คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำตอบกระทู้ถามที่ 601 ร. เรื่อง การทุจริตรับจำนำข้าวเปลือก (สต๊อคลม)  
ของนายอำนวย คลังผา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี ซึ่งถามว่า  ได้เกิดการทุจริตในการรับจำนำข้าว
เปลือกที่ใดบ้าง  และมีการดำเนินการกับผู้กระทำความผิดอย่างไร  แ ละรัฐบาลมีมาตรการใดที่จะทำให้การรับ
จำนำข้าวเปลือกเป็นไปอย่างโปร่งใส และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ  และให้ประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการปฏิบัติการป้องปรามการละเมิด
ทรัพย์สินทางปัญญา ประจำเดือนมีนาคม 2545  ซึ่งผลจากการสำรวจตลาดสินค้ารวม  6  แห่ง  พบร้านค้า
/แผงลอยที่จำหน่ายสินค้าที่น่าสงสัยว่าจะละเมิดทรัพย์สินทางปัญญารวม 324 ร้าน/แผง (สำรวจครั้งที่แล้ว
472  ร้าน/แผง) ส่วนแหล่งจำหน่ายสินค้าย่านคลองถม  ศูนย์การค้าตะวันนา  รวมไปถึงศูนย์การค้ามาบุญ
ครอง มีแนวโน้มการจำหน่ายแผ่นซีดีที่น่าสงสัยว่าจะเมิดทรัพย์สินทางปัญญาลดลง รวมทั้งการสำรวจตลาด
สินค้าในต่างจังหวัด มีแนวโน้มการจำหน่ายสินค้าที่น่าสงสัยว่าจะละเมิดเครื่องหมายการค้าลดลง  เนื่องจาก
มีการกวดขันจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ การจับกุมการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในเดือน
มีนาคม 2545 สามารถจับกุมผู้กระทำละเมิดได้ 352 ราย  ยึดของกลางได้  242,884  ชิ้น  โดยเป็นการจับ
กุมแหล่งเก็บสินค้าละเมิด 14 แห่ง โรงงานผลิตสินค้าละเมิด  8  แห่ง  เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว
คิดเป็นคดีที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.93 และจำนวนของกลางเพิ่มขึ้นร้อยละ 81.22  โดยสินค้าละเมิดที่ยึดได้  เช่น
วีดีโอเทป ซีดีเพลง ซีดีภาพยนตร์ ซอฟแวร์ เสื้อผ้า เครื่องหนัง และนาฬิกา เป็นต้น

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการเบิกจ่ายเงินภาครัฐในปีงบประมาณ
พ.ศ. 2545  ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2545  และผลการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่าย
ลงทุนของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจภายในไตรมาสที่ 2  ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2545  โดยในส่วนของเงินงบ
ประมาณ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลัง 531,581 ล้านบาท  หรือร้อยละ  51.96  ของวงเงิน
งบประมาณ (1,023,000  ล้านบาท) จำแนกเป็นการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ  431,635  ล้านบาท  และราย
จ่ายลงทุน 99,946 ล้านบาท  ส่วนการเบิกจ่ายงบลงทุนของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบลงทุนเกิน 1,000 ล้าน
บาทจำนวน 26 แห่ง  มีจำนวน  72,989  ล้านบาท  การเบิกจ่ายเงินงบประมาณของโครงการถ่ายโอนงาน/กิจ
กรรมสาธารณะให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีจำนวน 13,468 ล้านบาท   การเบิกจ่ายเงินงบประมาณงบ
กลาง  รายการค่าใช้จ่ายสำรองกระตุ้นเศรษฐกิจ มีการเบิกจ่ายเงินแล้วจำนวน  8,518  ล้านบาท  การเบิกจ่าย
เงินนอกงบประมาณ กองทุนและเงินทุนหมุนเวียนมีการเบิกจ่ายเงินจำนวน 92 กองทุน  เป็นเงิน 73,978 ล้าน
บาท การเบิกจ่ายเงินกู้ต่างประเทศมีการเบิกจ่าย 29,162 ล้านบาท  รวมทั้งการเบิกจ่ายเงินของรัฐวิสาหกิจ มี
การเบิกจ่าย  780,012  ล้านบาท สำหรับผลการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายลงทุนของส่วนราชการและ
รัฐวิสาหกิจภายในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ  พ.ศ. 2545  จำนวน  149  หน่วยงาน  ได้รับรายงาน  144 
หน่วยงาน วงเงิน 147,002 ล้านบาทสามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในไตรมาสที่ 2 โดยมีหน่วยงานที่สามารถ
ก่อหนี้ผูกพันได้ทั้งหมดจำนวน 36 หน่วยงาน ไม่สามารถก่อหนี้ได้ทัน 7 หน่วยงาน   และยังไม่ได้ส่งรายงานผล
การก่อหนี้ 5 หน่วยงาน ทั้งนี้ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในไตรมาสที่ 2  สามารถก่อ
หนี้ผูกพันได้ต่ำกว่าวงเงินงบประมาณที่ได้รับ ซึ่งกระทรวงที่มีการก่อหนี้ผูกพันได้สูงสุด ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย 
และกระทรวงพาณิชย์ก่อหนี้ผูกพันได้ต่ำสุด

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การเร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับเขตการค้าเสรี (Free Trade Area-FTA)
โดยให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาจัดตั้งคณะทำงานเป็นชุด ๆ ให้มีจำนวนพอเพียง เพื่อให้สามารถดำเนินการ
เจรจากับประเทศต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ  โดยให้ข้าราชการเป็นหลัก  และจ้างภาคเอกชน
เสริม ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเตรียมการเพื่อรองรับผลผลิตลำไย โดยให้รัฐมนตรีช่วยว่าการ
กระทรวงพาณิชย์ (นายสุวรรณ วลัยเสถียร) รับไปพิจารณาร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร
และสหกรณ์ (นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวราเทพ
รัตนากร) เพื่อกำหนดมาตรการรองรับไว้แต่เนิ่น ๆ เช่น การเพิ่มจุดรับจำนำ  การส่งเสริมให้มีการแปร
รูป ได้แก่ ทำลำไยอบแห้ง  โดยอาจให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสนับสนุนเงินทุน
สำหรับผู้ประกอบกิจการโรงงานอบลำไย และให้กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนต้นทุนก๊าซที่จะใช้อบ
ลำไย ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรีกระทรวงการค้าของออสเตรเลีย  (Mr. Mark Vaile)  โดยทั้งสองฝ่ายได้
แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่าง ๆ ในด้านความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ และเห็นพ้องกันถึงการทำความตกลง
การค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย จะส่งผลให้เกิดการขยายตัวของการค้าและการลงทุน  ทั้งนี้  กระทรวงพาณิชย์
ได้แจ้งให้ออสเตรเลียทราบถึงการจัดทำความตกลงดังกล่าวว่า  ควรมีผลในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่อการ
ส่งสินค้าเกษตรของไทยเข้าสู่ตลาดออสเตรเลีย    โดยออสเตรเลียผ่อนคลายมาตรการด้านสุขอนามัยที่เข้ม
งวด  และให้ใช้คำว่า ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด  (Closer Economic Relations : CER)  แทนคำว่า
Free Trade Area  (FTA)  ทั้งนี้  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมลงนามกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
การค้าของออสเตรเลียใน Joint Ministerial Record  รวมทั้งเสนอแนะให้นายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศ
ประกาศให้เริ่มกระบวนการเจรจาในระหว่างการเยือนออสเตรเลียของนายกรัฐมนตรีไทยในปลายเดือน
พฤษภาคมศกนี้

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์  เรื่อง  การส่งออกไปนอกและการ
นำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสารกาเฟอีน (Caffeine) พ.ศ. ....  (กำหนดให้สารกาเฟอีน (Caffeine) และเกลือ
ของสารดังกล่าวตามพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่  2939.30   และ  3003.40  เฉพาะที่เป็นเภสัชเคมีภัณฑ์
หรือเภสัชเคมีภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปของสารกาเฟอีน หรือเกลือของสารกาเฟอีน  ไม่รวมถึงอนุพันธ์ของสารกาเฟอีน
เกลือของอนุพันธ์ของสารกาเฟอีน ยาสำเร็จรูปพร้อมใช้ที่มีใบอนุญาตนำเข้าและขึ้นทะเบียนตำรับยาจากสำนัก
งานคณะกรรมการอาหารและยา  กระทรวงสาธารณสุข   เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตส่งออกไปนอกราชอาณา
จักรและขออนุญาตนำเข้ามาในราชอาณาจักร  โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป)  และร่างระเบียบกระทรวงพาณิชย์  ว่าด้วยหลักเกณฑ์  วิธีการ   และเงื่อนไขการส่งออกไปนอกและ
การนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสารกาเฟอีน (Caffeine) พ.ศ. ....  (กำหนดคำร้องขอรับใบอนุญาตส่งสินค้า
ออกไปนอกราชอาณาจักร และคำร้องขอรับใบอนุญาตนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร และให้อธิบดีกรมการ
ค้าต่างประเทศรักษาการตามระเบียบนี้    โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็น
ต้นไป)  ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ  และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา  แล้วดำเนิน
การต่อไปได้ โดยให้มีผลใช้บังคับพร้อมกัน

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานการประชุมพิจารณาโครง
การแก้ไขปัญหายาปฏิชีวนะตกค้างในสินค้ากุ้งและไก่เพื่อส่งออกของไทย  เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2545
โดยมี  ฯพณฯ รองนายกรัฐมนตรี  (นายพิทักษ์  อินทรวิทยนันท์)  เป็นประธานในที่ประชุม  รัฐมนตรีว่า
การกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายชูชีพ หาญสวัสดิ์) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นาย
สุรพงศ์  สืบวงศ์ลี) และเจ้าหน้าที่จากหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม  โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ
ให้กรมปศุสัตว์และกรมประมงจัดซื้อเครื่องมือ LC-MS-MS รวมทั้งให้จัดซื้อเครื่องมืออื่น ๆ  ที่จำเป็น เพื่อ
ตรวจวิเคราะห์สารตกค้างทั้งในไก่ กุ้ง และผลิตภัณฑ์  และให้จัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวในการดำเนินโครงการ
ตามที่กำหนดไว้ในโครงการ กับให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาดำเนินการควบคุมยา 4 ชนิด
ที่สำนักงานคณะกรรมการ ฯ จะถอนทะเบียนตำรับ ได้แก่ โรนิดาโซล ไดมิไตรดาโซล ฟิวราโซลิโดน และ
ไนโตรฟูราโซน  ทั้งนี้  ให้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ ให้มีการเรียกเก็บคืนยากลับโดย
สมัครใจ  โดยรัฐบาลไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย   ตรวจจับผู้ฝ่าฝืนอย่างจริงจัง   และให้แจ้งผู้ว่าราชการจังหวัด
เพื่อช่วยสั่งการให้มีการควบคุมในพื้นที่    ตลอดจนกำหนดมาตรการและขั้นตอนในการควบคุม   นำเข้า
จำหน่าย จ่ายแจก ยา เภสัช เคมีภัณฑ์ เกลือของเภสัชเคมีภัณฑ์ และเภสัชเคมีภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป ตามร่าง
ประกาศกระทรวงพาณิชย์ อย่างชัดเจน

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปเยือนประเทศบาห์เรนของรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้แทนจากภาครัฐและเอกชนของไทย ระหว่างวันที่ 29 เมษายน - 2 พฤษภาคม
2545  เพื่อเจรจาและแลกเปลี่ยนประเด็นสำคัญด้านการค้า เศรษฐกิจ และการลงทุน ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์
การค้าและกระจายสินค้าไทยในบาห์เรน การส่งเสริมให้ประเทศไทยและบาห์เรนเป็น Gateway  ของแต่ละ
ภูมิภาคของประเทศทั้งสอง การจัดทำเขตการค้าเสรีไทย-บาห์เรน การจัดตั้งสภาธุรกิจร่วม และการเจรจา
เรื่องอื่น ๆ  ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ   โดยเห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้ง
ศูนย์การค้าและกระจายสินค้าไทยในบาห์เรน  และการลงนามในบันทึกดังกล่าว  ส่วนเรื่อง การสนับสนุน
ให้ไทยไปทำการก่อสร้างสำหรับโครงการต่าง ๆ ด้านสาธารณูปโภคของบาห์เรน และบริการต่าง ๆ  การ
ขอยกเว้นให้ประชาชนชาวบาห์เรนในการเดินทางมาประเทศไทยโดยไม่ต้องขอวีซ่า  รวมทั้งให้การบินไทย
บินไปลงบาห์เรน และใช้เป็นศูนย์กลางในกลุ่มอาหรับ ให้กระทรวงพาณิชย์แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับ
ไปพิจารณาดำเนินการ โดยประสานกับฝ่ายบาห์เรนเพื่อให้มีความคืบหน้าในการดำเนินการต่อไป

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ตัดข้อความในหนังสือกระทรวงพาณิชย์ ด่วนที่สุด  ที่ พณ 0410/
1675 ลงวันที่ 3  พฤษภาคม  2545  หน้า 2  ข้อ  2.6.2  "ขอรับการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อภายใต้เงื่อนไข
พิเศษ 10,000 ล้านบาท" ออก ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายเนวิน  ชิดชอบ) เสนอเพิ่ม
เติม   และเห็นชอบโครงการสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ค้าปลีกรายย่อย และอนุมัติให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามที่
กระทรวงพาณิชย์เสนอ สำหรับงบประมาณดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 
จำนวน 395 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการ ระยะเวลา 3 ปี ส่วนการจัดตั้งองค์กรรวมค้าปลีก  ให้กระทรวงพา
ณิชย์ไปหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมและแนวทางที่เป็นไปได้ ทั้งนี้ 
ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี  (เกี่ยวกับร้านค้าในโครงการ ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกรายย่อย 
ควรเน้นสินค้าของโครงการหนึ่งตำบล  หนึ่งผลิตภัณฑ์  สินค้าเกษตรที่รัฐบาลแทรกแซง   ตลอดจนสินค้าใน
เครือข่ายระบบสหกรณ์   สำหรับการฝึกอบรม ควรให้ความรู้ด้านบริหารจัดการร้านค้าปลีกสมัยใหม่   โดย
เน้นการให้บริการ      ตลอดจนเทคนิควิธีการในการต้อนรับและเจรจากับลูกค้าของร้านค้าที่ร่วมโครงการ
รวมทั้งให้มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับระบบบัญชีและการเงินที่ถูกต้อง   การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่    ตลอดจน
ให้คำแนะนำและกำหนดรูปแบบการปรับปรุงและตบแต่งร้านค้าปลีกเพื่อเป็นการดึงดูดและเชิญชวนลูกค้า
ควรประสานกับหน่วยงานที่กำกับดูแลสื่อของรัฐ  เช่น  กรมประชาสัมพันธ์ องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประ
เทศไทย เพื่อร่วมมือและให้การสนับสนุนการประชาสัมพันธ์โครงการนี้อย่างต่อเนื่อง    และให้แต่งตั้งคณะ
กรรมการเพื่อกำกับ   ดูแล   เสนอแนะ   และติดตามการดำเนินการโครงการนี้   โดยมีรองนายกรัฐมนตรี 
(นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธาน กระทรวงพาณิชย์ เป็นเจ้าภาพ  ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังประสาน
กับธนาคารออมสินเพื่อสนับสนุนร้านค้าปลีกที่เข้าร่วมโครงการด้วย) ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งไม้ยางพาราออกไปนอกราช
อาณาจักร  พ.ศ. ....  (กำหนดให้ไม้ยางพาราทั้งไม้ซุงและไม้แปรรูปเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการส่งออก
ไปนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ในกรณีที่เป็นไม้ยางพาราที่ได้จัดทำจนเป็นของสำเร็จรูปซึ่งไม่เหมาะสมที่จะนำ
ไปแปรรูปเป็นอย่างอื่น รวมทั้งขี้เลื่อยและเศษไม้ยางพาราไม่ว่าจะเกาะหรือติดรวมกันเป็นท่อน ก้อน เพลเลต
(Pellets) หรือลักษณะที่คล้ายกันหรือไม่ก็ตาม และกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุญาตส่ง
ออก)  และร่างระเบียบกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยเอกสารหรือหลักฐานประกอบคำขออนุญาตส่งไม้ยางพารา
ออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ....  (กำหนดให้การขออนุญาตส่งออกไม้ยางพาราจะต้องยื่นคำร้องขอรับใบ
อนุญาตส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร พร้อมกับแนบเอกสารหรือหลักฐานที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ
ประเภท  ชนิด  ปริมาณ  ราคา  มูลค่า  ชื่อผู้ซื้อ และประเภทปลายทางของไม้ยางพาราที่จะส่งออก ซึ่งได้แก่
สำเนาใบกำกับสินค้า   สำเนาใบสั่งซื้อ  หรือเอกสารทางการค้าอื่นใดที่แสดงรายละเอียดดังกล่าว)  รวม  2 
ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนิน
การต่อไปได้ โดยให้ร่างระเบียบมีผลใช้บังคับพร้อมกับร่างประกาศ  และให้กระทรวงพาณิชย์  กระทรวงการ
คลัง  และกระทรวงอุตสาหกรรม รับความเห็นของคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการจัดหาแหล่งเงินทุนในการสนับ
สนุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนไปร่วมกันพิจารณาดำเนินการต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่ง
รัดดำเนินการกำหนดกลยุทธ์นำเข้าและส่งออก  โดยให้เชิญกระทรวงพาณิชย์  กระทรวงอุตสาหกรรม  และ
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ร่วมพิจารณา  และให้รองนายกรัฐมนตรี  (นายสมคิด  จาตุศรี
พิทักษ์)  เป็นผู้ประสานและติดตาม  แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน   ทั้งนี้  ให้รับข้อสังเกตไปประกอบ
เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ด้วย  โดยกลุ่มสินค้านำเข้า ควรวิเคราะห์ว่าสินค้านำเข้าชนิดใดที่ประเทศไทยมี
ศักยภาพที่จะผลิตทดแทนการนำเข้าได้ หากมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปส่งเสริมและสนับสนุน หรือสินค้า
ชนิดใดสามารถใช้วิธีการแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกันได้  ส่วนกลุ่มสินค้าส่งออก ควรวิเคราะห์ว่าสินค้าที่
ส่งออกเป็นสินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local Content) มากน้อยเพียงใด  โดยให้มุ่งเน้นวิเคราะห์
สินค้าส่งออกที่ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศจำนวนมากเป็นสำคัญ เพื่อการสนับสนุนและส่งเสริมต่อไป ตาม
ที่นายกรัฐมนตรีเสนอ

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำตอบกระทู้ถามที่ 345 ร. เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาสารเคมี
ปนเปื้อนในซอสถั่วเหลือง ของนายนพดล อินนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บัญชีรายชื่อ) ซึ่งถามว่า
กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดแผนงานและมาตรการในการควบคุมดูแลให้ผู้ประกอบการปรับปรุง
การผลิตสินค้าต่าง ๆ  ที่พบว่ามีปัญหาสารเคมีปนเปื้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือซอสถั่วเหลืองให้มีคุณ
ภาพในระดับมาตรฐานสากลอย่างไร เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค และเพื่อส่งเสริมการส่งออกไป
ต่างประเทศ  กระทรวงพาณิชย์ได้มีการกำหนดแผนงานและมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไว้อย่างไร
และรัฐบาลได้มีการศึกษากฎ ระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ เพื่อป้องกันปัญหาระงับ
การนำเข้าสินค้าบริโภคต่าง ๆ  ซึ่งอาจส่งผลต่อดุลการค้าและภาพลักษณ์ของประเทศไว้อย่างไรบ้าง  
กระทรวงสาธารณสุขได้มีการประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง   เช่น    กรมวิทยาศาสตร์การ
แพทย์  สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา  (อย.)  เพื่อทำการตรวจสอบและควบคุมสารเคมีดัง
กล่าวให้ได้มาตรฐานตามระดับที่ประเทศผู้นำเข้ากำหนดไว้อย่างไรบ้าง  ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี
เสนอ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งออกไปนอก
และการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสารโพแทสเซียมเพอร์แมงกาเนต (Potassium Permanganate)
พ.ศ. 2545 (กำหนดให้สารโพแทสเซียมเพอร์แมงกาเนตเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการส่งออกไป
นอกราชอาณาจักร   และกำหนดให้ผู้นำเข้าต้องจดแจ้งการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ขอนำเข้ากับกรมการค้า
ต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์  และต้องแจ้งการนำเข้าก่อนวันที่นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาในราชอาณา
จักร) กับเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการ
ส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร  ซึ่งสารโพแทสเซียมเพอร์แมงกาเนต  (Potassium
Permanganate)  พ.ศ. 2545  (กำหนดขั้นตอนเกี่ยวกับการส่งสารโพแทสเซียมเพอร์แมงกาเนตออก
ไปนอกราชอาณาจักร  และการนำเข้ามาในราชอาณาจักร)  รวม  2  ฉบับ   ตามที่กระทรวงพาณิชย์
เสนอ โดยให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิ
การคณะรัฐมนตรี  (การกำหนดให้ผู้นำสารโพแทสเซียมเพอร์แมงกาเนตเข้ามาในราชอาณาจักรต้อง
แจ้งการนำเข้ากับกรมการค้าต่างประเทศ ตามแบบที่กรมการค้าต่างประเทศกำหนด ซึ่งกฎกระทรวง
ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2523) ฯ ข้อ 4 (6) และตามพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาใน
ราชอาณาจักรซึ่งสินค้า  พ.ศ. 2522  มาตรา  5  (2)  (6)  อันเป็นบทอาศัยอำนาจในการออกร่าง
ระเบียบฉบับนี้ไม่ได้กำหนดให้มีการแจ้งการนำเข้าในเรื่องนี้ไว้ สมควรพิจารณาว่า กรณีดังกล่าวจะมี
อำนาจสั่งให้กระทำได้หรือไม่ หรือจะต้องระบุข้อกฎหมายอื่นเพิ่มเติมเพื่อให้มีอำนาจกระทำได้)  ไป
พิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้

            รับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร
ตกต่ำ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมทั้งข้อสังเกต โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า  เนื่องจาก
สินค้าทางการเกษตรมีอยู่หลายชนิดและประเด็นปัญหามีหลากหลาย จึงได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการ
เพื่อพิจารณาศึกษาปัญหาดังกล่าวขึ้นรวม  8  คณะ เพื่อศึกษาปัญหาทั้งในด้านสภาพปัญหาแนวทางแก้ไข
ปัญหาทั้งระยะสั้น   ระยะกลาง   และระยะยาว   และแบ่งการพิจารณาศึกษาปัญหาออกเป็น 5 ภาค 
ประกอบด้วย คณะอนุกรรมาธิการ ฯ ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง  และภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ และพิจารณาศึกษาปัญหาเฉพาะเรื่อง  คือ  ปัญหาราคาสับปะรด  ปัญหาราคามันสำปะหลังและ
ข้าวโพด  ปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาแพง  ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ  ได้มีข้อสังเกตและข้อ
เสนอแนะต่าง ๆ  เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา   ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
และมอบให้กระทรวงการคลัง  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์   กระทรวงมหาดไทย   กระทรวงพาณิชย์   และ
สำนักงบประมาณ รับไปพิจารณาดำเนินการ   แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบเพื่อนำเสนอ
คณะรัฐมนตรีต่อไป

              รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาเรื่อง  แนวทางการแก้ไขปัญหาการผลิต การตลาดไข่ไก่
ของเกษตรกรอย่างยั่งยืน  พร้อมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ 
วุฒิสภา  โดยคณะกรรมาธิการ ฯ  พิจารณาแล้วเห็นว่า  ปัญหาไข่ไก่ในประเทศไทยเป็นปัญหาในด้านการ
ผลิตที่ไร้เสถียรภาพของปริมาณการผลิต  ซึ่งนำมาสู่การไร้เสถียรภาพทางด้านราคา  ทำให้เกิดการ
ขาดทุนและเกิดความเดือดร้อนในผู้ผลิต ส่วนในด้านการบริโภคของประชาชนที่มีรายได้ต่ำขาดอำนาจการซื้อ
เพื่อการบริโภค  และจากการศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว  โดยศึกษาจากสถานการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริง 
รวบรวมข้อมูลเพื่อกำหนดประเด็นปัญหา รวมทั้งจัดประชุมสัมมนาในการระดมข้อคิดเห็นจากบุคลากรที่เกี่ยว
ข้อง  และจากเอกสารของหน่วยงานต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้อง   จึงได้ข้อสรุปที่ทุกฝ่ายต้องการให้ภาครัฐดำเนินการ
แก้ไขปัญหาดังกล่าว และมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาเสนอต่อวุฒิสภาพิจารณา  ตามที่สำนักงานเลขาธิ
การวุฒิสภาเสนอ    และมอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาดำเนินการ
แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปผลการประชุมทวิภาคีระหว่าง
ประเทศไทยกับสหรัฐ ฯ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2545 ณ กรุงเทพ ฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และผู้แทนการค้าสหรัฐ ฯ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนสหรัฐ ฯ ซึ่งสาระสำคัญของ
การประชุม ฯ  ได้แก่  การหารือเรื่องการจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างไทย-สหรัฐ ฯ  ในการนี้ สหรัฐ ฯ ได้
เสนอร่างกรอบความตกลงเพื่อขยายการค้าและการลงทุน โดยจัดตั้ง Joint Council เพื่อเป็นกลไกในการ
แก้ไขปัญหาอุปสรรค และขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน   รวมทั้งเพื่อพิจารณาเรื่องการจัด
ตั้งเขตการค้าเสรี (Free Trade Area) ระหว่างกันต่อไป  ซึ่งคาดว่าจะสรุปผลการเจรจาจัดทำ Framework
Agreement  ในการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคในเดือนพฤษภาคม  นอกจากนี้  ทั้งสองฝ่ายได้หารือใน 
ประเด็นการค้า โดยประเด็นที่ฝ่ายไทยเสนอ ได้แก่ การขอให้สหรัฐ ฯ ยกเว้นการจัดเก็บภาษี Safeguard
กับสินค้าเหล็กที่ส่งออกจากไทย การแก้ไขปัญหาเรื่องการดัดแปลงพันธุ์ข้าวหอมมะลิ  ความร่วมมือด้าน
การค้าข้าว  การส่งออกเนื้อไก่ไปสหรัฐ ฯ  การแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา  การ
ต่ออายุกฎหมาย Andean Trade  Preference  Act  (ATPA)  และการเรียกเก็บภาษีอากรทุ่มตลาด (AD)
สับปะรดกระป๋อง

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปผลการประชุมระหว่างรัฐมนตรี
เศรษฐกิจอาเซียนกับผู้แทนการค้าสหรัฐ ฯ (AEM-USTR Consultations) เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2545 ณ
กรุงเทพ ฯ  โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และผู้แทนการค้าสหรัฐ ฯ
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนสหรัฐ ฯ ซึ่งสาระสำคัญของการประชุม ฯ ประเทศสมาชิกอาเซียนได้สนับสนุนข้อ
เสนอของฝ่ายไทยที่ให้มีการจัดประชุมระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับผู้แทนการค้าสหรัฐ ฯ  เป็น
ประจำ รวมทั้งได้เสนอให้สหรัฐ ฯ ให้ความช่วยเหลือสร้างศักยภาพแก่อาเซียน (Capacity building) โดย
เฉพาะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการถ่ายทอดเทคโนโลยีในสาขาการอำนวยความสะดวกทางการ
ค้า นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับรองแผนการดำเนินงาน (Work Program) ระหว่างอาเซียนกับสหรัฐ ฯ ใน
สาขาความร่วมมือต่าง ๆ และพิจารณาข้อเสนอของสภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐ ฯ (ASEAN-US Business
Council) ที่จะให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน-สหรัฐ ฯ  เพื่อเป็นช่องทางการขยายการค้า การลง
ทุนและความร่วมมือต่าง ๆ ระหว่างกัน สำหรับการเจรจาการค้ารอบใหม่ในเวที WTO สหรัฐ ฯ ได้แสดง
ความชื่นชมในความร่วมมือของอาเซียนในการผลักดันให้สามารถเปิดการเจรจาการค้ารอบใหม่ขึ้นได้
และยืนยันที่จะให้การสนับสนุนกัมพูชา ลาว และเวียดนาม สามารถเข้าเป็นสมาชิกของ WTO ได้โดยเร็ว

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทาง
การค้า (Joint Trade Commission : JTC) ไทย-พม่า ครั้งที่ 3  ระหว่างวันที่ 18-19 มีนาคม 2545  ณ  กรุง
เทพ ฯ  โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย  และรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์พม่า
เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายพม่า ทั้งนี้ ได้มีการลงนามร่วมกันในบันทึกผลการประชุม 2 ฉบับ คือ  Agreed Minutes
of the Third Session of the Joint Trade Commission between the Kingdom of Thailand and the  Union
of  Myanmar   และ  Agreed  Minutes on  Account  Trade  Arrangement   ส่วนผลการประชุม  ฯ  ได้มีการ
หารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีพาณิชย์ทั้งสองฝ่ายในประเด็นสำคัญ  ได้แก่  การทำการค้าแบบ
หักบัญชี (Account Trade) ความร่วมมือด้านการค้าข้าว  และการค้าชายแดน  สำหรับการประชุมเจ้าหน้าที่
อาวุโสได้มีการหารือในประเด็นด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้า ได้แก่ ความ
ร่วมมือด้านการเกษตร ประมง  การลงทุน  การท่องเที่ยว  และการคมนาคม  รวมทั้งกรอบความร่วมมือภูมิ
ภาคที่ไทยกับพม่าต่างเป็นสมาชิกร่วมกัน คือ ASEAN, GMS และ BIMST-EC  นอกจากนี้  พม่าได้ขอให้ฝ่าย
ไทยผ่อนคลายการจำกัดวงเงินฝากออมทรัพย์ 50 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งปัจจุบันอนุญาตให้ธนาคาร  Myanmar 
Economic Bank เปิดบัญชีกับธนาคารของไทยที่แม่สาย  อีกทั้งการอนุญาตให้เปิดบัญชีออมทรัพย์เป็นเงิน
บาทกับธนาคารของไทยที่แม่สอดและระนอง  ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและขยายปริมาณการ
ค้าชายแดน

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคา
ผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมีนาคม และระยะ 3 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2545  โดยดัชนีราคาผู้บริโภค
ทั่วไปของประเทศเดือนมีนาคม 2545 หมวดอาหารและเครื่องดื่มโดยเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง  ส่วนดัชนีสินค้า
หมวดอื่น ๆ ที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่ม  สูงขึ้นร้อยละ 0.5  ได้แก่  น้ำมันเชื้อเพลิง (น้ำมันเบนซินและน้ำมัน
ดีเซลหมุนเร็ว) และของใช้ส่วนบุคคล  (สบู่ถูตัว น้ำปรุงหอม และลิปสติก)  สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป
ของประเทศระยะ 3 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2545 เท่ากับ 103.5  เทียบกับดัชนีราคาเฉลี่ยช่วงเดือนเดียวกัน
ของปี พ.ศ. 2544 สูงขึ้นร้อยละ 0.6  โดยสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ 0.3 จากการสูงขึ้น
ของราคา หมูเนื้อแดง ไก่สด ไข่ และผลิตภัณฑ์นม  ผักและผลไม้  สินค้าหมวดอื่น ๆ  ที่มิใช่อาหารและเครื่อง
ดื่ม สูงขึ้นร้อยละ 0.8 จากการสูงขึ้นของราคาแก๊สหุงต้ม ค่ากระแสไฟฟ้า  ค่าตรวจรักษา  ของใช้ส่วนบุคคล
ยาสูบ และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศปี พ.ศ. 2545 (คำนวณจาก
รายการสินค้าและบริการ 235 รายการ) เท่ากับ 104.2 เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์  2545  สูงขึ้นร้อย
ละ 0.1 เดือนมีนาคม 2544 สูงขึ้นร้อยละ  1.0  และเมื่อเฉลี่ยเดือนมกราคม-มีนาคม 2545  เทียบกับช่วง
เดียวกันของปี พ.ศ. 2544 สูงขึ้นร้อยละ 0.9