ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 816 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 16301 - 16320 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16301 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยอาจสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเข้าใช้งานศูนย์บริการต่าง ๆ ของรัฐที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่พระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับแล้ว นั้น ในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติและประเด็นการปฏิรูป ให้ทุกส่วนราชการประสานงานกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะดำเนินการต่อไป เพื่อให้การดำเนินการของส่วนราชการมีความสอดคล้อง เชื่อมโยง และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวทางการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งนี้ ในกรณีที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลายส่วนราชการให้ประสานหารือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อยุติก่อนที่จะดำเนินการต่อไปด้วย ๒.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม [สำนักงานสถิติแห่งชาติ และสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)] เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการข้อมูลและสถิติที่สำคัญของแต่ละหน่วยงานให้เป็นระบบ ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจ (มูลค่าการค้าการลงทุน มูลค่าการส่งออก ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ) ข้อมูลแรงงาน (กำลังแรงงานภาคเกษตรกรรม/อุตสาหกรรม ความต้องการแรงงานในอุตสาหกรรมแต่ละภาค) โดยพิจารณาจัดทำข้อมูลดังกล่าว เป็น ๒ ประเภท คือ (๑) ข้อมูลเพื่อการบริหารราชการสำหรับให้ส่วนราชการต่าง ๆ นำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนและดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ (๒) ข้อมูลสำหรับให้บริการประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว รวมถึงเพื่อเป็นการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้รับทราบถึงความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของรัฐบาลด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ ให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการระบายน้ำที่สำคัญ เช่น การจัดทำพื้นที่แก้มลิงเพิ่มเติม นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อเร่งระบายน้ำท่วมขังในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยอาจพิจารณาจัดทำในลักษณะต่อยอดหรือขยายผลจากแนวทางที่ดำเนินการอยู่ เช่น แก้มลิงพวง โดยทำเส้นทางระบายน้ำที่มีระยะทางสั้น ๆ เพื่อระบายน้ำไปยังพื้นที่กักเก็บน้ำจุดต่าง ๆ ๒.๔ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาการจราจรในบริเวณต่าง ๆ ที่มักประสบปัญหาการจราจรติดขัดอยู่เป็นประจำ โดยให้พิจารณารูปแบบในการดำเนินการให้เหมาะสมและมีทัศนียภาพที่ดี เช่น การก่อสร้างอุโมงค์ทางลอด ทางยกระดับ เพื่อให้สามารถระบายความหนาแน่นของการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดปริมาณรถติดสะสม ทั้งนี้ ให้เร่งรัดจัดทำแผนดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๕ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง) ออกแบบการจัดวางผังเมืองในพื้นที่ชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอกของพื้นที่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ให้เหมาะสมเพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนถึงการจัดวางผังเมืองของประเทศในระยะต่อไป ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๒.๖ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการขนาดเล็กในพื้นที่ต่าง ๆ โดยให้นำยางพารามาใช้ในการสร้าง/ซ่อมถนนในชุมชน และให้ประสานงานกับกระทรวงกลาโหม (กรมการทหารช่าง) เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการดังกล่าว โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน นั้น ๒.๖.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยให้เริ่มดำเนินการกับถนนในท้องถิ่นที่มีสภาพการใช้งานที่ไม่ต้องรับน้ำหนักบรรทุกมากเป็นลำดับแรก ๒.๖.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการพิจารณากำหนดมาตรฐานการใช้ยางพาราในการสร้างถนนในสัดส่วนที่มากกว่าที่กำหนดอยู่ในปัจจุบัน (มากกว่าร้อยละ ๕) เพื่อส่งเสริมให้มีการนำยางพารามาใช้ให้มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16302 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวง การขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 พ.ศ. ....) | สธ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการ (๑) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิตซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... (๓) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... และ (๔) ร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ซึ่งสันนิษฐานว่าผลิต นำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย พ.ศ. .... รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิต การขาย การนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น อะโมบาร์บิตาล (AMOBARBITAL) บูพรีนอร์ฟีน (BUPRENORPHINE) และบิวตาลบิตาล (BUTALBITAL) หรือประเภท ๔ วัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น อัลโลบาร์บิตาล (ALLOBARBITAL) อัลปราโซแลม (ALPRAZOLAM) และบาร์บิตาล (BARBITAL) และกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ เช่น คาทิโนน (cathinone) อัลปราโซแลม (alprazolam) และโคลนาซีแพม (clonazepam) ที่สามารถผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองได้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... เนื่องจากปัจจุบันกรมศุลกากรและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้เชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ National Single Window (NSW) ในรูปแบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากร และกรมศุลกากรได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต/ใบรับรอง ซึ่งได้ดำเนินการตรวจร่วมสินค้าร่วมกับหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต/ใบรับรอง รวมทั้งได้ส่งข้อมูลใบขนสินค้าให้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทราบอยู่แล้ว จึงไม่จำต้องกำหนดให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรต้องสลักหลังสำเนาใบอนุญาตหมายเลข ๓ และส่งกลับมายังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแต่อย่างใด ประกอบกับเนื้อหาของร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ยังไม่มีรายละเอียดในส่วนของการรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงฯ ทั้ง ๔ ฉบับ ไม่ได้ระบุถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขการนำผ่านวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวไว้แต่อย่างใด ดังนั้น ในขั้นต่อไปเมื่อมีการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนำผ่านวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าว ควรพิจารณาถึงความสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐซึ่งมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการตามพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตลอดจนต้องไม่เป็นการขัดต่อหลักการค้าและข้อตกลงระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16303 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวง การขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 พ.ศ. ....) | สธ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการ (๑) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิตซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... (๓) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... และ (๔) ร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ซึ่งสันนิษฐานว่าผลิต นำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย พ.ศ. .... รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิต การขาย การนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น อะโมบาร์บิตาล (AMOBARBITAL) บูพรีนอร์ฟีน (BUPRENORPHINE) และบิวตาลบิตาล (BUTALBITAL) หรือประเภท ๔ วัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น อัลโลบาร์บิตาล (ALLOBARBITAL) อัลปราโซแลม (ALPRAZOLAM) และบาร์บิตาล (BARBITAL) และกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ เช่น คาทิโนน (cathinone) อัลปราโซแลม (alprazolam) และโคลนาซีแพม (clonazepam) ที่สามารถผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองได้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... เนื่องจากปัจจุบันกรมศุลกากรและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้เชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ National Single Window (NSW) ในรูปแบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากร และกรมศุลกากรได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต/ใบรับรอง ซึ่งได้ดำเนินการตรวจร่วมสินค้าร่วมกับหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต/ใบรับรอง รวมทั้งได้ส่งข้อมูลใบขนสินค้าให้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทราบอยู่แล้ว จึงไม่จำต้องกำหนดให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรต้องสลักหลังสำเนาใบอนุญาตหมายเลข ๓ และส่งกลับมายังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแต่อย่างใด ประกอบกับเนื้อหาของร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ยังไม่มีรายละเอียดในส่วนของการรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงฯ ทั้ง ๔ ฉบับ ไม่ได้ระบุถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขการนำผ่านวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวไว้แต่อย่างใด ดังนั้น ในขั้นต่อไปเมื่อมีการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนำผ่านวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าว ควรพิจารณาถึงความสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐซึ่งมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการตามพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตลอดจนต้องไม่เป็นการขัดต่อหลักการค้าและข้อตกลงระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16304 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ใซึ่งสันนิษฐานว่าผลิต นำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย พ.ศ. ....) | สธ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการ (๑) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิตซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... (๓) ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... และ (๔) ร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ซึ่งสันนิษฐานว่าผลิต นำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย พ.ศ. .... รวม ๔ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการผลิต การขาย การนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น อะโมบาร์บิตาล (AMOBARBITAL) บูพรีนอร์ฟีน (BUPRENORPHINE) และบิวตาลบิตาล (BUTALBITAL) หรือประเภท ๔ วัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น อัลโลบาร์บิตาล (ALLOBARBITAL) อัลปราโซแลม (ALPRAZOLAM) และบาร์บิตาล (BARBITAL) และกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ เช่น คาทิโนน (cathinone) อัลปราโซแลม (alprazolam) และโคลนาซีแพม (clonazepam) ที่สามารถผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองได้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... เนื่องจากปัจจุบันกรมศุลกากรและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้เชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ National Single Window (NSW) ในรูปแบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากร และกรมศุลกากรได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต/ใบรับรอง ซึ่งได้ดำเนินการตรวจร่วมสินค้าร่วมกับหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต/ใบรับรอง รวมทั้งได้ส่งข้อมูลใบขนสินค้าให้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทราบอยู่แล้ว จึงไม่จำต้องกำหนดให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรต้องสลักหลังสำเนาใบอนุญาตหมายเลข ๓ และส่งกลับมายังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแต่อย่างใด ประกอบกับเนื้อหาของร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ยังไม่มีรายละเอียดในส่วนของการรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงฯ ทั้ง ๔ ฉบับ ไม่ได้ระบุถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขการนำผ่านวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวไว้แต่อย่างใด ดังนั้น ในขั้นต่อไปเมื่อมีการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนำผ่านวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าว ควรพิจารณาถึงความสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐซึ่งมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการตามพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตลอดจนต้องไม่เป็นการขัดต่อหลักการค้าและข้อตกลงระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16305 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร บางชนิดหรือบางประเภท รวม 2 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสมุทรสงคราม พ.ศ. ....) | มท | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... และ (๒) ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสมุทรสงคราม พ.ศ. .... กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับดูแลเจ้าพนักงานท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดควบคุมการอนุญาตก่อสร้างอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวง ฯ อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16306 | สรุปรายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก Doing Business 2018 | นร12 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปรายงานผลการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก Doing Business 2018 ได้จัดให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสะดวกในการประกอบธุรกิจเป็นอันดับที่ ๒๖ จาก ๑๙๐ ประเทศทั่วโลก ปรับดีขึ้น ๒๐ อันดับเมื่อเทียบกับปีที่แล้วซึ่งอยู่ในอันดับที่ ๔๖ โดยประเทศไทยมีผลคะแนนรวมทุกด้าน ๗๗.๔๔ คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ได้ ๗๒.๕๓ คะแนน จัดเป็นอันดับที่ ๓ ของอาเซียน และเป็น ๑ ใน ๑๐ ประเทศที่มีการปรับปรุงมากที่สุด และมีคะแนนดีขึ้นใน ๖ ด้าน ได้แก่ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ ด้านการขอใช้ไฟฟ้า ด้านการได้รับสินเชื่อ ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย ด้านการชำระภาษี และด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง ส่วนอีก ๔ ด้านมีคะแนนคงที่หรือลดลง ได้แก่ ด้านการขออนุญาตก่อสร้าง ด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน ด้านการค้าระหว่างประเทศ และด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงยุติธรรม เช่น การขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ควรดำเนินการให้ตรงประเด็นที่เป็นอุปสรรคอย่างแท้จริง และยังคงให้ความสำคัญในการปรับปรุงการบริการซึ่งมีอันดับลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับรายงานปีที่ผ่านมา รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรคำนึงถึงการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับระบบงานที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16307 | รายงานการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - 2561 | นร12 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๑ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลการขับเคลื่อนการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่สำคัญ ได้แก่ โครงการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ประกอบด้วย ๒ โครงการย่อย คือ (๑) โครงการศึกษาเพื่อปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหลักประกันทางธุรกิจและกฎหมายล้มละลาย และ (๒) โครงการศึกษาแนวทางการพัฒนาบริการของรัฐให้มีความง่ายต่อการประกอบธุรกิจ โดยเป็นการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ จนนำไปสู่การออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๑/๒๕๖๐ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ซึ่งช่วยปลดล็อคข้อจำกัดด้านกฎหมายที่เป็นพื้นฐานของการปรับระบบงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ตลอดจนการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริการภาคธุรกิจจนเกิดเป็นระบบให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Services) ๒. สำนักงาน ก.พ.ร. ได้รวบรวมแผนการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยมีประเด็นที่ต้องเร่งดำเนินการทั้งหมด ๑๑ ด้าน และมีส่วนราชการที่รับผิดชอบในแต่ละด้านรวมทั้งหมด ๑๒ หน่วยงาน ทั้งนี้ แผนการดำเนินการในด้านที่สำคัญ ได้แก่ ระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) และการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนเป็นอัตราคงที่ (flat rate) ในด้านการเริ่มต้นธุรกิจ และการเปลี่ยนแปลงการแบ่งเขตการใช้ที่ดิน (Zone) และการดำเนินการเพื่อรองรับการจดทะเบียนที่ดิน Online ในด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน รวมถึงด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย ได้มีการปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการคดีและการบังคับใช้กฎหมายล้มละลาย โดยการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์และการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16308 | รายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี 2559 | ศป | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญประกอบด้วย สถิติคดีปกครองในภาพรวม การส่งเสริมความรู้ความเข้าใจให้แก่ทุกภาคส่วนในสังคม การสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการอำนวยความยุติธรรมของศาลปกครอง การเสริมสร้างวัฒนธรรมศาลปกครอง การวางหลักกฎหมายและแนวทางการปฏิบัติราชการที่ดี รวมทั้งนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของศาลปกครอง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16309 | ร่างพระราชบัญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16310 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2557 | กษ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบกระแสเงินสด ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองงบการเงินดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดดำเนินการเพื่อนำเสนอรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ และวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16311 | การตรวจสอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานศาลยุติธรรม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 | ศย | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจสอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานศาลยุติธรรม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ประกอบด้วยงบแสดงฐานะทางการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบรับรองแล้วเห็นว่า งบการเงินและผลการดำเนินงานทางการเงินถูกต้องตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16312 | ผลการประชุมคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (กพย.) ครั้งที่ 1/2560 | นร11 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (กพย.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ซึ่งที่ประชุมมีมติรับทราบและเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การเพิ่มองค์ประกอบของ กพย. โดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๒) คำสั่งคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ ๑/๒๕๖๐ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (๓) รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการ ๓ คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน คณะอนุกรรมการส่งเสริมความเข้าใจและประเมินผลการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน (๔) แผนขับเคลื่อนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙ (๕) รายงานการทบทวนผลการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ โดยสมัครใจ (Voluntary National Review : VNR) (๖) แผนที่นำทาง (Roadmap) การขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ๑๗ เป้าหมาย (๗) แนวทางการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับพื้นที่ที่ยั่งยืน และ (๘) แผนการดำเนินการของคณะอนุกรรมการในระยะต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กพย. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16313 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 39 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กษ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (ASEAN Ministers on Agriculture and Forestry : AMAF) ครั้งที่ ๓๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ ๒๔ กันยายน-๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยที่ประชุม AMAF ครั้งที่ ๓๙ ได้เห็นชอบเอกสารและมาตรฐานในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านความมั่นคงทางอาหาร ด้านความปลอดภัยอาหารและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ด้านป่าไม้ ด้านประมง เป็นต้น โดยในด้านประมง ที่ประชุมเห็นชอบแผนงานใบรับรองการจับสัตว์น้ำทะเลของอาเซียนเพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนการบริหารจัดการประมงทะเล เพื่อส่งเสริมการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าประมงและผลิตภัณฑ์เพื่อการค้า และป้องกันสินค้าประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing) เข้าสู่สายการผลิตของประเทศสมาชิกอาเซียน และเห็นชอบให้คณะทำงานด้านประมงอาเซียนจัดการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจ ภายในต้นปี ๒๕๖๑ ณ ประเทศไทย เพื่อเร่งรัดการจัดทำนโยบายประมงอาเซียน นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบในท่าทีร่วมกันของอาเซียนที่จะมีต่อกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกาในการเรียกร้องให้มีการประเมินผลทางวิทยาศาสตร์ตามที่ระบุในเอกสารแสดงท่าทีของประเทศสมาชิกอาเซียนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อพิจารณาให้คงสารคาราจีแนบไว้ในบัญชีสารประกอบของผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปที่ปิดฉลากระบุว่า “ผลิตภัณฑ์อินทรีย์” หรือ “ผลิตภัณฑ์ที่มีสารประกอบอินทรีย์หรือผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหาร” สำหรับการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีของจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี (AMAF Plus Three) ครั้งที่ ๑๗ และการหารือทวิภาคีกับเวียดนาม กัมพูชา บรูไนดารุสซาลาม จีน สาธารณรัฐเกาหลี และญี่ปุ่น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16314 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย สมัยที่ 13 | กษ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย สมัยที่ ๑๓ (Conference of Parties : COP 13) ระหว่างวันที่ ๖-๑๖ กันยายน ๒๕๖๐ ณ เมืองออร์โดส เขตปกครองตนเองอินเนอร์มองโกเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดินเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทที่เกี่ยวข้องกับอนุสัญญาฯ ยุทธศาสตร์ของอนุสัญญาฯ ปี ๒๕๖๑-๒๕๗๓ การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอนุสัญญาฯ ระดับประเทศ ระดับภูมิภาคย่อย และระดับภูมิภาค การจัดเสวนาของประเทศไทยร่วมกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ภายใต้หัวข้อ Voluntary Guidelines for Sustainable Soil Management : a tool for achieving a land degradation neutral world รวมทั้งประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่กรมพัฒนาที่ดินในฐานะหน่วยงานหลักในการดำเนินงานอนุสัญญาฯ จะต้องประสานและร่วมงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการ ได้แก่ (๑) การจัดทำแผนปฏิบัติการแห่งชาติที่เชื่อมโยงเป้าหมายและมาตรการการจัดการทรัพยากรที่ดิน (Land Degradation Neutrality : LDN) และเน้นการดำเนินงานในพื้นที่เป้าหมาย LDN (๒) การจัดทำรายงานผลการดำเนินงานอนุสัญญาฯ ปี ๒๕๖๑ (๓) รวบรวมมาตรการในการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน (Sustainable Land. Management : SLM) ทั้งในส่วนของการจัดการที่ดิน น้ำ ป่าไม้ และ (๔) พัฒนาตัวชี้วัด LDN ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16315 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐมอลตาและราชอาณาจักรสเปนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐมอลตา ระหว่างวันที่ ๓-๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ และราชอาณาจักรสเปน ระหว่างวันที่ ๖-๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลการเยือนสาธารณรัฐมอลตา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เข้าร่วมการประชุมนานาชาติ Our Ocean Conference ครั้งที่ ๔ ในหัวข้อ Our Ocean, an Ocean for life เพื่อแสดงบทบาทความมุ่งมั่นและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อความยั่งยืนของทะเลและมหาสมุทรในด้านการประมงทะเล การลดมลพิษทางทะเล การเพิ่มพื้นที่คุ้มครองสัตว์ทะเล การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความมั่นคงทางทะเล โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กล่าวถ้อยแถลงแสดงจุดยืนและความมุ่งมั่นของไทยในการสร้างความยั่งยืนให้แก่มหาสมุทรและทรัพยากรประมงทะเล รวมทั้งได้หารือกับกรรมาธิการสหภาพยุโรปและผู้บริหารกลุ่มผู้นำเข้าสินค้าประมงของไทยในระหว่างการประชุมฯ เกี่ยวกับแนวทางการจัดการประมงยั่งยืน ๒. ผลการเยือนราชอาณาจักรสเปน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประชุมหารือกับ Fisheries Monitoring Center ราชอาณาจักรสเปน ในการติดตามและควบคุมเรือประมง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลในการบริหารจัดการและควบคุมติดตามเรือประมง โดยพบว่าระบบการควบคุม ติดตาม และเฝ้าระวังการทำประมงของสเปนมีการบริหารจัดการข้อมูลเรือประมงและการทำประมงที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเจ้าหน้าที่มีความชำนาญและประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทำการประมงของไทยจะนำความรู้ดังกล่าวไปพัฒนาระบบของไทยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16316 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2560 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๐ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) คาดว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ ๓.๖ ในปี ๒๕๖๐ และร้อยละ ๓.๗ ในปี ๒๕๖๑ ซึ่งได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของการลงทุน การค้าระหว่างประเทศ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งนี้ ธนาคารโลก และ IMF ยังคงเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และกฎระเบียบภายในประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง (Inclusive Growth) ในระยะยาว โดยในส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้นำเสนอถ้อยแถลงถึงภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของไทย ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ส่งผลให้ประมาณการเศรษฐกิจของไทยในปี ๒๕๖๐ เติบโตในอัตราร้อยละ ๓.๗ และในปีหน้าจากเดิมคาดว่าจะเติบโตร้อยละ ๓.๓ เพิ่มเป็นร้อยละ ๓.๕ ๒. การประชุมร่วมระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของธนาคารโลก และ IMF (Joint Meeting of the World Bank-IMF Southeast Asia Group : SEA Group) โดย IMF ได้แนะนำประเทศสมาชิกให้ใช้โอกาสที่สภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นในขณะนี้ เร่งปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจในประเทศให้สมดุล นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก และ IMF ได้นำเสนอบทบาทที่เพิ่มขึ้นของนวัตกรรมทางการเงินในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการเงินของผู้มีรายได้น้อย ๓. การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ ๙๖ (96th Development Committee Meeting) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมฯ ๔ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) การพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเสริมสร้างทักษะที่ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต ซึ่งจะสามารถบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำและนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน (๒) การส่งเสริมบทบาทและมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการลงทุนเพื่อการพัฒนา (๓) ให้ธนาคารโลกเป็นองค์กรอิสระที่มีความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการสนับสนุนประเทศสมาชิกทั้งด้านโครงการเงินกู้และการช่วยเหลือทางวิชาการ และ (๔) เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกเร่งหาข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางเพิ่มทุนของธนาคารโลกให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ประชุมหารือทวิภาคีกับรองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก คณะผู้จัดทำรายงาน Doing Business และ Logistics Performance Index และผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินต่างประเทศ โดยมีการหารือที่สำคัญ เช่น (๑) แนวทางความร่วมมือระหว่างไทยและธนาคารโลกภายใต้กรอบความเป็นหุ้นส่วนระหว่างประเทศที่อยู่ระหว่างการจัดทำ (๒) ผลงานของรัฐบาลไทยที่ได้ปฏิรูปกฎหมาย และลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น และ (๓) สถาบันการเงินต่างประเทศเล็งเห็นถึงความสำคัญของไทยในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคและอาเซียน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16317 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ 2 (The 2nd ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity) และงาน The 2nd Singapore International Cyber Week | ดศ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ ๒ (The 2nd ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity) และงาน The 2nd Singapore International Cyber Week ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมฯ ได้ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการประสานงานระหว่างเวทีการประชุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสามเสาในประชาคมอาเซียนเพื่อหารือประเด็นด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ และเพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางสารสนเทศที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยอาเซียนต้องใช้ความพยายามร่วมกันเพื่อการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงการทำงานที่ซ้ำซ้อนระหว่างกัน โดยฝ่ายไทยได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและได้เสนอประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ เช่น สนับสนุนให้อาเซียนร่วมกันผลักดันและสร้างความพร้อมเพื่อยกระดับการพัฒนาด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีการหารือพิเศษกับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศคู่เจรจาอาเซียน ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา โดยประเทศคู่เจรจาของอาเซียนได้ให้ความสำคัญกับการหารือระหว่างภูมิภาคที่ควรมีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และเน้นย้ำถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศระหว่างอาเซียนและคู่เจรจาของอาเซียน เพื่อลดช่องว่างทางนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศและส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ ๒. งาน The 2nd Singapore International Cyber Week เป็นงานที่เปิดโอกาสให้รัฐมนตรีและผู้บริหารด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศจากประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมงานได้กล่าวถ้อยแถลง โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น การเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ซึ่งคาดการณ์ว่า ในปี ๒๕๖๕ จะขาดแคลนบุคลากรในด้านดังกล่าวจำนวน ๑.๘ ล้านคนทั่วโลก รวมทั้งการส่งเสริมให้เกิดมาตรฐานสากลในการรักษาความปลอดภัยทางสารสนเทศ ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้หารือทวิภาคีกับสหรัฐอเมริกา ลาว เมียนมา และสิงคโปร์ โดยมีการหารือที่สำคัญ เช่น (๑) ไทยได้เชิญชวนให้บริษัทด้าน Cybersecurity ของสหรัฐอเมริกาเข้ามาลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยในโครงการ Digital Park Thailand (๒) ลาวได้เสนอให้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างไทยและลาวว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (๓) เมียนมาขอให้ไทยสนับสนุนและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการพัฒนาด้านต่าง ๆ เช่น รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ การเงินเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และ (๔) ไทยและสิงคโปร์หารือเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านไอซีทีระหว่างไทยและสิงคโปร์ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาบุคลากรและการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16318 | การชดเชยรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ที่ขาดหายไปเนื่องจากพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ไม่สามารถใช้บังคับได้ | นร01 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ในคราวประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐ เกี่ยวกับเรื่องการชดเชยรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ขาดหายไปเนื่องจากพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ไม่สามารถใช้บังคับได้ ตามที่ประธาน กกถ. เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. กรณีความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นมีจำนวนจำกัดและต้องสำรองไว้เพื่อใช้จ่ายในภารกิจที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ประกอบกับสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนเพิ่มเติมให้แก่ อปท. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามโครงการ Matching Fund จำนวน ๙,๘๙๘.๕๐ ล้านบาท จึงไม่สามารถจัดสรรให้แก่ อปท. ได้อีก นั้น เนื่องจากประมาณการรายได้ในส่วนของรายได้ อปท. จัดเก็บเองในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีผลใช้บังคับ ซึ่งไม่สะท้อนความเป็นจริง ดังนั้น จึงควรพิจารณาจากรายได้ที่ อปท. จัดเก็บเองตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ๒. กรณีความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ให้ กกถ. ร่วมกับ อปท. ส่งเสริมการดำเนินมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดเก็บภาษีท้องถิ่นเพื่อเพิ่มรายได้ของ อปท. และกำหนดวิธีการบริหารจัดการการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการดำเนินโครงการต่อยอดการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและสามารถเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น นั้น เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับร่างแผนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. .... และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. (ฉบับที่ ๓) ด้านการเงิน การคลังและงบประมาณ ที่จะมีผลบังคับใช้ จะได้ดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16319 | รายงานของผู้สอบบัญชี งบการเงินและรายงานการใช้จ่ายเงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สำหรับงวดตั้งแต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2559 | กค | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชี งบการเงินและรายงานการใช้จ่ายเงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (กองทุนฯ) สำหรับงวดตั้งแต่วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ประกอบด้วย (๑) งบแสดงฐานะทางการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ กองทุนฯ มีสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน จำนวน ๗,๑๙๗.๗๗ ล้านบาท และ (๒) รายงานการรับ-จ่ายเงิน สำหรับงวดตั้งแต่วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ กองทุนฯ มีเงินคงเหลือ ๗,๑๘๓.๘๑ ล้านบาท ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ตรวจสอบรับรองงบการเงินและรายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ แล้วเห็นว่า งบการเงินดังกล่าวถูกต้องตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16320 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560 | ดศ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินงาน เช่น (๑) คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๑๓/๒๕๖๐ เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๐ เพื่อแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ รวม ๗ ท่าน (๒) การประกาศใช้พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ (๓) ผลการประชุมหารือร่วมกันระหว่างคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารมวลชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐเพื่อความมั่นคง (๔) แนวทางการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการดาวเทียม ตามมาตรา ๖๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ (๕) ความคืบหน้าของการดำเนินการกรณีดาวเทียมไทยคม ๗ และไทยคม ๘ เป็นต้น ๒. พิจารณาประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๑ เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์อวกาศแห่งชาติ ปี ๒๕๖๐-๒๕๗๙ โดยมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ปรับปรุงร่างยุทธศาสตร์ฯ และนำเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พิจารณาภายในวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ก่อนนำเสนอประธานคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ๒.๒ เห็นชอบในหลักการการดำเนินงานดาวเทียมสื่อสารของภาครัฐ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการประสานงานกับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ.กสท.) เพื่อจัดทำรายละเอียดของโครงการ โดยมีทางเลือก (๑) บมจ.กสท. เป็นผู้ดำเนินการร่วมกับภาคเอกชน โดยการเช่าใช้โครงข่ายดาวเทียมจากภาคเอกชน และนำความจุส่วนที่ใช้งานต่างประเทศขายส่งให้กับ Reseller และนำความจุส่วนที่ใช้งานในประเทศไทยมาใช้ตามโครงการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐ (๒) บมจ.กสท. เป็นผู้ดำเนินการร่วมกับภาคเอกชนในรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP) และ (๓) บริษัทเอกชนจัดสร้างโครงข่ายดาวเทียม ซึ่ง บมจ.กสท. จะจัดหาความจุส่วนที่ใช้งานในประเทศไทยมาใช้ตามโครงการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐ
|
.....