ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 112 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 2221 - 2240 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2221 | การปรับเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | นร | 19/08/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การปรับเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ที่คณะ
รัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอ และมอบให้สำนักงบประมาณนำเรื่องดังกล่าวเสนอให้คณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 พิจารณาต่อไปนั้น บัดนี้ คณะกรรมาธิการ ฯ ได้กำหนดพิจารณาการปรับเพิ่มงบประมาณดังกล่าวตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอในวันอังคารที่ 19 สิงหาคม 2546 ซึ่งคาดว่าวงเงินที่สามารถปรับเพิ่มขึ้นจากที่ได้มีการปรับลดแล้วมีวงเงินประมาณ 5,500 ล้าน บาท ซึ่งในจำนวนนี้จะเป็นงบประมาณที่ต้องจัดสรรให้แก่กรมทางหลวงชนบทประมาณ 2,800 ล้านบาท และ งบประมาณในรายการที่กฎหมายกำหนดประมาณ 1,500 ล้านบาท คงเหลือจำนวนเงินที่สามารถปรับเพิ่มได้ อีกประมาณ 1,200 ล้านบาท จึงขอให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องประสานกับผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณา จัดสรรให้แก่รายการหรือโครงการที่มีความสำคัญและจำเป็นที่หน่วยงานต่าง ๆ ขอมา ทั้งนี้ เมื่อคณะกรรมาธิ การ ฯ ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เสร็จแล้ว ซึ่งคาดว่าจะ สามารถนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ได้ประมาณต้นเดือนกันยายน 2547 ก็ให้รัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องเตรียมชี้แจงเรื่องดังกล่าวต่อสภาผู้แทนราษฎร หากมีการซักถามต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||
2222 | ขั้นตอนการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 | นร | 05/08/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอขั้นตอนการดำเนินการตามมาตรา
17 แห่งพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 ที่ได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีจัดทำ รายงานผลการพิจารณา หรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องที่สภาที่ปรึกษา ฯ ให้คำปรึกษาหรือข้อ เสนอแนะ หรือให้ความเห็นเพื่อเสนอต่อสภาที่ปรึกษา ฯ และเปิดเผยเหตุผลให้สาธารณชนทราบ โดยให้ส่วนราช การและหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามขั้นตอน ฯ ดังนี้ ให้สภาที่ปรึกษา ฯ ให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะ หรือ ให้ความเห็นมาที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อ ขอความเห็นชอบให้พิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ โดยในกรณีที่มีหน่วยงานเดียวเป็นเจ้า ของเรื่อง ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องให้จัดทำความเห็นผล การพิจารณา และผลการดำเนินการ (ฉบับสมบูรณ์) และสรุปย่อตามรูปแบบที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กำหนด (เพื่อเตรียมไว้เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งความเห็นตามปกติ แล้วส่งมา ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการนำเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ส่วนในกรณี ที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ให้แจ้งคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้หน่วยงานหลักไปจัดประชุมร่วมกับหน่วย งานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการ (ฉบับสมบูรณ์) และสรุปย่อ แล้วส่งมาที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการนำเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี และเมื่อ คณะรัฐมนตรีมีมติแล้วให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรียืนยันมติคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ และ จัดทำความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของหน่วยงานตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติตามรูปแบบที่ กำหนด แล้วเสนอต่อประธานสภาที่ปรึกษา ฯ สำหรับการเปิดเผยเหตุผลให้สาธารณชนทราบ ให้สำนักเลขาธิ การคณะรัฐมนตรี ในนามคณะรัฐมนตรี จัดทำความเห็นผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของหน่วยงาน ตามรูปแบบที่กำหนดแล้วประกาศเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวทางเว็บไซต์ (web site) ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐ มนตรี (www.cabinet.thaigov.go.th) ตามรูปแบบที่กำหนด และหากเป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้ หน่วยงานรับไปดำเนินการ ให้หน่วยงานนั้นเผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ของหน่วยงานนั้นด้วย
|
|||||||||||||||
2223 | การจัดวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี (การจัดวาระทักท้วง การจัดวาระสำคัญ และการจัดวาระพื้นที่) | นร | 29/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเรื่องการจัดวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี
(การจัดวาระทักท้วง การจัดวาระสำคัญ และการจัดวาระพื้นที่) และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ (1) การจัดวาระทักท้วง เป็นการเสนอเรื่องทั่วไปที่มิใช่เรื่องสำคัญในเชิงนโยบาย แต่เป็นเรื่องที่มีข้อกฎ หมายหรือระเบียบข้อบังคับกำหนดให้ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี เช่น กรณีเรื่อง ข้าราชการขอลาป่วยเกิน 1 ปี กรณี เรื่องการ ดำเนินการทางวินัยและการพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการกลั่นกรอง การรายงานผลการพิจารณา ของกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร และกรรมาธิการวุฒิสภา ตลอดจนกระทู้ต่าง ๆ ที่ไม่มีประเด็นต้องพิจารณา วินิจฉัย โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีบรรจุเรื่องประเภทเหล่านี้รวมไว้เป็นวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี แยกต่างหากเป็นการเฉพาะ เรียกว่า วาระทักท้วง โดยจัดทำเป็นตารางสรุปชื่อเรื่อง หน่วยงานเจ้าของเรื่อง และ สาระสำคัญอื่น ๆ โดยไม่ต้องจัดทำสำเนาเอกสารประกอบวาระ หากคณะรัฐมนตรีไม่มีข้อทักท้วงประการใด ก็ให้ ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรี (2) การจัดวาระสำคัญของรัฐบาล (agenda-based) เป็นการจัดวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีโดยยึด หลักเรื่องสำคัญตามนโยบายเดียวกันหรือเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน รวมไว้ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกัน โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดวาระการประชุมลักษณะนี้เดือนละ 1 ครั้ง ให้สอดคล้องกับข้อมูล ข้อเท็จจริง สถานการณ์ความสำคัญและความเร่งด่วนของนโยบายต่าง ๆ ตามความเหมาะสมและจำเป็น (3) การจัดวาระพื้นที่ (area-based) เป็นการจัดวาระการประชุมโดยยึดหลักเรื่องสำคัญตามพื้นที่ โดย เรื่องใดที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้อง และอยู่ในเขตพื้นที่/ภูมิภาคเดียวกัน ให้จัดไว้ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในคราวเดียว กัน และตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีนโยบายที่จะให้จัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ตาม จังหวัดต่าง ๆ เดือนละครั้ง ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีลักษณะ นีเดือนละ 1 ครั้ง โดยการจัดวาระการประชุมต้องสอดคล้องกับข้อมูล ข้อเท็จจริง ความเร่งด่วนของเรื่อง ตามความ เหมาะสมและจำเป็น โดยอาจจัดสลับกันกับการจัดวาระสำคัญของรัฐบาล (agenda-based) |
|||||||||||||||
2224 | หารือปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจับกุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 78 มาตรา 117 มาตรา 134 และมาตรา 136 | นร | 29/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอผลการพิจารณาในปัญหาข้อ
กฎหมายเกี่ยวกับการจับกุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 78 มาตรา 117 มาตรา 134 และมาตรา 136 กรณีการจับและคุมขัง โดยไม่มีคำสั่งหรือหมายของศาล และแจ้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทราบ และถือปฏิบัติต่อไป สำหรับผลการพิจารณาสรุปได้ดังนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 11 ได้พิจารณาข้อหา รือดังกล่าวแล้วเห็นว่า ตามมาตรา 237 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติว่า "ในคดี อาญาการจับและคุมขังบุคคลใดจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือผู้นั้นได้กระทำความผิดซึ่ง หน้าหรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นให้จับโดยไม่มีหมายตามที่กฎหมายบัญญัติ ..." ดังนั้น การจับกุมและคุมขังบุคคล ใดตามข้อยกเว้นตามมาตรา 237 วรรคหนึ่ง ดังกล่าว ต้องปฏิบัติในขอบเขตและเงื่อนไขที่จำกัดเท่าที่มีเหตุจำเป็น จริง ๆ เท่านั้น ซึ่งการจะพิจารณาว่า ข้อเท็จจริงใดถือว่าเป็นเหตุจำเป็นอย่างอื่นให้จับโดยไม่มีหมาย ตามมาตรา 78 มาตรา 117 มาตรา 134 และมาตรา 136 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้น คณะกรรม การ ฯ มีความเห็นในแต่ละประเด็น ดังนี้ กรณีตามมาตรา 78 เมื่อพบบุคคลกำลังพยายามกระทำความผิด หรือพบบุคคลโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าจะกระทำความผิด โดยมีเครื่องมือ อาวุธ หรือวัตถุอย่างอื่นอัน สามารถอาจใช้ในการกระทำความผิดนั้น รวมทั้งกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้นั้นได้กระทำความผิดมาแล้วและ จะหลบหนี และกรณีเมื่อมีผู้ขอให้จับโดยแจ้งว่าบุคคลผู้นั้นได้กระทำความผิด ให้จับได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งหรือ หมายของศาล ส่วนกรณีตามมาตรา 117 ถือได้ว่าเป็นเหตุจำเป็นอย่างอื่นตามที่มาตรา 237 วรรคหนึ่ง กรณี ตามมาตรา 134 เป็นเรื่องขั้นตอนการสอบสวนผู้ต้องหาไม่ใช่การจับกุมตามนัยของมาตรา 237 วรรคหนึ่ง และกรณีตามมาตรา 136 ไม่ถือเป็นเหตุจำเป็นอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติให้เจ้าพนักงานมีอำนาจจับได้ โดยไม่มีหมายจับตามมาตรา 237 วรรคหนึ่ง ฯ นอกจากนี้ คณะกรรมการ ฯ เห็นว่า ตามบัญญัติมาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่ง ต้องถือปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว ได้ออกระเบียบปฎิบัติและดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติดัง กล่าวแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาประเด็นตามปัญหาดังกล่าวอีก |
|||||||||||||||
2225 | งบปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมวงเงิน 16,600 ล้านบาท | นร | 22/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประธาน
คณะกรรมการกลั่นกรองแผนงาน/โครงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมเสนอโครงการที่ขอใช้จ่ายจากงบปรับ โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม รวม 3 โครงการ วงเงินรวม 104.867 ล้านบาท ตามผลการพิจารณาของคณะกรรม การกลั่นกรอง ฯ พร้อมทั้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ไปดำเนินการ ดังนี้ (1) แผนงานการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมยานยนต์ (สถาบันยานยนต์ กระทรวงอุตสาห กรรม) ประกอบด้วย 2 โครงการ วงเงินรวม 34.8 ล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาระบบรองรับความสามารถ บุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ วงเงิน 16 ล้านบาท และโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งศูนย์ทดสอบ และวิจัยพัฒนายานยนต์ วงเงิน 18.8 ล้านบาท (2) โครงการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเพื่อป้อนธุรกิจอาหารไทยทั่ว โลก (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) วงเงิน 29 ล้านบาท และ (3) โครงการพัฒนาระบบคลังข้อมูลและเครือข่ายของ ศูนย์ปฏิบัติการสารสนเทศระดับกระทรวงของกระทรวงคมนาคม (กระทรวงคมนาคม) วงเงิน 41.067 ล้านบาท และให้กระทรวงต่าง ๆ ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้จ่ายจากงบปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม เร่งรัดการเบิกจ่ายเงิน ให้เป็นไปตามที่ได้กำหนดไว้ในแผนงาน/โครงการโดยเร็ว ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า การส่งเสริมอุตสาห กรรมยานยนต์นั้นควรส่งเสริมทั้งระบบตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการส่งออก |
|||||||||||||||
2226 | การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | นร | 22/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอแนวทาง หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการเสนอขอ
เพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยในส่วนของแนวทางและ หลักเกณฑ์การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ให้ส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ/ หน่วยงานอิสระ เสนอคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่าย ฯ เฉพาะรายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างแท้จริง และ สอดคล้องกับนโยบายที่สำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล โดยมีหลักเกณฑ์ว่า ควรเป็นรายการที่มีการใช้จ่ายตามยุทธ ศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ 5 ประการ ได้แก่ ยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ยุทธ ศาสตร์การเสริมสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคม การแก้ไขปัญหาความยาก จน และยกระดับคุณภาพชีวิต ยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติ การต่างประเทศ การอำนวยความยุติธรรม และ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการประเทศ เป็นรายจ่ายลงทุนที่สำคัญก่อให้เกิดผลในการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ รวมทั้ง เป็นรายจ่ายลงทุนหรือรายจ่ายประจำที่สำคัญตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ทั้งนี้ ต้องไม่ทำให้เกิด ภาระรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้น ไม่ผูกพันงบประมาณปีต่อไป เป็นรายการที่เคยเสนอขอตั้งงบประมาณมาแล้วแต่ไม่ ได้รับการจัดสรร/เป็นโครงการที่เป็นนโยบายของรัฐบาล รวมทั้ง หน่วยงานมีขีดความสามารถพร้อมที่จะดำเนิน การได้ทันที สำหรับขั้นตอนในการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ของส่วน ราชการ/รัฐวิสาหกิจ/หน่วยงานอิสระ ให้ส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ/หน่วยงานอิสระ จัดทำคำขอเพิ่มงบประมาณ รายจ่าย ฯ ที่ได้มีการตรวจสอบและรับรองข้อมูลแล้วว่าการดำเนินการนั้นไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐ ธรรมนูญ กฎหมาย หรือระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องนำเสนอต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อขอรับความเห็นชอบ และรวบ รวมจัดส่งให้สำนักงบประมาณดำเนินการภายในวันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม 2546 และให้สำนักงบประมาณ นำผลการพิจารณาคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่าย ฯ เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อนำเสนอคณะกรรมาธิ การวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ต่อไป |
|||||||||||||||
2227 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองแผนงาน/โครงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม "โครงการกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น" | นร | 08/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองแผนงาน/โครงการปรับโครงสร้าง
เศรษฐกิจและสังคม "โครงการกรุงเทพ ฯ เมืองแฟชั่น" โดยอนุมัติในหลักการให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการ โครงการ ฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริม และสร้างโอกาสให้แก่นักออกแบบและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในธุรกิจ แฟชั่นและที่เกี่ยวเนื่อง ได้ยกระดับและขยายตลาดสินค้า สร้างตราสินค้าไทย (brand name) ให้เป็นที่นิยมกว้าง ขวางและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลอย่างยั่งยืน ให้กรุงเทพ ฯ เป็นศูนย์กลางทางด้านแฟชั่นอีกแห่งหนึ่ง รวมทั้ง สร้างศักยภาพในการแข่งขัน และให้ได้มาซึ่งมูลค่าเพิ่มต่อตัวสินค้าของไทยที่จำหน่ายในตลาดโลกให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อความละเอียดรอบคอบ และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดในการดำเนินการโครงการ ฯ จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รับเรื่องนี้ไปจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพิจารณาใน รายละเอียดของแนวทางดำเนินการและงบประมาณค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวง พาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ตลอดจนภาคเอก ชน และผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง โดยนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง หนึ่ง
|
|||||||||||||||
2228 | รายงานการพิจารณาศึกษาปัญหาการพัฒนาพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ | สว | 08/07/2546 | ||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภารายงานผลการพิจารณาศึกษาปัญหาการพัฒนาพื้นที่
ทุ่งกุลาร้องไห้ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาการพัฒนาพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ วุฒิสภา และมอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งผลการพิจารณาศึกษาปัญหาดังกล่าว คณะกรรมาธิการ ฯ แยกพิจารณาศึกษา เรื่องออกเป็น 6 ประเด็น ดังนี้ (1) การจำแนกที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งจำแนกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ที่ดินที่เหมาะแก่ การเกษตรกรรมที่จะนำไปสู่การทำการเกษตรกรรมแบบไร่นาสวนผสม และที่ดินที่เหมาะแก่กิจกรรมอื่น ๆ ที่มิใช่ เป็นโครงการเกษตรกรรม เช่น สวนสนุก การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และการท่องเที่ยวแบบเกษตร โดยเห็นควรมี การพิจารณาหาโครงการที่เป็นประโยชน์เพื่อเสริมรายได้ให้แก่ราษฎร (2) การพิจารณาศึกษาด้านเงินทุนการท่องเที่ยว มีพื้นที่ที่เหมาะสมแก่การนำไปประกอบการส่งเสริม การท่องเที่ยวแบบสวนสนุก 2 แห่ง คือ พื้นที่ในตำบลเมืองเตา และตำบลหนองบัวแก้ว อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม และพื้นที่ในตำบลทุ่งทอง และดงครั่งใหญ่ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด โดยเห็นควร กันพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อรองรับการลงทุนต่อไปในอนาคต (3) การจัดการปศุสัตว์ มีปัญหาและอุปสรรคเนื่องจากเกษตรกรขาดแคลนทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่สมบูรณ์ ประกอบกับเกษตรกรไม่ให้ความสำคัญในการเก็บพืชอาหารสัตว์ และปลูกพืชอาหารสัตว์ รวมทั้งหันไปใช้เครื่อง จักรแทนแรงงานโคกระบือ (4) ปัญหาข้าวหอมมะลิ มีปัญหาหลัก 2 ประการ คือ ด้านการผลิต มีประสิทธิภาพการผลิตต่ำ และ ด้านการตลาด มีการปลอมปนและมีการกดราคารับซื้อข้าว (5) ปัญหาทรัพยากรน้ำและการประมง โดยในด้านทรัพยากรน้ำ มีปัญหาที่สำคัญ คือ การขาดแคลน น้ำในช่วงต้นฤดูทำนา และมีน้ำท่วมขังในช่วงปลายฤดู ด้านการประมง ปัญหา คือ ขาดความละเอียดในการเชื่อม โยงความเป็นไปได้ของแหล่งน้ำกับระบบนิเวศวิทยา (6) การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้มีปัญหาหลัก คือ ผลผลิตจากการทำนาต่ำ แต่ มีโอกาสที่จะพัฒนาอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ด้วยการทำการเกษตรธรรมชาติ การแปรรูปสินค้า การเลี้ยงปศุสัตว์ เสริม และฝึกการเจียระไนพลอย |
|||||||||||||||
2229 | รายงานการพิจารณาศึกษาและติดตามตรวจสอบโครงการจัดการน้ำเสีย เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ | สว | 08/07/2546 | ||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภารายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการ
วิสามัญพิจารณาศึกษาและติดตามตรวจสอบโครงการจัดการน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ และมอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการ ฯ สรุปได้ว่าตามที่คณะ รัฐมนตรีได้มีมติให้ก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียตามโครงการ ฯ 2 ฝั่ง ได้แก่ ฝั่งตะวันตกให้ก่อสร้างที่ ตำบลบางปลากด และฝั่งตะวันออกให้ก่อสร้างที่ตำบลบางปูใหม่ แต่ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยมีการ เสนอให้ยุบรวมระบบบำบัดน้ำเสียจาก 2 ฝั่ง ให้เหลือเพียงฝั่งตะวันออกเพียงแห่งเดียว โดยใช้ที่ดินบริเวณตำบล คลองด่านเป็นที่ตั้งระบบบำบัดน้ำเสียรวมของโครงการ ฯ ซึ่งบริษัทที่ทำการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ ฯ ได้รายงานไว้ในผลการศึกษาว่า การก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียรวมในพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นทางเลือกรอง เพราะ พื้นที่บริเวณดังกล่าวไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมแต่เป็นป่าชายเลนมีน้ำทะเลท่วมตลอดทั้งปี ซึ่งจะทำให้วงเงินลงทุน เพิ่มขึ้นสูงมากและไม่คุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ อีกทั้งการก่อสร้างยังมีประเด็นปัญหาในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ประเด็น ปัญหาด้านกฎหมาย ประเด็นปัญหาด้านวิศวกรรม และประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมาธิการ ฯ ได้มีข้อสังเกต ดังนี้ (1) โครงการนี้จัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2539-2540 รัฐไม่สมควรดำเนินการต่อ (2) ด้านวิศว กรรม ด้านนิเวศวิทยา และด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ถูกต้องเหมาะสม (3) รัฐมิได้คำนึงถึงการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 (4) การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ไม่บังเกิดผลการปฏิบัติที่สมบูรณ์ (5) โครงการนี้ส่อไปในทางไม่สุจริต และ (6) การจ้างตามระบบ Turn Key มีช่องว่างในการปฏิบัติและยากแก่การ ควบคุมตรวจสอบ
|
|||||||||||||||
2230 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่อง การสอบสวนโครงการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยหมัก) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยธรรมชาติ ของกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | สว | 08/07/2546 | ||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภารายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่อง การสอบสวนโครงการ
จัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยหมัก) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยธรรมชาติ ของกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา และมอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่ง ผลการพิจารณาศึกษา ฯ ของคณะกรรมาธิการ ฯ เห็นว่า การดำเนินการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยหมัก) มีความไม่ เหมาะสมหลายประการ เช่น การอนุมัติโครงการและการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ การ กำหนดเงื่อนไขการประกวดราคา เป็นต้น ซึ่งสามารถแยกผู้กระทำได้เป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายข้าราชการ เห็นว่า มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนในการกำหนดเงื่อนไขการประกวดราคา คณะทำงาน ตรวจสต๊อกปุ๋ยอินทรีย์ของชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด และคณะกรรมการพิจารณาผลการ ประกวดราคา ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจนถึงอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรผู้อนุมัติจัดซื้อครั้งนี้เป็นการใช้ อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบอันเป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยทุจริตเพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับชุมนุมสหกรณ์ ฯ ฝ่ายการเมือง เห็นว่า มีเหตุอันควรสงสัยว่า มีการ สมคบกันอันเป็นการสนับสนุนเจ้าหน้าที่กระทำความผิด ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้บุคคลใดบุคคล หนึ่งได้รับประโยชน์ที่ไม่ควรได้รับโดยชอบด้วยกฎหมาย และฝ่ายเอกชน เห็นว่า มีข้อพิรุธอันควรสงสัยว่ามีการ สมคบกันอันเป็นการสนับสนุนเจ้าหน้าที่กระทำความผิดเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการ ฯ มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ (1) กรณีการทุจริตการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยหมัก) รัฐบาลต้องดำเนินการส่งเรื่องให้สำนัก งานตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล เพื่อดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อดำเนินการสอบสวนทางวินัยเจ้า น้าที่ที่เกี่ยวข้อง และ (2) กรณีการช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติของกรมส่งเสริมการเกษตรและกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ โดยมอบภารกิจในการให้ความช่วยเหลือ ฯ แก่องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น จัดให้มีกองทุนเพื่อประกัน ภัยความเสี่ยงของพืชผล (Crop Insurance) รวมทั้งให้มีโครงการระยะยาวในการพัฒนาพื้นที่เสียหายซ้ำซาก และ ปรับปรุงขั้นตอนและวิธีการในการให้ความช่วยเหลือ |
|||||||||||||||
2231 | งบปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 16,600 ล้านบาท | นร | 01/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธาน
คณะกรรมการกลั่นกรองแผนงาน/โครงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมเสนอ โครงการเพิ่มศักยภาพศูนย์รวบ รวมผักและผลไม้เพื่อการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ โดยให้เบิกจ่ายจากงบปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม ใน วงเงิน 18.306 ล้านบาท ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็น ของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นควรให้มีการติดตามประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นต้นแบบใน การยกระดับการเพิ่มผลผลิต (Productivity) เนื่องจากโครงการนี้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความสามารถ ของประเทศด้านการเสริมสร้างศักยภาพการให้บริการภาครัฐ และมีส่วนสนับสนุนการส่งออกสินค้าผักและผลไม้ให้ ขยายตัว และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในตลาดต่างประเทศ ไปดำเนินการต่อไป สำหรับโครงการพัฒนาอุตสาหกรรม หนังฟอกแต่งสำเร็จ เนื่องจากเป็นโครงการที่สมควรดำเนินการ เพราะจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกอบการ และมีส่วนช่วยในการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานของวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องหนังของประเทศให้ทัดเทียมกับ ต่างประเทศ แต่โดยที่แนวทางการดำเนินโครงการยังขาดความชัดเจนหลายประการ จึงขอให้กระทรวงอุตสาหกรรม รับไปจัดทำข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เช่น การจัดโครงสร้างและการบริหารจัด การในแบบธุรกิจที่เหมาะสม (business module) ความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจเพื่อให้มีความยั่งยืน การร่วมลงทุนของ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และการสนับสนุนจากภาครัฐ ตลอดจนเทคโนโลยีที่จะใช้ เป็นต้น แล้วรายงานให้นายก รัฐมนตรีทราบก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งต่อไป |
|||||||||||||||
2232 | การจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ | นร | 01/07/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
(1) รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ประธานกรรมการ ดำเนินงานโครงการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เสนอผลการพิจารณาเกี่ยวกับการจัดทำบัตรประจำตัว ประชาชนแบบอเนกประสงค์ (smart card) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2546 (2) ในหลักการการจัดทำบัตร smart card ต้องเริ่มต้นโดยการจัดทำบัตรประจำตัว ประชาชนของกระทรวงมหาดไทยเป็นบัตรหลัก เพื่อให้ทราบข้อมูลประชากรตามทะเบียนราษฎร์ ที่ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน ส่วนข้อมูลของส่วนราชการ/หน่วยงานอื่น ๆ ก็สามารถนำ มาเชื่อมโยงและเพิ่มเติมข้อมูลต่าง ๆ ลงในบัตรประชาชนของกระทรวงมหาดไทยได้เมื่อมีความพร้อม จึงขอให้ดำเนินการ ดังนี้ (2.1) ให้กระทรวงมหาดไทยรับแนวทางดังกล่าวไปเตรียมการวางแผนและดำเนินการ จัดทำบัตร smart card ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้พิจารณาอายุของบัตรประชาชนที่ปัจจุบัน กำหนดไว้ 6 ปี ด้วยว่า ควรจะขยายระยะเวลาให้ยาวกว่านี้ เพื่อประหยัดงบประมาณที่จะใช้ในการ ออกบัตรใหม่ และพิจารณาดำเนินการแก้ไขข้อกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนทุกคนต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนตั้งแต่เกิดด้วย (2.2) ในช่วงที่ยังไม่สามารถจัดทำบัตร smart card ได้แล้วเสร็จ ให้ส่วนราชการ/หน่วยงานต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องจัดทำบัตรให้กับประชาชน เพื่อใช้ประโยชน์ ในการปฏิบัติงานตามกรอบอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ/หน่วยงาน ออกบัตรในลักษณะเดิม หรือเป็นบัตรชั่วคราวไปก่อน เมื่อการจัดทำบัตร ฯ ของกระทรวงมหาดไทยแล้วเสร็จ ก็ให้นำ บัตรของกระทรวงมหาดไทยมาเพิ่มเติมข้อมูลของส่วนราชการ/หน่วยงานให้ครบถ้วนต่อไป (2.3) ในการจัดทำบัตรประชาชนอบบอเนกประสงค์ให้ประสานและหารือกันกระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเรื่องของไมโครชิพเพื่อการจัดทำบัตร ฯ ให้เป็นที่เรียบร้อย (2.4) ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้แก่กระทรวงมหาดไทย และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็นโดยให้ส่วนราชการต่าง ๆ ขอตกลงในรายละเอียดกับ สำนักงบประมาณต่อไป (3) ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ เรื่องนี้ในภาพรวม ให้บรรลุผลด้วยความรวดเร็วและเรียบร้อย รวมถึงรายละเอียดทางด้านเทคนิค ระบบฐานข้อมูล และการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับส่วนราชการต่าง ๆ แล้วรายงานนายกรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||
2233 | รายงานการพิจารณาศึกษาหามาตรการในการจัดการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส | สว | 01/07/2546 | ||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา
หามาตรการในการจัดการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส ของวุฒิสภา และมอบให้กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยผลการพิจารณาศึกษา คณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ ได้ มีข้อสังเกตว่า (1) นโยบายการจัดการการศึกษา ขาดการกระจายอำนาจที่แท้จริงและไม่ครอบคลุมทั่วถึง ขาด มาตรการที่ชัดเจนเหมาะสมสอดคล้องกับนโยบาย และไม่มีระบบการกำกับติดตามการดำเนินงานให้ประสบผล สำเร็จอย่างจริงจังและต่อเนื่อง (2) การบริหารและการจัดการยังขาดประสิทธิภาพ ไม่มีความพร้อมและความ เพียงพอต่อสภาพความต้องการของเด็กด้อยโอกาส ทั้งไม่ทันต่อสถานการณ์ของสังคม (3) การจัดหลักสูตรและ กระบวนการเรียนรู้ยังไม่หลากหลายเพียงพอ และยังไม่สามารถสนองความต้องการของเด็กด้อยโอกาสได้อย่าง เหมาะสม และ (4) ขาดการระดมสรรพกำลังจากทุกส่วนของสังคม รวมทั้งการพัฒนาความร่วมมือในการจัดการ ศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาสยังทำได้น้อย |
|||||||||||||||
2234 | รายงานการพิจารณาศึกษาสภาพข้อเท็จจริงการเกิดอุบัติการณ์เครื่องบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ณ ท่าอากาศยานจังหวัดตรัง ของวุฒิสภา | สว | 17/06/2546 | ||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภารายงานการพิจารณาศึกษาสภาพข้อเท็จจริงการเกิดอุบัติ
การณ์เครื่องบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ณ ท่าอากาศยานจังหวัดตรัง ของคณะกรรมาธิการ การคมนาคม วุฒิสภา และมอบให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยผลการพิจารณาศึกษากรณีที่เครื่องบินของ บริษัท การบินไทย ฯ วิ่งออกนอกทางวิ่งเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2545 ทำให้ปีกทางด้านขวาเขี่ยทางวิ่งขณะทำการ ร่องลงที่สนามบินจังหวัดตรัง คณะกรรมาธิการ ฯ เห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงอุบัติการณ์ มิใช่อุบัติเหตุ ของเครื่องบิน เนื่องจากไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บและเครื่องบินมิได้เสียหายจนไม่สามารถปฏิบัติการบินได้ กรณีดัง กล่าวเกิดจากทัศนวิสัยในช่วงเช้าบริเวณท่าอากาศยานจังหวัดตรังไม่ดี และนักบินยังขาดเทคนิคทางการบิน รวม ทั้งคณะกรรมาธิการ ฯ เห็นชอบกับแนวทางแก้ไขปัญหาที่ให้มีการติดตั้งเครื่องมือนำร่อง (Instrument Landing System) ซึ่งจะช่วยให้เครื่องบินมีโอกาสทำการบินลงได้อย่างปลอดภัย กับให้นักบินและนักบินผู้ช่วยทำการฝึก บินเพิ่มเติมพร้อมทั้งอบรมความรู้ และข้อกำหนดต่าง ๆ ทางการบินอย่างเคร่งครัดก่อนออกปฏิบัติการบินตาม ปกติ |
|||||||||||||||
2235 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 556 ร. เรื่อง การปราบปรามการทุจริตโครงการว่าจ้างต่อเรือขุดของกรมเจ้าท่า) | สผ | 10/06/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 556 ร. เรื่อง
การปราบปรามการทุจริตโครงการว่าจ้างต่อเรือขุดของกรมเจ้าท่า ของนายนพดล อินนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) รัฐบาลโดย กระทรวงคมนาคมได้ติดตามตรวจสอบผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการเรือขุดหัวสว่านขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางท่อส่งดิน 28 นิ้ว ที่กรมเจ้าท่า โดยรัฐบาลในอดีตได้ลงนามในสัญญากับบริษัทเอลลิคอตต์ แมชชินคอร์ปอเรชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล แห่งสหรัฐอเมริกา มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 ซึ่งผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า การดำเนินงานของผู้รับผิดชอบในแต่ละ เรื่องแต่ละตอนในขณะนั้นเป็นเหตุให้กรมเจ้าท่าเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก แต่เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับ เรื่องร้องเรียนไว้ไต่สวนแล้ว กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี (กรมเจ้าท่า ในขณะนั้น) ได้ส่งข้อมูลไปให้คณะ กรรมการ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไปแล้ว (2) ถึงแม้ว่ายังไม่มีข้อยุติจากผลการสอบสวนของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในเรื่องดังกล่าว แต่ผลการสอบสวนของคณะกรรมการที่กระทรวงคมนาคมแต่งตั้งขึ้นสามารถ สรุปได้ว่า เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการทางวินัยกับ เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ โดยไม่ต้องรอผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. (3) รัฐบาลโดย กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีดำเนินการเร่งรัด ให้บริษัท ฯ ปฏิบัติตามสัญญามาเป็นลำดับ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสถานที่ต่อเรือ การให้บริษัท ฯ ต้องเสียค่าปรับ เพื่อชดเชยความเสียหาย และได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญา และบอกเลิก สัญญากับบริษัท ฯ โดยมอบให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการตามสัญญาและกฎหมาย และ (4) รัฐบาลได้ กำหนดนโยบายในการบริหารแผ่นดินตามข้อ 15.4 ซึ่งเป็นนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดย ดำเนินมาตรการลงโทษทางวินัยทางปกครอง ทางแพ่ง ทางอาญา และทางภาษีอย่างเด็ดขาด รวดเร็ว และเป็น ธรรมต่อผู้ทุจริต รวมทั้งได้มีการประกาศใช้ระเบียบต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดการทำงานอย่างถูกต้อง และโปร่งใส |
|||||||||||||||
2236 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ | สผ | 13/05/2546 | ||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ
การพาณิชย์ สภาผู้แทนราษฎร รวม 2 เรื่อง ได้แก่ ผลการพิจารณาศึกษาและติดตามปัญหาการส่งออก และปัญหาราคาอ้อยและน้ำตาลทราย และมอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งผลการพิจารณาศึกษา คณะกรรมาธิการ ฯ มีข้อสังเกตดังนี้ (1) ปัญหาการส่งออก รัฐควรสนับสนุนอย่างจริงจัง ให้คำแนะนำกับผู้ประกอบการภาคเอกชน และ ส่งเสริมซึ่งกันและกันทั้งภาครัฐและภาคเอกชน คิดหากลยุทธ์เชิงรุกเพื่อหาตลาดใหม่ พร้อมกับพัฒนาปรับปรุงเพื่อ รักษาตลาดเก่า มี Packing Center ตั้งตามจุดต่าง ๆ ในต่างจังหวัด กับมีหน่วยงานกลางทำหน้าที่วิจัยสินค้าและตัว เลขการผลิตของสินค้า และเป็นผู้ทำการตลาด ตลอดจนมีหน่วยงานที่ดูแลสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออกให้ชัดเจนใน หน่วยงาน และมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการผลิต เช่น มีการปลูกพืชทดแทนหลังการเก็บเกี่ยวพืชอีกชนิด โดยมีหน่วยงานกลางเพื่อเป็นศูนย์ประสานด้านนี้โดยเฉพาะ และ (2) ปัญหาราคาอ้อยและน้ำตาลทราย ควรมีการ ตรวจสอบต้นทุนการผลิตให้ถูกต้องเพื่อหาแนวทางแก้ไขให้เกษตรกรได้ลดต้นทุนการผลิตลงได้ และควรมีการลดต้น ทุนการผลิตของโรงงาน ส่วนในเรื่องการส่งออก ควรมีการเจรจาระหว่างประเทศเกี่ยวกับนโยบายการส่งของกลุ่ม WTO เพื่อนำมาพัฒนาแผนการส่งออกของประเทศ และควรมีการประสานงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนอย่าง เป็นรูปธรรม เพื่อร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหา และหามาตรการที่จะคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อยและน้ำตาลออก มาให้ชัดเจน รวมทั้งเพิ่มราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศขึ้นอีกกิโลกรัมละ 2 บาท โดยนำราคาที่ขึ้นนี้เข้ากองทุน อ้อยและน้ำตาลทราย |
|||||||||||||||
2237 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาปัญหาและผลกระทบจากธุรกิจการค้าปลีก | สผ | 13/05/2546 | ||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอรายงานผลการพิจารณา
ศึกษาปัญหาและผลกระทบจากธุรกิจการค้าปลีกของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ สภาผู้แทนราษฎร และมอบให้ สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกา รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี ต่อไป โดยผลการพิจารณาศึกษาปัญหาและผลกระทบจากธุรกิจการค้าปลีก คณะกรรมาธิการ ฯ ได้เสนอแนวทาง กำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ประกอบด้วย การเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันในการดำเนินธุรกิจ การขจัดความ เสียเปรียบระหว่างธุรกิจ โครงร่างของกฎหมาย และการป้องกันผลกระทบต่อชุมชนและสภาพแวดล้อม รวมทั้งมี ข้อเสนอแนะและข้อสังเกต โดยข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ ฯ เห็นควรให้เร่งดำเนินการออกกฎหมายว่าด้วย การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง และในระหว่างที่ยังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวให้รัฐชะลอหรือหยุดการขอ อนุญาตเปิดดำเนินการของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ไว้เป็นการชั่วคราว และให้พิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ส่วนข้อสังเกต คณะกรรมาธิการ ฯ มีข้อสังเกตว่า การที่รัฐบาลชะลอการเสนอ พระราชบัญญัติการค้าปลีกค้าส่งและใช้กฎหมายผังเมืองแทน รวมถึงการประกาศเขตการลงทุนของค้าปลีกขนาด ใหญ่เป็นการแก้ไขปัญหาในระดับหนึ่งเท่านั้น และปัญหาค้าปลีกเป็นปัญหาที่มีหลายระดับปัญหา การเสนอกฎ หมายจึงมีความจำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งระบบ นอกจากนี้ ในด้านการค้าปลีกรายย่อยในต่างประเทศ รัฐบาลจะ ต้องมีบทบาทอย่างสำคัญในการสนับสนุนคนไทยที่ไปค้าขายยังต่างประเทศในลักษณะผู้ค้าปลีกรายย่อย โดยจัด ตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ เพื่อให้เกิดการซื้อขายอย่างเป็นระบบ และมีการจัดการที่ดีเป็นการนำเงินตรา เข้าสู่ประเทศอีกทางหนึ่ง
|
|||||||||||||||
2238 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | สผ | 13/05/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการพิจารณาศึกษาของ
คณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร รวม 2 เรื่อง ได้แก่ รายงานผลการ พิจารณาศึกษา เรื่อง ราษฎรคัดค้านโครงการกำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลนครอุบลราชธานี และปัญหาความเดือด ร้อนของราษฎร อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ จากการปล่อยน้ำเสียของโรงงาน บริษัท สยามพรหมประทาน จำกัด และมอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งผลการพิจารณาศึกษา คณะกรรมาธิการ ฯ มีแนวทางแก้ไขปัญหาและข้อเสนอ แนะดังนี้ (1) กรณีราษฎรคัดค้านโครงการกำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลนครอุบลราชธานี เทศบาลอาจดำเนินการต่อ ณ ที่เดิมได้ โดยทำการศึกษาและคำนวณค่าใช้จ่ายในการสร้างทำนบป้องกันน้ำท่วมบ่อขยะ และยกระดับถนนให้ สูงเพื่อป้องกันน้ำท่วม โดยให้มีคณะกรรมการร่วมในการกำกับดูแลการดำเนินการจัดการขยะอย่างมีมาตรฐาน แต่ ถ้าศึกษาดูแล้วไม่คุ้มค่าที่จะลงทุนเพิ่ม ก็ควรหาที่ทิ้งขยะที่ใหม่ ส่วนการขอใช้พื้นที่ทิ้งขยะของเทศบาลเมืองวารินชำ ราบ ซึ่งมีการจัดการขยะที่ดีอยู่แล้ว โดยก่อนการดำเนินการใด ๆ เทศบาลต้องทำการประชาสัมพันธ์และทำความ เข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ก่อน และต้องมีการดำเนินการให้ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง และ (2) กรณีปัญหาความ เดือดร้อนของราษฎรในอำเภอสันกำแพงจากการปล่อยน้ำเสียของโรงงานบริษัท ฯ ควรมีการตรวจสอบการได้ใบ รับรองระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยตามมาตรฐานไอเอสโอของโรงงานบริษัท ฯ สำหรับหน่วย งานต่าง ๆ ของภาครัฐ ควรกำหนดเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำบริโภคและคุณภาพน้ำทิ้งให้เป็นเกณฑ์มาตรฐาน เดียวกัน และตรวจสอบความเที่ยงตรงของเครื่องมือเครื่องใช้ในการตรวจสอบ กับให้โรงงานบริษัท ฯ เพิ่มกระบวน การบำบัดทางเคมีเพิ่มเติม เพื่อบำบัดน้ำเสียก่อนที่จะมีการบำบัดต่อไปด้วยระบบบำบัดทางชีวภาพ และหากพิสูจน์ ได้ว่า บ่อน้ำตื้นและบ่อบาดาลของชาวบ้านได้รับการปนเปื้อนจากการซึมของน้ำเสียจากบ่อบำบัดน้ำเสียของโรง งานบริษัท ฯ ควรให้ทางโรงงานรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม ดำเนินการอย่างเฉียบขาดกับโรงงานที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่วางไว้ |
|||||||||||||||
2239 | รายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจัดหางานและคุ้มครองคนหางานที่ไปทำงานต่างประเทศ ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 | สผ | 13/05/2546 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การจัดหางานและคุ้มครองคนหางานที่ไปทำงานต่างประเทศ ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคน หางาน พ.ศ. 2528 ของคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร และมอบให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยคณะกรรมาธิการ ฯ ได้พิจารณาศึกษาเรื่องดังกล่าวแล้วมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ดังนี้ (1) การแก้ไขปัญหา การหลอกลวงแรงงานไปทำงานในต่างประเทศด้วยกระบวนการบริหารแบบองค์รวมจะสามารถสร้างประสิทธิภาพ ของระบบการจัดส่งแรงงานไปต่างประเทศที่มีลักษณะแตกแยกอยู่เดิมโดยผสมผสานให้เกิดการดูแลที่ครบวงจร และ แนวคิดของการปฏิบัติงานในรูปแบบขององค์กรอิสระในภาครัฐ จะสร้างความเชื่อถือให้แก่แรงงานผู้ประสงค์จะเดิน ทางไปทำงานในต่างประเทศ และมีความคล่องตัวในการบริหารแบบเอกชน (2) บรรษัทกลางจัดส่งแรงงานไทยไป ทำงานต่างประเทศ (บจต.) ที่จะจัดตั้งขึ้น จะต้องมีการตรายกร่างพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 แต่จำเป็นจะต้องยกเลิกหรือปรับปรุงพระราชบัญญัติ ฯ ที่เกี่ยวข้องบ้าง แล้วนำมาควบรวมการจัดกรอบ การดำเนินการด้วยการตราพระราชบัญญัติขึ้นมาใหม่ ยกเลิกของเดิม และควรมีชื่อที่ให้ความหมายกว้าง ให้ครอบ คลุมการบริหารจัดการแรงงานไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศ และแรงงานต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทย อาจมี ชื่อว่า "บรรษัทแรงงานสากลแห่งประเทศไทย" (Thai International Work Forces Corporation : T.W.F.C) และ (3) จากปัญหาที่ประชาชนจำนวนหนึ่งได้ถูกหลอกลวงและสูญเสียถึงขั้นล้มเหลวด้านเศรษฐกิจ การดำเนินการของภาค รัฐในขณะนี้ หากมีความเป็นไปได้ เมื่อระบบรัฐต่อรัฐ ได้โควต้าแรงงานต่างประเทศมา ให้ช่วยเหลือกลุ่มแรงงานที่ ถูกหลอกลวงนี้ให้ได้ไปทำงานก่อนเพื่อชำระหนี้สิน สำหรับบริษัทเอกชนที่ประกอบธุรกิจจัดหางาน ยังคงสามารถ ประกอบธุรกรรมต่อได้ภายใต้การควบคุมดูแลของบรรษัทแรงงานสากล ฯ และจะช่วยสร้างระบบการขยายตลาด แรงงานให้กว้างขวางออกไปนอกจากระบบรัฐต่อรัฐแล้ว จะต้องมีระบบของรัฐต่อบริษัทเอกชนด้วย |
|||||||||||||||
2240 | รายงานผลการศึกษาและพิจารณาปัญหาการบริหารงานกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ส่งผลกระทบต่อประชาชน | สผ | 06/05/2546 | ||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการศึกษาและพิจารณา
ปัญหาการบริหารงานกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ส่งผลกระทบต่อประชาชน ของคณะกรรมาธิการการแรง งาน สภาผู้แทนราษฎร และมอบให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนัก เลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยผลการศึกษาและพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้น คณะ กรรมาธิการ ฯ ได้แยกประเด็นการพิจารณาทั้งหมด 7 กรณี ได้แก่ (1) ปัญหาการหลอกลวงคนหางานไปทำงานต่าง ประเทศ พบพฤติกรรมของข้าราชการการเมือง และข้าราชการระดับสูง และข้าราชการมีความเกี่ยวข้องกับการทุจริต การจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ (2) กรณีบ้านรักดอยที่มีการร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการ ฯ ขอให้ทำ การตรวจสอบการถือครองที่ดินและการปลูกสร้างบ้านพักตากอากาศ จำนวน 3 หลัง ในพื้นที่อำเภอแม่แตง จังหวัด เชียงใหม่ ซึ่งน่าสงสัยว่าจะอยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขาดอยเชียงดาว และเป็นเขตพื้นที่ต้นน้ำชั้น 1 ซึ่ง ห้ามถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดิน (3) ผลการพิจารณาเรื่องโครงการจัดทำบัตรสมาร์ทการ์ด พบว่า เป็นโครงการที่ มีความรีบเร่งดำเนินการ และมีการเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชนบางแห่ง (4) ผลการพิจารณาเรื่องการใช้จ่ายเงิน กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ พบข้อบกพร่องของการใช้เงินกองทุนดังกล่าว (5) ผลการ พิจารณาเรื่องการทำบัตรแรงงานต่างด้าวพบข้อบกพร่องและการส่อเจตนาทุจริตในการทำบัตรแรงงานต่างด้าว (6) ผลการพิจารณาเรื่องโครงการเช่าระบบเครือข่ายสื่อสารข้อมูล เห็นว่า ระบบเครือข่ายดังกล่าวยังไม่คุ้มค่าใช้จ่ายและ ประโยชน์ของกระทรวงแรงงาน ฯ และ (7) กรณีความล้มเหลวในการบริหารกระทรวงแรงงาน ฯ ซึ่งเกิดความขัด แย้งในการทำงานตั้งแต่ระดับนโยบายการบริหารงาน ระหว่างฝ่ายการเมืองกับปลัดกระทรวง ฯ และระหว่างปลัด กระทรวง ฯ กับข้าราชการ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อการบริหารนโยบายแรงงาน และการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราช การทุกระดับ |
.....