ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 433 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 8641 - 8660 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8641 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (เลขาธิการวุฒิสภา) | สว. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
ซึ่งกระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าวแล้ว
โดยได้ดำเนินการ เช่น เตรียมการรองรับการบังคับใช้กฎหมาย
โดยการออกกฎกระทรวงและประกาศที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในการดำเนินการเกี่ยวกับทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
จัดทำระบบเพื่อรองรับการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่สะดวกและง่ายต่อการใช้งานของผู้ประกอบการ
จัดทำคู่มือเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป
เป็นต้น และการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการจากต่างประเทศนั้น
กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีดังกล่าว
สำหรับการปรับปรุงถ้อยคำว่า “ต่างประเทศ” จะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
และต้องดำเนินการศึกษาร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อความรอบคอบต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8642 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 | มท. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์
พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงาน
โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการในลักษณะพื้นที่เป็นตัวตั้งควบคู่กับการดำเนินการตามมาตรการและแนวทางการดำเนินการเพื่อเฝ้าระวัง
ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙)
โดยบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง
ให้ความสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและเคร่งครัด
ควบคู่กับการสร้างจิตสำนึกและความตระหนักด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนและประชาชน
โดยกำหนดช่วงรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ และดำเนินการ ระหว่างวันที่ ๑๕ มีนาคม-๒๓ เมษายน
๒๕๖๔ ซึ่งมีมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน จำนวน ๕ ด้าน ได้แก่
ด้านการบริหารจัดการ ด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม
ด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ ด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย
และด้านการช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8643 | ร่างกฎกระทรวงการขอและการออกอาชญาบัตรและประทานบัตร พ.ศ. .... | อก. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอและการออกอาชญาบัตรและประทานบัตร
พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกอาชญาบัตรสำรวจแร่
อาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ อาชญาบัตรพิเศษ และประทานบัตร
รวมทั้งคุณสมบัติของผู้ขอรับอาชญาบัตรและประทานบัตร ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8644 | กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 | นร.11 | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศที่มี
“เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน” โดยมีองค์ประกอบสำคัญที่ต้องดำเนินการ
๔ ด้าน ได้แก่ (๑) เศรษฐกิจมูลค่าสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (๒)
สังคมแห่งโอกาสและความเสมอภาค (๓) วิถีชีวิตที่ยั่งยืน และ (๔)
ปัจจัยสนับสนุนการพลิกโฉมประเทศ ซึ่งแต่ละองค์ประกอบได้กำหนด “หมุดหมาย”
ที่ประเทศไทยควรบรรลุในช่วงระยะเวลา ๕ ปี โดยขณะนี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอยู่ระหว่างจัดรับฟังความคิดเห็นในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
๒๕๖๔ เพื่อนำกรอบแผนพัฒนาฯ ที่ผ่านการระดมความคิดเห็นไปดำเนินการยกร่างแผนพัฒนาฯ
ตามขั้นตอนต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาปรับปรุงกรอบแผนพัฒนาฯ
ให้เป็นปัจจุบันและสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
รวมทั้งสอดรับกับแนวทางของยุทธศาสตร์ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
และแผนการปฏิรูปประเทศ มากยิ่งขึ้น เช่น
เพิ่มหมุดหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมการวิจัยและการพัฒนานวัตกรรม
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและบริการต่าง ๆ
รวมทั้งการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนประเทศด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8645 | โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี | อว. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (มหาวิทยาลัยมหิดล) ดำเนินการโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี
ภายในกรอบวงเงิน ๑๑,๖๒๙.๖๕ ล้านบาท เป็นเงินงบประมาณ จำนวน ๗,๗๖๔.๐๐ ล้านบาท
และเงินนอกงบประมาณ จำนวน ๓,๘๖๕.๖๕ ล้านบาท ระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗๐) โดยให้มหาวิทยาลัยมหิดลจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความพร้อมและความสามารถในการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับแผนการย้ายโรงงานพระราม
๖ ขององค์การเภสัชกรรม
เพื่อใช้พื้นที่ว่างดังกล่าวในการเตรียมการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี
สำหรับชั้นความสูงของอาคารให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายควบคุมอาคารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง
ครบถ้วน และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม (มหาวิทยาลัยมหิดล) ดำเนินการขออนุญาตก่อสร้างอาคารให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร
เรื่อง กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง ใช้หรือเปลี่ยนแปลงการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท
ในท้องที่แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต แขวงสวนจิตรลดา
แขวงสี่แยกมหานาค เขตดุสิต แขวงทุ่งพญาไท แขวงสามเสนใน เขตพญาไท แขวงวัดโสมนัส
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และแขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
พ.ศ. ๒๕๒๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (มหาวิทยาลัยมหิดล) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควร (๑) คำนึงถึงทางเลือกอื่นในการดำเนินโครงการฯ
โดยอาจพิจารณากำหนดแรงจูงใจให้ภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม อาทิ
การให้ภาคเอกชนที่มีศักยภาพร่วมลงทุนในโครงการฯ
ในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public Proivate Partnership
: PPP) เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณของภาครัฐ
(๒) ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการโครงการฯ ให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะการบริหารจัดการในช่วงจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้การดำเนินโครงการฯ
แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดไว้
อีกทั้งเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ อย่างมากที่สุด และ (๓)
พิจารณาจัดทำแนวทางการเสริมสร้างเครือข่าย การบูรณาการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างโครงการฯ
กับหน่วยงาน/สถาบันทางการแพทย์ภายในพื้นที่ย่านนวัตกรรมโยธีที่ชัดเจน
ซึ่งจะช่วยส่งผลให้การผลักดันพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตนวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รวมถึงมหาวิทยาลัยในกำกับ) กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการยกเว้นหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
ตามความในกฎกระทรวงว่าด้วยการยกเว้น ผ่อนผัน
หรือกำหนดเงื่อนไขในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารพ.ศ. ๒๕๕๐
ให้มีความชัดเจนและเหมาะสม
โดยเฉพาะในกรณีอาคารของหน่วยงานที่ไม่ใช่อาคารของกระทรวง ทบวง กรม ที่ใช้ในราชการ
หรือเพื่อสาธารณประโยชน์ เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายใด ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
ก็ให้หน่วยงานเจ้าของกฎหมายเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในความรับผิดชอบให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8646 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 726.25 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ (จำนวน 4 จังหวัด) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท | คค. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๗๒๖.๒๕ ล้านบาท ประกอบด้วย
กรมทางหลวง จำนวน ๒๙ รายการ วงเงิน ๕๓๙.๕๐ ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท จำนวน ๑๔
รายการ วงเงิน ๑๘๖.๗๕ ล้านบาท เพื่อซ่อมแซม/บูรณะทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบท
และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ
ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยเนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ในพื้นที่ภาคใต้
๔ จังหวัด ซึ่งถูกประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติของกระทรวงมหาดไทย ได้แก่
จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา โดยมีขอบเขตงานซ่อมแซม/บูรณะ อาทิ
งานแก้ไขและป้องกันดินสไลด์ งานฟื้นฟูและเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำ
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับดูแล การดำเนินการดังกล่าว ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการบูรณะโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่เสียหายจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นโดยเร็ว
และพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันเชิงรุกสำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติ
โดยสำรวจและประเมินความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งอย่างเป็นระบบ
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดมาตรฐานคุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงจากเหตุภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นให้ชัดเจนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8647 | การกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ ประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 500,000,000.00 บาท (ห้าร้อยล้านบาทถ้วน) | พม. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) ประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๔ จำนวน ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไว้ใช้เป็นเงินทุนในการหมุนเวียนและรองรับธุรกรรมการรับจำนำของประชาชนที่มีความต้องการอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งเพื่อประกันการขาดสภาพคล่องทางการเงินที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชน
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า
การเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของ สธค. ดังกล่าว
เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
มาตรา ๗ ซึ่งก่อให้เกิดผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ
จึงต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์
เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย
และมาตรา ๔๙ โดยการก่อหนี้ดังกล่าวต้องกระทำด้วยความรอบคอบ และคำนึงถึงความคุ้มค่า
ความสามารถในการชำระหนี้ การกระจายภาระการชำระหนี้
รวมทั้งเห็นควรจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง การวางแผนทางการเงินล่วงหน้า
และการพัฒนาระบบบริการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ
เพื่อให้สามารถบริการประชาชนได้ทันต่อสถานการณ์
และการกู้เงินดังกล่าวจะต้องดำเนินให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8648 | การกำหนดให้ประธานกรรมการ กรรมการ และอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุม ค่าพาหนะ ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก และค่าใช้จ่ายอย่างอื่น ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 มาตรา 22 และมาตรา 36 | นร.14 | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการกำหนดให้ประธานกรรมการ
กรรมการ และอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุม ค่าพาหนะ ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก
และค่าใช้จ่ายอย่างอื่น ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๒๒
และมาตรา ๓๖ ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ทั้งนี้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน
ก.พ.ร. เช่น (๑) คณะอนุกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติควรพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้สอดคล้องตามบทบัญญัติของมาตรา
๗๗ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่บัญญัติให้รัฐพึงใช้ระบบคณะกรรมการในกฎหมายเฉพาะกรณีที่จำเป็นและไม่เป็นภาระงบประมาณในระยะต่อไป
และ (๒) การจัดตั้งคณะอนุกรรมการและการกำหนดองค์ประกอบของอนุกรรมการควรมีเท่าที่จำเป็นเพื่อไม่ให้เป็นภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐในระยะยาว
และควรมีการทบทวนความคงอยู่ของอนุกรรมการเมื่อสิ้นสุดภารกิจ เป็นต้น ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8649 | ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 พ.ศ. .... | รง. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา
๓๙ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ (๑) ให้ผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓
ซึ่งความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลง เนื่องจากสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง
ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ ได้รับการขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา
๓๙ โดยให้แสดงความจำนงภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ และ (๒) ให้ผู้ประกันตนตามมาตรา
๓๙ ได้รับการขยายกำหนดเวลานำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ตามมาตรา ๓๙ วรรคสาม
สำหรับเงินสมทบที่ต้องนำส่งประจำงวดเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ถึงงวดเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔
โดยให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ภายในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
โดยให้แก้ไขวันใช้บังคับของร่างประกาศดังกล่าว เป็น
“ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับให้ทันต่อสถานการณ์
และวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคมอย่างเหมาะสมทั้งในระยะสั้น
ระยะกลาง และระยะยาว โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
กรณีที่มีแนวโน้มว่ากองทุนจะไม่มีเงินพอจ่ายประโยชน์ทดแทนแก่ผู้ประกันตน กระทรวงแรงงานควรประมาณการภาระงบประมาณที่รัฐบาลจะต้องสนับสนุนรายงานต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบล่วงหน้าด้วย
เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของกองทุน
รวมทั้งภาระทางการเงินการคลังที่อาจเกิดขึ้นแก่รัฐในอนาคต
และสำนักงานประกันสังคมควรเตรียมความพร้อมด้วยการหามาตรการ/แนวทางรองรับผลกระทบจากแนวโน้มการขาดดุลที่จะเพิ่มขึ้นในปีต่อ
ๆ ไป ซึ่งจะส่งผลต่อเสถียรภาพของกองทุนในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8650 | ขออนุมัติผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F | สกพอ. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
(นายสุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์) ชี้แจงว่า
ผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง
ระยะที่ ๓ ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอนั้น
เป็นผลการเจรจาระหว่างคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง
ระยะที่ ๓ กับกลุ่มเอกชนจนถึงที่สุดแล้ว โดยได้มีการเจรจากันมาอย่างต่อเนื่องรวม ๖
ครั้ง ในส่วนของค่าสัมปทานคงที่เท่ากับมูลค่าปัจจุบันสุทธิ ๒๙,๐๕๐ ล้านบาท
ตามข้อเสนอนั้น เป็นผลจากการที่มูลค่าการลงทุนของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากมูลค่าการลงทุนที่กำหนดไว้ในรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๑ ดังนั้น ผลตอบแทนของภาครัฐตามข้อเท็จจริงจึงมิได้ลดลง นอกจากนี้
ในส่วนของผลประโยชน์ตอบแทนจากค่าสัมปทานผันแปรที่ ๑๐๐ บาทต่อทีอียู นั้น
อยู่บนฐานการคำนวณโดยใช้ประมาณการปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรือแหลมฉบังภายใต้กรณีผลกระทบของวิกฤตโควิด-19
ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีปริมาณตู้สินค้าสูงกว่าที่ประมาณการไว้
การท่าเรือแห่งประเทศไทยก็จะได้ผลประโยชน์ตอบแทนในส่วนนี้เพิ่มขึ้นตามข้อเท็จจริง ๒. อนุมัติผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับจากโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง
ระยะที่ ๓ ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๔ [ค่าสัมปทานคงที่เท่ากับมูลค่าปัจจุบันสุทธิ
(NPV) ที่ ๒๙,๐๕๐ ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ ๑๐๐
บาทต่อทีอียู] ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ
ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
การดำเนินโครงการฯ ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ในภาพรวมของประเทศที่จะได้รับเป็นสำคัญ
โดยผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐพึงจะได้รับจากการดำเนินโครงการทั้งในระยะเริ่มต้นและต่อไปในอนาคต
ควรจะมีการกำหนดเงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่เหมาะสม
รวมถึงความเป็นไปได้ในการพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับมูลค่าการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงของผู้ประกอบการ
และสัดส่วนของประโยชน์สูงสุดที่ภาครัฐจะได้รับอย่างเป็นธรรม เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้
ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓.
ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในอนาคต
โดยเฉพาะโครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายละเอียดของโครงการลงทุนอย่างรอบคอบในทุกขั้นตอน
และสอดคล้องกับรายการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
รวมทั้งคำนึงถึงการแบ่งปันผลประโยชน์กับทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรมและการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8651 | รายงานผลการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 3 | ทส. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานผลการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี
กาญจนบุรี และนครปฐม ครั้งที่ ๓ ซึ่งมีการดำเนินงานขับเคลื่อนโดยจำแนกตามกลุ่มสภาพปัญหา
ประกอบด้วย (๑)
กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) (ผู้ประกอบการและผู้ว่างงาน) และ (๒)
กลุ่มโครงสร้างการพัฒนาจังหวัดต่าง ๆ ในด้านการเกษตรและการบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
และกระทรวงอุตสาหกรรมรับประเด็นข้อหารือจากการประชุมดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในประเด็นการแก้ไขปัญหาด้านการขาดแคลนน้ำ
และการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8652 | การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 | คค. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเรื่อง
การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ ๔/๒๕๖๔ เมื่อวันที่
๑๘ มีนาคม ๒๕๖๔ เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี
(ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี
และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษกาญจนาภิเษก
(บางพลี-สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษทั้ง ๒ สายดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ ๙
เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8653 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม | ดศ. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ตามนัยมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ตามลำดับ ดังนี้ ๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
(นายอิทธิพล คุณปลื้ม)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8654 | การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยมาตรฐานเทคนิคทางไฟฟ้าระหว่างประเทศ | อก. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของกรรมการในคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยมาตรฐานเทคนิคทางไฟฟ้าระหว่างประเทศ
โดยขอเปลี่ยนแปลงตำแหน่งในคณะกรรมการดังกล่าว จากเดิม “ผู้แทน บริษัท ทีโอที จำกัด
(มหาชน) และ ผู้แทน บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)” เป็น “ผู้แทน บริษัท
โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)” ทั้งนี้ องค์ประกอบอื่นและอำนาจหน้าที่คงเดิม
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ เมษายน
๒๕๖๔) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8655 | รายงานประจำปี 2563 ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา | กสศ. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี
๒๕๖๓ ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ประกอบด้วย (๑)
ผลการดำเนินงานของ กสศ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ มีโครงการสำคัญ เช่น
โครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
โครงการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไขหรือทุนเสมอภาค
(ทุนเสมอภาค) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง
เป็นต้น (๒) รายงานด้านการบัญชีและการตรวจสอบ ได้แก่ รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการตรวจสอบภายใน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และรายงานการสอบบัญชีของ กสศ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๓ และ (๓) ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในท้ายบันทึกของ กสศ. ว่า ให้บริหารอย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้งบประมาณอย่างสุจริต โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ ตามที่ กสศ. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8656 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย – สิงคโปร์ | คค. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-สิงคโปร์
และเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทย
โดยมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ
ต่อไป โดยบันทึกความเข้าใจฯ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทยมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงสิทธิการบินและข้อบทต่าง
ๆ จากที่กำหนดไว้ในความตกลงระหว่างไทยและสิงคโปร์ว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างอาณาเขตของแต่ละฝ่ายและพ้นจากนั้นไป
ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๑๑
และบันทึกความเข้าใจลับและบันทึกการประชุมฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๕
ในประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) แก้ไขคำจำกัดความของคำว่า “เจ้าหน้าที่การเดินอากาศ”
ของฝ่ายไทย เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานด้านการบิน (๒)
ปรับปรุงใบพิกัดเส้นทางบินรับขนผู้โดยสาร โดยกำหนดจุดระหว่างทางเป็นจุดใด ๆ
และรวมจุดพ้นเป็นกลุ่มภูมิภาค (๓) เพิ่มสิทธิการทำบินด้วยสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่
๕ ได้ฝ่ายละ ๒๘ เที่ยว/สัปดาห์ จากเดิม ๒๑ เที่ยว/สัปดาห์ เป็นต้น
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า
บันทึกความเข้าใจฯ ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และเห็นว่าร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทยเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทย
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8657 | ขอความเห็นชอบยุติการดำเนินงานสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษา ภายใต้โครงการพัฒนาวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษา | นร. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยุติการดำเนินงานสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเครือข่ายที่
๒ เพื่อการศึกษา (โครงการวิทยุเครือข่ายที่ ๒)
ภายใต้โครงการพัฒนาวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษา จำนวน ๑๑ สถานี
ที่สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ
เนื่องจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามโครงการวิทยุเครือข่ายที่ ๒ มีอายุการใช้งานนานกว่า ๓๕
ปี หากจะพัฒนาสถานีอาจไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน
ประกอบกับสภาพแวดล้อมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงไปและปัจจุบันกรมประชาสัมพันธ์ได้รับอนุญาตให้ใช้งานคลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการกระจายเสียง
จำนวน ๑๔๕ คลื่นความถี่ ซึ่งรวมถึงคลื่นความถี่ของ ๑๑ สถานีดังกล่าวด้วยแล้ว
ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) เสนอ
และให้กรมประชาสัมพันธ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เป็นผู้ผลิตสาระความรู้และใช้ช่องทางของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยที่กรมประชาสัมพันธ์ยังมีการดำเนินงานอยู่ในการสื่อสารสาระความรู้ที่มีประโยชน์ให้กับประชาชน
โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล เพื่อลดผลกระทบจากการยุติสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเครือข่ายที่
๒ เพื่อการศึกษา และสร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงข่าวสารและความรู้ของประชาชน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8658 | แต่งตั้งผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค | มท. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายสมบูรณ์ สุนันทพงศ์ศักดิ์
เป็นผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในปีแรกอัตราเดือนละ
๒๕๐,๐๐๐ บาท (ตามมติ คกก. การประปาส่วนภูมิภาค ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๕
มีนาคม ๒๕๖๔ และครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๔) ทั้งนี้
ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8659 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล) | ดศ. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายเอกสิทธิ์
คุณานันทกุล เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมติ (๗ เมษายน ๒๕๖๔) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8660 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
กำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เกลือตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย จำนวน ๗
รายการ ได้แก่ ๒๕๐๑.๐๐.๑๐-๐๐๐/KGM ๒๕๐๑.๐๐.๒๐-๐๐๐/KGM ๒๕๐๑.๐๐.๙๑-๐๐๐/KGM ๒๕๐๑.๐๐.๙๒-๐๐๐/KGM ๒๕๐๑.๐๐.๙๙-๐๐๓/KGM ๒๕๐๑.๐๐.๙๙-๐๐๔/KGM และ ๒๕๐๑.๐๐.๙๙-๐๙๐/KGM (เช่น เกลือป่นสำหรับรับประทาน
เกลือหินที่ไม่ผ่านกรรมวิธี
เกลือสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร หรืออุตสาหกรรมยา เกลือสำหรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ)
เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าหรือหลักฐานการอนุญาตให้ส่งออกที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานอื่นที่มีอำนาจจากประเทศผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกแสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
และกำหนดให้ผู้นำเข้าเกลือต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๖๐ วัน
นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า
ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวต้องไม่กระทบต่อข้อปฏิบัติตามหลักการค้าเสรีที่องค์การการค้าโลก
(World Trade Organization : WTO)
กำหนด หรือกระทบต่อข้อตกลงหรือความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศคู่ค้า และการกำหนดมาตรการจัดระเบียบในการนำเกลือเข้ามาในราชอาณาจักรอาจมีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่
จึงเห็นควรคำนึงถึงผลกระทบและการปฏิบัติตามพันธกรณีดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดและยกระดับการพัฒนาคุณภาพกระบวนการผลิตเกลือทะเลและเกลืออุตสาหกรรมของประเทศ
เพื่อสร้างมาตรฐานเกลือให้เป็นที่ยอมรับโดยต้องสอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว
(BCG Model) และให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นว่า
การที่ราคาเกลือทะเลของไทยตกต่ำมิได้ขึ้นอยู่กับการนำเข้าเกลือทะเลจากต่างประเทศเพียงปัจจัยเดียว
เกษตรกรชาวนาเกลือทะเลของไทยจำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพการผลิต
เพื่อลดต้นทุนการผลิตเกลือให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|