ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 757 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 15121 - 15140 จากข้อมูลทั้งหมด 124274 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15121 | รายงานผลการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 | กค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note : PN) วงเงิน ๕,๔๐๐ ล้านบาท และวงเงิน ๙,๖๐๐ ล้านบาท ก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ โดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑ (LB26DA) จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท อายุ ๘.๕๗ ปี ประมูลในวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ ๒.๗๓๐๙ ต่อปี ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าว จำนวน ๑ ฉบับ เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15122 | การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ 5 และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 บี 3 และ บี 4 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี 2 ณ ท่าเทียบเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย) | คค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการลงทุนก่อสร้าง บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือสินค้ากอง เอ ๕ และโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี ๒ บี ๓ และ บี ๔ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและด้านกฎหมายของคณะกรรมการตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เช่น กทท. ควรนำผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและกฎหมายไปประกอบการพิจารณาวางแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับเมื่อสัญญาสิ้นสุด โดยต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและประชาชน ความคุ้มค่า ซึ่งจะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินดังกล่าวของ กทท. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทท. ดำเนินการ ๒.๑ เร่งรัดการพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรืออื่น ๆ ที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๒ เร่งรัดการดำเนินการจัดทำแนวทางการประกอบการท่าเทียบเรือของสัญญาร่วมลงทุนโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือตู้สินค้า บี ๒ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของ กทท. ที่จะสิ้นสุดลงภายใน ๕ ปี ตามนัยมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้การบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือภายใต้อำนาจหน้าที่ของ กทท. เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15123 | ร่างปฏิญญารัฐมนตรีการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2018 | กต | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญารัฐมนตรีการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๘ และอนุมัติให้เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ (รับรองโดยไม่ลงนาม) ในการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High-level Political Forum on Sustainable Development : HLPF) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๙-๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ต่อการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเป็นการเร่งรัดให้เกิดความคืบหน้าในการดำเนินการโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเป้าประสงค์ที่มีกรอบเวลาเพื่อบรรลุภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ เช่น การเสริมสร้างและยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการศึกษาที่คำนึงถึงเด็ก คนพิการ และเพศ และสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ โดยขยายจำนวนทุนการศึกษาให้กับประเทศกำลังพัฒนา และการปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับน้ำ การบรรลุการบริหารจัดการสารเคมีและของเสียทั้งปวง รวมทั้งระบุถึงประเด็นที่ควรเน้นย้ำให้มีการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น ความเสมอภาคระหว่างเพศ การมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชน และการยกระดับการลงทุนและการดำเนินการโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนเพื่อเพิ่มการเข้าถึงการวิจัยและเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการผลักดันประเด็นเกี่ยวกับกระบวนการทางด้านสิทธิมนุษยชนในการประกอบธุรกิจเพื่อบรรจุไว้ในร่างปฏิญญาฯ เพิ่มเติมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15124 | การทบทวนแผนการดำเนินงานและกรอบงบประมาณ เพื่อใช้จัดงานนิทรรศการ World Expo 2020 Dubai ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) | ดศ | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแผนการดำเนินงานและกรอบงบประมาณ เพื่อใช้จัดงานนิทรรศการ World Expo 2020 Dubai ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ในวงเงินรวมทั้งสิ้น ๙๕๐,๕๒๙,๑๐๐ บาท ประกอบด้วย (๑) ค่าใช้จ่ายในการบริหารและเตรียมงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๖๐,๘๘๐,๙๐๐ บาท และ (๒) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดงานนิทรรศการ World Expo 2020 Dubai ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๘๘๙,๖๔๘,๒๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและคณะกรรมการจัดงาน World Expo 2020 Dubai รับไปพิจารณาทบทวนแนวคิดและรูปแบบในการนำเสนอนิทรรศการ World Expo 2020 Dubai ให้มีความเหมาะสม ทันสมัย และสามารถถ่ายทอดอัตลักษณ์ของความเป็นไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ดังนี้ ๒.๑ ในส่วนของพื้นที่จัดแสดงโซนที่ ๑ ให้เน้นการนำเสนอเกี่ยวกับพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ รวมถึงพระอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ควบคู่ไปกับการนำเสนอพระราชกรณียกิจที่สำคัญ ๆ ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ๒.๒ พิจารณาทบทวนการกำหนดพื้นที่การจัดนิทรรศการ World Expo 2020 Dubai ในแต่ละโซนใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยให้คำนึงถึงความเหมาะสม สอดคล้องเชื่อมโยงกันในภาพรวม ตั้งแต่ระดับโลก ภูมิภาคอาเซียน และประเทศไทย รวมทั้งให้พิจารณาจัดกลุ่มการนำเสนอผลงานในหัวข้อที่มีลักษณะใกล้เคียงเข้าไว้ด้วยกันด้วย เช่น การท่องเที่ยว อาหารไทย และวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทย เป็นต้น ๒.๓ พิจารณานำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้ในการนำเสนอผลงานในการจัดนิทรรศการ World Expo 2020 Dubai เพื่อลดค่าใช้จ่ายค่าก่อสร้างชิ้นงานต่าง ๆ และทำให้การจัดนิทรรศการของประเทศไทยมีความทันสมัยและสามารถดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมงานจากนานาประเทศมากยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คณะกรรมการจัดงาน World Expo 2020 Dubai และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรนำเสนอประเด็นการบริหารจัดการพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) ด้วย Actionable Intelligence Policy (AIP) และควรเพิ่มพื้นที่การจัดแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation : EECi) เช่น ศักยภาพด้านเทคโนโลยีและอวกาศของประเทศไทยที่พัฒนาขึ้นเอง คือ Versatile Operation System for Satellite Control and Administration (VOSSCA) เป็นต้น นอกจากนี้ แนวทางการบริหารจัดการกรอบงบประมาณ อาจมีการจัดสรรพื้นที่บางส่วนในคูหาประเทศไทยโดยเชิญภาคเอกชนรายใหญ่ที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมจัดการและบริหารพื้นที่ดังกล่าวตลอดช่วงระยะเวลาการเตรียมงานและช่วงการจัดงาน เพื่อให้การจัดงานเป็นไปตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่ให้คำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศเป็นสำคัญ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15125 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยปี 2560 เพิ่มเติม | กษ | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ ปี ๒๕๖๐ (ช่วงภัยวันที่ ๑ พฤศจิกายน ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐) ๑.๒ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยปี ๒๕๖๐ ที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือครัวเรือนละ ๓,๐๐๐ บาท รวม ๓ ช่วงภัย ได้แก่ (๑) ช่วงภัยวันที่ ๕ กรกฎาคม ถึง ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ (พายุตาลัสและเซินกา) (๒) ช่วงภัยวันที่ ๑๖ สิงหาคม ถึง ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ (พายุทกซูรี หย่อมความกดอากาศ และร่องมรสุม) และ (๓) ช่วงภัยวันที่ ๑ พฤศจิกายน ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ กรอบวงเงินทั้งสิ้น ๓,๑๓๖.๗๓๕ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ในกรอบวงเงิน ๓,๑๓๖.๗๓๕ ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แก่ (๑) ควรพิจารณาทบทวนแนวทางและขั้นตอนการดำเนินการเพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติเป็นไปอย่างเหมาะสมและทันกับสถานการณ์ และควรให้ความสำคัญกับการกำกับดูแล ติดตาม และตรวจสอบให้ความช่วยเหลือให้เป็นไปอย่างโปร่งใส รวดเร็ว และเกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้ระเบียบและขั้นตอนการดำเนินการของทางราชการอย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบคุณสมบัติของเกษตรกรทุกรายที่ได้รับความช่วยเหลือให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและถูกต้องตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้องก่อนการจ่ายเงินช่วยเหลือ (๒) ควรพิจารณาแนวทางบรรเทาและลดผลกระทบจากภัยพิบัติทั้งในระยะสั้นและระยะยาว อาทิ การวางแผนการช่วยเหลือ/ฟื้นฟูในระยะสั้นอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อให้เกษตรกรสามารถสร้างรายได้ได้อย่างเพียงพอหลังการช่วยเหลือ และส่งเสริมให้เกิดการปรับรูปแบบการผลิตให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และลักษณะของภัยพิบัติ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และ (๓) ควรกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ชัดเจนสำหรับการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติตามธรรมชาติในระยะเร่งด่วนเพิ่มเติม นอกเหนือจากระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติเป็นไปอย่างเหมาะสม ทันกับสถานการณ์ และเกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบภายใต้ระเบียบของทางราชการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15126 | ขอความเห็นชอบข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ของไทยภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และการลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน | พณ | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ ๑๐ ของไทย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ ๑๐ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน โดยข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ ๑๐ ของไทยฯ มีสาระสำคัญเป็นการผูกพันเปิดตลาดเพิ่มเติมจากข้อผูกพันฯ ชุดที่ ๙ โดยผูกพันเปิดตลาดบริการในรูปแบบที่ ๑ (การบริการข้ามพรมแดน) รูปแบบที่ ๒ (การบริโภคในต่างประเทศ) โดยไม่มีข้อจำกัด รูปแบบที่ ๓ (การจัดตั้งธุรกิจในประเทศ) โดยอนุญาตให้ผู้ให้บริการอาเซียนเข้ามาลงทุนถือหุ้นได้ถึงร้อยละ ๗๐ ตามเป้าหมายของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จำนวน ๖ สาขาย่อย ภายใต้บริการสาขาการสื่อสารและสาขาการขนส่ง โดยสาขาบริการที่ผูกพันเพิ่มเติมดังกล่าวไม่เกินกว่ากฎหมายปัจจุบัน และไม่มีผลให้ไทยต้องแก้กฎหมาย โดยไทยยังคงระบุข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดตามที่ระบุในข้อผูกพันฯ ชุดที่ ๙ ได้แก่ การกำหนดให้กรรมการบริหารต้องมีสัญชาติไทย บุคคลหรือตัวแทนนิติบุคคลผู้ขอใบอนุญาตต้องมีสัญชาติไทย และสงวนสิทธิไม่ให้ต่างชาติถือครองที่ดิน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบต่อไป ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างพิธีสารฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างพิธีสารฯ แล้ว โดยอาเซียนได้กำหนดให้มีการลงนามพิธีสารฯ ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ ๕๐ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๖ สิงหาคม-๒ กันยายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างพิธีสารฯ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างพิธีสารฯ ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้พิธีสารฯ มีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบต่อร่างพิธีสารฯ และข้อผูกพันดังกล่าวแล้ว ๖. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหามาตรการป้องกันการให้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างชาติ (นอมินี) เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายซึ่งจำกัดสิทธิไม่ให้คนต่างชาติถือหุ้นเกินเกณฑ์ที่กำหนด และดำเนินการติดตาม ตรวจสอบ และลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างจริงจัง รวมทั้งเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจและสร้างจิตสำนึกให้คนไทยตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศจากการกระทำดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15127 | การประชุมคณะทำงานร่วมไทย-เมียนมา ในการเตรียมการส่งผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมากลับประเทศ ครั้งที่ 1 | กต | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานร่วมไทย-เมียนมา ในการเตรียมการส่งผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมากลับประเทศ ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๑ เพื่อเป็นเอกสารอ้างอิงในการประสานงานกับฝ่ายเมียนมาในการส่งกลับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมากลับประเทศโดยสมัครใจ อย่างปลอดภัย และสมศักดิ์ศรี ซึ่งร่างเอกสารดังกล่าวมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเตรียมการและกำหนดแผนดำเนินงานในการส่งกลับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาสำหรับกลุ่มที่ ๒ และกลุ่มต่อ ๆ ไปในอนาคต ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหมและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการให้การศึกษาและการฝึกวิชาชีพแก่ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติส่งผลถึงความสำเร็จที่ยั่งยืนของการดำเนินการดังกล่าว และควรให้ความสำคัญในการประสานความร่วมมือกับเมียนมาและองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15128 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการเร่งด่วน ภายใต้แผนปฏิบัติการ การพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยี | นร63 | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม ๔ กระทรวง ๘ หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม (สถาบันการบินพลเรือน) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) และกระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยบูรพา) ดำเนินงานโครงการเร่งด่วน ภายใต้แผนปฏิบัติการการพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยี รวมทั้งสิ้น ๑๔ โครงการ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๑ จำนวน ๓๙๐,๔๘๒,๙๐๐ บาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน ทั้งนี้ หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกจะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าของงบประมาณที่นำมาใช้ในโครงการ โดยร่วมกันติดตาม ประเมินผล แก้ไข ปรับปรุง ทบทวน และพัฒนา จนสามารถนำมาเป็นหลักสูตรต้นแบบในการขยายผลสำหรับการเรียนการสอนปกติ สามารถใช้ร่วมกันได้ทุกภูมิภาค และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อภารกิจหลักของมหาวิทยาลัย และจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งดำเนินการอย่างโปร่งใส คำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมายและประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่เห็นควรกำหนดแนวทางการติดตามประเมินผลอย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินความก้าวหน้าและผลที่ได้รับของโครงการว่าสอดคล้องตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายหรือไม่ เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15129 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงข่าวร่วมในโอกาสการเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วมในโอกาสการเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี (Joint Press Statement on the Official Visit of His Excellency General Prayut Chan-o-cha, Prime Minister of the Kingdom of Thailand, to the Kingdom of Bhutan) เพื่อเป็นเอกสารที่จะมีการออกประกาศแถลงข่าวร่วมในโอกาสการเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ โดยร่างแถลงข่าวร่วมฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมในประเด็นกิจกรรมและความร่วมมือทวิภาคีที่เกี่ยวข้องที่ทั้งสองประเทศจะผลักดันร่วมกัน เช่น (๑) การพัฒนาชุมชนโดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy : SEP) (๒) การส่งเสริมการค้าและการลงทุน โดยหาโอกาสที่จะลงทุนร่วมกัน (๓) การส่งเสริมด้านสุขอนามัย ซึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ไทยจะสนับสนุนการจัดตั้ง “ศูนย์แพทย์ด้านหู ตา คอ จมูก” ในภูฏาน และ (๔) การส่งเสริมด้านการเกษตรผ่านโครงการผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Gewog One Product : OGOP) เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การสนับสนุนเพิ่มบทบาทของหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาของไทย คือ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) และกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการให้ความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือทางวิชาการ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อพัฒนาศักยภาพภาคการก่อสร้าง บริการและท่องเที่ยว ให้เอื้ออำนวยต่อการลงทุนของไทยในภูฏาน และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและความมุ่งมั่นของไทยในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนาแบบใต้-ใต้ (South-South Cooperation) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15130 | โครงการ "ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม" | ทส | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ดำเนินโครงการ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” มีวัตถุประสงค์เพื่อลดปริมาณขยะมูลฝอย ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และงดใช้โฟมบรรจุอาหาร โดยการดำเนินกิจกรรมร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการฯ ได้แก่ ๑.๒.๑ กิจกรรม : มาตรการลด และคัดแยกขยะมูลฝอยในหน่วยงานภาครัฐ (๑) มอบหมายทุกหน่วยงานภาครัฐร่วมมือในการดำเนินงานพร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ (๒) ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกำหนดให้ “ผลการลดและคัดแยกขยะมูลฝอย” เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐ โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๒ และ (๓) ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกันพิจารณากำหนดเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการประเมิน ๑.๒.๒ กิจกรรม : รณรงค์ ทำความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยดำเนินงานพร้อมกันทั่วประเทศ ๑.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษเป็นเจ้าภาพหลักในการติดตามผลและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการดำเนินโครงการ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม” ไปพิจารณาความเหมาะสมเพื่อกำหนดเป็นตัวชี้วัดเพิ่มเติมในการประเมินผลการปฏิบัติราชการประจำปีของหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐด้วย เพื่อส่งเสริมให้การขับเคลื่อนโครงการฯ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วน รวมทั้งบริษัท ห้างร้าน หรือสถานประกอบการต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการลดการใช้วัสดุที่ผลิตขึ้นจากพลาสติก เช่น การใช้ถุงพลาสติกใส่สินค้าเท่าที่จำเป็นและกระตุ้นให้ผู้ซื้อสินค้านำถุงผ้ามาใส่สินค้าเอง การให้ส่วนลดราคาสินค้า หรือมาตรการอื่น ๆ กรณีที่ลูกค้าไม่ใช้ถุงพลาสติก เป็นต้น ๔. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางกำหนดมาตรการทางการเงินหรือการคลังในการสนับสนุนผู้ประกอบการหรือประชาชนที่สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกที่จะกลายเป็นขยะตกค้างที่ย่อยสลายได้ยาก เช่น การให้สิทธิพิเศษเพื่อลดหย่อนภาษีได้ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15131 | แนวทางการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า | กค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้กระทรวงการคลังทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง ประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) ข้อ ๑ จากเดิม “๑. ... (๓) วงเงินค่าโดยสารรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระบบ e-Ticket/รถไฟฟ้า จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน (๔) วงเงินค่าโดยสารรถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน และ (๕) วงเงินค่าโดยสารรถไฟ จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน” เป็น “๑. ... (๓) วงเงินค่าโดยสารรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระบบ e-Ticket/รถไฟฟ้า จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน และอนุญาตให้จ่ายเงินชำระค่าโดยสารได้เกินวงเงิน ๕๐๐ บาท ๑ ครั้งต่อเดือน โดยวงเงินที่เกินจะนำไปหักจากวงเงินในเดือนถัดไป (๔) วงเงินค่าโดยสารรถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน และ (๕) วงเงินค่าโดยสารรถไฟ จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน” ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ เร่งรัดการดำเนินการเชื่อมต่อระบบการชำระเงินของการให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ และรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. เพื่อให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้สิทธิผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ภายในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่กระทรวงการคลังกำหนด ๒.๒ เร่งรัดการเจรจากับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีผู้โดยสารใช้บริการเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถโดยสารรถไฟฟ้าได้ทุกสายทาง ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีสิทธินำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทยอยลงทะเบียนใช้สิทธิที่สถานีรถไฟฟ้าภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้การจัดสวัสดิการสังคมและการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีผลกระทบต่อการให้บริการประชาชนทั่วไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15132 | การบริหารจัดการแผนงาน/โครงการ/งบประมาณของศูนย์อำนวยการบริหาร จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 3/2561 (วันที่ 18 มิถุนายน 2561) | นร08 | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการแผนงาน/โครงการ/งบประมาณของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รวม ๑๐ โครงการ วงเงิน ๒๖๑,๒๙๗,๘๐๐ บาท โดยให้ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนและเงื่อนเวลาของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ และไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเป้าหมาย ตัวชี้วัด และแนวทางการดำเนินงานของแผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ด้วย ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้ชัดเจน เช่น โครงการเกี่ยวกับการกีฬาที่มุ่งสร้างนักกีฬาที่มีศักยภาพสูงเพื่อให้สามารถสร้างผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ โครงการเกี่ยวกับการส่งเสริมด้านการศึกษาที่ให้ประชาชนในพื้นที่มีความรู้ ความสามารถ พึ่งพาตนเองได้ เป็นต้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลปรับปรุงแนวทางในการดำเนินแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15133 | การขอรับเงินอุดหนุนให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ปีงบประมาณ 2561-2562 | กสศ | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนการใช้เงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จำนวน ๕,๙๔๙.๗๕ ล้านบาท เพื่อให้กองทุนฯ ดำเนินการตามแนวทางและหลักเกณฑ์การขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ โดยสำนักงบประมาณจะพิจารณาแหล่งเงิน ความซ้ำซ้อน และรายละเอียดของแผนงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กองทุนฯ บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและรอบคอบ เพื่อให้การดำเนินงานของกองทุนฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ซ้ำซ้อนกับภารกิจและกลุ่มเป้าหมายที่หน่วยงานอื่น ๆ ได้ดำเนินการอยู่แล้ว รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการวางระบบติดตามประเมินผลที่บ่งชี้ผลสัมฤทธิ์ตามเป้าประสงค์ของกองทุนฯ อีกทั้งกองทุนฯ จัดตั้งขึ้นในลักษณะเป็นกองทุนหมุนเวียนเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่กลุ่มเป้าหมายรุ่นต่อ ๆ ไป จึงควรคำนึงถึงการบริหารกองทุนฯ ให้สามารถพึ่งตนเองได้ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กองทุนฯ ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15134 | ร่างหนังสือยืนยันการยอมรับผลการเจรจาในกรณีพิพาทโควตาสัตว์ปีก ระหว่างจีน-สหภาพยุโรป (DS492) | พณ | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหนังสือยืนยันยอมรับผลการเจรจาในกรณีพิพาทโควตาสัตว์ปีกระหว่างจีน-สหภาพยุโรป (DS492) เพื่อที่กระทรวงพาณิชย์จะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป มีสาระสำคัญเป็นการแสดงการยอมรับผลการเจรจาทวิภาคีระหว่างสหภาพยุโรปกับจีนตามคำพิพากษาของคณะผู้พิจารณาข้อพิพาทที่ DS492 ภายใต้กระบวนการระงับข้อพิพาทขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งสหภาพยุโรปตกลงที่จะจัดสรรโควตารายประเทศ (country-specific allocation) ให้แก่จีน โดยไม่กระทบต่อสิทธิของประเทศอื่นที่ส่งออกสินค้าและไม่กระทบต่อสิทธิเดิมของไทยภายใต้ WTO ทั้งนี้ สหภาพยุโรปและจีนจะตกลงกันเพื่อปรับแก้มาตรการภายในระยะเวลาที่เหมาะสม (reasonable period of time) ตามความเข้าใจว่าด้วยกฎและกระบวนการที่ใช้กับการระงับข้อพิพาท ภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือยืนยันฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ให้กระทบต่อสิทธิเดิมของไทยภายใต้ WTO และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงแรงงาน ควรให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลระบบควบคุมการผลิตและมาตรฐานแรงงานในกระบวนการผลิตสินค้าที่ส่งออกไปยังตลาดสหภาพยุโรปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ผลิตรักษาคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าสัตว์ปีกของไทยเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดสินค้าสัตว์ปีกในสหภาพยุโรปซึ่งเป็นตลาดคู่ค้าที่สำคัญของไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15135 | การลงนามในร่างความตกลงให้การสนับสนุนด้านการเงิน (Financing Agreement) ระหว่างอาเซียนและสหภาพยุโรป (โครงการส่งเสริมศักยภาพเพื่อสนับสนุนศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อให้ความช่วยเหลือ ด้านมนุษยธรรมในการจัดการภัยพิบัติและกลไกการรับมือกับกรณีฉุกเฉินของอาเซียน) | มท | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงให้การสนับสนุนด้านการเงิน (Financing Agreement) ระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป [โครงการส่งเสริมศักยภาพเพื่อสนับสนุนศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (ASEAN Coordinating Centre for Humanitarian Assistance : AHA Centre) ในการจัดการภัยพิบัติและกลไกการรับมือกับกรณีฉุกเฉินของอาเซียน] และมอบหมายให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ร่วมกับสหภาพยุโรป โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญกล่าวคือ สหภาพยุโรปจะสนับสนุนงบประมาณแก่ AHA Centre สำหรับใช้ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของ AHA Centre เพื่อสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในประเทศสมาชิกมีความรู้และความพร้อมในการจัดการกับภัยพิบัติ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงบประมาณที่ขอปรับข้อความบางประการในร่างความตกลง และหากมีภาระค่าใช้จ่ายที่ประเทศสมาชิกจะต้องร่วมสนับสนุนในการดำเนินการเพิ่มเติม เห็นควรให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีมาดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต่อไป รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังในภาคผนวก ๑ ของร่างความตกลงฯ กำหนดให้ประเทศสมาชิกอาเซียน และ AHA Centre ร่วมสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ จำนวน ๘๐๐,๐๐๐ ยูโร หากประเทศไทยจะต้องร่วมสนับสนุนงบประมาณดังกล่าว ขอให้กระทรวงมหาดไทยปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15136 | แนวทางการแก้ไขปัญหามะพร้าว | พณ | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหามะพร้าว ตามมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาราคามะพร้าวภายในประเทศไม่ให้ตกต่ำตามอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การดำเนินการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช) โดยคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชมีมติ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดมาตรการห้ามนำเข้ามะพร้าวชั่วคราวในช่วงเวลา ๓ เดือน (สิงหาคม-ตุลาคม) ของปี ๒๕๖๑ และจะพิจารณาทบทวนสถานการณ์ว่ายังมีความจำเป็นหรือไม่ ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) แก้ไขระเบียบกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้อำนาจของประกาศกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๑๑๑) พ.ศ. ๒๕๓๙ และ (ฉบับที่ ๑๑๕) พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยระบุว่า จะไม่พิจารณาออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิชำระภาษีตามพันธกรณีความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับภาษีนอกโควตา สำหรับการนำเข้ามะพร้าว พิกัดศุลกากร ๐๘๐๑.๑๒๐๐ (มะพร้าวทั้งกะลา) ๐๘๐๑.๑๙๑๐ (มะพร้าวอ่อน) และ ๐๘๐๑.๑๙๙๐ (มะพร้าวอื่น ๆ) ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ร่วมกันหารือและติดตามสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อประกอบการพิจารณาความจำเป็นที่จะต่ออายุมาตรการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรดำเนินมาตรการตามที่จำเป็นและเหมาะสมเพื่อป้องกันการถูกร้องเรียนหรือฟ้องร้องว่ามีการดำเนินการขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15137 | ความต้องการงบประมาณของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย | อื่นๆ | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๔๒๙,๑๗๕,๒๐๐ บาท โดยให้ ศปมผ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้ ศปมผ. กำกับดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามแผนงานต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15138 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (นางสาวพรพรรณ บัวเกิด) | กต | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวพรพรรณ บัวเกิด ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิสบอน สาธารณรัฐโปรตุเกส ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15139 | ขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมบังคับคดี (กระทรวงยุติธรรม) (นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล) | ยธ | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งอธิบดีกรมบังคับคดี ต่อไปอีก ๑ ปี (ครั้งที่ ๑) ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15140 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย (จำนวน 9 ราย 1. นายระเฑียร ศรีมงคล ฯลฯ) | กค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย รวม ๙ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการ ๒. รองศาสตราจารย์สุดา วิศรุตพิชญ์ กรรมการ ๓. นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล กรรมการ ๔. พลตำรวจเอก รชต เย็นทรวง กรรมการ ๕. นายณัฐวุฒิ หนูไพโรจน์ กรรมการ ๖. นายอัญญา ขันธวิทย์ กรรมการ ๗. นางสาวพรรณิภา อภิชาตบุตร กรรมการ ๘. นายลวรณ แสงสนิท กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) ๙. นายยุทธนา หยิมการุณ กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)
|
.....