บริษัท บางจาก ฯ รับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน และรายงานความคืบหน้าให้ กนร. ทราบทุกเดือน (2) มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ กนร. มีมติ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดแต่งตั้งคณะทำงานในระดับกระทรวงขึ้น โดยมีผู้แทนกระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรม การนโยบายรัฐวิสาหกิจ) ร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจตามนโยบาย รัฐบาล และแก้ไขปัญหาให้กับรัฐวิสาหกิจในสังกัดให้ได้ผลเป็นรูปธรรม โดยให้คณะทำงาน ฯ รายงานผลให้ กนร. ทราบทุก 3 เดือน และให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งจัดทำแผนการเพิ่มประสิทธิภาพเสนอคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ ให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะทำงาน ฯ เพื่อพิจารณา และนำเสนอ กนร. ภายในวันที่ 30 เมษายน 2546
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2258 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเอกชนตามคำสั่ง ปร. 37 ในความควบคุมของกระทรวงกลาโหม | กห | 24/12/2545 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณา
การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเอกชน ตามคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 37 (ปร.37) ในความควบคุมของกระทรวงกลาโหม สรุปได้ว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2545 เห็นชอบให้บริษัท ใช้อินเตอร์เนชั่นแนลดีเวลล้อปเม้นต์ จำกัด ขายและขนย้ายผลิตภัณฑ์ โดยการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ให้แก่บริษัท ORICA-CCM ENERGY SYSTEMS จำกัด ประเทศมาเลเซีย มูลค่าการส่งออก 65,250 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2,707,875 บาท จำนวน 1 รายการ คือ วัตถุระเบิด EMULSION SLURRY TYPE จำนวน 45,000 กิโลกรัม โดยขนย้ายไปเก็บที่คลัง MERU ประเทศมาเลเซีย และ บริษัท ORICA SINGAPORE PTE LTD. ประเทศสิงคโปร์ มูลค่าการส่งออก 29,650 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,230,475 บาท จำนวน 2 รายการ คือ วัตถุระเบิด EMULSION SLURRY TYPE จำนวน 15,000 กิโลกรัม และสายชนวนชนิดฝักแคระเบิด จำนวน 50,000 เมตร โดยขนย้ายไปเก็บไว้ที่คลัง MERU ประเทศมาเลเซีย ก่อน แล้วจึงขนย้ายไปยังคลัง ซีโอเอส ณ ถนนไรเฟิลเรนจ์ ประเทศสิงคโปร์ต่อไป และในการประชุมเมื่อวัน พุธที่ 9 ตุลาคม 2545 ที่ประชุมเห็นชอบให้บริษัท ใช้อินเตอร์เนชั่นแนล ฯ ขายและขนย้ายผลิตภัณฑ์โดย การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ให้กับบริษัท ORICA-CCM ENERGY SYSTEMS จำกัด ประเทศมาเลเซีย มูลค่าการส่งออก 53,660 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2,226,890 บาท จำนวน 3 รายการ คือ วัตถุระเบิด EMULSION SLURRY TYPE จำนวน 30,000 กิโลกรัม สายชนวนชนิดฝักแคระเบิด จำนวน 60,000 เมตร และสายชนวนชนิดธรรมดา จำนวน 10,000 เมตร |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2259 | รายงานผลการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 4 | กค | 03/12/2545 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยว
ข้องตามมติคณะรัฐมนตรี (25 มิถุนายน 2545) ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 4 (ภาคตะวันออก) ในระหว่างวันที่ 21-23 มิถุนายน 2545 เกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริม Cargo สินค้า ผลไม้ โดยใช้ประโยชน์จากเครื่องบินหรือเรือของกระทรวงกลาโหมช่วยในการขนส่งผลไม้ส่งออกให้กระจายไป ต่างประเทศมากขึ้น กระทรวงกลาโหมได้ชี้แจงว่า การดำเนินการดังกล่าวยังไม่มีความเหมาะสมและไม่คุ้มค่าและ ค่อนข้างยุ่งยาก และใช้งบประมาณในการปรับปรุงเครื่องบินและเรือค่อนข้างสูง เนื่องจากเครื่องบินและเรือของ กระทรวงกลาโหมได้ออกแบบมาเพื่อใช้ในภารกิจทางทหารโดยเฉพาะ ส่วนปัญหาในการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะ ปัญหาความยุ่งยากทางด้านพิธีการศุลกากร ซึ่งควรมีการปรับลดขั้นตอนเพื่อให้เกิดความสะดวกขึ้น กรมศุลกากร ได้ดำเนินการจัดตั้ง "ศูนย์บริการส่งออกแบบเบ็ดเสร็จ" ขึ้นที่กรมส่งเสริมการส่งออก เพื่อให้บริการผู้ส่งออกให้ สามารถขออนุญาตส่งสินค้าออกได้สะดวกรวดเร็วขึ้น สำหรับการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่มีอัตราสูงให้ลด ลงสอดคล้องกับภาวการณ์ในปัจจุบัน กระทรวงการคลังได้ชี้แจงว่า ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของสถาบันการ เงินอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ขณะที่สภาพคล่องในระบบการเงินยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตรา ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน และอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมแก่ลูกค้าชั้นดี (MLR) ของธนาคารพาณิชย์ ขนาดใหญ่ 4 แห่ง อยู่ที่ร้อยละ 1.6 และ 6.6 - 6.85 ต่อปี ตามลำดับ และหากรัฐบาลต้องการให้อัตราดอกเบี้ย เงินกู้ปรับลดลงอีก เพื่อให้การสนับสนุนการลงทุนโครงการที่รัฐบาลเห็นว่ามีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์เป็น การเฉพาะกรณีแล้ว ควรดำเนินการด้วยความรอบคอบและมีเป้าหมายที่ชัดเจน เพราะจะมีผลกระทบต่อภาระ การคลังของรัฐบาล |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2260 | ขอนำเสนอโครงการเพื่อขอรับงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงาน | กก | 26/11/2545 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการโครงการจัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวเพื่อปฏิบัติงานช่วยเหลือสำนักงาน
ตรวจคนเข้าเมือง และกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬาเสนอ โดยมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) รับไปพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับ ความจำเป็นและเหมาะสมในด้านการใช้อัตรากำลังเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและ กีฬา รวมทั้งส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วดำเนินการต่อไปได้ตามผลการพิจารณา โดยการแก้ไข ปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้า ให้พิจารณาหาข้อยุติเกี่ยวกับจำนวนลูกจ้างชั่วคราวที่จำเป็นต้องจ้างจริงของแต่ละโครง การ แหล่งเงินและวงเงินงบประมาณที่จะเบิกจ่าย โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาเกลี่ยอัตรากำลังที่ มีอยู่มาปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มศักยภาพก่อน แล้วจึงดำเนินการจัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวเฉพาะจำนวนที่ขาดอยู่เท่านั้น และให้กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง และชี้แจงให้ลูกจ้างทราบโดยชัดเจนว่า เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการจ้างในครั้งนี้แล้วจะ ไม่จ้างต่ออีก สำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นและระยะยาวควบคู่กับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ให้พิจารณา กำหนดแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาด้านบุคลากรและด้านอื่น ๆ ของหน่วยงานเจ้าของโครงการในภาพ รวมทั้งระบบ เช่น จำนวนบุคลากรในส่วนของข้าราชการประจำและลูกจ้างชั่วคราว การแก้ไขปัญหาบุคลากรไม่ เพียงพอ และการจ่ายค่าตอบแทนจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่นอกเวลาราชกา ร เป็นต้น โดยให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน และเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ไปประกอบการดำเนินการ แล้วรายงานผล ให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
.....