ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 29 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 567 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
121 | มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ | กค | 01/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ในระดับหมู่บ้าน และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการ เป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๒,๔๗๘ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และปีต่อ ๆ ไป ตามประมาณการค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในแต่ละปี โดยให้ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๑.๒ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินมาตรการ เป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๓๖,๒๗๕ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และ/หรือ ๒๕๕๙ และมอบหมายให้ ๑.๒.๑ กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล โดยให้กระทรวงมหาดไทยกำหนดระเบียบ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขโครงการต่าง ๆ เสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบภายในเวลา ๒ สัปดาห์ หลังจากวันที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการ ทั้งนี้ ให้เปิดเผยข้อมูลโครงการต่อประชาชนและรายงานการประเมินโครงการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ๑.๒.๒ ให้สำนักงบประมาณเป็นผู้จัดหางบประมาณ พร้อมทั้งติดตามการเบิกจ่ายงบประมาณตามแผนงานการปฏิบัติงานและเบิกจ่ายงบประมาณ และเสนอรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบความคืบหน้าทุกเดือน ๑.๓ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินมาตรการเป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ พร้อมทั้งจัดทำระบบการตรวจสอบ ติดตามและรายงานผลการเบิกจ่ายให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน รวมทั้งรายงานผลสำเร็จของโครงการต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ๑.๔ ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี) สำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในข้อ ๑.๒ และข้อ ๑.๓ เนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยเร็ว ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการดังกล่าว สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้นำแนวทางปฏิบัติเพื่อเร่งรัดการจัดหาพัสดุก่อนพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีผลใช้บังคับ ตามหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุที่ กค (กวพ) ๐๔๒๑.๓/ว๒๕๕ ลงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แจ้งรายชื่อผู้ทิ้งงาน) มาใช้ประกอบการจัดทำโครงการตามมาตรการดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มศักยภาพการหารายได้ของลูกหนี้ในระยะยาว เพื่อป้องกันปัญหาการขาดศักยภาพในการชำระหนี้ในอนาคต และป้องกันปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายหลังสิ้นสุดมาตรการ รวมทั้งควรมีความเข้มงวดในการพิจารณา ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด และไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไปแล้ว ไปพิจารณาต่อไปด้วย ๓. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอขอแก้ไขข้อความในหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๑๐๐๙/๑๘๓๙๓ ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ หน้า ๓ ข้อ ๓.๑.๒ (๒.๒) จากเดิม “ให้หมู่บ้านหรือชุมชนจัดทำโครงการตามข้อ (๒.๑) เสนอต่อคณะกรรมการตำบลรวบรวมและรับรองโครงการเสนอต่อนายอำเภอ เพื่อเสนอขออนุมัติต่อคณะกรรมการระดับจังหวัด...” เป็น “ให้คณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) หรือกรรมการชุมชนจัดทำโครงการ ตามข้อ (๒.๑) เสนอต่อคณะกรรมการระดับอำเภอรวบรวมเสนอต่อคณะกรรมการระดับจังหวัดเพื่อพิจารณาอนุมัติ...” ๔. ในส่วนของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่อยู่ในขั้นตอนของการเพิ่มทุน จำนวน ๑๘,๕๖๖ กองทุน นั้น ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาหารือร่วมกันว่า กฎ ระเบียบ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีกลไกในการคัดกรองและติดตามให้สามารถดำเนินการได้ตามวัตถุประสงค์ มีความคุ้มค่า และโปร่งใสหรือไม่ โดยหากยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามกฎ ระเบียบ ที่มีอยู่ปัจจุบัน ก็ให้เสนอมาตรการทางกฎหมายเพื่อให้ดำเนินการได้ต่อไป ๕. ในส่วนของมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินโครงการที่เป็นการส่งเสริมกิจการของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการดำเนินโครงการด้วยวิธีการจัดซื้อ จัดจ้าง เพื่อก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ |
|||||||||||||||||||||
122 | การดำเนินการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) | กค | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (SMEs Private Equity Trust Fund) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ และสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นกรรมการและเลขานุการ โดยคณะกรรมการร่วมลงทุนฯ ได้เรียกประชุมเพื่อพิจารณานโยบายและหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนสำหรับกองทุนย่อยกองทุนแรก โดยมีธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เป็นหน่วยงานหลักของภาครัฐในการจัดตั้งกองทุนย่อย ๒. แหล่งเงินทุนในส่วนภาครัฐ และการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ธพว. ในฐานะผู้ลงทุนภาครัฐและเป็นผู้ร่วมลงทุนเริ่มแรกจำนวน ๕๐๐ ล้านบาท ได้ดำเนินการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนฯ กองแรกในรูปแบบกองทรัสต์ (Trust) ร่วมกับภาคเอกชนที่สนใจ โดยระยะแรกสำนักงานกองทุนร่วมลงทุนฯ จะใช้สถานที่ของ ธพว. เป็นสถานที่ดำเนินงานเกี่ยวกับกองทุน ส่วนการคัดเลือกทรัสตี (Trustee) เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ก่อตั้งและดูแลประโยชน์ให้กับกองทุนร่วมลงทุนฯ นั้น ธพว. จะประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนดำเนินการยกร่างข้อกำหนดและขอบเขตของงาน (Terms of Reference) เพื่อใช้ในการพิจารณาคัดเลือกทรัสตี (Trustee) สำหรับกองทุนย่อยกองแรก รวมทั้งได้ประชาสัมพันธ์กองทุนร่วมลงทุนฯ ไปยังสาขาของ ธพว. และประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อรับทราบและคัดสรรนำส่งผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด ปัจจุบันมีผู้ประกอบการ SMEs ให้ความสนใจที่จะให้กองทุนนี้เข้าร่วมลงทุนในกิจการ SMEs จำนวน ๓๕ ราย เงินลงทุน ๗๑ ล้านบาท ๓. ผู้ร่วมลงทุนในกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ขณะนี้มีนักลงทุนจากสถาบันทั้งภาครัฐและภาคเอกชนแสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในกองทุนร่วมลงทุนฯ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กลุ่มบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เป็นต้น และอยู่ระหว่างการประสานงานเพื่อจัดตั้งกองทุนย่อยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนฯ ๔. การดำเนินการต่อไป ธพว. จะคัดเลือกทรัสตี (Trustee) และผู้จัดการกองทรัสต์ (Trust manager) เพื่อเข้าสู่กระบวนการร่างสัญญาก่อตั้งกองทุนร่วมลงทุนฯ หลังจากนั้น คณะกรรมการกองทุนร่วมลงทุนฯ จะพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณานโยบายกองทุน (Investment Committee) และคณะกรรมการผู้ให้คำปรึกษาวิสาหกิจร่วมทุน (Advisory Committee) เพื่อนำไปสู่กระบวนการพิจารณาเข้าร่วมลงทุนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
123 | รายงานความคืบหน้าการไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดีหนี้ครัวเรือน หนี้รายย่อย หนี้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาของกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ | ยธ | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานความคืบหน้าการไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดีหนี้ครัวเรือน หนี้รายย่อย หนี้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ของกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ โดยได้จัดมหกรรมการไกล่เกลี่ยร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย กยศ. บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด และธนาคารออมสิน รวม ๖ หน่วยงาน โดยมุ่งเน้นการยุติข้อพิพาทชั้นบังคับคดีด้วยความสมานฉันท์และช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน ซึ่งสามารถไกล่เกลี่ยเป็นผลสำเร็จจำนวน ๒,๑๘๘ ราย คิดเป็นทุนทรัพย์จำนวน ๘๘๒,๘๘๙,๕๑๕.๘๕ บาท ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๒.๑ กยศ. ควรพิจารณาปรับฐานข้อมูลของลูกหนี้ให้เป็นปัจจุบัน ชี้แจงรายละเอียดของเงื่อนไขของการกู้ยืมให้กับลูกหนี้อย่างชัดเจน และพิจารณาปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยลูกหนี้ตามคำพิพากษาชั้นบังคับคดี พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเข้าร่วมโครงการไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดี และให้การไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดีของลูกหนี้ทั้งหลายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้ผู้กู้/ลูกหนี้มีความเข้าใจในสถานะของการกู้ยืมเงินจาก กยศ. ๒.๒ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมในการแจ้งให้สถาบันการเงินต่าง ๆ ที่เป็นรัฐวิสาหกิจพิจารณานำการไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดีของกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับลูกหนี้ในการยุติข้อพิพาทเพื่อให้การไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดีครอบคลุมลูกหนี้ครัวเรือน หนี้รายย่อย และหนี้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่เป็นรัฐวิสาหกิจมากยิ่งขึ้น ๒.๓ ให้ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย ให้ความอนุเคราะห์ในการประชาสัมพันธ์โครงการการไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดีของกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ให้กับประชาชนที่มาติดต่อได้ทราบ เพื่อให้การประชาสัมพันธ์ครอบคลุมถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขวางขึ้น |
|||||||||||||||||||||
124 | การขอต่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี | พม | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การเคหะแห่งชาติต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารออมสิน วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท ออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
125 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 16/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อให้กู้ต่อแก่ รฟม. สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ โดยการชำระหนี้คืนก่อนกำหนดจากสัญญาเงินกู้ยืม (Term Loan) ที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งหมด และที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ บางส่วน รวมจำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยได้ดำเนินการออกจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ให้กู้ต่อในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ (LB21DA) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๖๕ ต่อปี อายุคงเหลือ ๗.๑๕ ปี จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลในวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ และได้รับเงินจากการประมูลพันธบัตรรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ ซึ่งได้นำเงินดังกล่าวไปชำระคืนต้นเงินกู้ Term Loan ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารออมสิน จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยของต้นเงินกู้ที่ชำระคืนก่อนกำหนดดังกล่าว รฟม. ได้ดำเนินการเบิกจ่ายจากงบประมาณไปชำระโดยตรงให้แก่ธนาคารผู้ให้กู้ทั้ง ๒ แห่งในวันเดียวกัน ๒. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ให้กู้ต่อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม ๑๓๑ ตอนพิเศษ ๒๒๕ ง วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||
126 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสินเพิ่มเติม | กค | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางธนิษฐา วงศ์รวมลาภ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสินเพิ่มเติมอีก ๑ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป โดยให้ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการเพิ่มเติมดังกล่าวอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการและกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
127 | การแก้ไขปัญหายางพาราตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2557 (โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง) | อก | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ [เรื่อง การแก้ไขปัญหายางพารา ตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗] จากเดิม งบประมาณในการดำเนิน ๔ โครงการ ประกอบด้วย โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง โครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง โครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ในส่วนของค่าใช้จ่ายชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันการเงิน เห็นสมควรให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและธนาคารออมสิน ขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามรายจ่ายจริงที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ เห็นสมควรชดเชยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยแก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกร และภาคเอกชนที่ขอสินเชื่อในอัตราร้อยละ ๓ ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับโครงการภายใต้การช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางตามแนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้ โดยเพิ่มสาระสำคัญสำหรับโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นหน่วยจัดสรรเงินชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ต่อปี ให้กับธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อชดเชยให้กับผู้ประกอบการยางและเป็นผู้ดำเนินการตั้งค่าใช้จ่ายในการชดเชยดอกเบี้ย จำนวน ๓๐๐ ล้านบาท จากสำนักงบประมาณ ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ จำนวน ๑ ล้านบาท ให้แก่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกำกับการดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ ให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐเป็นผู้รับผิดชอบการให้สินเชื่อโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ซึ่งเป็นโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ กรอบวงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท เงินกู้ระยะสั้นไม่เกิน ๑ ปี และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ตามรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง ภายในกรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน ๓๐๐ ล้านบาท โดยให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ใช้จากเงินทุนที่เป็นสภาพคล่องของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อสนับสนุนการให้สินเชื่อโครงการตามนโยบายของรัฐบาลแทนการหารายได้ตามปกติ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ รวมทั้งเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒.๒ ให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ขอรับจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ จำนวน ๑ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว |
|||||||||||||||||||||
128 | แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน | กค | 26/08/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการและแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน โดยการให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของสมาชิกในชุมชนผ่านองค์กรการเงินชุมชนที่เข้มแข็งและมีศักยภาพควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ นอกจากนี้ แนวทางดังกล่าวจะสร้างกลไกในการเจรจาประนอมหนี้ระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้ง ๒ ฝ่าย ซึ่งรวมถึงการสร้างกลไกในการพัฒนาและฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้มีศักยภาพในการหารายได้และสามารถชำระหนี้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปเป็นหนี้นอกระบบอีก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อกระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืนในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กรมสรรพากร กรมบัญชีกลาง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินงานตามแนวทางดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสามารถดำเนินการได้อย่างบูรณาการและยั่งยืน ให้กระทรวงการคลังประสานการดำเนินงานโดยให้เชื่อมโยงกับศูนย์ดำรงธรรมของกระทรวงมหาดไทยที่จัดตั้งขึ้นในทุกจังหวัดทั่วประเทศ และให้กระทรวงมหาดไทยรวบรวมข้อมูลหนี้นอกระบบในพื้นที่จัดส่งให้กระทรวงการคลังด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังคัดเลือกสถาบันการเงินเฉพาะกิจและองค์กรการเงินชุมชนที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยคำนึงถึงสถานะการเงิน ความสามารถในการบริหารจัดการหนี้สิน รวมทั้งความสามารถในการฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ ของสถาบันการเงินฯ ดังกล่าว เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป ๔. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับดูแลการให้บริการบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์และการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในภาพรวมของประชาชนให้เหมาะสมเพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้จ่ายเงินเกินความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุประการหนึ่งของการก่อหนี้นอกระบบ |
|||||||||||||||||||||
129 | การจัดหาเงินทุนเพื่อเยียวยาเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 | กค | 08/07/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบผลการกู้เงินเพื่อชำระคืนเงินทุนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้สำรองจ่ายไปจำนวน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๗ โดยกระทรวงการคลังได้เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. กู้เงินในรูปแบบ Term Loan วงเงิน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท อายุ ๓ ปี โดยกระทรวงการคลังค้ำประกัน รัฐบาลเป็นผู้รับภาระในการชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ย และได้มีการเปิดซองพิจารณาเงื่อนไขรายละเอียดที่สถาบันการเงินต่าง ๆ เสนอแล้วเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๗ มีสถาบันการเงินจำนวน ๓ แห่ง คือ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จำกัด เป็นผู้เสนออัตราดอกเบี้ย เงื่อนไขและรายละเอียดการกู้เงินที่ดีที่สุด รวมจำนวน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท โดย ๑) ธนาคารออมสิน เสนออัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นตลาดกรุงเทพ (BIBOR) ระยะ ๖ เดือน ลบร้อยละ ๐.๑๐ ต่อปี วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และอัตรา BIBOR ระยะ ๖ เดือน ต่อปี วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เสนออัตรา BIBOR ระยะ ๖ เดือน ต่อปี วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และ ๓) ธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จำกัด เสนออัตรา BIBOR ระยะ ๖ เดือน บวกร้อยละ ๐.๐๕ ต่อปี วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท เมื่อรวมวงเงินกู้ที่กระทรวงการคลังได้มีการจัดหาแล้วเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๗ วงเงิน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท จะทำให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
130 | แนวทางบรรเทาความเดือดร้อนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบการดำเนินการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ที่เกี่ยวข้องตามมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ มาตรการสินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร และมาตรการสินเชื่อเพื่อ SMEs ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ ได้แก่ ๑.๑.๑ มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ โดยธนาคารออมสิน มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับลูกค้าของธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ โดยการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้เป็นเวลา ๖ เดือน โดยสามารถชำระเงินต้นบางส่วนพร้อมดอกเบี้ยปกติ หรือพักชำระเงินต้นแต่ให้ชำระเฉพาะดอกเบี้ยปกติเต็มจำนวน และการให้กู้เพิ่มเติมกรณีฉุกเฉิน หรือเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเฉพาะในกรณีภัยพิบัติ วงเงินรวม ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับลูกค้าของ บสย. โดยกำหนดให้สามารถพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันได้เป็นระยะเวลา ๖ เดือน สำหรับลูกค้าของ บสย. ที่ถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุการค้ำประกัน ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ มาตรการสินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร ประกอบด้วย ๔ โครงการ ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงินสินเชื่อรวม ๖๕,๙๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ โครงการสินเชื่อสำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โครงการเพิ่มสินเชื่อตลอดห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร และโครงการสินเชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก (บัตรสินเชื่อเกษตรกร) ๑.๓ มาตรการสินเชื่อเพื่อ SMEs วงเงินสินเชื่อรวม ๔๕,๖๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสินเชื่อ SMEs สุขใจ โดยธนาคารออมสิน โครงการสินเชื่อสนับสนุนผู้ประกอบการตามยุทธศาสตร์กระทรวงอุตสาหกรรม โครงการขยายสินเชื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต ๒ (Productivity Improvement Loan-2) โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) โครงการขยายสินเชื่อแก่ SMEs โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) โครงการสินเชื่อเพิ่มสุข โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โครงการ SMEs Halal Trade โครงการสินเชื่อมาตรฐาน SMEs Flexi & Sure และแคมเปญ Happy Together โดยธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์มาตรการรับภาระค่าธรรมเนียมค้ำประกันแทนผู้ประกอบการในโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ ในปีแรก หลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ PGS สำหรับผู้ประกอบการ OTOP และวิสาหกิจชุมชน และหลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Package Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ทั้งนี้ ให้ดำเนินโครงการตามหลักเกณฑ์มาตรการดังกล่าวในระยะสั้นและเสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อน ๓. อนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการตามข้อ ๒ ภายในกรอบวงเงิน ๓,๗๑๒.๕๐ ล้านบาท โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่าง ๆ ภายใต้หลักเกณฑ์มาตรการฯ ข้างต้นอย่างใกล้ชิด ให้สามารถติดตามและตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการ/โครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
131 | การแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ | กษ | 03/12/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานตามโครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการแก้ไขปัญหายางพาราระยะสั้น (ณ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖) มีเกษตรกรยื่นคำร้องขอขึ้นทะเบียน จำนวน ๑,๑๙๓,๓๓๒ ครัวเรือน (ในจำนวนนี้มีเอกสารไม่ครบถ้วนอยู่ระหว่างรอเอกสารเพิ่มเติม จำนวน ๕๐,๘๘๗ ครัวเรือน) ส่วนผู้ที่มีเอกสารครบถ้วน จำนวน ๑,๑๔๒,๔๔๕ ครัวเรือน มีการบันทึกข้อมูลลงระบบแล้ว จำนวน ๑,๑๒๓,๖๖๒ ครัวเรือน (คิดเป็นพื้นที่เข้าร่วมโครงการ ๑๕.๑๗๗ ล้านไร่) แยกเป็นผู้ที่พร้อมตรวจสอบแปลงได้ จำนวน ๗๘๖,๑๙๕ ครัวเรือน และผู้ที่ยังไม่สามารถตรวจสอบแปลงในขณะนี้ได้ จำนวน ๓๓๗,๔๖๗ ครัวเรือน ทั้งนี้ การตรวจสอบแปลงซึ่งต้องดำเนินการทุกแปลง ตรวจสอบเสร็จและออกใบรับรองแล้ว จำนวน ๔๔๙,๒๘๒ ครัวเรือน จำนวน ๖๔๐,๔๖๖ แปลง โดยแจ้งรายชื่อเกษตรกรพร้อมเลขที่บัญชีธนาคารให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โอนเงิน จำนวน ๓๓๓,๒๘๓ ครัวเรือน จำนวน ๔๗๙,๒๖๗ แปลง เป็นเงินรวมทั้งสิ้น จำนวน ๙,๕๕๐.๙๒ ล้านบาท จากวงเงินที่สำนักงบประมาณได้โอนมาตั้งจ่ายที่ ธ.ก.ส. แล้ว จำนวน ๙,๙๗๐.๒๘ ล้านบาท ๑.๒ โครงการแก้ไขปัญหายางพาราระยะปานกลาง/ระยะยาว ได้สนับสนุนสินเชื่อ จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท แก่สถาบันเกษตรกรเพื่อใช้ในการปรับปรุง/ก่อสร้างโรงงาน รวมถึงการใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนดำเนินธุรกิจแปรรูปยางพารา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้สำรวจความต้องการของสถาบันเกษตรกร ซึ่งเบื้องต้นได้มีการยื่นแบบจำนง รวม ๒๔๕ สหกรณ์ วงเงินปริมาณ ๖,๗๑๖ ล้านบาท ส่วนสินเชื่อ จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับการสนับสนุนผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารานั้น อยู่ระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยธนาคารออมสินร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ๒. งบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินงานตามโครงการแก้ไขปัญหายางพาราระยะสั้นส่วนที่เหลือ จำนวน ๑๑,๒๔๘.๙๕ ล้านบาท นั้น อนุมัติและให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่โดยที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ได้เสนอขอตั้งงบประมาณเพื่อการนี้ไว้ จึงเห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๑๑,๒๔๘.๙๕ ล้านบาท โดยให้ขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติกำหนดไว้ พร้อมทั้งจัดทำคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณตามรายจ่ายจริง และให้ถือว่าคำขอดังกล่าวเป็นคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของ ธ.ก.ส. พร้อมสำเนาส่ง ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ และดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย |
|||||||||||||||||||||
132 | รายงานการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี 2556 ของกระทรวงการคลัง | กค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. การให้ความช่วยเหลือด้านอุปโภคบริโภคผ่านส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง จำนวน ๒๓ พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี พังงา ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ พิษณุโลก ตาก พิจิตร ลพบุรี ตราด ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และนครนายก ๑.๑ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย จำนวน ๔ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดพังงา ปราจีนบุรี นนทบุรี และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง เสื้อชูชีพ จำนวน ๒๖๕ ถุง น้ำดื่ม จำนวน ๑๐,๓๐๐ ขวด ข้าวสาร ๕ กิโลกรัม จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง และอื่น ๆ ได้แก่ เครื่องกรองน้ำ ๑๙๐ เครื่อง ปลากระป๋อง ๑๑ ลัง ปลาหมึกแห้ง ๑ ถุงใหญ่ และให้ยืมเครื่องสูบน้ำ ๒ เครื่อง ๑.๒ กรมธนารักษ์ได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของกรมธนารักษ์ที่ประสบภัย จำนวน ๒ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดตราด และปราจีนบุรี โดยจ่ายเงินสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่รายละ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ บาท ๑.๓ กรมบัญชีกลางได้ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของกรมบัญชีกลางที่ประสบภัย จำนวน ๑ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี โดยจ่ายเงินสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่รายละ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ บาท ๑.๔ กรมศุลกากรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย จำนวน ๕ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ตาก ปราจีนบุรี สระแก้ว และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๒,๓๐๐ ถุง และข้าวสาร จำนวน ๗๕๐ กิโลกรัม ๑.๕ กรมสรรพากรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๒ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา โดยการบริจาคเงิน จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท และบริจาคเรือ จำนวน ๒๐ ลำ ๑.๖ กรมสรรพสามิตได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพสามิตที่ประสบภัย จำนวน ๑ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๑๑๒ ถุง และเรือ จำนวน ๗ ลำ ๑.๗ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนและเจ้าหน้าที่ของธนาคารใน ๔ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ ปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย บริจาคเงิน จำนวน ๔๗,๐๐๐ บาท ถุงยังชีพ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ถุง เรือ จำนวน ๔ ลำ และอื่น ๆ ได้แก่ อาหารกล่อง จำนวน ๕,๐๐๐ ชุด ๑.๘ ธนาคารออมสินได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๑๓ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก ตาก ขอนแก่น ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และนครราชสีมา ประกอบด้วย ถุงยังชีพ จำนวน ๖,๖๒๐ ถุง น้ำดื่ม จำนวน ๗,๗๐๐ ขวด และอื่น ๆ ได้แก่ เสื้อชูชีพ ๑๐ ตัว และยารักษาโรค ๒,๐๐๐ ชุด ๑.๙ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๑๓ พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ นครสวรรค์ พิจิตร สระแก้ว ฉะเชิงเทรา เพชรบูรณ์ และนครนายก รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๓,๒๕๓,๕๕๔ บาท แบ่งเป็น ถุงยังชีพ จัดเลี้ยงอาหารและน้ำดื่ม ณ จุดรวมพล จำนวน ๒๖,๖๒๙ ราย เป็นเงิน ๑๓,๓๑๔,๖๑๖ บาท มอบเงินบำรุงขวัญแก่ลูกค้าผู้กู้ที่เสียชีวิต จำนวน ๒ ราย (รายละ ๒๐,๐๐๐ บาท) เป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท และมอบเงินเพื่อโครงการป้องกันและบริหารความเสี่ยงภัย จำนวน ๑๙,๘๙๘,๙๓๘ บาท ๑.๑๐ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย จำนวน ๓ พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (เขตหนองจอก) จังหวัดฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา โดยมอบถุงยังชีพ จำนวน ๒,๒๐๐ ถุง ๒. การให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประสบอุทกภัยผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมาตรการต่าง ๆ คือ การผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระคืนหนี้เดิม การให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย การผ่อนปรนเวลาชำระหนี้เงินกู้ การลดดอกเบี้ย กรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพ การให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มาตรการพักหนี้ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย การเพิ่มวงเงินฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการ การให้ความช่วยเหลือลูกค้า โดยจะพิจารณาเป็นราย ๆ มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน และการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้เดิม ซึ่งประชาชนสามารถขอความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เป็นลูกค้าอยู่ได้
|
|||||||||||||||||||||
133 | การปรับปรุงสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของธนาคารออมสิน | กค | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงค่ารักษาพยาบาลบิดา มารดาของพนักงานธนาคารออมสิน จากวงเงินปีละ ๓๐,๐๐๐ บาท เป็น ๖๐,๐๐๐ บาท และการปรับปรุงค่ารักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลเอกชนและคลินิกประกอบโรคศิลปะ ประเภทผู้ป่วยนอกเท่าที่จ่ายจริง ภายในวงเงินไม่เกินปีละ ๓,๖๐๐ บาท โดยไม่ระบุวงเงินในแต่ละครั้ง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นเพิ่มเติมของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า กระทรวงการคลังควรพิจารณาศึกษาภาพรวมการกำหนดสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ และประมาณการภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เพื่อพิจารณาหาแนวทางในการพัฒนารูปแบบและกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับพนักงานรัฐวิสาหกิจ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
134 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมโดยไม่ชักช้า ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชน ในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๕,๙๓๑ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ เหตุเดือดร้อนรำคาญ และการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในหลากหลายประเด็น ตามลำดับ ๒. หน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ รองลงมาคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และธนาคารออมสิน ตามลำดับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||
135 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน (นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม) | กค | 17/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสุเมธ ดำรงชัยธรรม เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน แทนนายศรกวี ปูรณโชติ กรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสินที่ขอลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ (๑๗ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
136 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 100 ปี ธนาคารออมสิน พ.ศ. .... | กค | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๐๐ ปี ธนาคารออมสิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ราคายี่สิบบาท หนึ่งชนิด ออกใช้เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบ ๑๐๐ ปี ธนาคารออมสิน ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
137 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมโดยไม่ชักช้า ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๔,๕๗๗ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) ช่องทาง ตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๒. จำนวนเรื่องร้องทุกข์ จำแนกตามประเภทเรื่องในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นในประเภทเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๑๔,๖๗๙ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ เหตุเดือดร้อนรำคาญ และร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามลำดับ ๓. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน [ไม่รวมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด] ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๖,๖๘๔ เรื่อง จำแนกเป็นหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ธนาคารออมสิน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ๔. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตาม อปท. และจังหวัด ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๓,๖๖๒ เรื่อง โดยกรุงเทพมหานครได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด รองลงมา ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดปทุมธานี ๕. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเรียงตามลำดับประเด็นเรื่องที่มีการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ ไฟฟ้า ยาเสพติด การบริการขนส่งทางบก ถนน น้ำประปา บ่อนการพนัน โทรศัพท์ และร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่รัฐในสังกัดกระทรวง ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ และไฟฟ้า
|
|||||||||||||||||||||
138 | ผลกระทบของมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 19 เรื่อง ผลประโยชน์ของพนักงานต่อธนาคารออมสิน | กค | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ธนาคารออมสินนำค่าใช้จ่ายในอดีตที่ต้องตั้งทยอยรับรู้ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ ๑๙ เรื่อง ผลประโยชน์ของพนักงานธนาคารออมสิน มาบวกกลับในกำไรสุทธิเพื่อคำนวณโบนัส สำหรับใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน และการจัดสรรโบนัสพนักงาน และโบนัสคณะกรรมการธนาคารออมสิน ทั้งนี้ ในการดำเนินการตามหลักการดังกล่าว ธนาคารออมสินจะต้องมีกำไรสุทธิหน้างบการเงินที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบและรับรองเพียงพอในการจ่ายเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน โบนัสพนักงาน และโบนัสกรรมการธนาคารออมสิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการต้องไม่ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างรัฐวิสาหกิจที่เหลืออีก ๕๖ แห่ง และไม่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจในภาพรวม รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่ออัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงและภาระงบประมาณ และเมื่อธนาคารออมสินดำเนินการเรื่องนี้ครบระยะเวลา ๕ ปี แล้ว ธนาคารออมสินควรต้องพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินการของธนาคารออมสินในระยะต่อไปให้เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
139 | การขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง | นร01 | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการ ๑.๑ บริหารจัดการงานโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนตามวัตถุประสงค์เดิมที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไปยังหมู่บ้าน/ชุมชน แต่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงการ การแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน และอื่นๆ โดยใช้ระเบียบคณะกรรมการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนว่าด้วยแนวทางการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นแนวทางดำเนินงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๒ ดำเนินการตรวจสอบติดตามเงินคงค้างในบัญชีของหมู่บ้าน/ชุมชน ที่อยู่ในบัญชีที่สาขาของธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ทั่วประเทศ ตามโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน (SML) ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ โครงการพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชนตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (พพพ.) โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ และโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน หากหมดความจำเป็น ให้ดึงเงินจากบัญชีเหล่านั้น นำส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป ๑.๓ โครงการที่หมู่บ้าน/ชุมชนที่ได้ทำประชาคมเสนอโครงการและผ่านการพิจารณาอนุมัติโครงการและงบประมาณจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการระดับจังหวัด ก่อนสิ้นสุดวาระ (วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา) จำนวน ๒,๐๑๓ หมู่บ้าน/ชุมชน ๒,๕๔๑ โครงการ เงินงบประมาณ ๖๒๘,๕๐๓,๙๕๘ บาท ซึ่งเห็นว่าผ่านกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ครบถ้วนแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้จัดสรรโอนเงินเข้าบัญชีให้แก่หมู่บ้าน/ชุมชน เนื่องจากต้องตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วน ถูกต้อง ก่อนการโอนเงิน เห็นควรนำโครงการดังกล่าวพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่งโดยคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการที่จะจัดตั้งขึ้น เพื่อดำเนินโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวทางที่ปรับปรุงใหม่ ๒. เห็นชอบสนับสนุนโครงการปลูกป่า สร้างคน บนวิถีพอเพียง รักษาต้นน้ำ บรรเทาอุทกภัย ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในวงเงินงบประมาณ ๑,๐๑๙,๒๗๕,๔๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีนำเงินงบประมาณที่เหลือจากโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนที่มีอยู่เดิมสนับสนุนโครงการดังกล่าว ซึ่งมีแผนดำเนินการต่อเนื่อง ๕ ปี โดยจัดสรรเป็นรายปี ปีแรกสนับสนุนงบประมาณ ๑๔๔,๒๓๕,๐๐๐ บาท สำหรับปีต่อไปให้จัดทำแผนงาน/กิจกรรมเพื่อขอรับการสนับสนุนเป็นรายปีต่อเนื่องจนครบ ๕ ปี ๓. เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธาน ทำหน้าที่บริหารโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยนำเงินงบประมาณที่เหลือจากโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนที่มีอยู่เดิมมาบริหารจัดการ และปรับเปลี่ยนการดำเนินงานของโครงการดังกล่าวให้ขยายวัตถุประสงค์ไปดำเนินงานสนับสนุนโครงการตามแนวพระราชดำริ และโครงการตามนโยบายของรัฐบาล เช่น สนับสนุนการปลูกพืชเกษตรที่เหมาะสมและเป็นการพัฒนาแบบบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน มูลนิธิ สมาคม สหกรณ์การเกษตร และภาคประชาชน โดยยึดพื้นที่และประชาชนเป็นหลัก เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างมีคุณภาพ สมดุล ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกันตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
|
|||||||||||||||||||||
140 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2554 | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ (Performance Agreement) ระหว่างภาครัฐกับหน่วยงานที่อยู่ในระบบประเมินผลฯ จำนวน ๕๕ รัฐวิสาหกิจ โดยนำระบบประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) มาใช้เต็มรูปแบบกับรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๗ แห่ง และระบบประเมินผลเดิม จำนวน ๔๘ แห่ง แบ่งกลุ่มตามกระทรวงเจ้าสังกัด ๑๕ กระทรวง แบ่งกลุ่มตามประเภทกิจการ ๙ สาขา ได้แก่ สาขาสื่อสาร สาขาสาธารณูปการ สาขาอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน สาขาขนส่ง (ขนส่งทางบก/ขนส่งทางน้ำ/ขนส่งทางอากาศ) สาขาสถาบันการเงิน สาขาพาณิชย์และบริการ สาขาเกษตรและทรัพยากรธรณี และสาขาสังคมและเทคโนโลยี แบ่งกลุ่มตามปีบัญชี ๓ กลุ่ม คือ ปีงบประมาณ (๑ ตุลาคม-๓๐ กันยายน) จำนวน ๓๕ แห่ง ปีปฏิทิน (๑ มกราคม-๓๑ ธันวาคม) จำนวน ๒๐ แห่ง และปีพิเศษ (๑ เมษายน-๓๑ มีนาคม) จำนวน ๑ แห่ง ๑.๒ ผลการประเมินผลการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงฯ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒.๑ ภาพรวมของการประเมินผลฯ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ของรัฐวิสาหกิจในระบบประเมินผลปัจจุบัน พบว่ารัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ธนาคารออมสิน ๔.๘๑๘๑ คะแนน การประปานครหลวง ๔.๗๗๗๑ คะแนน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ๔.๗๒๒๐ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ องค์การตลาด ๒.๑๓๒๒ คะแนน องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ๒.๔๕๔๖ คะแนน และสถาบันการบินพลเรือน ๒.๔๙๔๐ คะแนน ทั้งนี้ คะแนนเฉลี่ยของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมอยู่ที่ ๓.๔๙๕๘ คะแนน ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เท่ากับ ๐.๐๘๖๑ คะแนน เนื่องจากผลการดำเนินงานด้านการเงิน และด้านที่ไม่ใช่การเงินของรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ๑.๒.๒ ภาพรวมของการประเมินผลฯ ของรัฐวิสาหกิจในระบบ SEPA ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๔.๙๙๓๗ คะแนน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ๔.๙๓๕๙ คะแนน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ ๔.๘๘๘๔ คะแนน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ๓.๙๗๖๙ คะแนน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๔.๒๑๑๘ คะแนน และการไฟฟ้านครหลวง ๔.๔๙๖๓ คะแนน ๒. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของคณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมขององค์กรเพื่อรองรับโอกาสและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยเร่งพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพและการดำเนินงานในด้านที่ยังด้อยและไม่สามารถแข่งขันได้ การทบทวนและริเริ่มแผนงาน/โครงการ ของการใช้ทรัพยากรและความร่วมมือระหว่างกันที่มีขนาดใหญ่ และ/หรือที่เป็นเชิงกลยุทธ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนเป็นการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์และการลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งทบทวนบทบาท ภารกิจ หน้าที่ และรูปแบบขององค์กรใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและเป็นประโยชน์กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
.....