ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 11 จากทั้งหมด 12 หน้า แสดงรายการที่ 201 - 220 จากข้อมูลทั้งหมด 222 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 201 | รายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (เรื่อง การบังคับใช้กฎหมายกรณีการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน) | อก. | 13/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (เรื่อง
การบังคับใช้กฎหมายกรณีการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน)
ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้พิจารณารายงานฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปได้ ดังนี้ (๑) ประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ประกอบกิจการโรงงานที่ก่อให้เกิดมลพิษ
เช่น กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างพิจารณาเสนอแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา
๓๙ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕
ให้สามารถออกคำสั่งปรับปรุงแก้ไขกรณีที่ผู้ประกอบกิจการโรงงานได้รับคำสั่งให้ปิดโรงงานได้
(๒)
การแก้ไขปัญหามลพิษและกระบวนการในการเรียกร้องค่าเสียหายจากการประกอบกิจการโรงงาน
เช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้รับการจัดสรรงบกลางฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๕๙.๘๕
ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหากากอุตสาหกรรมและของเสียที่ตกค้างและปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม
จากการประกอบกิจการโรงงานของ บริษัท แวกซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด
ทั้งนี้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเก็บรวบรวมและบำบัด/กำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วและของเสียในพื้นที่
ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว ๑,๖๒๐.๖๑ ตัน (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๐
พ.ย. ๖๖) และ (๓) การดำเนินการเยียวยาชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากปัญหามลพิษ เช่น
กรมควบคุมมลพิษได้เสนอแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินคดีแพ่งต่อบุคคลที่ก่อให้เกิดหรือเป็นแหล่งกำเนิดของการรั่วไหลหรือแพร่กระจายของมลพิษเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และแจ้งให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 202 | ทบทวนการเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2565 (ครั้งที่ 2) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 | กค. | 06/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกรนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
ปีบัญชี ๒๕๖๕ (ครั้งที่ ๒) จำนวน ๑๗๔,๘๒๔,๖๓๓.๘๕ บาท โดยให้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกรนำเงินจำนวนดังกล่าวส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินภายใน
๖๐ วัน ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรดำเนินการกำกับ
ติตตามการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่นำมาพิจารณาการขอกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุดเพิ่มขึ้น
รวมถึงสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับทุนหมุนเวียนต่าง ๆ
เกี่ยวกับการเรียกทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการ
โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า
ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบในทุกมิติ และให้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถฯ
รายงานผลการใช้จ่ายเงินตามแผนงาน/โครงการให้คณะกรรมการฯ ทราบเป็นระยะ เพื่อให้ติดตามการเบิกจ่ายและการกำกับดูแลกองทุนเป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ
โปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 203 | การประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด และตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.12 | 06/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด
และตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ซึ่งส่วนราชการ : มุ่งเน้นการบูรณาการการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล
ยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๓
แผนงานบูรณาการ การพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และดัชนีชี้วัดสากล
(International KPIs) โดยให้กระทรวงมีบทบาทหลักเป็นผู้รับผิดชอบในการพิจารณากำหนดตัวชี้วัดและติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของกระทรวงและส่วนราชการในสังกัดกระทรวง
ผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการระดับกระทรวง จังหวัด
: มุ่งเน้นการบูรณาการการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายระดับชาติและนโยบายสำคัญของรัฐบาลเช่นเดียวกับส่วนราชการ
รวมถึงนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงมหาดไทย โดยให้ กระทรวงมหาดไทยมีบทบาทหลักในการพิจารณาความเหมาะสมของตัวชี้วัด
น้ำหนักและค่าเป้าหมาย
รวมทั้งติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของจังหวัดผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของจังหวัด
และตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPIs) โดยกำหนดประเด็นนโยบายสำคัญ
(Agenda) ที่จะขับเคลื่อนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ จำนวน ๕
ประเด็น ได้แก่ (๑) การบริหารจัดการและอนุรักษ์ฟื้นฟูน้ำทั้งระบบ (๒)
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (๓) รายได้จากการท่องเที่ยว (๔)
รายได้ของผู้ประกอบการ SMEs และ OTOP และ
(๕) การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 และ PM10 ที่มีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท
และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๓
เพื่อขับเคลื่อนการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันระหว่างส่วนราชการ จังหวัด
องค์การมหาชน รัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานอื่น ๆ
โดยมีการถ่ายทอดเป้าหมายจากระดับประเทศลงสู่ระดับหน่วยงานที่รับผิดชอบขับเคลื่อนการดำเนินงาน
ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 204 | ร่างกฎกระทรวงแบบบัตรประจำตัวเจ้าพนักงานท้องถิ่น เจ้าพนักงานสาธารณสุข และผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น พ.ศ. .... | สธ. | 06/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบบบัตรประจำตัวเจ้าพนักงานท้องถิ่น
เจ้าพนักงานสาธารณสุข และผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดแบบบัตรประจำตัวเจ้าพนักงานท้องถิ่น
เจ้าพนักงานสาธารณสุข
และผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข พ.ศ.
๒๕๔๘ เพื่อปรับปรุงแก้ไขแบบบัตรและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าพนักงานท้องถิ่น
เจ้าพนักงานสาธารณสุข และผู้ที่ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข
และกำหนดให้การออกบัตรประจำตัวเจ้าพนักงานดังกล่าวสามารถดำเนินการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 205 | การส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการในส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐและการอำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการในสถานที่ราชการ | นร. | 06/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมของคนทุกกลุ่ม
ซึ่งรวมถึงผู้พิการโดยจะดูแลให้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีงาน มีรายได้
และมีคุณภาพชีวิตที่ดี นั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการจ้างงานให้กับผู้พิการ
ขอให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งเร่งรัดดำเนินการจ้างงานผู้พิการให้ถูกต้องและครบถ้วนตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ประกอบกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน
และจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กำหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐจะต้องรับผู้พิการเข้าทำงานในอัตราส่วนผู้ปฏิบัติงานที่มิใช่ผู้พิการทุกหนึ่งร้อยคนต่อผู้พิการหนึ่งคน
เพื่อให้ผู้พิการสามารถมีรายได้ในการดำรงชีพได้อย่างมั่นคง ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งเร่งรัดดำเนินการจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการในสถานที่ราชการและหน่วยงานของรัฐให้ครบถ้วนและเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล
เช่น ทางลาดชัน ราวจับ ระบบเสียงเตือน ลิฟต์ ห้องน้ำ ที่จอดรถ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้พิการที่ทำงานและผู้พิการที่เข้ารับบริการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์อุปกรณ์
หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ทั่วถึง และเท่าเทียมกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 206 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... | วธ. | 06/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกลไกของภาครัฐในการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์
เพื่อให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านสังคมและบทบัญญัติมาตรา ๗o ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่บัญญัติให้รัฐพึงส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทย กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ
ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี
และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ทำหน้าที่รักษาการตามพระราชบัญญัติฯ ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม
และปฏิบัติหน้าที่เลขานุการร่วมในคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
ในการดำเนินการจัดทำธรรมนูญของพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
แผนที่หรือการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรอบคอบ
รวมถึงการกำหนดให้กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิใช้ประโยชน์จากที่ดินและทรัพยากรธรรมชาตินั้น
มีความสอดคล้องหรือขัดแย้งกับกฎหมายฉบับอื่นอย่างไรหรือไม่ เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกินสมควร
การกำหนดชื่อและสาระให้ตรงกับหลักการด้านความหลากหลายทางวัฒนธรรมการกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตฯ
ในพื้นที่ที่มีกฎหมายเฉพาะ และความจำเป็นของคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ๓. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เช่น อาจพิจารณาจัดการหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเพื่อวางแนวทางให้การดำเนินงานของกลไกต่าง
ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ มีนาคม ๒๕๖๕ (เรื่อง
การกำหนดและทบทวนกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนให้มีขนาดที่เหมาะสม) ซึ่งได้เห็นชอบแนวทางการกำหนดและทบทวนกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนให้มีขนาดที่เหมาะสม
โดยให้ตรึงกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนจนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ให้มีกรรมการที่เป็นผู้แทนหน่วยงานของรัฐเพิ่มเติม
ได้แก่ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นรองประธานกรรมการเพิ่มเติม
และให้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
เป็นกรรมการโดยตำแหน่งเพิ่มเติม รวมทั้งควรกำหนดหลักเกณฑ์ คุณสมบัติ
และวิธีการสรรหาให้มีความเหมาะสมและเป็นที่ยอมรับได้ต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 207 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของจีนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | กต. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของจีนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
และให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศหรือผู้แทนที่กระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างความบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ จัดทำขึ้นระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศ
กับองค์การความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของจีนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ มีสาระสำคัญเป็นการดำเนินความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
การสนับสนุนการแลกเปลี่ยนบุคลากร และการส่งเสริมมิตรภาพระหว่างสองประเทศ
โดยฝ่ายจีนจะจัดให้มีการดำเนินการด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านการฝึกอบรม
มอบทุนการศึกษา และจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
ส่วนฝ่ายไทยจะรับผิดชอบการจัดส่งข้อเสนอสำหรับความร่วมมือที่ครอบคลุมถึงรูปแบบการฝึกอบรม
สาขา และระยะเวลาดำเนินงาน ตลอดจนการคัดเลือกผู้สมัครเข้ารับการอบรม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงบประมาณที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานของไทยรับทราบอย่างทั่วถึง
เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากบันทึกความเข้าใจฯ
ที่ครอบคลุมและเป็นรูปธรรมมากที่สุด
และหากมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเห็นควรใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 208 | คำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง | ลต. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง จำนวน ๔,๗๐๙,๑๓๑,๑๐๐ บาท และคำของบประมาณของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง
วงเงิน ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ การจัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
โดยแสดงวัตถุประสงค์ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
และรายงานเกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณ ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้จัดทำงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการควบคุม และกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 209 | การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สำหรับโครงการบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ที่จัดซื้อในโครงการระยะที่ 3-4 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2572 | กค. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป
ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงการคลัง สำหรับโครงการบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ที่จัดซื้อในโครงการระยะที่
๓-๔ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗๒ วงเงิน ๑,๖๖๓.๔๐๕ ล้านบาท และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยควรคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด
การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 210 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายฉัตรชัย วิริยเวชกุล ฯลฯ จำนวน 10 ราย) | กต. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๑๐ ราย ซึ่งเป็นการแต่งตั้งจากผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงทั้ง ๑๐ ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศในลำดับที่ ๑ ๓ ๔ ๖ ๙ และ ๑๐ รวม ๖ ราย ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. นายฉัตรชัย วิริยเวชกุล ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ๒. นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ๓. นางสาววิมลพัชระ รักษาเกียรติ ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงชันติอาโก สาธารณรัฐชิลี ๔. นางกาญจนา ภัทรโชค ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ๕. นายนิกรเดช พลางกูร ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสารนิเทศ ๖. นางสาวอุรวดี ศรีภิรมย์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ๗. นางพันทิพา เอี่ยมสุทธา เอกะโรหิต ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ๘. นายไพศาล หรูพาณิชย์กิจ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๙. นางสาวนิธิวดี มานิตกุล ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงออสโล ราชอาณาจักรนอร์เวย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 211 | ขออนุมัติการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) | กษ. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป
ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๙ รายการ (ภายใต้โครงการ จำนวน
๗ โครงการ) วงเงินรวม ๓,๕๗๒.๑๗ ล้านบาท เช่น
โครงการอ่างเก็บน้ำน้ำกิ จังหวัดน่าน รายการเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบ พร้อมส่วนประกอบอื่น
โครงการปรับปรุงคลองชักน้ำแม่น้ำยมฝั่งขวา จังหวัดสุโขทัย รายการปรับปรุงคลองชักน้ำแม่น้ำยมฝั่งขวา
สัญญาที่ ๑ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น จัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการและรายการดังกล่าว
โดยมีความพร้อมในเรื่องพื้นที่/สถานที่ที่จะดำเนินการรายละเอียดแบบรูปรายการ
ประมาณการค่าก่อสร้าง และการกำหนดแบบรูปรายการก่อสร้างให้มีความเหมาะสม รวมถึงการดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด
การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ การมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่
ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ โครงการปรับปรุงคลองบางขนาก
จังหวัดฉะเชิงเทรา เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานดำเนินการเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติดำเนินโครงการต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 212 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล | ดศ. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล
และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเป็นกรอบการดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล
และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันระหว่างรัฐบาลไทย
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
โดยสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 213 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 4 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | ดศ. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล
ครั้งที่ ๔ (The 4th ASEAN Digital Ministers’
Meeting : The 4th ADGMIN) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
ประกอบด้วย เอกสารจะมีการลงนาม จำนวน ๑ ฉบับ และเอกสารที่จะรับรอง จำนวน ๑๑ ฉบับ
รวมจำนวน ๑๒ ฉบับ ซึ่งเป็นเอกสารแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินโครงการและกิจกรรมความร่วมมือด้านดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียนอย่างแข็งขันและต่อเนื่อง
สนับสนุนการดำเนินงานด้านการปรับเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัล
การสร้างระบบนิเวศด้านดิจิทัลในอาเซียนให้มีความพร้อมทั้งในด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
การลดช่องว่างทางดิจิทัล การส่งผ่านข้อมูลระหว่างกัน
และกรอบแนวทางการกำกับดูแลที่เหมาะสมกับบริบทของอาเซียนที่มีความแตกต่างด้านการพัฒนา
เพื่อสามารถรับมือกับความท้าทายของโลกไซเบอร์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม
และเป็นการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายตามแผนแม่บทอาเซียนด้านดิจิทัล ค.ศ. ๒๐๒๕
อย่างเป็นรูปธรรม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
หรือผู้แทนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมอบหมาย
ร่วมลงนามในร่างเอกสารที่จะมีการลงนาม จำนวน ๑ ฉบับ และเอกสารที่จะรับรอง จำนวน ๑๑
ฉบับ รวมจำนวน ๑๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเห็นควรพิจารณาใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ตามขั้นตอนต่อไป
รวมทั้งพิจารณาแนวทางการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเฉพาะด้าน อาทิ
รถยนต์ไร้คนขับ และความปลอดภัยบนโลกอินเทอร์เน็ต
เพื่อต่อยอดเทคโนโลยีไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องได้อย่างเป็นรูปธรรม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 214 | การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.07 | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ แผนและขั้นตอนการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 215 | การประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐเฉพาะกิจเพื่อจัดทำอนุสัญญาระหว่างประเทศอย่างครอบคลุมว่าด้วยการต่อต้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อวัตถุประสงค์ทางอาชญากรรม | กต. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาร่างอนุสัญญาระหว่างประเทศอย่างครอบคลุมว่าด้วยการต่อต้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อวัตถุประสงค์ทางอาชญากรรม
และให้คณะผู้แทนไทยร่วมเจรจาร่างอนุสัญญาฯ
โดยใช้กรอบการเจรจาร่างอนุสัญญาฯ ในการกำหนดท่าทีในการเจรจาร่างอนุสัญญาฯ โดยหากมีความจำเป็นและมีการปรับแก้ร่างอนุสัญญาฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ขอให้คณะผู้แทนไทยใช้ดุลยพินิจในการร่วมการเจรจาร่างอนุสัญญาฯ ได้
โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก ทั้งนี้ โดยคำนึงว่าไทยสามารถเลือกเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาที่กำลังมีการจัดทำดังกล่าวได้เมื่อมีความพร้อม
ซึ่งการเจรจาร่างอนุสัญญาฯ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๙ มกราคม-๙กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ณ
นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยกรอบการเจรจาร่างอนุสัญญาฯ มีสาระสำคัญ เช่น (๑) การกำหนดแนวทางการเจรจาโดยคำนึงถึงหลักการและบทบัญญัติตามกฎหมายของไทยที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนความตกลงระหว่างประเทศและพันธกรณีที่มีผลผูกพันไทย
ซึ่งสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์หรือการใช้เทคโนโลยีสารสนทศ
และการสื่อสารเพื่อวัตถุประสงค์ทางอาชญากรรม และ (๒)
การกำหนดท่าทีของไทยสำหรับการประชุมดังกล่าว โดยมีการกำหนดขอบเขตของอนุสัญญาฯ อาทิ
มีขอบเขตครอบคลุมอาชญากรรมที่ต้องพึ่งพาระบบไซเบอร์และระบบคอมพิวเตอร์ (cyber-dependent crimes) เป็นหลัก รวมถึงอาชญากรรมดั้งเดิมที่กระทำผ่านระบบไซเบอร์
หรือระบบคอมพิวเตอร์ (cyber-enabled crimes) ในบางกรณี
และสนับสนุนการเรียกและติดตามคืนทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ขอบเขตของการให้ความร่วมมือระหว่างประเทศไม่ควรรวมถึงการแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ของอาชญากรรมทุกประเภท
แต่ควรระบุไว้เป็นการเฉพาะเพื่อให้เกิดความชัดเจนภายใต้อนุสัญญาระหว่างประเทศฯ
เนื่องจากบางกรณีเป็นเรื่องที่มีกฎหมายภายในประเทศบังคับใช้ไว้แล้ว เช่น
พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน
พ.ศ. ๒๕๕๑ และควรระบุเหตุผลความจำเป็นในการขอสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศให้กว้างและยืดหยุ่นเพื่อให้เกิดการบูรณาการเชิงป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
กรณีไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นหนังสือสัญญาตาม ม.๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และเป็นเรื่องในทางนโยบาย ซึ่งเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาได้ตามความเหมาะสม
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 216 | รายงานประจำปี 2565 ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ | อว. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๕ ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
โดยมีผลการดำเนินงาน ดังนี้ ๑) ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญของประเทศโดยเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน BCG Model ๒) ดำเนินการจัดทำและผลักดันแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์ของประเทศ
เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗๐) (๓) สร้างสรรค์ผลงานวิจัย พัฒนา
และนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG และ AI ๔) การพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECI) เพื่อให้ EECI
เป็นระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ๕)
การถ่ายทอดเทคโนโลยี นำผลการวิจัยสู่การสร้างเสริมขีดความสามารถเกษตรชุมชน ๖) การพัฒนาและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนมากกว่า
๘๖๒ ราย ๗) การพัฒนาและสร้างเสริมบุคลากรวิจัย
พัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านการสนับสนุนทุนการศึกษาระดับปริญญาโท/เอก/นักวิจัยหลังปริญญาเอก
และ ๘) รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐
กันยายน ๒๕๖๕ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า
งบการเงินดังกล่าวมีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 217 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่มีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน ครั้งที่ 7 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กก. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างเอกสารการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน ครั้งที่ ๗ (7th ASEAN Ministerial Meeting on Sports :
AMMS-7) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๖ ฉบับ ได้แก่ (๑)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน ครั้งที่ ๗ (๒)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑ (๓)
ขอบเขตหน้าที่ (TOR) ของการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน-จีน
(๔) ขอบเขตหน้าที่ (TOR) ของการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสาขากีฬาอาเซียน-จีน
(๕) ร่างปฏิญญาเชียงใหม่ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านกีฬาอาเซียน-ญี่ปุ่น
มุ่งสู่ปี ค.ศ. ๒๐๓๐ และ (๖)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๔
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างเอกสารดังกล่าว โดยร่างเอกสารทั้ง
๖ ฉบับดังกล่าว มีสาระสำคัญเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์
และการมีส่วนรร่วมในประชาคมอาเซียนต่อการพัฒนากีฬาในภูมิภาคอาเซียน โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนถ้อยคำในร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้
ขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกรมพลศึกษา
ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในการดำเนินการตามร่างเอกสารทั้ง ๖ ฉบับดังกล่าว ขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอตั้งงบประมาณประจำปีตามความจำเป็น นอกจากนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาควรขยายความร่วมมือด้านกีฬาระหว่างไทยกับประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ ที่มีศักยภาพด้านกีฬา รวมทั้งผลักดันให้มีการจัดกิจกรรมกีฬาในระดับนานาชาติให้มากขึ้น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 218 | ขออนุมัติการจัดทำเเละลงนามร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างรัฐบาลเเห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเเห่งสหภาพเมียนมา เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทย | คค. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เนปาล
สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทย โดยร่างความตกลงฯ
มีสาระสำคัญ เป็นการกำหนดกรอบการดำเนินงานของเรือและบริษัทขนส่งทางเรือ
รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในการขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC เช่น (๑)
การร่วมมือเพื่อพัฒนาการค้าและการขนส่งสินค้าระหว่างกัน (๒)
การกำหนดหลักปฏิบัติต่อเรือของประเทศภาคีเมื่อเข้าสู่น่านน้ำของตน (๓) การกำหนดให้มีขั้นตอนการปฏิบัติงานมาตรฐานเพื่อให้การดำเนินงานระหว่างประเทศภาคีเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
(๔) การกำหนดเอกสารที่ภาคีความตกลงฯ ต้องให้การยอมรับ (๕)
การให้การช่วยเหลือแก่เรือและลูกเรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย (๖)
การดำเนินคดีทางแพ่งและทางอาญา และ (๗) การระงับข้อพิพาท เป็นต้น
โดยการดำเนินการตามร่างความตกลงจะอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายของไทย และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล
ระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
และราชอาณาจักรไทย และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
สำหรับการลงนามดังกล่าว โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำหนังสือไปยังสำนักเลขาธิการบิมสเทค
แจ้งการมีผลใช้บังคับของร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เนปาล
สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทย
เมื่อกระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือแจ้งยืนยันไปยังกระทรวงการต่างประเทศว่าได้ดำเนินกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็น เพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลบังคับใช้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล
ระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทยในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ภายใต้ร่างความตกลงดังกล่าว ได้กำหนดถึงแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเล
เช่น การป้องกันการสูญเสียสัตว์ทะเลหายาก การเฝ้าระวังมลพิษจากขยะทะเล
การรั่วไหลของน้ำมัน
การป้องกันชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่อาจมากับน้ำอับเฉาเรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเนื่องมาจากเชื้อเพลิงเรือ
เป็นต้น จึงอาจพิจารณาประเด็นดังกล่าวประกอบการดำเนินความร่วมมือในอนาคต และในกรณีที่การใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงทางทะเลภายใต้กรอบความตกลงข้างต้นในอนาคตมีความเสี่ยงหรือประสบปัญหาอันเกิดจากภัยคุกคามด้านความมั่นคงทางทะเลไม่ว่าที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์หรือเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ฝ่ายไทยสามารถเสนอมาตรการและกลไกการประสานงานระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบริหารสถานการณ์ข้างต้น
โดยอาศัยกลไกความร่วมมือสาขาความมั่นคงทางทะเล ได้แก่ Expert Group on
Maritime Security Cooperation in the Bay of Bengal อีกช่องทางหนึ่ง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 219 | ร่างปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการศึกษาและวิจัยแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม | อว. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการศึกษาและวิจัยแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรม (JOINT DECLARATION OF INTENT BETWEEN THE MINISTRY OF
HIGHER EDUCATION, SCIENCE, RESEARCH AND INNOVATION OF THE KINGDOM OF THAILAND
AND THE FEDERAL MINISTRY OF EDUCATION AND RESEARCH OF THE FEDERAL REPUBLIC OF
GERMANY ON COOPERATION IN THE FIELDS OF SCIENCE, RESEARCH AND INNOVATION) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้ลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ โดยร่างปฏิญญาร่วมฯ
จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการยกระดับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมระหว่างไทยและเยอรมนีให้มีทิศทางและความสอดคล้องกับประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
โดยไม่จำกัดสาขาความร่วมมือ
ซึ่งหัวข้อในแต่ละสาขาความร่วมมือจะเป็นไปตามความสนใจร่วมกันของทั้งสองฝ่ายและจะกำหนดผ่านการประชุมและข้อตกลงในภายหลัง
โดยครอบคลุม ๑๐ กิจกรรม เช่น
การประกาศรับข้อเสนอร่วมกันสำหรับโครงการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี
การแลกเปลี่ยนข้อมูล วัสดุ และเอกสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 220 | ร่างกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในหมวด 4 การจัดสรรน้ำและการใช้น้ำ แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 รวม 3 ฉบับ | นร.14 | 09/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการ ๑.๑
ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะหรือรายละเอียดการใช้น้ำแต่ละประเภท พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะหรือรายละเอียดของการใช้น้ำสาธารณะซึ่งจัดแบ่งออกเป็น
๓ ประเภท ๑.๒
ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สอง และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สาม
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่ ๒
และประเภทที่ ๓ ซึ่งไม่เกินอัตราที่กำหนดในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ.
๒๕๖๑ ๑.๓
ร่างกฎกระทรวงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าใช้น้ำสำหรับการใช้น้ำประเภทที่สองและการใช้น้ำประเภทที่สาม
และการเรียกเก็บ ลดหย่อน หรือยกเว้นค่าใช้น้ำ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์อัตราค่าใช้น้ำสำหรับการใช้น้ำประเภทที่
๒ และประเภทที่ ๓ รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเรียกเก็บ ลดหย่อน
หรือยกเว้นค่าใช้น้ำ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เช่น ๑) ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สองและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สาม
พ.ศ. .... เนื่องจากร่างกฎกระทรวงดังกล่าวออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งตามมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้กำหนดมิให้นำความในมาตรา
๔๘
มาใช้บังคับแก่การใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะที่เป็นน้ำบาดาลตามกฎหมายว่าด้วยน้ำบาดาล
ดังนั้น การกำหนดให้กิจการตาม ข้อ ๓ ให้ได้รับการลดหย่อนค่าธรรมเนียมใบอนุญาตลงกึ่งหนึ่ง
หรือการกำหนดยกเว้นค่าธรรมเนียม ตามข้อ ๔
แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตใช้น้ำประเภทที่สองและประเภทที่สาม
สำหรับการใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะที่เป็นน้ำบาดาลจะสอดคล้องกับมาตรา ๕๕ หรือไม่ ๒) ควรระบุวัตถุประสงค์ของการใช้น้ำว่าเป็นการใช้น้ำเพื่ออุตสาหกรรมหรือวัตถุประสงค์
เพื่อการผลิตของนิคมอุตสาหกรรม เขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อกำหนดคำนิยามของผู้ใช้น้ำประเภทที่
๓ ให้ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงการพิจารณาว่าผู้ใช้น้ำจะเป็นผู้ใช้น้ำประเภทที่ ๒ หรือ
๓ ควรกำหนดจากปริมาณน้ำที่ใช้ เนื่องจากจะมีผลในการคิดค่าธรรมเนียมและอัตราการใช้น้ำทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจะมีผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาพรวม และ ๓) ในกรณีกลุ่มเกษตรกรที่เกิดจากการรวมกลุ่ม
หรือกลุ่มผู้ใช้น้ำในแหล่งน้ำขนาดเล็ก โดยใช้ทรัพยากรน้ำเพื่อการผลิตหรืออุปโภคบริโภคภายในกลุ่ม
การใช้น้ำลักษณะดังกล่าวเข้าหลักเกณฑ์การใช้น้ำประเภทที่หนึ่ง ตามข้อ ๒ (๓)
หรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันมีกลุ่มเกษตรกรในลักษณะที่มีการรวมกลุ่มเกินกว่า ๑๐ คน
เป็นจำนวนมาก การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอาจเป็นการสร้างข้อจำกัดในการรวมกลุ่มและภาระค่าใช้จ่ายซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรงและการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เช่น ๑)
เมื่อร่างกฎกระทรวงมีผลใช้บังคับแล้วจำเป็นต้องมีการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวอย่างทั่วถึงเพื่อจะได้มีความรู้
ความเข้าใจและถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้องต่อไป การดำเนินการใด ๆ ในแม่น้ำ ลำคลอง
บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ทะเล หรือบนชายหาดของทะเล ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย ๒) ควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดดำเนินการให้มีการออกกฎหมายลำดับรอง
ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่เหลืออยู่นอกเหนือกฎกระทรวงทั้ง
๓ ฉบับดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และ ๓) ควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจในหลักการและสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงทั้ง
๓ ฉบับ ให้กับผู้ใช้น้ำดังกล่าวอย่างทั่วถึงต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
